- Details
- Category: การเมือง
- Published: Wednesday, 09 December 2015 10:46
- Hits: 2906
หัวคิวเรื่องเอกชน'โด่ง'ปัด รับโดนกดดันหนัก 'บิ๊กตู่'แจงมีคนรอทำร้าย เหตุสกัดนศ.ไปราชภักดิ์'ตู่-เต้น'พบบิ๊กต๊อกวันนี้ จ่านิวถูกจนท.เบรกแถลง
'บิ๊กตู่' แจงสกัดน.ศ.ไปอุทยาน ราชภักดิ์ เพราะมีคนรอทำร้ายเลยไม่อยากให้ได้รับอันตราย'บิ๊กโด่ง'ยังไม่ตอบจะลาออกหรือไม่ออก ปัดหัวคิวเป็นเรื่องของเอกชน ตู่-เต้นเข้าพบ 'บิ๊กต๊อก'ตามนัดวันนี้มอบหลักฐานที่ มีอยู่ ตำรวจขวาง'จ่านิว'นำกลุ่มน.ศ.แถลง ที่ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ให้เพียงสัมภาษณ์สื่อเล็กน้อย อดีตส.ส.ปชป.'วิลาศ' ชี้นายกฯต้องรีบตัดเนื้อร้ายทิ้ง เพราะสถาน การณ์เหมือนมะเร็งร้ายที่ลุกลามมากขึ้น'วีระ สมความคิด'ก็ยื่นป.ป.ช.สะสางให้กระจ่าง 'เรืองไกร'จี้สตง.เรียกเงิน 43 ล้านคืนจากกองทัพบก ฐานเข้าข่ายนำเงินไปใช้ผิดระเบียบ
วันที่ 09 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 25 ฉบับที่ 9142 ข่าวสดรายวัน
ห้ามแถลง - ตร.เข้าเจรจากับนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ น.ศ.กลุ่มประชาธิปไตยศึกษา ให้ยุติการแถลงข่าวกรณีโครงการราชภักดิ์ จนเกิดชุลมุนเล็กน้อย ก่อนยอมอนุญาตแค่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเท่านั้น ที่มธ.ท่าพระจันทร์ เมื่อ 8 ธ.ค.'[
'บิ๊กตู่'ทุเรศผังเปิดปมทุจริตราชภักดิ์
เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 8 ธ.ค.ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. เดินขึ้นตึกบัญชาการ ได้ตอบข้อซักถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียดกรณีแผนผังเปิดปมทุจริตอุทยานราชภักดิ์ จัดทำโดยกลุ่มประชา ธิปไตยใหม่ ว่า "ทุเรศ เชื่อเขาก็ตามใจ ขยายกันอยู่ได้ ไปขยายให้คนเลวๆ กันอยู่ได้ เห็นแล้ว เดี๋ยวให้พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกฯแถลงข่าว" จากนั้นนายกฯเดินขึ้นตึกบัญชาการทันที
'บิ๊กต๊อก'เตรียมนัดตู่-เต้น
ด้านพล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการตรวจสอบโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช. และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการนปช. ตอบรับที่จะให้ข้อมูลการทุจริตโครงการดังกล่าวแล้ว ซึ่งต้องขอบคุณทั้ง 2 คน จากนี้จะดูกำหนดเวลาเพื่อนัดหมายการให้ข้อมูล ทั้งนี้ตนประสานสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.) ให้เตรียมรับข้อมูลจากทั้ง 2 คนแล้ว ถือเป็นเรื่องดีที่ประชาชนสามารถร้องเรียนเข้ามาทางหน่วยงานของรัฐ เราจะทำให้ดีที่สุด
'บิ๊กโด่ง'ไม่พูดเรื่องออก-ไม่ออก
ขณะที่พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และอดีตผบ.ทบ. ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อสังคมต้องการทราบถึงเรื่องดังกล่าว ตนยังมั่นใจคณะกรรมการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ที่ดำเนินการเมื่อปีที่ผ่านมาสามารถชี้แจงได้ มั่นใจในความสุจริต ไม่น่าเป็นอะไร ขอให้รอผลสอบจากคณะกรรมการชุดต่างๆ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ตนอยากพูด คือประเด็นเรื่องโรงหล่อ อยากบอกว่าไม่เคยรองรับคำที่ใช้กันในเรื่องนั้น เพราะเป็นเรื่องของเอกชนที่ดำเนินการกัน และเมื่อคณะกรรมการจัดสร้าง ได้ทำข้อตกลงกับโรงหล่อแล้วก็เป็นไปตามนั้น ส่วนเรื่องที่โรงหล่อจะคุยกับภาคเอกชนอื่น ไม่ใช่หน้าที่ของคณะกรรมการดำเนินงานที่จะเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะเราตกลงกันแล้ว แต่เมื่อเราทราบว่ามีการดำเนินการที่อาจจะไม่เหมาะสม ทางคณะกรรมการก็เข้าไปพูดคุยให้เกิดในลักษณะที่เป็นบุญกุศล อันนี้เป็นประเด็นหลักที่อาจไม่เข้าใจและทำให้ถูกมองไปในทางไม่สุจริต แต่ยืนยันทุกอย่างดำเนินการในทางที่สุจริต และน่าจะเป็นเรื่องที่คณะกรรมการก่อสร้างน่าจะได้รับคำชมเชยเสียด้วยซ้ำ เพราะเป็นเรื่องที่เอกชนไปตกลงกันเอง และอาจไม่เหมาะสม คณะกรรมการจึงเข้าไปดูแลนอกหน้าที่ ให้เกิดความเหมาะสม และขอขอบคุณสื่อหลายสำนักที่เสนอข่าวให้โอกาส และให้ความเป็นธรรมสำหรับคนที่ตั้งใจทำงาน และคนที่ตั้งใจทำงานจะได้มีโอกาสทำงานได้ดี เป็นประโยชน์ของประเทศ" พล.