WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

1ประเพณ

อ้าง'ป๋า'ยังการันตี 'โด่ง'ปลืม กห.สรปโปร่งใส สร้างราชภักดิ์ไร้ทุจริต 'บิ๊กตู่-ทหาร'พร้อมหน้า ตบเท้าอวยพร'บิ๊กป้อม'ปปช.อายัดธาริตอีก 27 ล. บิ๊กกทม.แจงวุ่นทุ่มจัดไฟ

      บ้าน'ป๋าเปรม'คึกคัก 'บิ๊กตู่'นำครม.- ผบ.เหล่าทัพอวยพรปีใหม่ชื่นมื่น 'ป๋า' ชมทุกคนเสียสละเพื่อบ้านเมือง ไม่ได้เข้ามาเพื่ออำนาจเชื่อความดีเป็นเกราะกำบังให้พ้นอันตราย 'บิ๊กโด่ง' โอ่ป๋าการันตีเป็นคนดี กลาโหมสรุปก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ถูกระเบียบ-ไม่มีทุจริต ขณะที่นายกฯ-ทหารตบเท้าอวยพร 'บิ๊กป้อม'เจ้าตัวลั่นจะอดทนทำงานเพื่อชาติ สปท.เตรียมชงคสช.จัดเลือกตั้งอปท. นำร่องปริมณฑล หวั่นผู้รักษาการผูกขาดแสวงหาประโยชน์ 'มาร์ค' จี้ 'บิ๊กป้อม' ไฟเขียวประชุมพรรค เพื่อเคลียร์ปมทุจริตกทม. ด้านผู้บริหารกทม.แจงวุ่นทุ่ม 40 ล้านประดับไฟปีใหม่ 'วิษณุ' มึน 'ปู'เพิ่งขอเพิ่มพยาน 18 ปากคดีจำนำข้าว ป.ป.ช.อายัดทรัพย์ 'ธาริต'อีก 27.47 ล้าน

วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 25 ฉบับที่ 9164 ข่าวสดรายวัน

ประเพณี - พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เปิดบ้านให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. นำครม.เข้าอวยพร โดยประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษชื่นชมรัฐบาล ที่เสียสละทำงานเพื่อประเทศชาติ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.

 

ทหารตบเท้าอวยพร'บิ๊กป้อม'

      เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 30 ธ.ค. ที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ภายในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 รอ.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม และรองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดให้คณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ทุกเหล่าทัพ ข้าราชการระดับสูง นักธุรกิจเอกชน อวยพรเนื่องในวัน ขึ้นปีใหม่ 2559 

      โดยพล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม นำคณะ ประกอบด้วยพล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.สมหมาย เกาฎีระ ผบ.สส. พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ. พล.ร.อ.ณะ อารีนิจ ผบ.ทร. พล.อ.อ.ตรีทศ สนแจ้ง ผบ.ทอ. และพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. รวมทั้งผู้บังคับบัญชาระดับสูงทุก เหล่าทัพ เข้าอวยพร ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่น

ลั่นจะอดทนทำงานเพื่อชาติ 

      พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ปีใหม่ปีนี้ถือเป็นความหวังของคณะรัฐมนตรี (ครม.) และรัฐบาล โดยเฉพาะนายกฯ ที่พวกเราทุกคนจะต้องร่วมกันทำงานให้ประสบความสำเร็จให้ประเทศไทยเดินต่อไปได้ และมีความรุ่งโรจน์ตามเจตนารมณ์ของนายกฯ ซึ่งได้เสียสละตนเองมาตลอด ก็ได้พวกเราร่วมแรงร่วมใจกันทำงานให้ประเทศชาติ ทุกคนเหน็ดเหนื่อยทำเพื่อประเทศ และหายากที่จะรวมใจเพื่อทำให้ประเทศสงบ ลดขัดแย้งและลดความเหลื่อมล้ำลงได้ แม้จะยังไม่สำเร็จ แต่นายกฯ มีความหวังว่าทุกคนจะช่วยกันในปี 2559 และตลอดไป ให้ประเทศของเราเป็น 1 ในอาเซียน มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนตลอดไป

"ขอบคุณที่มาให้กำลังใจให้ผมทำงานเพื่อประเทศชาติต่อไป ผมจะอดทน แม้จะอายุมากแล้วเพื่อทำงานให้ส่วนรวม ประเทศชาติ และประชาชน"พล.อ.ประวิตรกล่าว 

'บิ๊กตู่'ให้กำลังใจ-บอกอย่าท้อ

       ต่อมาเวลา 07.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. นำ ครม. ที่เป็นอดีตทหาร ประกอบด้วยพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รมว.แรงงาน และพล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้า อวยพรปีใหม่พล.อ.ประวิตร จากนั้นนายกฯ ได้เข้าพูดคุยภายในห้องส่วนตัว กับพล.อ. ประวิตร พล.อ.อุดมเดช และพล.อ.อนุพงษ์ 

      พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ว่า ได้อวยพรให้พล.อ.ประวิตร มีสุขภาพแข็งแรง มีกำลังใจ ทำงาน อย่าท้อแท้ต่อคำต่อว่าของคนที่ไม่เข้า ใจเพราะได้ทำดีที่สุดแล้ว อย่าไปเสียอารมณ์กับเรื่องนี้มากนัก เพราะไม่เกิดประโยชน์ ผู้สื่อข่าวถามว่านายกฯ ต้องการกำลังใจในการทำงานปีหน้าหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนได้กำลังใจอยู่แล้ว มากบ้างน้อยบ้าง เป็นกำลังใจที่ให้ทั้งคณะ 

นำทีมเข้าบ้าน'ป๋าเปรม'

      "ขอฝากว่าประเทศชาติอยู่ในกำมือทุกคน ไม่ใช่ของผมคนเดียว หรืออยู่ที่รองนายกฯ เท่านั้น เพราะทั้งหมดคือทีมงาน ต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อประเทศชาติและประชาชนคนไทย ถึงจะมีการพัฒนา มีการปฏิรูป และการทำงานต่างๆ ทั้งหมด ฉะนั้นสื่อต้องช่วยดูแล สมาคมสื่อก็ต้องรับผิดชอบมากขึ้น ผมไม่ต้องการอะไรกับใครอยู่แล้ว แต่สถานการณ์ขณะนี้ควรทำให้บ้านเมืองมีเสถียรภาพได้อย่างไร"พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

      ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 09.00 น. ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เปิดโอกาสให้พล.อ.ประยุทธ์ นำครม.และผบ.เหล่าทัพ ผบ.ตร. เข้าอวยพรปีใหม่ 

     พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนและคณะขออำนวยพรและแสดงมุทิตาจิตด้วยความเคารพต่อประธานองคมนตรี พวกเราตระหนักดีว่าท่านเป็นผู้มีคุณูปการต่อประเทศชาติในความเป็นผู้นำด้วยความรู้ความสามารถและประสบ การณ์ รวมทั้งถวายความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างยิ่งมาตลอด เป็นแบบอย่างที่พวกเราจะยึดถือในการบริหารราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ด้วยความรักสามัคคี เพื่อนำพาประเทศชาติให้มีความก้าวหน้า มั่นคง ยั่งยืน 

'ป๋า'แนะใช้ความรักบริหารปท.

      ด้านพล.อ.เปรมกล่าวว่า ขอบคุณนายกฯ และนายทหาร นายตำรวจที่มาพบกันวันนี้ แม้จะพบกับพวกเราปีหนึ่งไม่กี่ครั้ง แต่นั่นคือ สิ่งที่ตนปรารถนาอย่างที่สุด เพราะในวิญญาณจิตใจ ร่างกายของตนนั้นความเป็นทหารยังอยู่ ขออาศัยอยู่ไปตลอดชีวิตของตน ขอบคุณ นายกฯ ที่ไม่ลืมกัน ยังมีความเป็นมิตร เป็นเพื่อนพี่น้องกัน 

      พล.อ.เปรม กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่นายกฯ เอ่ยถึงคือเรื่องความรักสามัคคี ซึ่งเป็นพระราชกระแสรับสั่ง 7-8 ปีมาแล้ว ที่รับสั่งถึงความรู้รักสามัคคี ซึ่งสำคัญมาก หากเราไม่เข้าใจแล้วนำไปใช้ก็น่าเสียดาย เราต้องเข้าใจว่าเราต้องรู้จักความรัก และนำความรักไปใช้บริหารประเทศของนายกฯ ของผบ.เหล่าทัพ และผบ.สส. รวมทั้งความสามัคคี ต้องมีความเข้าใจและนำไปใช้บริหารประเทศ บริหารหน่วยอย่างที่นายกฯ ทำอยู่ขณะนี้

ให้กองทัพโชว์พลังสามัคคี

       "ผมเข้าใจดีว่าพวกเราเหนื่อย เหนื่อยมากๆ แต่เราพูดกันเสมอว่าถ้าเราเหนื่อยแล้วคนไทยมีความสุข ไม่มีความทุกข์ หรือมีความทุกข์แต่น้อย มีเงินแต่น้อย ด้วยฝีมือของเรา นั่นคือสิ่งที่เราปรารถนา คือสิ่งที่นายกฯ ทำอยู่ทุกวันนี้ พวกเราทำอยู่เดี๋ยวนี้ สิ่งที่เราต้องนำไปใช้คือความรัก รักผู้ใต้บังคับบัญชา รักประชาชน รักทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของชาติบ้านเมือง เราต้องแสดงความสามัคคีให้คนเห็นว่าในกองทัพ ในวงการตำรวจ มีแต่ความรักสามัคคีทั้งนั้น ไม่มีสิ่งอื่นเจือปน ผมดีใจที่เห็นนายกฯ เห็นพวกเราสละความสุขส่วนตัว เพื่อความสุขของคนอื่น เพื่อความสุขของประชาชนในบ้านเมือง"พล.อ.เปรมกล่าว

