- Details
- Category: การเมือง
- Published: Saturday, 28 November 2015 12:52
- Hits: 4398
ตู่-เต้น โต้ลั่น โยงแก๊งป่วน พท.ตั้งข้อสงสัย เทขาย'ข้าวเสีย' ยื้ออีกภาษีบุหรี่
โปรดเกล้าฯแล้ว 7 กสม. 'บิ๊กตู่'บ่นอย่าติดยึด'สิทธิมนุษยชน' ลั่นผมไม่ใช่เรือแป๊ะ แต่เป็นแพขนานยนต์ เรียกร้องทุกฝ่ายช่วยกันถ่อ จตุพรโวย'นายกฯตู่' จ้อ'ขอนแก่นโมเดล' โยงนปช. ถามกลับแล้วผบ.ทบ.จะรับผิดชอบอย่างไร กรณีศาลทหารออกหมายจับพล.ต-พ.อ. ณัฐวุฒิ-เหวงเชื่อหวังเบี่ยงปม'ราชภักดิ์' เซอร์เวเยอร์ท้วงเทขายข้าวเสีย มีข้าวดีปน กว่าครึ่ง 'บุญทรง'ห่วงทุจริต แนะเลิกใช้ม.44 คุ้มครองขรก.
วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 25 ฉบับที่ 9131 ข่าวสดรายวัน
แฟนคลับ- เจ้าหน้าที่ขอถ่ายภาพกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างคึกคัก เป็นกันเอง ระหว่างนายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2559 ที่ห้องประชุม ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ สำนักงบประมาณ เมื่อวันที่ 27 พ.ย.
เอกชนชี้ขายข้าวเสียมีข้าวดีปนอื้อ
เมื่อวันที่ 27 พ.ย. นางมณฑาทิพย์ ไวยะวรรณะ สมาคมผู้ประกอบธุรกิจตรวจสอบสินค้าเกษตรไทย หรือ เซอร์เวเยอร์ กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้สมาคมได้เดินทางมายื่นหนังสือคัดค้านการเปิดประมูลข้าวเสียเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม ที่กรมการค้าต่างประเทศ โดยขอให้ชะลอการเปิดประมูลออกไปก่อน เพื่อให้มีการตรวจสอบคุณภาพข้าวใหม่อีกครั้งให้ชัดเจนว่าเป็นข้าวเสียทั้งหมด หรือมีข้าวคุณภาพดีปะปนอยู่หรือไม่ เพื่อไม่ให้รัฐขายข้าวในราคาต่ำ ซึ่งมีตัวแทนกรมการค้าต่างประเทศมารับหนังสือแทนอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศโดยเชื่อว่าข้าวที่รัฐบาลระบุว่าเป็นข้าวเสื่อมและนำออกมาระบายสู่ภาคอุตสาห กรรมในรอบแรก ปริมาณรวมกว่า 3 หมื่น 7 พันตัน น่าจะมีข้าวดีปะปนอยู่กว่า 50% ของปริมาณข้าวทั้งหมด
"และเห็นว่า ขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพข้าวนั้น ควรจะมีผู้เกี่ยวข้อง 4 ส่วนประกอบด้วยเจ้าหน้าที่รัฐ/บริษัทตรวจสอบคุณภาพข้าวที่เป็นกลาง/และบริษัทผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าวที่เป็นคู่สัญญากับอคส.และอ.ต.ก. และหัวหน้าคลังสินค้า ซึ่งค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบคุณภาพข้าวภาครัฐ มีงบประมาณรองรับส่วนดังกล่าวอยู่แล้ว" นางมณฑาทิพย์กล่าว
บุญทรง ห่วงทุจริตเทขายข้าวเสีย