อ.อุดมเดชกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าเมื่อพบการกระทำที่อาจไม่เหมาะสมระหว่างโรงหล่อกับเซียนพระ ทำไมทางทหารไม่เข้าไปดำเนินการ พล.อ.อุดมเดชกล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องของทางทหาร เมื่อคณะกรรมการตกลงในรายละเอียดแล้วคงจะไปหาคำปรึกษาจากที่ใดก็เป็นเรื่องระหว่างเอกชน ซึ่งเหมือนที่ตนยืนยันแต่แรกว่ามีความจริงอยู่ส่วนหนึ่ง คือโรงหล่อกับเอกชนเป็นความสมัครใจที่เขาคุยกันเอง เมื่อมีอะไรที่อาจไม่เหมาะสมเราเข้าไปช่วยดูแล เมื่อทุกคนเข้าใจกลายเป็นสิ่งที่เกิดความศรัทธา เป็นเรื่องของบุญกุศล ขอให้เข้าใจในขั้นต้น
เมื่อถามว่าแรงกดดันที่ขอให้ลาออกยังเข้ามาไม่เลิกรารู้สึกอย่างไรบ้าง พล.อ.อุดมเดชกล่าวว่า ตนไม่ขอกล่าวอะไร แต่ทุกคนเป็นมนุษย์ปุถุชน เมื่อมีอะไรเข้ามาต้องคิดบ้างพอสมควร แต่ขณะนี้ต้องรอผลการตรวจสอบต่างๆ ตนมั่นใจว่าคณะกรรมการจัดสร้าง อุทยานราชภักดิ์สามารถชี้แจงได้อยู่แล้ว และเชื่อว่าประชาชนที่บริจาคเงินเข้ามามีความมั่นใจในการจัดสร้างว่าเงินที่บริจาคมาได้นำไปใช้อย่างเต็มที่ ส่วนหนึ่งทำให้เห็นไปแล้ว และที่ตามมาภายหลังคณะกรรมการที่รับช่วงต่อก็จะดำเนินการต่อไป ทั้งนี้อยากให้ลองคิดดู ถ้าหลังจากตนปลดเกษียณราชการแล้วไม่สามารถเปิดอุทยานราชภักดิ์ได้ กระแสจะโถมทับเข้ามา ดังนั้นในช่วงที่ตนดำเนินการอยู่จึงพยายามทำอย่างเต็มที่ คนที่บริจาคก็จะสบายใจ
ไม่ให้น.ศ.ไปเพราะมีคนรอทำร้าย
ต่อมาเวลา 14.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ นายกฯและหัวหน้าคสช. แถลงภายหลังประชุมครม. ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ถึงกรณีเจ้าหน้าที่ขัดขวางและควบคุมนายสิริวิชญ์ เสรีวิวัฒน์ หรือจ่านิว และกลุ่มประชาธิปไตยศึกษา และแกนนำนักศึกษากลุ่มต่างๆ ที่จะเดินทางไปยังอุทยาน ราชภักดิ์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ว่า รู้กันหรือไม่ว่าทำไมถึงห้ามไม่ให้ไปที่อุทยานราชภักดิ์ เพราะมีคนรอตีอยู่ ถ้าปล่อยให้ไปแล้วให้เขาโดนทำร้าย ตาย เจ็บมา รัฐบาลก็โดนอีก ตนถึงบอกว่าทำไมต้องไปขยายความขัดแย้ง ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าทุกวันนี้เราอยู่ในสถานะอะไร และรัฐบาลอยู่ระหว่างทำหน้าที่ในฐานะรัฏฐาธิปัตย์ ความหมายของตนคือนำทุกอย่างเข้าสู่กระบวน การยุติธรรม ที่ผ่านมาอยากถามว่าเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหรือไม่ มันอยู่ระหว่างการตรวจสอบ เดี๋ยว สนช. ป.ป.ช. ก็ดูและสอบ ตนไม่ได้ไปห้าม แล้วทำไมต้องไปขยายความ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้สื่อต้องทำหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ไม่ใช่อะไรก็โหมกันไปโหมกันมา จนวันนี้ประชาชนในพื้นที่เอากันอีกแล้ว รังเกียจไอ้พวกนี้ ถ้าไปเมื่อไหร่กูจะตีเมื่อนั้น จะฆ่ากันอยู่แล้ว สื่อก็ยังเขียนกันอยู่อีก อยากจะไปก็ไป รับผิดชอบตัวเองแล้วกัน ตำรวจเขาก็ดูไม่ไหว ในเมื่อฝืนกฎหมายต้องรับผิดชอบกันเองบ้าง ใครผิด ใครถูก ทั้งคนทำและคนถูกกระทำ ติดคุกทั้งคู่อยู่แล้ว ตนจึงไม่อยากให้เกิด พยายามทำทุกอย่างเพื่อลดเหตุการณ์ตรงนี้ ทุกอย่างก็อยู่ในกระบวนการยุติธรรมแล้ว จะไม่ไว้ใจหรือ ทำนิสัยเป็นพวกคนอีกพวกอยู่ได้ มันเคยรับอะไรหรือไม่ ขุดคุ้ยอยู่ทุกวัน จนอารมณ์เสียอยู่อย่างนี้ แล้วบอกว่ารัฐบาลต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพราะเรื่องนี้จะเป็นสนิมเนื้อใน อยากถามว่าหนึ่งในกี่หมื่นเรื่องที่มันมีกรณีเช่นนี้ของรัฐบาล เรื่องดีๆ มีตั้งกี่เรื่อง ไปเทียบดูแล้วกัน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ทุกคนต้องตั้งหลักให้ถูกว่า ประเทศควรจะเดินต่อไปอย่างไร จะคบกับใครอย่างไร ใครดีกับเรา เราก็ดีด้วย ใครไม่ดีกับเรา เรายังต้องดีด้วยเลย เพราะอยู่ในโลกคนเดียวไม่ได้ ถ้าพวกท่านยิ่งทำอย่างนี้ตนไม่ต้องไปปิดอะไร เขาปิดให้พวกท่านกันหมด โดยเฉพาะเรื่องค้าขายแล้วจะอยู่กันอย่างไร มาโทษตนอีกสิ ต้องคิดใหม่กันเสียบ้าง มันจะได้ไปได้กันเสียที
'บิ๊กป้อม'ไม่ต้องการให้เผชิญหน้า