     พล.อ.เปรมกล่าวว่า เมื่อเช้าตนถามนายกฯ ว่าวันนี้อารมณ์ดีหรือไม่ นายกฯ ตอบว่าเช้าๆ อารมณ์ดี แต่พอสายๆ ไปอารมณ์จะเริ่มขุ่นมัว ก็ไม่เป็นไร เพราะนายกฯ เป็นคนเข้มแข็ง สู้ไม่ถอย เป็นตัวอย่างที่ดี เราต้องทำเป็นตัวอย่างให้คนเห็นว่าเรารักสามัคคีกันจริงๆ ทุกคนเริ่มได้ที่ตัวเอง ที่หน่วยของตัวเอง เพื่อแสดงให้เห็นว่าเรารักชาติบ้านเมือง 

เชื่อความดีคือเกราะกำบัง

       "อย่างที่เราทำกันอยู่นี้ถ้าทำดีได้คิดว่าเราจะมั่นคงแข็งแรงพอจะผจญกับความทุกข์ยากของราษฎรในประเทศได้อย่างแน่นอน เพราะราษฎรฝากความหวังไว้กับนายกฯ ฝากไว้กับพวกเรา กองทัพบก เรือ อากาศ ตำรวจ เราต้องรับสิ่งนี้แล้วทำ แม้จะยากมากแต่จำเป็นต้องทำให้ได้ นี่เป็นสิ่งเดียวที่จะให้เห็นว่างบประมาณที่จัดสรรให้กองทัพนั้นนำไปเพื่อบ้านเมือง ช่วยราษฎรจริงๆ แสดงให้เห็นว่าเรารักเขาจริง ต้องการให้เขาสุขสบาย ไม่ได้เข้ามาเพื่ออำนาจหรือเพื่ออะไร แต่เราเข้ามาเพื่อ ชาติบ้านเมือง เพื่อราษฎร"พล.อ.เปรมกล่าว

     พล.อ.เปรม กล่าวว่า ตนคงช่วยอะไรไม่ได้มากเพราะอายุมากแล้ว ได้แต่ช่วยคิด ช่วยให้ความรู้ ให้กำลังใจ และเป็นเพื่อน ถ้ามีสิ่งใดที่ตนจะช่วยได้ก็พร้อมจะช่วยด้วยความเป็นเพื่อน เป็นมิตร ด้วยความรักสามัคคี ความดีคือเกราะกำบัง ขอให้ทำความดี ความดีคือเกราะที่ไม่มีใครทำอันตรายแก่เราได้ ถ้าทุกคนทำดีทุกวันจะเป็นเกราะกำบังที่แข็งแรง ช่วยกำบังภยันตรายต่างๆ ได้ จะช่วยให้เราพบความสำเร็จ ช่วยให้เรามีจิตใจชื่นบานในการช่วยเหลือคนอื่น 

มั่นใจในตัว'บิ๊กโด่ง'

      ประธานองคมนตรีกล่าวว่า ขอบคุณ ทุกคนที่มาและฝากขอบคุณคนที่ไม่ได้มาด้วย หวังว่านายกฯจะนำพาประเทศหายยากจน มีความพอมีพอกิน และมีความสุขตามที่สิ่งต่างๆ ในรอบตัวเราจะทำได้ ขออวยพรทุกคนประสบความสำเร็จในการทำงานให้ชาติบ้านเมือง ขอให้ทุกคนเข้าใจ ขอให้คนที่เข้าใจผิดได้เข้าใจถูกว่าเรากำลังยืนทำอะไรกันอยู่เดี๋ยวนี้ ขอให้ นายกฯ และพวกเราประสบแต่ความดี ขอให้ความดีเป็นเกราะกำบังให้พวกเราปลอดภัย ขอให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่นายกฯ และพวกเราตั้งใจทำงานอยู่นี้ได้ประสบผลสำเร็จในไม่ช้านี้

   ด้านพล.อ.อุดมเดชเปิดเผยภายหลังเข้าอวยพรพล.อ.เปรม ซึ่งพล.อ.เปรมได้พูดคุยด้วยครู่หนึ่งว่า "พล.อ.เปรมมั่นใจว่าผมไม่ใช่คนแบบนั้น ในเรื่องอุทยานราชภักดิ์ขอให้รอฟังผลการตรวจสอบจากคณะกรรมการ และเรื่องนี้ผู้กล่าวหาเขาไม่ได้ต้องการจะเล่นผม แต่ต้องการจะเล่นที่ตัวโครงการ?

      ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดช่วงเช้าที่พล.อ. อุดมเดชเข้าอวยพรปีใหม่พล.อ.เปรมมีท่าทีผ่อนคลาย สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ทักทายและพูดคุยกับนายทหารและ ครม.อย่างอารมณ์ดีและเป็นกันเอง

'บิ๊กช้าง'นำทีมแถลงราชภักดิ์

    เมื่อเวลา 13.30 น. ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีการดำเนินโครงการ ก่อ สร้างอุทยานราชภักดิ์ พล.ต.พนมเทพ เวสา รัชชนันท์ ผู้ช่วยเจ้ากรมพระธรรมนูญ พล.ต. กิตติศักดิ์ บุญสุข ผู้ชำนาญการสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมกันแถลงผลสอบข้อเท็จจริง โดยมีตัวแทนจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยร่วมรับฟังด้วย

     พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า ผลการสอบข้อเท็จจริงโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ กรอบอำนาจหน้าที่ของกรรมการชุดนี้ถือว่าไม่มีอำนาจในทางกฎหมายเพราะแต่งตั้งจาก รมว.กลาโหม เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงเท่านั้น รวมทั้งสอบได้เฉพาะบุคคลที่อยู่ในกระทรวงกลาโหมและคนที่เกี่ยวข้อง จะไม่กว้างขวางเหมือนองค์กรตรวจสอบทั่วไป จากการหาข้อเท็จจริงมุ่งเน้นรวบรวมพยานหลักฐานจากส่วนราชการ การเรียกบุคคลมาให้ความเห็นที่มีประมาณ 23 คน และเอกสารหลักฐานการใช้งบประมาณ จะเน้นไปที่วันที่ 30 พ.ย.2558 ซึ่งเป็นวันตัดยอดบัญชีรายรับรายจ่าย จากนั้นวันที่ 24 ธ.ค.2558 เป็นวันที่คณะกรรมการสรุปข้อเท็จจริง

สรุปถูกระเบียบ-ไม่มีทุจริต

    พล.อ.ชัยชาญกล่าวว่า งบที่ใช้ก่อสร้างมี 2 ส่วน ส่วนแรกมาจากงบกลาง 63.5 ล้านบาท ส่วนที่สองคืองบบริจาค 732 ล้านบาท ส่วนรายจ่ายของโครงการทั้งหมดมี 27 งาน รวม 752 ล้านบาท และนำไปสร้างโรงเรียนนายสิบของกองทัพบก 149 ล้านบาท ส่วน งบมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์มีทั้งหมด 106 ล้านบาท ซึ่งจากการสอบบัญชียังไม่มีการใช้งบในส่วนของมูลนิธิ

     ประธานคณะกรรมการกล่าวว่า จากการใช้งบประมาณพบว่าเป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ และเป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง รวมทั้งระเบียบของกองทัพบกด้วย ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่าที่มีคนของคณะทำงานไปเรี่ยไรเงิน ซึ่งตามระเบียบจะต้องทำเรื่องไปที่สำนักนายกรัฐมนตรีก่อน แต่การตรวจสอบไม่พบว่ามีการทำเรื่องไปที่สำนักนายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด กรณีนี้เป็นหน้าที่ของกองทัพบกตรวจสอบ หากพบว่าเป็นความผิดต้องดำเนินการวินัยกับบุคคลเหล่านี้ 

บัญชีรายรับ-จ่ายชัดเจน

     พล.อ.ชัยชาญกล่าวว่า ส่วนเรื่องการหล่อพระบรมราชานุสาวรีย์ เราได้ทำข้อสังเกตไปว่ากรณีการเรียกบุคคลมาสอบถามนั้น ไม่ครบถ้วน บางคนไม่มา บางคนตามตัวไม่ได้ ซึ่งตรงนี้อยู่นอกเหนืออำนาจของคณะกรรมการ สำหรับกิจกรรมอื่นๆ เช่น ราชภักดิ์ไบค์แอนคอนเสิร์ตแทนคุณแผ่นดิน หรือกิจกรรมปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน ที่มีข่าวว่าใช้ต้นปาล์ม 72 ต้น ต้นละ 3 แสนบาทนั้น ในข้อเท็จจริงสอบแล้วไม่ใช่การใช้ต้นไม้มาปลูกในอุทยาน แต่เป็นลักษณะภาคเอกชนสนับสนุน คือถ้าใครมาบริจาคจะมีชื่อติดตามต้นไม้ 

     "คณะกรรมการเห็นว่าทั้ง 2 กิจกรรม ดังกล่าวได้ดำเนินการตามแผนงาน มีการเปิดเผยบัญชีรายรับรายจ่ายชัดเจน ส่วนนี้ไม่มีข้อสังเกตใดๆ อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตเรื่องการเร่งรัดการสร้างอุทยานราชภักดิ์ที่ใช้เวลารวด เร็วเพียง 10 เดือน ซึ่งคณะกรรมการเห็นว่าเร่งรัดก่อสร้างเกินไป"พล.อ.ชัยชาญกล่าว

ระบุพร้อมให้ข้อมูลสตง.

    เมื่อถามว่า การพิจารณาไม่ได้พิจารณาตัวบุคคล ใช่หรือไม่ พล.อ.ชัยชาญกล่าวว่า การตรวจสอบของคณะกรรมการไม่ใช่การชี้มูลความผิด หรือบอกใครถูกใครผิด ซึ่งจะเป็นเพียงการให้ข้อสังเกตเท่านั้น ส่วนจะหาว่ามีประเด็นอะไรทุจริต ต้องให้หน่วยงานที่มีอำนาจตามกฎหมายเป็นผู้ดำเนินการ ถ้าหากสตง.อยากได้ข้อมูล เราพร้อมที่จะให้ 

     นายเรืองไกรกล่าวภายหลังรับฟังการแถลงว่า ส่วนตัวรู้สึกพอใจการชี้แจงข้อมูล ทั้งการใช้งบกลาง งบบริจาคและงบมูลนิธิ ซึ่งจะชัดเจนกว่าที่ผ่านมามาก ทำให้สังคมหายสงสัยได้ระดับหนึ่ง เนื่องจากตนเข้าใจดีว่าการสอบของคณะกรรมการชุดนี้ไม่สามารถชี้มูลความผิดเหมือนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือสตง. เพราะเป็นเพียงการแสวงหาข้อเท็จจริง ส่วนตนจะดำเนินการเรื่องนี้ต่อไปอย่างไรนั้น ขอเอกสารหลักฐานจากคณะกรรมการก่อน 

สปท.ชงเลือกตั้งอปท.