ด้านนางดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรม การค้าต่างประเทศ (คต.) กล่าวว่า กรณีที่สมาคมผู้ประกอบธุรกิจตรวจสอบสินค้าเกษตรไทย หรือ เซอร์เวเยอร์ ได้ยื่นหนังสือคัดค้านการเปิดประมูลข้าวเสื่อมที่ผ่านมาก็ได้ตอบกลับไปหมดแล้ว และครั้งนี้ก็ต้องชี้แจงกันอีก ก็ทำตามกระบวนการและการประมูลก็ต้องเดินหน้าต่อไป ส่วนบริษัทที่โดนฟ้องร้องเรื่องการตรวจสอบคุณภาพข้าวก็ต้องดำเนินการไปตามกฎหมาย ส่วนข้าวที่นำมาประมูลครั้งนี้ไม่ถือว่าเป็นของกลาง เพราะได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วว่าสามารถนำมา ระบายได้
วันเดียวกัน นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ เขียนข้อความทางเฟซบุ๊ก ถึงการเปิดประมูลข้าวเสียของกระทรวงพาณิชย์ว่า การที่บริษัทเซอร์เวเยอร์ทักท้วงกระทรวงพาณิชย์ในการเปิดประมูลข้าวเสีย โดยอ้างว่ามีข้าวคุณภาพดีปะปนอยู่ด้วยเกินกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการตรวจสอบคุณภาพข้าว ไม่ได้แยกข้าวดีออกจากข้าวเสีย เพื่อสร้างภาพว่ามีข้าวเน่าเสียจำนวนมาก และนำออกไปประมูลขายให้ภาคอุตสาหกรรมในราคาถูก การที่บริษัทเซอร์เวเยอร์ต้องออกมาทักท้วงเพราะหากเอาข้าวดีไปขายปะปนกับข้าวเสีย ข้าวเสื่อมสภาพ จะทำให้ได้เงินน้อยมาก และส่วนต่างของความเสียหายนั้นตามสัญญาจ้าง เซอร์เวเยอร์อาจต้องเป็นผู้รับผิดชอบ แต่ดูเหมือนกระทรวงพาณิชย์จะไม่ฟังข้อท้วงติงนี้ คงเป็นเพราะข้าราชการมีคำสั่งคสช. มาตรา 44 มาเป็นเกราะป้องกันตนเองอยู่ และถ้ามีข้าวดีแอบปะปนไปขายถูกๆ รวมกับข้าวเสื่อมสภาพใครจะได้ประโยชน์
แนะเลิกม.44-ปิดช่องส่อโกง
"พฤติกรรมแบบนี้เรียกว่าทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงหรือไม่ และสงสัยว่าถ้าระบายข้าวโดยวิธีเช่นนี้ รัฐจะได้เงินน้อยอย่างแน่นอน ในที่สุดจะโยนความเสียหายมาให้โครงการรับจำนำข้าว แบบเหมารวมยกเข่งเพื่อกล่าวหารัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ใช่หรือไม่ แล้วความยุติธรรมจะหาได้จากที่ไหน การทุจริตแอบเอาข้าวดีไปปนขายก็จะเกิดขึ้นได้ โดยที่เจ้าหน้าที่หรือข้าราชการไม่ต้องเกรงกลัวหรือรับผิดชอบใดๆ ต่อการระบาย เพราะมีมาตรา 44 คุ้มหัวอยู่" นายบุญทรง ระบุ
นายบุญทรง ระบุอีกว่า ผู้รับผิดชอบความเสียหายคือบริษัทเซอร์เวเยอร์ และบวกใส่ความเสียหายให้แก่รัฐบาลในอดีตว่าทำความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวเป็นแสนล้าน แต่กลับจะมีพวกเสวยสุขและมีขบวนการทุจริตได้ประโยชน์จากการระบายแอบแฝงอยู่เบื้องหลัง การขายข้าวให้ภาคอุตสาหกรรม ที่มิใช่การผลิตอาหารคนหรือสัตว์จะเปิดช่องให้มีการล็อกสเป๊กและฮั้วประมูล จึงอยากเรียกร้องให้นายกฯตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้โดยด่วน อย่าปล่อยให้มีขบวนการเช่นนี้ เกิดขึ้นได้ และควรยกเลิกคำสั่งตามมาตรา 44 เสียโดยเร็ว มิฉะนั้นรัฐบาลอาจถูกกล่าวหาว่าละเว้นปฏิบัติหน้าที่ได้
"บิ๊กตู่"เร่งบิ๊กขรก.เบิกจ่ายงบฯ