ส่วนพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกฯและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าปล่อยให้ไปแล้วเกิดไปตีกันกับอีกกลุ่มรออยู่ที่อุทยานราชภักดิ์ จะทำอย่างไร ใครจะรับผิดชอบ ขนาดในสนามฟุตบอลยังห้ามกันไม่ได้ แต่ตอนนี้มีสองฝ่ายถามว่าอย่างนี้จะห้ามได้อย่างไร จะให้ทำอย่างไร ถ้าต่อสู้กันในทางความคิดทางเฟซบุ๊กว่ากันไป ไม่ใช่ไปเผชิญหน้ากันอย่างนี้ ตอนนี้คงต้องบอกให้อยู่เฉยๆ ก่อนเพราะอยู่ระหว่างตรวจสอบขอให้เวลา เจ้าหน้าที่ทำงานก่อน เมื่อชัดเจนอย่างไรจะออกมาแถลงให้ทราบต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลายฝ่ายมองว่าการสกัดกั้น จะยิ่งถูกเพ่งเล็งประเด็นเรื่องของความโปร่งใส พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า "ผมรับไม่ได้และบอกก่อนแล้วว่าไปแล้วไปตีกันเป็นอะไรไปใครจะรับผิดชอบ จะเอาไฟฉายไปส่องหาคนผิดหรือ ไปทำอะไร อย่างนี้แค่ไปแสดงสัญลักษณ์เฉยๆ แต่คนที่รักสถานที่ที่ก่อสร้างด้วยเงินที่เขาบริจาคมา เขาก็หวงแหน ขอให้เอาความคิดมาสู้กัน ไม่ใช่ตีกัน เดี๋ยวจะไม่ได้เลือกตั้งนะ เพราะความขัดแย้งขยายไปเรื่อยๆ แล้วใครรับผิดชอบ สื่อต้องไปถามนักศึกษาว่าถ้าไปแล้วเป็นอะไรจะทำอย่างไร"
ส่วนที่เอกอัครราชทูตอังกฤษ ทวีตข้อความแสดงความคิดเห็นเรื่องดังกล่าว เปรียบเทียบกับบางกลุ่มที่นำมวลชนไปเคลื่อนไหวหน้าสถานทูตสหรัฐ โดยระบุทำนองว่าคิดว่ารัฐบาลเปิดเสรีภาพในการเคลื่อนไหวแล้ว รองนายกฯกล่าวว่า เรื่องนี้กระทรวงการต่างประเทศจะชี้แจงเอง อย่าไปคิดเอง และอย่ามาถามตน ซึ่งกลุ่มที่ไปสถานทูตสหรัฐ เราไม่ได้ให้ไปและบอกให้กลับออกมา โดยมีกำลังเจ้าหน้าที่ดูแลความเรียบร้อย เช่นเดียวกับกลุ่มนักศึกษาที่แสดงต่างๆ นั้น เราก็ใช้กำลังไปดูแลเหมือนกันหมด ยืนยันไม่มีสองมาตรฐาน ตอนนี้ให้อยู่เฉยๆ ปล่อยให้รัฐบาลทำงาน ตอนนี้ต้องสงบอย่าให้มีความขัดแย้งที่จะนำไปสู่การเสียเลือดเนื้อ
เมื่อถามว่าพล.อ.อุดมเดช รมช.กลาโหม ระบุการเรียกหักหัวคิวเป็นเรื่องระหว่างเอกชน กับเอกชน ไม่เกี่ยวกับกองทัพ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ต้องถามคณะกรรมการตรวจสอบ ตนก้าวล่วงไม่ได้เพราะไม่รู้ เชื่อว่ากรรมการจะเรียกมาให้ชี้แจงข้อมูลเอง ขณะนี้ยังไม่ได้รายงานความคืบหน้ามาเพราะยังสอบไม่หมด ส่วนที่มีข่าวว่าพล.อ.อุดมเดชรับว่าคิดเรื่องลาออกจากตำแหน่ง รองนายกฯกล่าวว่า ไม่ทราบ
ลั่นดำเนินคดีคนทำผังใส่ร้าย
ต่อข้อถามถึงการตรวจสอบแผนผังเปิดปม ทุจริตราชภักดิ์ โดยเชื่อมโยงถึงนายกฯและรมต.บางส่วน พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า "ผมกำลังให้ตรวจสอบเรื่องนี้อยู่แล้ว ผังที่ออกมามีรูปผมด้วย ขอให้ไปถามคนที่เขียนว่าไม่มีอะไรทำหรือ ผมไปเกี่ยวอะไรกับราชภักดิ์ ผมจะให้เขาจับให้ได้ และที่ผ่านมาก็จับได้ทุกที ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมจะจับ บ้าหรือเปล่าไปเขียนถึงนายกฯลูกเมียของเขา คนพวกนี้ประหลาดไม่มีอะไรทำ ไปคิดเองแล้วทำให้เสียหาย สื่อถามมาผมจะได้แก้ ตัวบ้าง แล้วถ้าจับได้จะแจ้งข้อหาหมิ่นประมาท โดยให้หน่วยงานไปฟ้อง และประเด็นนี้ถือว่าเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ คนที่ทำขอให้เตรียมตัวไว้เลย จุดประสงค์ของคนพวกนี้ต้องการลดความเชื่อมั่น พอเห็นรัฐบาลสร้างความเชื่อมั่นมากขึ้นก็เขียนอย่างนั้นอย่างนี้ ไปนั่งเทียนเขียนหากจับได้เล่นงานหมด"
น.ศ.โดนเบรกแถลงข่าว
เมื่อเวลา 14.00 น.ที่ลานประติมากรรม 6 ตุลา หน้าหอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กลุ่มประชาธิปไตยศึกษา จัดแถลงกรณีจับกุมนักศึกษาและประชาชนที่เดินทางไปอุทยานราชภักดิ์โดยรถไฟเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. แต่พ.ต.อ.อรรถวิทย์ สายสืบ รองผบก.น. 1 ระบุว่าไม่ได้ขอใช้สถานที่ การแถลงข่าวจึงจะเกิดขึ้นไม่ได้ ต่อมาน.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว สมาชิกขบวนการประชาธิปไตยใหม่ เดินทางมาถึงก่อนเวลาแถลงข่าว เจ้าหน้าที่ขอพูดคุย กับน.ส.ชลธิชาเป็นการส่วนตัว โดยตั้งแถวกันสื่อมวลชนและประชาชนออกจากบริเวณ