     นายวันชัย สอนศิริ โฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เปิดเผยว่า ในการประชุม สปท.วันที่ 7-8 ม.ค.2559 เพื่อพิจารณาการปฏิรูปในวาระเร่งด่วนของ กมธ.ชุดต่างๆ นั้น สปท.การเมืองจะเสนอวาระเร่งด่วนต่อที่ประชุม 3 เรื่องที่ต้องทำให้สำเร็จภายในเวลา 1 ปีครึ่ง คือ 1.การ เลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรม โดยหลังปีใหม่ สปท.การเมืองจะประชุมเพื่อวางแนว ทางการเลือกตั้งสุจริตและเที่ยงธรรม ขณะนี้นายสุชน ชาลีเครือ ประธานคณะอนุ กมธ.ขับเคลื่อน การปฏิรูปการเมือง การเลือกตั้งที่สุจริตและ เที่ยงธรรม กำลังหามาตรการและวิธีการแก้ปัญหาทุจริตเลือกตั้งให้เห็นผลเป็นรูปธรรม

     นายวันชัย กล่าวว่า เบื้องต้นเห็นตรงกันว่าจะเสนอต่อ คสช.ขอให้มีการเลือกตั้งองค์กรปกครองท้องถิ่น (อปท.) อาทิ อบต. อบจ. และเทศบาล เฉพาะในพื้นที่ปริมณฑลก่อน เพื่อเป็นพื้นที่นำร่อง ทดลองแนวทางการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรม โดยให้ระดมมาตรการทางกฎหมาย จัดกำลังตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง มาควบคุมการเลือกตั้งอย่างเต็มที่ เพื่อแก้ปัญหาซื้อสิทธิ์ขายเสียงให้เห็นผลเป็นรูปธรรม 

นำร่องปริมณฑล-สกัดผูกขาด

      "สาเหตุที่ กมธ.การเมืองเสนอต่อ คสช.ให้นำร่องเลือกตั้ง อปท.ในปริมณฑล เพราะหากยังปล่อยให้มีรักษาการผู้บริหาร อปท.ตามคำสั่งของ คสช.ต่อไปเรื่อยๆ เกรงว่าจะยิ่งเกิดการผูกขาดแสวงหาผลประโยชน์ และวางเครือข่ายรักษาอำนาจต่อไป และถ้าการ นำร่องประสบความสำเร็จจะขยายผลไปยังการเลือกตั้งทุกระดับทั่วประเทศ ตั้งเป้าว่าจะทำให้การเลือกตั้งทั่วประเทศสุจริตและยุติธรรมภายใน 1 ปีครึ่ง"นายวันชัยกล่าว

     นายวันชัย กล่าวต่อว่า 2.การวางมาตรการสร้างความปรองดองและสมานฉันท์จะต้องประสานกับรัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาวิธีการให้เกิดความชัดเจนเป็นรูปธรรม ก่อนมีการเลือกตั้ง 3.การติดตามข้อเสนอแนะของ กมธ.การเมืองต่อการร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ว่า จะปรับปรุงแก้ไขอย่างไรเพื่อให้เกิดการปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริง โดยเฉพาะใน 3 เรื่อง คือ ที่มาส.ส. ที่มาส.ว. และที่มานายกฯ โดยจะจับตาดูการแก้ไขเรื่องเหล่านี้อย่างใกล้ชิดต่อไป

'สุรชัย'ค้านนั่งส.ว.สมัยเดียว

ด้านนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนที่ 1 กล่าวถึงกรณี กรธ.เสนอแนวทางให้เครือญาติของนักการเมืองลงสมัครส.ว.ได้ ว่า คงต้องย้อนดูในอดีต เรื่องการให้มีสภาผัวเมียว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นบ้าง แนวคิดดังกล่าวทำให้เกิดปัญหาขึ้นใหม่อีกครั้งหรือไม่ 

      ส่วนที่ส.ว.มีวาระเพียง 5 ปีและเป็นได้ครั้งเดียวตลอดชีพนั้น เห็นว่าเป็นมาตรการที่ เข้มข้นเกินไป การให้เป็นส.ว.ครั้งเดียวตลอดชีวิตถือเป็นการไปตัดสิทธิหรือไม่ ที่ผ่านมารัฐธรรมนูญปี 2540 และปี 2550 มีข้อห้าม ไม่ให้ส.ว.เป็นติดต่อกัน 2 สมัย แต่ให้เว้นวรรคลงสมัคร ถือว่าเหมาะสมอยู่แล้ว เป็นการเปิดให้คนใหม่เข้ามาเป็นส.ว. ซึ่งการให้ส.ว.เว้นวรรค 1 สมัยไม่เห็นว่าเกิดปัญหาอะไร

'วัฒนา'อัดคสช.แก้วิกฤตเหลว

      นายวัฒนา เมืองสุข สมาชิกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตั้งแต่คสช.ยึดอำนาจโดยมีข้ออ้างตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 1/2557 ว่าเพื่อให้ประเทศเข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็ว ประชาชนเกิดความรักสามัคคี เพื่อการปฏิรูปโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และอื่นๆ เพื่อให้เกิดความชอบธรรมกับทุกพวกทุกฝ่าย ขณะนี้เป็นเวลา 19 เดือนเศษ ตนยังมองไม่เห็นวี่แววความสำเร็จในการแก้ปัญหา แต่กลับเห็นประเทศเผชิญวิกฤตอย่างรุนแรงที่เกิดจากผู้นำและองคาพยพที่คสช.ตั้งขึ้นเพื่อแก้ปัญหาของประเทศ ที่ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่น ความไว้วางใจและความศรัทธาให้เกิดแก่ประชาชนได้

     นายวัฒนา กล่าวว่า เริ่มจากการสร้างความไม่น่าเชื่อถือต่อคำพูดของนายกฯ ที่ขยายโรดแม็ปเลือกตั้งออกไปเรื่อยๆ ล่าสุด นายกฯ บอกว่าจะให้มีเลือกตั้งหรือไม่มีเลยมันก็เรื่องของนายกฯ การที่รัฐบาลทำตัวเป็นคู่ขัดแย้งและเลือกข้างทางการเมืองเสียเองทำให้ประชาชนไม่เชื่อในความยุติธรรม 

ซัดกรธ.ไร้ความน่าเชื่อถือ

     นายวัฒนา กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีวิกฤตศรัทธาจากคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน ซึ่งไม่เคยสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนได้ ว่าเราจะมีรัฐธรรมนูญมีความเป็นสากลและอยู่บนหลักนิติธรรม กรธ.มีหน้าที่สำคัญคือนิรโทษกรรมให้กับคสช.และรัฐบาลที่เกิดขึ้นหลังยึดอำนาจ ทำให้ประชาชนขาดศรัทธา หมดความเชื่อถือและไม่เชื่อมั่นว่า คสช.และคณะจะแก้ปัญหาให้กับประเทศได้

     นายวัฒนา ระบุว่า ปัญหาเร่งด่วนที่สุดที่ต้องเร่งแก้ไขคือปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งเห็นแล้วว่าไม่มีทางแก้ไขได้ เพราะกลุ่มประเทศที่เป็นคู่ค้ารังเกียจและไม่คุยกับรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจ ยิ่งอยู่นานขึ้นปัญหาจะมากและแก้ไขได้ยากขึ้น เชื่อว่าทุกคนหวังดีต่อบ้านเมือง แต่สิ่งที่ประเทศนี้ต้องการมากกว่าความหวังดีคือการเสียสละ ทำได้ด้วยการรีบคืนอำนาจให้ประชา ชนเพื่อให้ไปเลือกรัฐบาลมาแก้ปัญหาของประเทศ เลิกอ้างว่าหากเลือกตั้งแล้วคนไทยจะตีกัน ทุกคนควรเคารพดุลพินิจของประชาชน 

'มาร์ค'ติดใจระบบเลือกตั้ง

      นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายมีชัย ระบุหลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้จะทำให้ระบบการ เมืองเป็นธรรมชาติมากขึ้นว่า ตนไม่ติดใจเรื่องรัฐธรรมนูญว่าจะเป็นธรรมชาติหรือไม่ แต่ติดใจเรื่องระบบการเลือกตั้ง ที่ใช้บัตรใบเดียวเพราะค้นหาเจตนารมณ์ประชาชนได้ยาก ทำ ให้การเลือกตั้งรุนแรง และการใช้เงินจะรุนแรงมากขึ้นด้วย วิธีนี้ตรงข้ามกับเจตนา รมณ์ที่กรธ.ต้องการให้การเลือกตั้งสุจริต เที่ยงธรรม ไม่มีความขัดแย้ง ทำให้การเมืองดีขึ้น 

      "ไม่ว่าอะไรจะอยู่ในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ผมอยากให้คิดถึงการแก้ปัญหาประเทศให้มากๆ ถ้าไม่อยากให้รัฐบาลในอนาคตมาเขียนหรือมาแก้ตามใจชอบ กรธ.ต้องทำให้แก้ยาก สิ่งสำคัญในหลักประกันที่ต้องเขียนในรัฐธรรมนูญ คือต้องไม่ทำให้ฝ่ายที่มีอำนาจ สามารถลดทอนการตรวจสอบได้"นายอภิสิทธิ์กล่าว