เมื่อวันที่ 27 พ.ย. ที่สำนักงบประมาณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2559 โดยนายกฯ มอบนโยบายและสั่งการในที่ประชุมว่า ให้ทุกฝ่ายเร่งรัดการทำงานของทุกภาคส่วน โดยจะประเมินตามกรอบระยะเวลา โดยเฉพาะการเบิกจ่ายงบประมาณต้องเกิดประสิทธิภาพสูงสุด คือการใช้งบประมาณของจังหวัดที่กระทรวงมหาด ไทยเป็นผู้ดูแล ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ เป็นกำลังหลักที่จะช่วยทำงานในภาพกว้างให้เกิดผลสัมฤทธิ์ งบประมาณที่ลงไปต้องคุ้มค่า ตามนโยบายรัฐบาล หากดำเนินการไปแล้วไม่คืบหน้าก็ต้องลงโทษ ส่วนรัฐมนตรีที่เข้ามาทำงานก็ถือเป็นข้าราชการการเมืองเหมือนกัน จึงต้องช่วยกันขับเคลื่อนนโยบาย เพื่อสร้างอนาคตให้กับประเทศ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับวาระการประชุม สำนักงบประมาณ นำเสนอวีดิทัศน์ แนะนำสำนักงาน รวมถึงรายงานภารกิจ และสรุปผลงานสำคัญรายงานต่อที่ประชุม พร้อมเสนอประเด็นที่ต้องการให้นายกฯ พิจารณาสนับสนุน และการขอความร่วมมือจากส่วนราชการ ทั้งการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ปี 2560 และผลการดำเนินงานตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
บ่นอย่ามองแต่สิทธิมนุษยชน
พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า เรื่องการข่าวจะให้หน่วยข่าวใน พื้นที่ได้ติดตามดำเนินการตรวจสอบความเคลื่อนไหว เหมือนที่ได้ตรวจสอบแล้วพบ การเคลื่อนไหวที่ผ่านมา โดยให้เป็นเรื่องของกระทรวงยุติธรรม เพราะใครก็ปฏิเสธได้ทั้งนั้น แต่กฎหมายว่าอย่างไร หลักฐานว่าอย่างไร ใครก็ปฏิเสธไม่ได้ หากวันนี้สารภาพ วันหน้าปฏิเสธอีกก็ต้องปล่อยให้เป็นกระบวนการยุติธรรม ไม่อย่างนั้นจะถูกกล่าวหาว่า จับแล้วปล่อย จับแล้วปล่อย ดังนั้นต้องนำเข้ากระบวนการของศาล ซึ่งศาลมีขั้นตอนทุกอย่าง
"ไม่ใช่ไปกลับคำให้การถึงจะต้องมีอาชีพทนายความ และขอฝากคนในอาชีพนี้ว่า สิ่งใดที่ทำให้ประเทศชาติเสียหาย หากแก้ให้เขามากๆ มองแต่เรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างเดียว คนเหล่านี้ก็ได้ใจตลอด เคยตัว แล้วมีแต่จะแรงขึ้นๆ อยู่กับกฎหมายใช้ช่องว่างของกฎหมายเอามาเรียนรู้ กระทำผิดโดยไม่เกรงกลัวกฎหมายเลย จึงต้องสร้างการเรียนรู้ให้มากขึ้น" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า หนังสือพิมพ์มีบทบาทสูงที่จะช่วยรัฐบาล ช่วยประเทศชาติให้มีความสงบเรียบร้อย เพราะทราบอยู่แล้วว่าอะไรผิดอะไรถูก อะไรดีไม่ดี สิ่งที่ไม่ดีอย่าไปขยายความ อย่าไปเสริม เดี๋ยวก็เบาลงเอง ไม่ใช่กลายเป็นว่า เอาข้างหนึ่งมาเจอมาชนกับอีกข้างหนึ่ง อย่างตนพูดอะไรผิดนิดหน่อย ก็เอาไปให้ทางโน้นมาเล่นงาน บ้านเมืองมันถึงไม่สงบ แล้วจะสงบสุขกันได้อย่างไร ซึ่งตนทราบดีว่าพวกเราเข้าใจกันหมดแล้ว
ลั่นรปภ.เข้มไปตลอดอายุ"รบ."