ต่อมานายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว นักศึกษาธรรมศาสตร์กลุ่มประชาธิปไตยศึกษาเดินทางมาถึง เจ้าหน้าที่ได้กักตัวไว้ไม่ให้แถลงข่าว เกิดความชุลมุนเล็กน้อยก่อนเจ้าหน้าที่จะอนุญาตให้สัมภาษณ์ได้ นายสิรวิชญ์กล่าวว่า ไม่สามารถแถลงข่าวอย่างเป็นทางการได้ แค่เดินเข้ามหาวิทยาลัยยังลำบาก เหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.กลุ่มนักกิจกรรมและนักศึกษารวมถึงคนทั่วไปใช้สิทธิเสรีภาพในการเดินทางไปตรวจสอบการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ แต่กว่าจะเข้าถึงสถานีรถไฟธนบุรี ช่วงเช้าถูกเจ้าหน้าที่ขัดขวางหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็นั่งรถไฟไปที่สถานีบ้านโป่ง จ.ราชบุรี เจ้าหน้าที่นำกำลังมาจับไปทีละคนและตัดสินใจตัดขบวนรถไฟที่พวกตนนั่งอยู่ ทหารขึ้นมาบนโบกี้เข้าชาร์จตัว อย่างรุนแรง เมื่อควบคุมตัวพวกตนขึ้นรถก็พยายามหลอกล่อโดยไม่แจ้งจุดหมายปลายทางว่าจะนำตัวไปไหน เจ้าหน้าที่ขับรถวนไปวนมาอยู่หลายรอบก่อนจะพาเข้าไปคุมตัวที่สำนักงานพุทธศาสนา พุทธมณฑลสาย 4 ไม่น่าเชื่อว่าทหารจะใช้ศาสนสถานเป็นที่ควบคุมตัว
'จ่านิว'ลั่นภายในปีใหม่ไปอีก
นายสิรวิชญ์ กล่าวอีกว่า พวกตนถูกควบคุมตัวอยู่ประมาณ 7 ชั่วโมง ถูกปล่อยตัวมาประมาณ 3 ทุ่ม มีผู้ให้ข่าวว่าทุกคนลงนามบันทึกข้อตกลงคสช. ทั้งที่มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ลงนาม ตนเชื่อว่าเป็นเพราะความกดดัน ทั้งนี้เชื่อว่ารัฐบาลมีภาวะวัวสันหลังหวะ กลัวการตรวจสอบ และยังมีมวลชนที่เดินทางมาต่อต้านมีความพยายามทำร้ายร่างกาย ไม่แน่ใจว่าเกิดจากการจัดตั้งของเจ้าหน้าที่หรือไม่ จึงขอตั้งคำถามถึงพล.ต.ธรรมนูญ วิถี ผบ.พล. ร.9 ที่ปรากฏตัวที่บ้านโป่ง เนื่องจากมวลชนรวมตัวกันได้ในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งที่กลุ่มตนไม่ได้แจ้งว่าจะทำกิจกรรมที่บ้านโป่ง อีกทั้งกลุ่มนี้ยังไม่ถูกคำสั่งห้ามชุมนุม ขณะที่ฝ่ายตนเดินทางมาปกติ แต่กลับถูกทหารควบคุมตัว การเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์ เป็นการแสดง ออกเชิงสัญลักษณ์ ให้มีการตรวจสอบการทุจริต ถ้ากองทัพโปร่งใสจริงจะไม่เกิดเหตุ การณ์เช่นนี้ ก่อนหน้านี้ทางกลุ่มได้ยื่นเอกสารให้กองปราบปรามไปแล้วแต่ไม่คืบหน้า จึงต้องการกระตุ้นให้ตรวจสอบรวดเร็วยิ่งขึ้น
"ขอประกาศว่าภายในปีใหม่ จะหาโอกาสกลับไปที่อุทยานราชภักดิ์ให้ได้อีกครั้งโดยรถไฟนำเที่ยว ส่วนที่พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล บอกว่าคนเลวไม่ควรไปอุทยานราชภักดิ์ให้แปดเปื้อน ถ้าคนดีเป็นแบบพล.ต.สรรเสริญ ผมเป็นคนเลวดีกว่า ทำไมไม่คิดว่าปัญหาการทุจริตจะทำให้อุทยานราชภักดิ์แปดเปื้อน โฆษกรัฐบาลมีหน้าที่ดิสเครดิตประชาชนเท่านั้นหรือ" นายสิรวิชญ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างนายสิรวิชญ์ให้สัมภาษณ์ เจ้าหน้าที่พยายามใช้โทรโข่งพูดให้รีบยุติการสัมภาษณ์ ทำให้ประชาชนที่มาให้กำลังใจไม่พอใจ เข้าไปคุ้มครองและพาตัวนายสิรวิชญ์ออกจากที่แถลงข่าว โดยพาไปส่งกลับบ้านนอกบริเวณมหาวิทยาลัย เนื่องจากเกรงว่าจะถูกจับกุม
'แอมเนสตี้'จี้ยกเลิกคุกคาม
วันเดียวกัน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยแพร่ข้อเรียกร้องของนายแชมพา พาเทล ผอ.สำนักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ต่อกรณีจับกุมตัวนักศึกษาและประชาชน ระหว่างเดินทางด้วยรถไฟไปอุทยานราชภักดิ์ว่า เป็นมาตรการที่รุนแรงและขาดหลักการโดยสิ้นเชิง แสดงให้เห็นว่า มีความจำเป็นต้องยกเลิกการใช้อำนาจควบคุมตัวบุคคลโดยพลการของกองทัพ เพราะได้ใช้อำนาจดังกล่าวมาเพื่อคุกคามและเอาผิดทางอาญากับผู้แสดงความเห็นต่างอย่างสงบ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ยังปฏิเสธไม่ให้บุคคลกลุ่มนี้บางส่วนติดต่อกับทนายความ ทั้งที่ถูกควบคุมตัวเพราะใช้สิทธิแสดงความเห็นอย่างสงบ ในการต่อต้านการทุจริตที่มีการ กล่าวหาเท่านั้น
"การจับกุมครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ทางการได้ควบคุมตัวอดีตส.ส. 2 คน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างที่พยายามเดินทางไปยังอุทยาน ราชภักดิ์ โดยทั้ง 2 คนได้รับการปล่อยตัวในวันเดียวกัน ซึ่งการที่ทางการใช้อำนาจควบคุมตัวบุคคลโดยพลการ ถือเป็นการปิดกั้นสิทธิของผู้แสดงความเห็นต่างอย่างสงบซึ่งเกิดขึ้นสองครั้งในรอบสัปดาห์ ทางการไทยยังละเมิดหลักปฏิบัติเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกควบคุมตัวมากขึ้น ส่งผลให้เสี่ยงต่อการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมถึงการถูกทรมานและปฏิบัติที่โหดร้าย ทางการไทยต้องยกเลิกข้อกล่าวหาเกี่ยวกับชุมนุมทางการเมืองอย่างผิดกฎหมายและการยุยงปลุกปั่น ซึ่งเป็นข้อหาที่นำมาใช้กับนักกิจกรรมที่เคลื่อนไหวอย่างสงบนับตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา"นายแชมพา พาเทล กล่าว