จี้คสช.ขอประชุมพรรค

      ส่วนปัญหาการประสานงานระหว่างม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กับพรรค กรณีอดีตส.ส.ไม่ได้รับ ความร่วมมือในการตรวจสอบโครงการที่ไม่โปร่งใสของกทม. นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เรื่อง กทม.ต้องรอคำตอบที่ชัดเจนจากคสช.ก่อน ซึ่งตนได้พบกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ได้ขอให้ช่วยตอบเร็วๆ ในเรื่องขอจัดประชุมพรรค 

    "พล.อ.ประวิตรยืนยันกับผมว่าจะดูเรื่องนี้ให้ ยืนยันว่าพรรคไม่ได้ซื้อเวลา แต่ต้องให้เกียรติคสช.พิจารณา พรรคจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ให้บานปลายไปเรื่อยๆ จึงหวังว่าคสช.จะตอบมาอย่างเป็นทางการ ถ้าไม่ตอบคงต้องทวง เพราะพรรคจะไม่ปล่อยให้ยืดเยื้อ เนื่องจาก ไม่เป็นผลดี?นายอภิสิทธิ์กล่าว

กทม.แจงวุ่นทุ่มงบประดับไฟ

      ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีที่มีการวิจารณ์ความคุ้มค่าโครงการประดับไฟเปิดไฟแอลอีดี จำนวน 5 ล้านดวง บริเวณลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ใช้งบประมาณดำเนินการ 39.5 ล้านบาท ซึ่ง กทม.เปิดไฟประดับให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้เที่ยวชมตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค.เป็นต้นไป เวลา 18.00-24.00 น. เป็นเวลา 1 เดือน ส่วนใน วันที่ 31 ธ.ค.จะเปิดไฟประดับดังกล่าวตลอดทั้งคืน เพื่อเฉลิมฉลองการเข้าสู่เทศกาลปีใหม่ ขณะที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เตรียมเข้ามาตรวจสอบด้วยนั้น

     ที่ศาลาว่าการ กทม. นายอมร กิจเชวงกุล รองผู้ว่าฯ กทม. แถลงว่า เนื่องจากกองการท่องเที่ยว สำนักวัฒนธรรม กีฬาและการ ท่องเที่ยว (สวท.) ได้รับงบประมาณเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวเพียง 50 ล้านบาท จากเดิมได้รับไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาท ดังนั้น ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. จึงให้กองท่องเที่ยวนำโครงการที่เกี่ยวกับการ กระตุ้นการท่องเที่ยวมาดำเนินการให้เสร็จทันวันปีใหม่ เพื่อคืนความสุขให้ประชาชน ยืนยันว่าไม่ได้ใช้งบฉุกเฉิน แต่ใช้งบกลางซึ่งเป็นอำนาจของผู้ว่าฯ กทม.ที่จะอนุมัติใน 4 เหตุ ได้แก่ 1.เร่งด่วน 2.จ่ายตามอำนาจศาล 3.นโยบายรัฐบาล และ 4.นโยบายผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งงบดังกล่าวจะได้รับ 300 ล้านบาทต่อปี

ใช้ 39.5 ล.-ถูกกว่าตปท.เยอะ

     นายอมร กล่าวว่า หลังจากผู้ว่าฯ กทม.ให้นโยบายใช้แสงสีเป็นหลักการ ทางกองการ ท่องเที่ยวจึงจัดทำแสงสีโดยถอดแบบวรรณคดีไทย ดอกไม้ และสัตว์มงคล 9 ชนิด เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 9 ต.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ผู้ว่าฯ กทม.มีแนวคิดจะจัดแสดงแสงสีมา 3-4 ปีแล้ว แต่เวลาและสถานการณ์ไม่เหมาะสม จึงจัดในปีนี้ โดยให้ใช้งบไม่เกิน 40 ล้านบาท ขณะที่ในต่างประเทศจะใช้งบไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท 

     ส่วนการหาผู้ดำเนินการนั้น สวท.พิจารณาว่าการให้เอกชนดำเนินการเป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยกำหนดเงื่อนไขว่าบริษัทต้องจัดหาอุปกรณ์ พร้อมติดตั้ง อำนวยความสะดวกในการประดับตกแต่ง ทำความสะอาด จัดเวรยาม และทำให้เสร็จทันวันปีใหม่ เพื่อป้องกันแชมป์เมืองน่าท่องเที่ยวที่สุดในโลก ซึ่งวันที่ 17 ธ.ค.ที่ผ่านมา กทม.ได้ประกวดราคา แบบอีอ๊อกชั่น มีบริษัทสนใจ 9 ราย เมื่อเห็นเงื่อนไขทำให้เหลือบริษัทเพียง 2 ราย และบริษัทที่ชนะประมูลได้เสนอในราคาต่ำสุดคือ 39.5 ล้านบาท ซึ่งบริษัทที่ชนะการประมูลได้เข้าพื้นที่เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. จากนั้นวันที่ 22 ธ.ค. กทม.จึงมอบสัญญาให้ เพราะการทำสัญญามีรายละเอียด ต้องใช้เวลาจัดทำ

ยันพร้อมให้ตรวจสอบ

    นายอมร กล่าวว่า ผู้ว่าฯ กทม.ยังใช้เงิน ส่วนตัวให้รางวัลผู้ที่ถ่ายภาพสวยงามอัพ ผ่านโซเชี่ยลมีเดีย โดยรางวัลที่ 1 ได้รับ 1 แสนบาท รางวัลที่ 2 ได้ 50,000 บาท และรางวัลที่ 3 ได้ 20,000 บาท ส่วนวิธีการประกวดจะประกาศอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าประชาชนจะถ่ายภาพคนละ 20 ภาพ 4 แสนคน จะได้ภาพ 8 ล้านภาพ จะลดการใช้งบประชาสัมพันธ์ 160 ล้านบาท เฉลี่ยภาพละ 20 บาทด้วย แต่ความคุ้มค่าการลงทุนจะวัดเหมือนเอกชนไม่ได้ เพราะการจัดแสงสีของเอกชนจะดึงดูดลูกค้าให้เข้าห้างให้เกิดกำไร แต่ กทม.มองถึงมูลค่าตอบแทนทางเศรษฐกิจ 

     นอกจากนี้ กทม.ยังจัดถนนคนเดินที่ถนนดินสอและถนนมหรรณพด้วย คาดว่าจะมีประชาชนร่วมงาน 4 แสนคน เฉลี่ย 1 หมื่นคนต่อวัน และมีการจับจ่ายเฉลี่ยคนละ 250 บาท จะมีเงินหมุนเวียน 100 ล้านบาทภายใน 1 เดือน ทั้งนี้ กทม.ยินดีให้หน่วยงานตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง 

ป.ป.ช.อายัดทรัพย์"ธาริต"เพิ่ม

     วันเดียวกัน สำนักประชาสัมพันธ์ สำนัก งาน ป.ป.ช. เผยแพร่เอกสารข่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. มีมติยึดอายัดทรัพย์สินของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และภรรยา ซึ่งตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มี คำสั่งที่ 631/2557 ลงวันที่ 30 ต.ค.2557 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีมีเหตุ อันควรสงสัยว่านายธาริต เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดี ดีเอสไอ ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีนายปรีชา เลิศกมลมาศ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุ กรรมการไต่สวน และคณะกรรมการป.ป.ช.มีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของนายธาริต และนางวรรษมล คู่สมรส ไว้ชั่วคราว เมื่อวันที่ 12 มี.ค.2558 จำนวน 40,954,720.58 บาทนั้น 

     ต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตรวจพบว่านายปิยฤกษ์ อรรถกานต์รัตน์ หลานชายของนางวรรษมล มีพฤติการณ์ถือครองทรัพย์สินแทนนายธาริต และนางวรรษมล ซึ่งถือเป็นพฤติการณ์โอน ยักย้าย แปรสภาพ หรือ ซุกซ่อนทรัพย์สิน คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีคำสั่งให้อายัดเงินฝากและที่ดิน รวมมูลค่า 27,473,572 บาท ดังนี้ 1.บัญชีเงินฝากธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) 4 บัญชี รวมเป็นเงิน 643,572 บาท และ 2.ที่ดินที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา 9 แปลง มูลค่ารวม 26,830,000 บาท เพื่อป้องกันมิให้บุคคลภายนอกได้รับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการโอน ยักย้าย แปรสภาพ หรือซุกซ่อนทรัพย์สินรายการ อื่นๆ ของนายธาริต ที่อยู่ในชื่อของนายปิยฤกษ์ 

ฝากขังผู้ต้องหาผิด ม.112

     เมื่อเวลา 09.40 น. ที่ศาลทหารกรุงเทพ พนักงานสอบสวน พร้อมเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้นำตัว จ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ นาย ณัฐพล ณ วรรณ์เล นายวัลลภ บุญจันทร์ และนายพาหิรัณ กองคำ ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับในคดีความผิดข้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 สอบ สวนพบความเชื่อมโยงกับเครือข่ายขอนแก่นโมเดล โดยนำตัวมาจากเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี ภายในกองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่ 11 (พัน.ร.มทบ.11) เพื่อขออำนาจศาลทหารฝากขังผัดที่ 4 อีก 12 วัน 

     สำหรับ วันที่ครบกำหนดฝากขังผู้ต้องหาทั้งหมดตรงกับวันที่ 1 ม.ค.2559 ซึ่งเป็น วันหยุด เจ้าหน้าที่จึงมาขออำนาจศาลฝากขังในวันนี้ โดยศาลอนุญาตให้ฝากขังผัด 4 อีก 12 วัน จากนั้นเจ้าหน้าที่นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดขึ้นรถควบคุมเดินทางไป ควบคุมต่อที่เรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี

 

'บิ๊กตู่'นำครม. 4 ทัพเข้าบ้านสี่เสา ป๋าเชื่อโด่งคนดี 'ราชภักดิ์'ไร้โกง กห.สรุป-ชี้ใช้งบตามระเบียบ แต่สร้างเร็ว-ให้สอบปมเรี่ยไร วิชายันตีตก 99 ศพไม่ช่วยใคร นปช.ถล่มปปช.'2 มาตรฐาน'สปท.ชงเลือกตั้งอปท.นำร่อง