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีพื้นที่จุดใดบ้างที่จะต้องดูแลเรื่องความปลอดภัย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า พื้นที่จัดงานปั่นเพื่อพ่อ BIKE FOR DAD สถานที่ท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก พื้นที่ที่มีความเสี่ยง มีประชาชนอยู่เป็นจำนวนมาก การจราจรติดขัด ถนนแคบๆ เหล่านี้ต้องดูทั้งหมด และถ้ามีเหตุการณ์สำคัญยังต้องจัดกำลังดูแลบนที่สูงด้วยเพื่อเป็นการเฝ้าระวัง ไม่ได้เป็นการทำร้ายใคร ประชาชนก็ต้องคอยดู หากเจ้าหน้าที่เขาขึ้นไปบนที่สูง ก็เพื่อขึ้นไปดูแลไม่ได้แอบขึ้นไปทำอะไร เจ้าหน้าที่เขาจะแบ่งงานกันระหว่าง ตำรวจ ทหาร และประชาชนจะต้องร่วมมือกันถึงจะเรียกว่าเป็นประชารัฐ
เมื่อถามว่า การเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยด้านความมั่นคง จะให้ยาวไปถึงช่วงเทศกาลปีใหม่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ดูแลไปตลอดในช่วงที่รัฐบาลตนยังอยู่ ในเมื่ออยู่กันเงียบๆ ไม่ได้ แล้วมีเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นมา ก็ต้องดูแลกันใหม่มากขึ้น สร้างความมั่นใจ ความเชื่อมั่น อย่าไปบั่นทอนความเชื่อมั่น ไม่ใช่ไปบอกว่าทหารออกมา ตำรวจออกมาเยอะๆ สร้างความตื่นตระหนก สร้างความเสียหาย ตนพยายามไม่ให้เสียหายแต่ก็พยายามจะกลับไปที่เก่า แล้วคนที่ถูกจับมาปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องหรือยัง ตอนนี้กำลังสอบสวนต่อ จับมา 9 คน หนีได้ 7 คน ที่เหลือตามจับอยู่ ต้องตามจับให้ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเรื่องอะไรทั้งสิ้น ก็ตามจับอยู่
เผยไม่ใช่เรือแป๊ะแต่เป็นแพ
พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวเปรียบเทียบรัฐบาลในวันนี้ว่า เสมือนนำเรือข้ามแม่น้ำ 5 สาย ไม่ใช่เรือแป๊ะ ตนไม่ใช่แป๊ะ แต่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ จะเรียกก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นผู้ใหญ่ แต่ตนไม่ใช่แป๊ะ พอพูดถึงเรือแป๊ะ สื่อก็จะบอกว่าต้องตามใจแป๊ะ แต่ความหมายของเรือแป๊ะ ถ้าเป็นเรือจ้างเรือแจวก็ต้องมีคนรับจ้างพายข้ามฟาก ต้องตามใจคนพาย อยู่ดีๆ จะบอกว่าไม่ขอไปเส้นโน้น ขออ้อมไปเส้นนี้ได้หรือไม่ เขาก็ไม่ไป เพราะจะตายเปล่าๆ นั่นแหละเขาเรียกว่าตามใจแป๊ะแจวเรือจ้าง
"ผมไม่ใช่เรือจ้างพาพวกท่านไปส่ง แต่ผมเป็นแพและเป็นแพขนานยนต์ด้วยซ้ำ ต้องไปให้เร็ว และต้องไปด้วยกันทั้งหมด ขึ้นแพใหญ่ๆไป แค่เรือจ้างเรือแป๊ะไม่พอ เพราะผมต้องเอาคนทั้งหมดไป เอาประชารัฐไป ถ้าทุกคนแยกเรือกันไป มันจะไปไม่ได้ ติเรือทั้งโกลน ติโขนยังไม่ทรงเครื่อง เหมือนกันแหละ แต่งตัวไม่เสร็จ มันจะสวยงามได้อย่างไร วันนี้กำลังแต่งตัวอยู่ สื่อเคยได้ยินบ้างไหมคำพวกนี้ ไปอ่านนิทานอีสปบ้าง ติเรือทั้งโกลนขณะที่ยังสร้างไม่เสร็จจะไปติทำไม มันเสร็จแล้วก็ไม่ไป ถูกหรือเปล่าก็ไม่รู้ผมก็พูดของผมไปด้วย" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
เรียกร้องช่วยค้ำถ่อไปด้วยกัน