'เต้น'จี้เอากำลังไปจับคนทุจริต
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการนปช. กล่าวว่า ยังยืนยันว่าการติดตามตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่น เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน แม้จะมีองค์กรซึ่งมีอำนาจหน้าที่เป็นทางการ แต่ไม่ได้เป็นการตัดสิทธิ์ประชาชนในการทำงานแบบคู่ขนาน และที่ผ่านมาหน่วยงานต่างๆ ก็มีกิจกรรมรณรงค์ให้ประชาชนตื่นตัวเรื่องต้านคอร์รัปชั่นโดยตลอดอยู่แล้ว การสกัดกั้นไม่ให้พวกตนหรือกลุ่มนักศึกษาเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์ โดยอ้างว่าเพื่อรอให้หน่วยงานตรวจสอบทำหน้าที่ จึงขาดน้ำหนักในการอธิบาย เพราะแม้จะไปจนถึงก็ไม่ได้มีการทำลายกระบวนการตรวจสอบแต่อย่างใด
นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากฝ่ายรัฐไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้ ข้อเท็จจริงทั้งหลายที่สังคมรับรู้มาจากการทำงานของสื่อมวลชนและภาคประชาชนต่างๆ หลายเรื่องสวนทางกับสิ่งที่ผู้เกี่ยวข้องเคยให้ข้อมูลไว้ เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้ากลายเป็นว่าข้อมูลจากรัฐขาดความน่าเชื่อถือ ส่วนการจัดการกับความเคลื่อนไหวของนักศึกษา นั้นก็เกินเลยไปมาก ทุ่มเทสรรพกำลังจนจ่านิว จะกลายเป็นพลเอกนิวไปแล้ว รัฐบาลต้องไม่คิดว่านักศึกษาเหล่านี้เป็นฝ่ายตรงข้าม และไม่พยายามผลักให้เป็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทางการเมือง ความจริงพวกเขาคือคนหนุ่มสาวที่เชื่อมั่นในหลักการประชาธิปไตย ทุกประเทศที่มีรัฐ ประหารก็จะปรากฏขบวนการแบบนี้ ที่แตกต่างคือวิธีการจัดการของผู้มีอำนาจ ถ้าทำอย่างที่เป็นอยู่ถือว่าสอบตกในแง่การบริหารสถานการณ์
ควง'ตู่'ไปพบบิ๊กต๊อก 9 ธ.ค.
"แทนที่จะมัวมาไล่จับเด็กอยู่แบบนี้ ทุ่มกำลังไปไล่จับคนทุจริตแล้วเปิดเผยความจริงเรื่องอุทยานราชภักดิ์อย่างตรงไปตรงมา เรื่องก็จะยุติลงได้ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ใครจะเดินทางไปถึงอุทยานราชภักดิ์ แต่อยู่ที่รัฐบาลจะนำความจริงเรื่องอุทยานราชภักดิ์มาถึงประชาชน ได้หรือไม่" นายณัฐวุฒิกล่าวและว่า สำหรับการเข้าพบพล.อ.ไพบูลย์ตามหนังสือเชิญนั้น ตนจะไปพร้อมกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช. วันที่ 9 ธ.ค.เวลา 13.30 น. ที่กระทรวงยุติธรรม ตั้งใจจะเปิดอกคุยกันว่ามีประเด็นใดบ้างที่สังคมไม่สบายใจ และชี้ให้เห็นหลักฐานสำคัญที่จะคลี่คลายกรณีนี้ได้ ทั้งนี้เท่าที่ติดตามบทบาทพล.อ.ไพบูลย์ เห็นว่าเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง เชื่อว่าการหารือกันน่าจะนำไปสู่ทิศทางที่ทุกฝ่ายสบายใจได้
วิลาศปชป.ชี้ต้องรีบตัดเนื้อร้าย
ด้านนายวิลาศ จันทรพิทักษ์ อดีตส.ส. กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีทหารจับกุมกลุ่มนักศึกษาว่า รัฐบาลและทหารไม่ควรขัดขวางกลุ่มใดๆ ที่ต้องการเข้าไปตรวจสอบ อุทยานราชภักดิ์ เพราะสังคมจะยิ่งเพิ่มความเคลือบแคลงและสงสัยต่อโครงการนี้มากขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นบ่วงพันคอรัฐบาลเอง สิ่งสำคัญอุทยานราชภักดิ์ไม่ใช่เขตหวงห้าม หรือเขตทหารห้ามเข้า ดังนั้นคนไทยทุกคนจึงมีสิทธิเดินทางไปดูได้ รัฐบาลจึงต้องยอมรับต่อประชาชนว่าโครง การนี้มีความผิดหลายส่วน ขณะนี้ปิดอย่างไรก็ไม่มิด เหมือนร่างกายที่เป็นโรคมะเร็งจะแสดงอาการมากขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องรีบตัดเนื้อร้ายทิ้ง
นายวิลาศ กล่าวต่อว่า หากพล.อ.ประยุทธ์ไม่เด็ดขาดจัดการกับคนทำผิด โดยบอกแต่ให้รอผลการตรวจสอบ จะยิ่งทำให้เชื้อมะเร็งนี้ลุกลามเร็ว จนรัฐบาลอาจต้องตัดคอตัวเอง และคนที่มีหน้าที่ดูแลโครงการนี้ควรแสดงความรับผิดชอบได้แล้ว โดยให้องค์กรอิสระที่มีอำนาจตามกฎหมายสามารถเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาตรวจสอบ และสอบปากคำได้ทั้งหมด แบบนี้จะดีกว่าตรวจสอบกันเอง เพราะการตรวจสอบกันเองประชาชนก็ไม่หมดข้อสงสัย