  • มติชนออนไลน์ :

    เปิดบ้าน -พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เปิดบ้านให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. นำคณะรัฐมนตรี ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจ ข้าราชการ ขอรับพรและอวยพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ ที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์ เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 

  • ไม่ผิด - พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ แถลงผลสรุปว่าการจัดสร้างใช้งบประมาณถูกต้อง ที่กระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 

  •       นปช.ออกแถลงการณ์โต้ ป.ป.ช.ตีตกคดีสลายม็อบเสื้อแดง ชี้อ้างศาลเกินคำพิพากษา ยกวารสาร ทบ.ยันทหารรบในเมือง ไม่แค่ตั้งด่านปิดล้อม ชี้'อภิสิทธิ์'ไม่รีบสั่งยุติการใช้กำลัง 'ธิด'ซัดสองมาตรฐาน 'วิชา'อ้างคดีไม่ได้ช่วยใคร 'มาร์ค'ขอบคุณ ป.ป.ช.เข้าใจการทำงาน 'ป๋าเปรม'เชื่อ'บิ๊กโด่ง'เป็นคนดี แซว'บิ๊กตู่'เช้าอารมณ์ดี ตกสายเริ่มขุ่นมัว 

    'บิ๊กตู่'นำครม.-ผบ.4 ทัพอวยพรป๋า

            เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม ที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เปิดบ้านให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นำคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ตลอดจนทหารและตำรวจเข้าขอรับพรและอวยพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่

          พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "กระผมและคณะถือโอกาสอันเป็นสิริมงคลนี้ ขออำนวยพรแด่ท่านพร้อมแสดงมุทิตาจิต ซึ่งพวกกระผมตระหนักดีว่า ท่านเป็นผู้ที่มีคุณูปการต่อประเทศชาติ ในความเป็นผู้นำและมีความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ พร้อมทั้งการถวายความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด ทั้งนี้ เกียรติประวัติอันดีงามของท่านจะยึดถือเป็นแนวทางในการบริหารราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีความรัก ความสามัคคีเพื่อนำพาประเทศชาติให้ก้าวหน้ามั่นคง ยั่งยืน"

    "ป๋า"แนะบิ๊กตู่ใช้ความรักบริหารปท.

          พล.อ.เปรมกล่าวตอบว่า ขอขอบคุณนายกฯที่พา ครม. ทหาร 3 เหล่าทัพ และตำรวจมาพบกัน มีความภูมิใจมากที่ได้พบกับพวกเรา การพบกันครั้งนี้จึงเป็นสิ่งที่ปรารถนามากที่สุด เพราะวิญญาณ จิตใจในร่างกายของตนความเป็นทหารยังคงอยู่และขออาศัยอยู่ต่อไปจนตลอดชีวิต ขอขอบคุณนายกฯที่ไม่ลืมกัน ยังเป็นเพื่อน เป็นมิตร เป็นพี่น้องกัน สิ่งหนึ่งที่นายกฯเคยพูดถึงคือเรื่องความรัก ความสามัคคี ซึ่งเป็นกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว พระองค์ท่านทรงรับสั่งเรื่องความรู้รักสามัคคี เป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าเราไม่เข้าใจและไม่นำไปใช้ก็น่าเสียดาย

    "ฉะนั้น เราต้องเข้าใจว่าพระองค์ท่านทรงหมายถึงว่าเราต้องรู้จักนำความรักไปใช้ในการบริหารประเทศของนายกฯและในการบริหารกองทัพต่างๆ ของผู้บัญชาการสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ" พล.อ.เปรมกล่าว

    แซว"บิ๊กตู่"เช้าอารมณ์ดี-สายขุ่นมัว

    "ผมเข้าใจดีว่าพวกเราคงเหนื่อยกันมากๆ แต่ถ้าเราเหนื่อยแล้วคนไทยมีความสุข ไม่มีความทุกข์ ถ้ามีก็มีน้อยแต่ด้วยฝีมือของเรา ตามความปรารถนาที่นายกฯกำลังทำ สิ่งเหล่านี้ผมคิดว่าเราจะต้องนำเอาเรื่องความรัก รักผู้ใต้บังคับบัญชา ความรักประชาชน รักทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของชาติบ้านเมืองของเรา เราจะต้องแสดงความสามัคคีให้ทุกคนเห็นว่า ทั้งกองทัพและตำรวจมีแต่เรื่องความรักความสามัคคีทั้งนั้น ผมก็ดีใจที่เห็นนายกฯและเห็นพวกเราสละความสุขส่วนตัวเพื่อความสุขของพี่น้องประชาชน เห็นชัดเจนว่าเมื่อครู่นี้ผมถามนายกฯ เช้านี้อารมณ์ดีไหม นายกฯบอกว่า เช้าๆ ผมก็อารมณ์ดี แต่พอสายๆ ไปอารมณ์เริ่มขุ่นมัว ผมคิดว่าก็ไม่เป็นไร เพราะนายกฯท่านเป็นคนเข้มแข็งอยู่แล้ว อีกทั้งยังเป็นคนสู้ไม่ถอย จึงเป็นตัวอย่างที่ดี" พล.อ.เปรมกล่าว

    พล.อ.เปรมกล่าวว่า ประชาชนฝากความหวังไว้กับนายกฯ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดังนั้น ต้องทำให้ได้ นี่เป็นสิ่งเดียวที่เราจะทำให้เขาเห็นว่าเราช่วยชาติบ้านเมือง และประชาชนอย่างจริงๆ เพื่อให้พวกเขามีความสุขสบาย 

    ขอให้คนเข้าใจผิดรู้ว่าทำเพื่ออะไร

    "พวกเราไม่ได้เข้ามาเพื่อหวังอำนาจ แต่เข้ามาเพื่อชาติบ้านเมือง และประชาชนของเรา ผมคงจะช่วยพวกท่านได้ไม่มากนัก เพราะอายุมากแล้ว แต่จะช่วยคิดและให้กำลังใจ ให้ความรู้ได้บ้างพอสมควร ถ้ามีสิ่งใดที่จะช่วยพวกท่านได้ก็พร้อมที่จะช่วยด้วยความเป็นเพื่อน เป็นมิตร และความสามัคคี ความดีคือเกราะกำบังป้องกันไม่ให้มาทำอันตรายกับเราได้ ถ้าทุกคนทำความดีทุกวัน ก็จะเป็นเกราะที่แข็งแรง และจะช่วยให้เราพบความสำเร็จ" พล.อ.เปรมกล่าว

    พล.อ.เปรมกล่าวว่า หวังว่านายกฯนำพาประเทศของเราหายจากความยากจน มีความพอมี พอกิน มีความสุขตาม ที่สิ่งต่างๆ จะทำได้ ขออวยพรให้ทุกคนประสบความสำเร็จ ขอให้คนที่เข้าใจผิดควรเข้าใจให้ถูกว่าพวกเรากำลังทำอะไรกันอยู่ ให้นายกฯและพวกเราประสบแต่ความดี ขอให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่นายกฯตั้งใจทำงานก็มีแต่ความสำเร็จในไม่ช้านี้

    "ป๋าเปรม"เชื่อ"บิ๊กโด่ง"เป็นคนดี

    หลังจากนั้น พล.อ.เปรมทักทายผู้บัญชาการเหล่าทัพ โดยมี พล.อ.ประยุทธ์เดินแนะนำ ก่อนที่ พล.อ.เปรมเข้ามาทักทาย พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมพูดว่า "เชื่อว่าความดีจะทำให้โด่งประสบผลดี เราเชื่อว่าโด่งไม่ใช่คนแบบนั้น เชื่อว่าโด่งเป็นคนดี"

    ต่อมา พล.อ.อุดมเดชกล่าวว่า "พล.อ.เปรมบอกกับผมว่า เชื่อในผมเองว่าไม่ได้ผิด ผมก็เข้าใจว่าการกล่าวหานั้น ไม่ได้กล่าวหาผม แต่เป็นเรื่องของโครงการ ในฐานะที่เป็นประธานก็ต้องไปให้ข้อมูลในเรื่องการตรวจสอบ ถือเป็นเรื่องปกติ"

    ขออย่ามีทหารแตงโม-ตร.มะเขือเทศ

    ต่อมาเวลา 10.30 น. พล.อ.เปรมเปิดโอกาสให้ พล.อ.ปราการ ชลยุทธ รองเสนาธิการทหาร นำเหล่าทหารม้าเข้าอวยพร โดย พล.อ.เปรมกล่าวว่า หลายคนที่มาใกล้เกษียณแล้วเช่นเดียวกับตนที่ต้องเกษียณเหมือนกัน จึงมอบหมาย พล.อ.วันชัย เรืองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงกลาโหมและทหารม้าอาวุโส มาทำหน้าที่ดูแลเหล่าทหารม้าแทน

    "ผมเป็นม้าที่ใกล้ตายแล้ว ไม่ไหวแล้วต้องปลดเกษียณ เพราะอายุมาก อย่างไรก็ตาม อยากให้พวกเราทุกคนช่วยสนับสนุนและเชียร์ให้นายทหารเหล่าม้าเติบโตใน 5 เสือ ทบ. ในสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย เพื่อทดแทนคนที่เกษียณ ที่ผ่านมามีคนคิดเห็นแตกต่าง อาจมีคนไม่ชอบเยอะ และบอกให้ผมระวังตัว แต่ไม่รู้จะระวังอย่างไร เพราะมีอยู่แค่นี้ จึงคิดว่าเกราะที่ดีที่สุดคือการทำดี คนเกลียดคงมีน้อยลง การทำความดีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คุ้มครองเราได้" พล.อ.เปรมกล่าว

    พล.อ.เปรมกล่าวว่า ไม่อยากให้มีคำว่าทหารแตงโม ตำรวจมะเขือเทศ เพราะเรามีแต่เหล่าทหารม้า รวดเร็ว รุนแรง เด็ดขาด คนเริ่มรู้จักกันมาก เช่น เรื่องการปราบคอร์รัปชั่น หรือเรื่องที่ตนไปพูดเรื่องปล้นชาติ บางคนบอกว่าคิดทำได้ดี บางคนอาจไม่ชอบใจ แต่คุณลักษณะทหารม้า เราสามารถทำอะไรก็ได้ แต่สิ่งที่อยากเน้นหนักให้มากคือการสามัคคี เหล่าทหารม้าคงไม่มีทหารแตงโม ใช่หรือไม่ ขอชื่นชม พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาฯนายกฯเป็นคนดี นายกฯยังชมกับตนว่าท่านทำงานเก่ง

    บิ๊กทหาร-ตร.ตบเท้าอวยพร"บิ๊กป้อม" 

    ก่อนหน้านั้นเวลา 07.00 น. ที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ภายในกรมทหารราบที่ 1มหาดเล็กรักษาพระองค์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดมูลนิธิฯให้คณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ทุกเหล่าทัพ ข้าราชการระดับสูง นักธุรกิจ ร่วมอวยพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ โดยมี พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.สมหมาย เกาฏีระ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พล.ร.อ.ณะ อารีนิจ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) พล.อ.อ.ตรีทศ สนแจ้ง ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ร่วมอวยพร

    พล.อ.อุดมเดชนำคณะร่วมกล่าวอวยพรว่า "รู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่งที่ท่านกรุณาให้พวกกระผมมาร่วมอวยพร และขอรับพรจากท่านเพื่อความเป็นสิริมงคล และเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวทิตา เคารพรักท่าน ตลอดเวลาที่ผ่านมาท่านเป็นผู้ที่มีเกียรติประวัติดีงาม และปฏิบัติหน้าที่ด้วยความวิริยะอุตสาหะ อุทิศตนเพื่อกระทรวงกลาโหมและประเทศชาติ อีกทั้งยังเป็นผู้ที่มีความจงรักภักดี สนองพระเดชพระคุณรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทตลอดมา ทั้งยังเป็นผู้มีความเมตตากรุณาต่อผู้ใต้บังคับบัญชาสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นต้นแบบอันดีงามให้พวกผมได้ยึดถือและปฏิบัติตาม อานุภาพความดีงามที่ท่านกระทำไว้โปรดดลบันดาลประทานพรให้ท่านและครอบครัวประสบความสุข มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง สมหวังสิ่งปรารถนาตลอดไป"

    "บิ๊กป้อม"ชี้แก้ปัญหายังไม่สำเร็จ

    จากนั้น พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ขอบคุณทุกท่าน ปีใหม่ปีนี้ถือเป็นความหวังของรัฐบาล โดยเฉพาะนายกฯ ที่พวกเราทุกคนจะต้องร่วมกันทำงานให้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่คนไทยทุกคนหวัง ให้ประเทศไทยเดินต่อไปได้ นายกฯเสียสละตนเองมาตั้งแต่วันควบคุมอำนาจ ก็ได้พวกท่านทุกคนที่ร่วมแรงใจกันทำงานให้ประเทศชาติ 

    "ถือเป็นสิ่งที่หายากว่าจะรวมใจกันเช่นนี้ ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติมีความสงบสุข ลดปัญหาความขัดแย้ง ลดความเหลื่อมล้ำทั้งหมด แต่ก็ยังไม่สำเร็จ นายกฯมีความหวังว่าทุกคนต้องช่วยกันทำตลอดปี 2559 และตลอดไปด้วย เพื่อให้ประเทศเรามีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ผมขอขอบคุณที่มาให้กำลังใจ จะทำให้ผมมีความอดทนทำงานให้กับประเทศชาติ และประชาชน ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก โดยเฉพาะพระบารมีอันแผ่ไพศาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ดลบันดาลให้ทุกท่านจงประสบความสุข ความสำเร็จ และมีสุขภาพที่แข็งแรง" พล.อ.ประวิตรกล่าว

    นายกฯขอ"บิ๊กป้อม"อย่าท้อแท้

    จากนั้น เวลา 07.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. พร้อมรัฐมนตรี อาทิ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าอวยพรปีใหม่ พล.อ.ประวิตร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า อวยพรให้ พล.อ.ประวิตรมีสุขภาพแข็งแรง มีกำลังใจทำงาน อย่าท้อแท้ต่อคำต่อว่าของคนที่ไม่เข้าใจ เพราะได้ทำดีที่สุดแล้ว อย่าไปเสียอารมณ์กับเรื่องนี้มากนัก เพราะไม่เกิดประโยชน์

    เมื่อถามว่า นายกฯต้องการกำลังใจอะไรในการทำงานปีหน้าหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ได้กำลังใจอยู่แล้ว มากบ้างน้อยบ้างก็ไม่เป็นไร เป็นกำลังใจที่ให้ทั้งคณะ ขอฝากด้วยว่าประเทศชาติอยู่ในกำมือทุกคน ไม่ใช่ของตนคนเดียว เพราะทั้งหมดคือทีมงาน ที่ต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อประเทศชาติ และประชาชน ถึงจะมีการพัฒนา มีการปฏิรูป สื่อก็ต้องช่วยดูแล สมาคมสื่อก็ต้องรับผิดชอบมากขึ้น ตนไม่ได้ต้องการอะไรกับใครอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าสถานการณ์ขณะนี้ควรจะทำให้บ้านเมืองมีเสถียรภาพได้อย่างไร 

    "บิ๊กตู่"ต้อนรับสมาชิกสภาคองเกรส 

    ที่ทำเนียบรัฐบาล คณะสมาชิกรัฐสภาสหรัฐอเมริกา เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. โดย พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ถือเป็นการต้อนรับสมาชิกสภาคองเกรสคณะแรกในรอบกว่า 1 ปี เป็นนิมิตหมายที่ดี ความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศกำลังเดินหน้าไปอย่างดียิ่ง เฉพาะอย่างยิ่งการส่งเอกอัครราชทูตสหรัฐคนใหม่ ที่มีความรู้ ความสามารถ มาประจำประเทศไทย โดยนายกฯรู้สึกยินดีที่สหรัฐให้ความสำคัญกับอาเซียนและไทย 

    พล.ต.วีรชนกล่าวว่า นายกฯย้ำถึงความมุ่งมั่นและความพยายามของรัฐบาลในการนำประเทศไปสู่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เป้าหมายหลักของรัฐบาลคือการปฏิรูปที่หยั่งรากลึกและเป็นรูปธรรมที่จะนำไปสู่ประชาธิปไตยที่แข็งแรง มีรัฐบาลที่โปร่งใส มีหลักนิติธรรม และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชนไทยทุกคน ทั้งนี้ ผู้แทนคณะสมาชิกรัฐสภาสหรัฐกล่าวว่า จากคณะที่มาเข้าเยี่ยมคารวะครั้งนี้ เป็นการแสดงให้เห็นว่าสหรัฐมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น พร้อมทั้งอวยพรขอให้ประเทศไทยประสบผลสำเร็จในการเดินหน้าสู่ประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน

    วิชาชี้ตีตกคดีสลายแดงไม่ได้ช่วยใคร

    ส่วนกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเป็นเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 เมื่อวันที่ 29 ธันวาคมที่ผ่านมาให้ตีตกคดีกล่าวหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกฯ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกฯและผู้อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กับพวก ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบสั่งใช้กำลังทหารและตำรวจสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี 2553 เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 99 ศพ และบาดเจ็บจำนวนมากนั้น

    นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงคดีดังกล่าว เปิดเผยว่า การที่มองว่า ป.ป.ช.ตีตกเรื่องดังกล่าวเพราะต้องการช่วยเหลือใคร หรือต้องการปัดคดีก่อนที่กรรมการ ป.ป.ช.หลายคนจะพ้นวาระนั้น ถ้าต้องการปัดคดีจริง สู้ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดนี้เลิกทำสำนวนคดี รอให้ชุดใหม่เข้ามาจัดการ จะไม่แนบเนียนกว่าหรือ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร บอกแค่ว่ายังรวบรวมเอกสารหลักฐานไม่เสร็จ เอาตัวรอดได้ง่ายกว่ากันเยอะ ไม่ต้องเป็นขี้ปากใครด้วย และตามคำสอนของพุทธทาสภิกขุว่าการปฏิบัติหน้าที่ ถ้าวันนี้ถูกต้อง ก็ไม่ต้องกลัวพรุ่งนี้ 

    ผู้สื่อข่าวถามว่า นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และ พล.อ.อนุพงษ์ ไม่ต้องมีส่วนรับผิดชอบร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหารที่ใช้อาวุธเลยหรือ นายวิชากล่าวว่า เรื่องนี้ได้ให้เหตุผลในการแถลงข่าวครบถ้วนแล้ว

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่มีมติเรื่องดังกล่าว มีกรรมการบางส่วนกำลังจะพ้นตำแหน่ง โดยมติ 7:0 นั้น ประกอบด้วย นายวิชา มหาคุณ, นายประสาท พงษ์ศิวาภัย, นายภักดี โพธิศิริ, น.ส.สุภา ปิยะจิตติ, นายณรงค์ รัฐอมฤต, นายปรีชา เลิศกมลมาศ และพล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง โดย 3 คนแรก พ้นวาระดำรงตำแหน่งไปแล้ว แต่มีคำสั่ง คสช.ให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่าจะมี ป.ป.ช.ใหม่มาทำหน้าที่แทน

    นปช.แถลงการณ์ค้านมติป.ป.ช.