นายวิลาศกล่าวว่า นอกจากนี้ในช่วงแรกที่มีข่าวเรียกเก็บค่าหัวคิวและค่าสร้างรูปหล่อองค์พระรูปที่แพงเกินจริง ซึ่งคนในวงการธุรกิจโรงหล่อรู้กันหมดโดยตอนแรกมีบุคคลที่พร้อมเป็นพยานได้ให้ข้อมูลเรื่องดังกล่าวกับตนว่า มีการเรียกผลประโยชน์ในขั้นตอนต่างๆ จริง ตนได้อัดเทปไว้ด้วย แต่พอจะนำบุคคลดังกล่าวมาแถลงข่าว เขาขอถอนตัวเพราะกลัวว่าตัวเองและครอบครัวจะเดือดร้อน ไม่อยากมีปัญหากับทหาร
วีระ ยื่นปปช.สอบบิ๊กโด่ง-บิ๊กบี้
วันเดียวกันที่สำนักงานป.ป.ช. สนามบินน้ำ นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น ยื่นหนังสือขอให้คณะกรรมการป.ป.ช. ไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีกล่าวหา พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม เมื่อครั้งเป็น ผบ.ทบ. และพล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รมว.แรงงาน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม กรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ากระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และในฐานความผิดอื่นที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอุทยาน ราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
นายวีระ กล่าวว่า เรื่องนี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โครงการอุทยานราชภักดิ์ที่กองทัพบกดำเนินการจัดสร้างภายในพื้นที่ของกองทัพบก โดยปรากฏหลักฐานจากสื่อมวลชนว่าใช้งบประมาณแผ่นดิน ซึ่งเบิกจ่ายงบกลางไปแล้ว 80% ของวงเงินที่ได้รับการจัดสรร 63.57 ล้านบาท และเงินบริจาคของประชาชน ซึ่งเมื่อเข้ากองทัพบกแล้วถือว่าเป็นเงินของกองทัพบก โดยมีการจัดจ้างโรงหล่อทั้งหมด 6 โรง หล่อพระบรมราชานุสาวรีย์ 7 องค์ ใช้งบก่อสร้างองค์ละ 41-45 ล้านบาท รวมเป็นเงินประมาณ 287-315 ล้านบาท ปรากฏข้อเท็จจริงว่า อาจมีการหักหัวคิว 10% จากเซียนพระ "อ." นอกจากนี้ยังปรากฏว่า พล.ต.สุชาติ พรมใหม่ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก และนายคชาชาต บุญดี อดีตนายทหารฝ่ายเสนาธิการ ประจำกองทัพภาคที่ 3 นายทหารคนสนิทของพล.อ.อุดมเดช ปัจจุบันถูกถอดยศ-เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์แล้ว อาจมีส่วนร่วมทุจริตการจัดสร้างอุทยานดังกล่าวด้วย
นายวีระ กล่าวว่า ส่วนการจัดซื้อจัดจ้างก่อสร้างงานปูหินสักการะ บันได และลานชั้นบนรอบแท่นพระบรมรูป 34.9 ล้านบาท งานติดตั้งหินอ่อนรอบแท่นพระบรมรูป 11.9 ล้านบาท งานสร้างรั้วภายในและภายนอกอุทยาน ราชภักดิ์ 2 โครงการ 20.2 ล้านบาท งานสร้างป้ายทางเข้าและอาคารรักษาความปลอดภัย 7.2 ล้านบาท ทั้งหมดข้างต้นใช้งบกลาง และการก่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ 7 พระองค์นั้น งานก่อสร้างดังกล่าวมีมูลค่าเกิน 2 ล้านบาทขึ้นไป และเป็นการจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ แต่ไม่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
"การกระทำของพล.อ.อุดมเดช และ พล.อ.ศิริชัย จึงเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 7 และมาตรา 12" นายวีระกล่าว
นายวีระกล่าวว่า กรณีพล.อ.อุดมเดชไม่ดำเนินการตรวจสอบและลงโทษพล.ต.สุชาติ กับนายคชาชาต ที่มีส่วนพัวพันการทุจริต ซึ่งอาจเกี่ยวกับการเรียกรับเงินของเซียนพระชื่อย่อ อ. จากเจ้าของโรงหล่อ การกระทำดังกล่าวของพล.อ.อุดมเดช เมื่อครั้งเป็นผบ.ทบ. จึงเป็นการกระทำความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
'เปรม'ต้องไม่ยอมคนปล้นชาติ
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ปาฐกถาพิเศษเรื่อง "ประเทศไทยโปร่งใส...ได้อย่างไร" ที่อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการฯแจ้งวัฒนะ สำนักงานคณะกรรมการป.ป.ช. ร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดงานต่อต้านคอร์รัปชั่นสากล (ประเทศไทย) จัดขึ้น ตอนหนึ่งว่า "เราต้องไม่ยอมให้คนไม่ดีมานั่งปล้นชาติเราทุกวัน ต้องหาทางกำจัดพวกตัวเวร ตัวน่ารังเกียจนี้ให้หมดไปจากประเทศให้ได้ การทำให้ประเทศเราโปร่งใส ไม่ง่าย ค่อนข้างยาก แต่เรายังมีเวลา ยังมีโอกาสมากพอที่จะทำให้การปล้นชาติของเราเล็กลง น้อยลง และขอให้คนไทยทั้งหลายร่วมมือกันอย่างจริงจังและจริงใจ เมื่อใดประเทศของเราประกอบด้วย ผู้บริหารประเทศ หน่วยงานภาครัฐ และองค์กรทุกภาคส่วน มีการดำเนินงานที่แสดงออกถึงความชัดเจน ตรงไปตรงมา มีการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชน มีการประพฤติปฏิบัติที่ตั้งอยู่บนฐานความซื่อ สัตย์สุจริต มีจิตสำนึกที่ดีต่อหน้าที่ สามารถตรวจสอบและชี้แจงได้ เมื่อนั้นคิดว่าจะประสบผลสำเร็จ"
ยังไม่มีเบาะแสเสธ.โต-โจ้
พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบ สวนคดีแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงหาผลประโยชน์ ตามกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า ขณะนี้ยังเหลือสำนวนคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของพนักงานสอบสวน 5 สำนวน ซึ่งเป็นสำนวนคดีที่เกี่ยวข้องกับพ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา ผู้ต้องหาแอบอ้างสถาบัน ม.112 ซึ่งเป็นสำนวนที่ต้องรอผลการตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์เพื่อความครบถ้วนของสำนวนก่อนส่งมอบให้กองคดีอาญา สํานักกฎหมายและคดี สํานักงานตํารวจแห่งชาติ ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ส่วนความคืบหน้าการตรวจสอบความผิดกรณีการติดตั้งเสาสัญญาณวิทยุโดยไม่ได้รับอนุญาต ของพล.ต.ต.พรกุศล ยศธร อดีตผบก.ตำรวจสื่อสาร ที่อนุญาตให้พ.ต.ต.ปรากรม ดำเนินการนั้น ตอนนี้สอบปากคำไปแล้ว ซึ่งอดีตนายตำรวจให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี เป็นไปตามข้อเท็จจริง ล่าสุดพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาตามความผิดกฎหมายอาญา ม.157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน ขณะที่ข้อหาอื่นๆ นั้นต้องรอหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์มาประกอบเพื่อแจ้งข้อหาอื่นต่อไป หลังจากนี้หากพบหลักฐานเพิ่มเติมว่าเชื่อมโยงถึงบุคคลใดจะต้องดำเนินคดีทั้งหมด ตอนนี้มีผู้ที่เกี่ยวข้องเพียงแค่นี้ ไม่มีอดีตตำรวจยศสูงกว่านี้แล้ว โดยพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาและบุคคลดังกล่าวได้รับทราบข้อกล่าวหาไปแล้ว จากการสอบสวนไม่มีการพาดพิงถึงใครแล้ว เหลือเพียงรอผลการตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ เช่น รถยนต์ วิทยุ และปืน ซึ่งเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ต.ปรากรม สรุปตอนนี้เหลืออยู่ที่ตนอีก 5 สำนวน ขณะที่สำนวนพวกปืน วิทยุ นั้นต้องแตกสำนวนออกไปอีกตามรายละเอียดของข้อมูลหลักฐาน ใครที่เกี่ยวข้องกับการเซ็นหนังสือสัญญาว่าจ้างให้ติดตั้งเสาสัญญาณวิทยุก็ถูกดำเนินการทั้งนั้น
พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวอีกว่า ส่วนการติดตามผู้ต้องหาคดีแอบอ้างสถาบัน ที่หลบหนีออกนอกประเทศ ทั้งนายคชาชาต บุญดี และพล.ต.สุชาติ พรมใหม่ ขณะนี้ชุดติดตามยังไม่พบตัวผู้ต้องหาคนใด ยังไม่มีหน่วยงานของประเทศใดประสานข้อมูลเข้ามาแม้แต่รายเดียว เจ้าหน้าที่พยายามสืบสวนภายในอยู่อย่าง ต่อเนื่อง ตนไม่เชื่อตามกระแสข่าวว่ามีกระบวน การช่วยเหลือผู้ต้องหาให้หลบหนีออกนอกประเทศไปได้ ส่วนกรณีการตรวจสอบการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ขณะนี้ยังไม่มีผู้ใดมาร้องทุกข์กล่าวโทษกับทางตำรวจ และยังไม่มีหนังสือคำสั่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับบุคคลใด
ราชภักดิ์ เลื่อนเวลาเปิดเข้าชม
ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายดูแลอุทยานราชภักดิ์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ว่า อุทยานราชภักดิ์ซึ่งปิดปรับปรุงลานด้านหน้าพระบรมรูป 1 วัน เมื่อวานที่ผ่านมา วันนี้มีกำหนดการเปิดให้ประชาชนได้เข้าชมตามปกติโดยจะเปิดให้เข้าชมได้เวลา 09.00 น. ปรากฏว่าตั้งแต่เวลา 08.00 น.บรรยากาศที่หน้าอุทยาน มีนักท่องเที่ยว คณะทัวร์ คณะศึกษาดูงานจากหลายจังหวัดมาจอดรถรอบริเวณทางเข้าอุทยานเพื่อรออุทยานเปิดเวลา 09.00 น.