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางธิดา โตจิราการ โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก ระบุว่า คำแถลงแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ขอคัดค้านมติ ป.ป.ช.ดังกล่าว และยืนยันว่านายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ พล.อ.อนุพงษ์ และพวก ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตนับร้อย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก เป็นผู้ก่อให้มีการฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเล็งเห็นผล สมควรที่จะถูกดำเนินคดีไปจนถึงที่สุด เพื่อพิสูจน์ให้สังคมได้เห็นชัดเจนว่าใครกันแนเป็นผู้สั่งฆ่าประชาชน จะเกิดประโยชน์ยิ่งกว่าการทำให้ข้อกล่าวหาตกไป รังแต่จะทำให้สังคมเคลือบแคลงสงสัยและตั้งข้อกล่าวหากับ ป.ป.ช. ว่าปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับกรณีข้อกล่าวหาที่มีต่อนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ และพวกกรณี 7 ตุลาคม 2551 

    ยันป.ป.ช.อ้างเกินคำพิพากษาศาล

    แถลงการณ์ระบุว่า การอ้างคำพิพากษาศาลว่าการชุมนุมของ นปช. มิใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ ตามคำพิพากษาศาลแพ่งเป็นการอ้างอิงที่ไม่ตรงกับเนื้อความในคำพิพากษาศาล แต่ตีความเองและเกินเลยกว่าคำพิพากษาศาล อีกทั้งคดีนี้ ศาลมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2553 ขณะที่การชุมนุมและการบาดเจ็บล้มตายยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ป.ป.ช.จึงนำคำพิพากษาของศาลแพ่งดังกล่าวมากล่าวอ้างโดยไม่ถูกต้อง เป็นการเกินเลยไปกว่าเนื้อหาของคำพิพากษาของศาลและไม่ครอบคลุมสถานที่วันเวลา ที่ยาวนานจนถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553

    แถลงการณ์ระบุว่า ข้อความในคำพิพากษาของศาลระบุไว้ว่า การเสียชีวิตเบื้องต้นวันที่ 10 เมษายน 2553 ยังไม่ทราบว่าเป็นการกระทำของฝ่ายใด แม้จะยกคำร้องคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว แต่ศาลแพ่งก็เตือนจำเลย คือนายอภิสิทธิ์กับพวก ในการสลายการชุมนุมให้ดำเนินการเท่าที่จำเป็น ตามความเหมาะสม มีขั้นตอนตามหลักสากล จนกว่าจะมีคำพิพากษาอย่างอื่น แต่กลายเป็นว่า ป.ป.ช.มีมติเลยเถิดว่าการชุมนุมของ นปช.มิใช่การชุมนุมโดยสงบ และมีบุคคลที่มีอาวุธปะปนอยู่ในที่ชุมนุม ซึ่งไม่เป็นความจริง

    ชี้วารสารทบ.ยันทหารรบในเมือง

    แถลงการณ์ระบุว่า การอ้างว่า ศอฉ. มิได้ใช้กำลังผลักดันผู้ชุมนุม แต่ตั้งด่านตรวจหรือจุดสกัด ปิดล้อมภายนอกไว้โดยรอบเพื่อให้ผู้ชุมนุมยุติไปเอง ในความเป็นจริงนั้น มีการสั่งการให้ใช้อาวุธสงคราม ในลักษณะพลซุ่มยิง มีหลักฐานเป็นภาพถ่ายและคลิปวิดีโอจำนวนมาก ส่งผลให้ประชาชนถูกยิงที่ศีรษะ เสียชีวิตจำนวนมาก นับแต่วันที่ 10 เมษายนถึงวันที่ 19 พฤษภาคม โดยเฉพาะวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ยังมีการเล็งยิงประชาชน 6 ศพ ในวัดปทุมวนารามจากบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส จนมีคำสั่งของศาลระบุชัดเจนว่า 6 ศพ ในวัดปทุมฯเป็นการตายจากการยิงของทหารบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส ไม่มีการต่อสู้ของชายชุดดำ และอาวุธที่ ศอฉ.อ้างว่าเป็นของ นปช. หรือคนในวัดปทุมฯก็ไม่สามารถเชื่อถือได้ ผู้ตายไม่มีเขม่าดินปืน 

    แถลงการณ์ยังระบุว่า วารสารของกองทัพบก

    (เสนาธิปัตย์อันเป็นวารสารทางการของกรมยุทธศึกษากองทัพบก ในฉบับที่ 3 ประจำปีที่ 59 กันยายน-ธันวาคม 2553) เองยืนยันในข้อนี้ว่า "ยุทธการกระชับวงล้อมเมื่อ 19 พฤษภาคม 2553 เป็นการปฏิบัติทางทหารเต็มรูปแบบ...คือการกระชับวงล้อมด้วยกระสุนจริง จากกำลังหน่วยรบหลักของเหล่าทหารราบ เหล่าทหารม้า

    และหน่วยส่งกำลังทางอากาศอย่างเช่น ร.31รอ. ในภารกิจปฏิบัติการพิเศษ อาจเรียกได้ว่า เป็นการรบในเมืองที่ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารเต็มอัตราศึก ทั้งกำลัง อาวุธประจำกายที่ทันสมัย ชุดสไนเปอร์ หน่วยยานเกราะ ซึ่งการปรับกำลังและการเปลี่ยนแปลงทางยุทธวิธีที่สำคัญครั้งนี้ก็เป็นผลสะท้อนจากบทเรียนเมื่อ 10 เมษายน 2553 นั่นเอง"

    "การปฏิบัติการทางยุทธวิธีที่ใช้เวลาทำงาน 9 ชั่วโมง (เวลา 03.30 น.-13.30 น.) ถือว่าเป็นบทเรียนที่สำคัญยิ่งทางยุทธวิธีของการรบในเมือง ที่สมควรได้มีการบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของการรบในเมือง ดังนั้น จึงไม่ใช่เป็นเพียงแค่การตั้งด่านให้ยุติการชุมนุมตามมติของ ป.ป.ช." แถลงการณ์ระบุ

    ชี้"มาร์ค"ไม่รีบสั่งหยุดสลายชุมนุม

    แถลงการณ์ระบุว่า แม้มีรายงานการบาดเจ็บล้มตายตั้งแต่กลางวัน และเวลาที่ล่วงเลยมาจนถึงกลางคืน นายอภิสิทธิ์กับพวกก็มิได้รีบสั่งให้ยกเลิกปฏิบัติการในทันที การขอคืนพื้นที่ในวันที่ 10 เมษายน 2553 ก็มิได้มีการกำหนดให้มีเวลายกเลิกการปฏิบัติการแต่อย่างใด นายอภิสิทธิ์กับพวก ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะยังดื้อรั้นปฏิบัติการสังหารประชาชนต่อเนื่องต่อไป 

    แถลงการณ์ระบุว่า มติ ป.ป.ช.ที่ยกข้อกล่าวหานายอภิสิทธิ์กับพวก เป็นมติที่ชอบหรือไม่ สังคมไทยต้องการความชัดเจน และใช้มาตรฐานเดียวกัน การตาย 2 ศพ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 เพื่อขัดขวางไม่ให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อเปรียบเทียบกับการตายร่วม 100 ศพ บาดเจ็บกว่า 2,000 คน จากการดำเนินการของนายอภิสิทธิ์กับพวก จะเห็นการเอนเอียงเข้าข้างพวกเดียวกันอย่างชัดเจน เหตุใดมติ ป.ป.ช. ต่อ 2 กรณีนี้ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง 

    "นปช.ขอยืนยันไม่เห็นด้วยกับมติ ป.ป.ช. การนำเอาผู้ที่สั่งฆ่าประชาชนมาดำเนินคดีนั้น ยังไม่สิ้นสุดที่ชั้น ป.ป.ช. ขณะนี้อัยการสูงสุดและครอบครัวผู้เสียชีวิตยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยว่าไม่ได้อยู่ในเขตอำนาจศาลอาญา และต้องไปยื่นเรื่องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เราจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าศาลชั้นสูงจะได้อำนวยความยุติธรรมให้กับประเทศและประชาชน" แถลงการณ์ระบุ

    "ธิดา"ซัดมติ"ป.ป.ช."อัปยศ

    ต่อมานางธิดาให้สัมภาษณ์ว่า หลังวันที่ 10 เมษายน 2553 จนถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 คุณเอาระยะเวลากับหลักการ คำวินิจฉัยของศาลแพ่งมันครอบคลุมที่ไหน แล้วเนื้อหาของคำวินิจฉัยศาลแพ่งเขาไม่ได้พูดแบบที่ ป.ป.ช.พูด ว่าการชุมนุมของเราไม่สงบตามศาลแพ่งบอก ซึ่งไม่เป็นความจริง ศาลไม่ได้บอกเลยว่าเป็นการชุมนุมที่มีอาวุธและเป็นการชุมนุมที่ไม่สงบ เพราะฉะนั้นทั้งเนื้อหาและการครอบคลุมตามเวลา ไม่ได้เป็นไปตามที่ ป.ป.ช.อ้างเลย 

    "นอกจากนั้นยังใส่ความว่าเราเป็นการชุมนุมไม่สงบ มีกองกำลังติดอาวุธปะปน เป็นการเขียนโดยที่ไม่มีหลักฐานอ้างอิง แล้วไปรับรองการกระทำของฝั่งประชาธิปปัตย์ว่าทำเหมาะสม

    คิดว่ามันทำเกินเหตุไปนะ การใช้คนซุ่มยิงจากที่ต่างๆ มันเป็นไปตามหลักสากลหรือ นปช.ชุมนุมโปร่งใส ฝ่ายข่าว ฝ่ายสันติบาลสามารถเดินไปได้ทุกที่หมด ไม่มีการปิดบังซ่อนเร้น เพราะฉะนั้นการกล่าวหาจึงเป็นข้อเท็จโดยสิ้นเชิง ที่สำคัญคำวินิจฉัยของศาลบอกว่าไม่มีการต่อสู้จากฝ่ายประชาชน ทั้งหมดนี้เป็นการบ่งชี้ถึงความน่าเสียใจ เป็นเรื่องน่าอัปยศที่ ป.ป.ช.ยังรักษาความไม่เป็นมาตรฐานแบบนี้" นางธิดากล่าว

    นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ทำไมไม่รอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหม่พิจารณาเรื่องนี้ เพราะจะรอบคอบและไต่สวนกรณีนี้ได้อย่างเต็มที่ 

    "เต้น"ยันต้องมีคนรับผิดชอบฆ่าปชช.

    นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาฯนปช. กล่าวว่า ไม่ผิดความคาดหมายที่ ป.ป.ช.มีมติยกคำร้อง แต่นึกไม่ถึงว่าการแถลงข่าวของ ป.ป.ช.จะมีเนื้อหาตรงกับคำอธิบายของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ขนาดนี้ ทั้งๆ ที่กรณีดังกล่าวแตกต่างอย่างยิ่งกับคดีที่ ป.ป.ช.ยื่นฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯกับพวก จากเหตุการณ์ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อปี 2551 ซึ่งตำรวจใช้เพียงแก๊สน้ำตา ตามหลักสากลเพื่อให้นายสมชายแถลงนโยบายในตอนเช้า ส่วนการเสียชีวิตเกิดขึ้นช่วงค่ำ และไม่ได้มีสาเหตุจากการใช้แก๊สน้ำตาต่อมาอัยการสั่งไม่ฟ้อง ผ่านไปเกือบ 3 ปี ป.ป.ช.ก็หยิบมาฟ้องเอง ขณะที่กรณีปี 2553 ใช้กำลังทหาร รถถัง อาวุธสงคราม ซุ่มยิงจากตึกสูง และประกาศเขตกระสุนจริง ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักสากล 

    นายณัฐวุฒิกล่าวว่า การอ้างว่าต้องดำเนินการกับกองกำลังติดอาวุธ ก็ไม่ปรากฏว่าผู้เสียชีวิตทั้ง 99 รายมีอาวุธหรือคราบเขม่าดินปืน แม้ ป.ป.ช.จะไม่เห็นหัวประชาชนที่มาชุมนุม ก็ควรเห็นหัวคนที่ถูกยิงบ้าง ประเทศที่มีคนมือเปล่าถูกยิงตายกลางเมืองหลวงนับ 100 ศพ แต่ไม่มีช่องทางแม้แต่จะเรียกร้องความยุติธรรม จะไปมองหน้าชาวโลกได้อย่างไร

    "ในหลายประเทศมีการพิจารณาคดีสังหารประชาชนหลังเหตุการณ์ผ่านไปแล้วหลายปี วันหนึ่งประเทศไทยก็ต้องมีคนรับผิดชอบเรื่องนี้ หลายฝ่ายบอกว่าการสร้างความปรองดองต้องการคำว่าให้อภัย แต่คำถามวันนี้คือจะสามัคคีกันอย่างไรในเมื่อคนฝ่ายหนึ่งถูกทำให้ไร้ศักดิ์ศรีทั้งขณะมีชีวิตและไร้ลมหายใจ ขอให้คนที่รับไม่ได้กับเรื่องนี้อดทน อย่าให้ความเจ็บปวดมีอิทธิพลเหนือสติปัญญา วันหนึ่งความจริงต้องปรากฏ เหมือนกรณีนายอภิสิทธิ์หนีเกณฑ์ทหารและใช้เอกสารหลักฐานปลอมสมัครเข้ารับราชการ ซึ่งพิสูจน์ทราบกันในศาลหลังผ่านไปกว่า 20 ปี ผมมั่นใจว่าคดีสลายการชุมนุมปี 2553 จะไม่นานขนาดนั้น" นายณัฐวุฒิกล่าว

    ญาติ99ศพชี้มติปปช.ไม่เกินคาด

    ขณะที่ นายณัทพัช อัคฮาด น้องชายของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด หรือน้องเกด พยาบาลอาสาที่ถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม เมื่อวันที่ 19 พฤษภา8ม 2553 กล่าวว่า มติของ ป.ป.ช. ไม่เกินความคาดหมาย อยากให้ลองเทียบบรรทัดฐานกับกรณีเหตุวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ สั่งสลายกลุ่มพันธมิตร มีการตาย 2 ศพ ป.ป.ช.มีมติส่งฟ้องคนที่เกี่ยวข้องรวมถึงอดีตนายกฯด้วย แต่การสลายการชุมนุมปี 2553 หนักกว่าด้วยซ้ำ มีการตายมากกว่าหลายเท่าแล้ว ป.ป.ช. ก็มีมติออกมาอย่างนี้ ดูไม่ค่อยแฟร์เท่าไร ดูเหมือนว่าชีวิตประชาชนไม่มีความสำคัญกับพวกเขาเลย ทางเครือข่ายของญาติ 99 ศพ ไม่มีใครเห็นด้วยกับมติ ป.ป.ช. 

    นายณัทพัชกล่าวว่า ส่วนคดีที่ดำเนินการเองนั้น ตอนนี้ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วในคดี 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม คือการตายเกิดจากการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่บนรางรถไฟฟ้า ตามคำสั่งของ ศอฉ. แต่ ปป.ช.บอกว่าไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน ทั้งๆ ที่ศาลสั่งออกมาแล้ว คิดว่าก่อนครบรอบ 6 ปีของเหตุการณ์ดังกล่าว จะคุยอีกทีว่าเราจะดำเนินการอย่างไร

    มาร์คขอบคุณป.ป.ช.ที่เข้าใจ

    นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า ที่ ป.ป.ช.มีมติตีตกคดีสลายการชุมนุม นปช.นั้น ขอยืนยันว่าตนพร้อมนายสุเทพและ พล.อ.อนุพงษ์ ปฏิบัติหน้าที่เพื่อต้องการให้บ้านเมืองสงบสุข ในสถานการณ์ขณะนั้นเป็นเรื่องยากที่จะทำให้บ้านเมืองสงบสุข อย่างไรก็ตามขอขอบคุณ ป.ป.ช.ที่เข้าใจสถานการณ์บ้านเมือง และการทำงานของรัฐบาลตนในขณะนั้นเป็นอย่างดี

    นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ส่วนที่ศาลแพ่งยกฟ้องคดีที่ฟ้อง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ให้ปลดออกจากราชการ ว่ายังไม่ได้อ่านรายละเอียดคำพิพากษาทั้งหมด ขอดูรายละเอียดก่อน คงต้องยื่นอุทธรณ์ต่อศาลต่อไป 

    "ดีเอสไอ"รอสำนวนคดีสลายแดง

    พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงกรณี ป.ป.ช.ให้ดีเอสไอสอบสวนเจ้าหน้าที่ทหาร และผู้บังคับบัญชาในพื้นที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตและบาดเจ็บเพื่อหาตัวผู้กระทำผิดกรณีที่ทำให้มีการตายเกิดขึ้น ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมของ นปช. เมื่อปี 2553 ว่า ป.ป.ช.ยังไม่ได้ส่งสำนวนมาให้ดีเอสไอ หากส่งมาแล้วจะเรียกประชุมคณะทำงานในคดีดังกล่าว ที่แต่งตั้งโดยนายกฯ ประกอบด้วย 3 ฝ่ายคือ ดีเอสไอ ตำรวจ และอัยการ มาร่วมประชุมเพื่อพิจารณาสำนวน โดยจะพิจารณาว่ามีหลักฐานใหม่มากหรือน้อยแค่ไหน หรือมีสิ่งใดบ่งบอกได้ว่าใครเป็นผู้กระทำให้เกิดการเสียชีวิต 

    รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับคดีที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง เมื่อปี 2552 ต่อเนื่องถึงปี 2553 ที่อยู่ระหว่างการสอบสวนของดีเอสไอมี 7 คดี คือ คดีพิเศษที่ 1137/53, 353/53, 116/58, 117/58, 119/58, 120/58 และ 1148/58 ซึ่งเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับใช้อาวุธปืนเอ็ม 79 ยิงในสถานที่ต่างๆ คดีพยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ และคดีที่เกี่ยวการได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตของประชาชน

    สปท.ชงคสช.เลือกตั้งอปท.นำร่อง

    นายวันชัย สอนศิริ โฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) กล่าวว่า หลังปีใหม่ สปท.การเมืองจะประชุมเพื่อวางแนวทางการเลือกตั้งสุจริตและเที่ยงธรรม เบื้องต้นจะเสนอ คสช.ขอให้มีการเลือกตั้งองค์กรปกครองท้องถิ่น (อปท.) อาทิ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และเทศกาล เฉพาะในพื้นที่ปริมณฑลก่อน เพื่อนำร่องทดลองแนวทางการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรม โดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง มาควบคุมการเลือกตั้งอย่างเต็มที่ เพื่อแก้ปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียงให้เห็นผลเป็นรูปธรรม

    นายวันชัยกล่าวว่า ที่ สปท.การเมืองเสนอให้นำร่องเลือกตั้ง อปท.ในปริมณฑล เพื่อพิสูจน์ว่ากระบวนการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรมจะมีความเป็นไปได้หรือไม่ และเกรงว่าถ้าปล่อยให้รักษาการในตำแหน่งผู้บริหาร อปท.ไปเรื่อยๆ จะยิ่งเกิดการผูกขาด ถ้าการนำร่องในพื้นที่ปริมณฑลประสบความสำเร็จจะขยายผลไปยังการเลือกตั้งทุกระดับทั่วประเทศต่อไป 

    เผย"ปู"ขอเพิ่มพยานคดีข้าว18ปาก 

    จากกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช.ระบุระหว่างการแถลงผลการดำเนินงานรัฐบาล 1 ปี เมื่อวันที่ 25 ธันวาคมที่ผ่านมาว่า จะไม่ขยายเวลาให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ขอเพิ่มพยานในคดีโครงการรับจำนำข้าวอีก หลังคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ขยายเวลามาแล้ว 3 ครั้ง โดยสิ้นสุดวันที่ 30 ธันวาคม 2558 นั้น 

    แหล่งข่าวใกล้ชิด น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม น.ส.ยิ่งลักษณ์ทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ 1 ฉบับและส่งถึงนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายจิรชัย มูลทองโร่ย ประธานกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด อีก 1 ฉบับเพื่อขอเพิ่มพยานเข้าให้ถ้อยคำ โดยระบุว่าด้วยขบวนการสอบสวนที่ถูกต้องและการขอระบุพยานเพิ่มเติมตามหลักเกณฑ์ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติของผู้รับผิดชอบทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ข้อ 14 และข้อ 15 จึงเรียนประธานกรรมการสอบข้อเท็จจริงฯพิจารณา โดยขอเพิ่มให้ถ้อยคำพยาน 18 ปาก

     

    apm

     

     

    Facebook

    5 ข่าวฮอตนิวส์!