กระทั่งเวลา 13.45 น.เจ้าหน้าที่เปิดให้เข้าชมอุทยานได้ตามปกติ
ยื่นสตง.เรียกเงินคืน46ล้าน
ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ยื่นหนังสือให้ สตง. เรียกเงินคืนจากโครงการก่อสร้างอุทยาน ราชภักดิ์ 46,943,800 บาท โดยระบุว่า จากที่ติดตามตรวจสอบโครงการ พบว่าอาจมีการใช้งบประมาณในลักษณะผิดประเภท หรือผิดวัตถุประสงค์หรือไม่ เนื่องจากมีการใช้งบกลางไปจัดหาวัสดุคือหินอ่อนและหินแกรนิต เพื่อใช้ประกอบการก่อสร้างฐานแท่น และลานบันไดในโครงการ กรณีดังกล่าวมีการระบุว่าเป็นการจัดหาวัสดุที่เป็นทรัพย์สินถาวรใหม่ของกองทัพบก แต่ความเป็นจริงกลับนำทรัพย์สินนั้นไปติดตั้งบนทรัพย์สินถาวรของอุทยานราชภักดิ์ ซึ่งถือเป็นหน่วยงานอื่นที่ไม่ใช่กองทัพบก กรณีดังกล่าวอาจมีลักษณะที่หลีกเลี่ยงระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และไม่เป็นการรักษาวินัยการเงินการคลังที่ดีหรือไม่
นายเรืองไกร กล่าวอีกว่า ในการใช้เงินลักษณะที่คล้ายกัน สตง.เคยมีหนังสือทักท้วงมาแล้ว เห็นได้จากหนังสือด่วนมากที่ ตผ 0004/ 3484 ลงวันที่ 29 ก.ค. 2551 เรื่องการจัดซื้อวัสดุครุภัณฑ์ เพื่อให้หน่วยงานราชการอื่นยืมใช้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต่อมา สตง.ทักท้วงว่า ทำไม่ได้ ดังนั้นกรณีการใช้งบกลางของกองทัพบกจัดหาทรัพย์สินถาวรให้หน่วยงานอื่นได้กรรมสิทธิ์ไปเลยนั้น น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องจึงขอนำเรื่องดังกล่าวมาเป็นบรรทัดฐาน เพื่อให้สตง.ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตรวจสอบ ว่าจะต้องเรียกเงินแผ่นดินคืน 46,943,800 บาท จากการใช้งบประมาณในโครงการอุทยานราชภักดิ์หรือไม่
นายเรืองไกร ยืนยันว่า ตนไม่มีหน้าที่ชี้ถูกหรือผิด เพราะเป็นหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตนเพียงยื่นเอกสารทางราชการ และมองว่าสตง.ทำงานได้รวดเร็ว อีกทั้งกองทัพและคสช.ไม่ได้ห้ามตรวจสอบ เพราะตนไม่ได้นำไปตีข่าวหรือขยายผล เป็นการยื่นเอกสารตามปกติตามที่นายกฯให้การสนับสนุน
นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) กล่าวว่า จะตรวจสอบงบกลางที่ครม.อนุมัติกว่า 63 ล้านบาทในการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ และเงินจากหน่วยงานภาครัฐที่สนับสนุนการจัดสร้างจากต้นทางไปปลายทางที่เบิกจ่ายและปลายทางที่รับเงิน อีกทั้งตรวจสอบเงินจากผู้บริจาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับรัฐอีกด้วย ขณะนี้เพิ่งผ่านปีงบประมาณ 2558 หน่วยงานต่างๆ เพิ่งทยอยส่งเอกสารมายังสตง. ซึ่งต้องใช้เวลาตรวจสอบต่อไป
นายพิศิษฐ์กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ตนยังไม่สามารถระบุตัวเลขงบประมาณการจัดสร้างได้ทั้งหมด แต่เงินที่ใช้งบจากรัฐและเงินสนับสนุนจากรัฐด้วยกันก็ตามที่ปรากฏเป็นข่าว แต่เงินบริจาคตนยังไม่ทราบว่าจำนวนเท่าใด ต้องใช้เวลาตรวจสอบหาหลักฐาน ส่วนค่าส่วนต่างนั้นต้องมีหลักฐานชัดเจน จะใช้เพียงความรู้สึกตัดสินไม่ได้ นอกจากนี้หากสตง.ตรวจสอบพบใช้เงินไม่ถูกต้อง มีการทุจริตจริง จะส่งพนักงานสอบสวนต่อไป ยืนยันว่าไม่มีความพิเศษใดๆ หรือเกรงใจใครในการตรวจสอบ เพราะต้องเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย
กสม.วอนทุกฝ่ายเคารพสิทธิ
วันเดียวกัน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกแถลงการณ์ต่อกรณีผู้จัดและผู้ร่วมกิจกรรมนั่งรถไฟไปอุทยานราชภักดิ์ ส่องแสงหากลโกง เพื่อเดินทางไปตรวจสอบการทุจริตในการสร้างอุทยานราชภักดิ์ เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา ถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐควบคุมตัวไปทำความเข้าใจว่า กสม.ได้เฝ้าติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดด้วยความห่วงใย โดยยึดหลักความเป็นกลาง อิสระ การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของทุกฝ่าย โดยไม่เลือกปฏิบัติ และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยึดแนวทางสันติวิธีในการแก้ปัญหา เคารพสิทธิซึ่งกันและกันมาโดยตลอด จึงขอเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนคำนึงถึงและปฏิบัติต่อกรณีดังกล่าว ดังนี้
1.รัฐบาลควรกำชับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมสถานการณ์ ยึดหลักรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย ตลอดจนกติการะหว่างประเทศ และหลักขันติธรรม เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย บนพื้นฐานการเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน 2.การใช้สิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกของกลุ่มบุคคลสมควรแสดงออกด้วยความรอบคอบและสุจริตใจ ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ กสม.จะเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง อีกทั้งขอวิงวอนให้ทุกฝ่ายได้ใช้สติ ความอดทนอดกลั้น ไม่ขยายผลไปสู่ความรุนแรง และการสร้างความเกลียดชัง ในระหว่างการเปลี่ยนผ่านการปฏิรูปประเทศไทย เพื่อนำไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์ นำความสงบและสันติสุขคืนสู่ประเทศไทยโดยเร็ว