เมื่อถามว่าแพขนานยนต์ของนายกฯจะแตกก่อนปี 2560 หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า อยู่ที่สื่อ ไม่ได้อยู่ที่ตน ซึ่งตนต่อแพแล้ว จะทำให้แพแตกก็เรื่องของท่าน ก็จมน้ำกันไป ตนว่ายน้ำเป็นอยู่แล้ว ถ้าไม่ไปด้วยกันตายหมด นอกจากว่ายน้ำไม่เป็นยังโดนเหยียบกันตาย เพราะมันแย่งกันทะเลาะกัน เอาเปรียบกัน ต่างคนอยากอยู่ตรงกลางแพ ริมแพไม่มีใครอยู่ ฉะนั้น อย่าลืมว่าทั้งหมดต้องไปด้วยกัน มันต้องค้ำถ่อไปทุกด้าน เท่าเทียมกัน ถ้าค้ำซ้ายอย่างเดียวก็เลี้ยวขวาตลอด มันต้องค้ำหลัง ค้ำซ้าย ค้ำขวา สื่อต้องสอนคนอย่างนี้ เด็กเล็กจะได้เข้าใจ
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีนายกลิน ที. เดวีส์ เอกอัครราชทูตอเมริกาประจำประเทศไทย วิจารณ์บทลงโทษจำคุกแก่ผู้หมิ่นประมาทสถาบันพระมหากษัตริย์ ในงานเสวนาสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศในกรุงเทพฯที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็เรื่องของเขา แต่เห็นส่งคนมาเจรจาการค้าขายกับตนอยู่ และวันที่ 26 พ.ย.ที่ผ่านมา ประเทศอังกฤษและสหภาพยุโรป (อียู) ก็มา ตนถามเขาว่าตนทำดีอย่างนี้จะว่าอย่างไร เขาก็บอกว่าดีๆ แต่พอถามเขาอีกว่า รัฐบาลประชาธิปไตยทำให้เขาแบบนี้ได้หรือไม่ เขาก็เงียบ ตนทำให้กติกามันชัดเจนขึ้น ทั้งเรื่องการค้าการลงทุนที่ 20 ปี ไม่เคยทำมา ลองชั่งน้ำหนักดูว่าการที่ตนเข้ามาแบบนี้ กับไอ้การประชาธิปไตยเลือกตั้งทุกวัน ซึ่งยังไม่ถึงเวลาตามโรดแม็ปก็มีอยู่ ก็มาเร่งกันนักหนา
ย้ำถึงเป็นกม.พิเศษก็ต้องทำตาม
เมื่อถามว่าได้อธิบายให้ต่างชาติเข้าใจเรื่องกฎหมายมาตรา 112 หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็พูดแต่เขาไม่เข้าใจ พอใส่กันเรื่อยๆ กลายเป็นมารังแกกัน รังแกว่าพวกนี้ใช้กับฝั่งตรงข้ามมันก็เป็นกฎหมาย ซึ่งกฎหมายหมิ่นประมาททุกประเทศมีหมด แต่นี่เพื่อสถาบัน เพราะสถาบันฟ้องร้องใครไม่ได้ จึงต้องมีมาตรา 112 เพื่อปกป้องสถาบัน
"ถามว่าพวกที่ไปร้องสิทธิมนุษยชน มันทำความผิดหรือเปล่า ตามกฎหมายมันเขียนไว้หรือเปล่า ก็เขียนทั้งนั้น แต่จะทำแล้วก็ไปฟ้องสิทธิมนุษยชน มันใช่หรือไม่ กฎหมาย กฎอัยการศึก มาตรา 44 ทำความผิดหรือเปล่า เขาเขียนไว้หรือเปล่าในกฎหมาย ในเมื่อมันเป็นกฎหมายพิเศษช่วงนี้ก็ต้องปฏิบัติตาม แล้วมาบอกว่าจะต้องไม่ปิดกั้น ก็ผมไม่เคยปิดกั้น จะพูดอะไรก็พูดไป แต่ถ้าพูดด่ารัฐบาลไม่ได้ ทำไม ไม่มีกติกากันบ้าง ถ้าผมเข้ามาแล้ว มันมีประชาธิปไตยทั้งหมด 150 เปอร์เซ็นต์ เดิมมัน 150 เปอร์เซ็นต์ไม่ต้องร้อย เพราะมันทำอะไรก็ได้ กฎหมายไม่สนใจแล้วเราจะทำอะไร จะปฏิรูปกันอย่างไร ทุกคนอยากปฏิรูปแต่ไม่อยากมีกฎหมาย ไม่เคารพกฎหมายแล้วจะปฏิรูปได้หรือไม่ เอาประชาธิปไตยปฏิรูปก็เชิญเถอะ เชิญไปทำกันแล้วกัน" พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว
โอดต้องร่วมมือไม่ใช่คัดค้าน
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวในรายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ" ตอนหนึ่งว่า แต่ละงานเชื่อมโยงกันได้อยู่แล้ว ข้าราชการ ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น เวลาไปพบประชาชนควรพูดได้ทุกเรื่อง เพราะตนก็พูดมากพอสมควร เกือบ 2 ปีแล้ว ถ้านำสิ่งที่ตนพูดไปปฏิบัติ แล้วแก้ปัญหาให้ได้ ไม่งั้นก็จะโยนปัญหากลับมาที่ตนหมด ก็สั่งการลงไป หากประชาชนเดือดร้อนก็กลับมาตำหนิ ติเตียนตนและคสช. ทั้งที่เจตนาของตนไม่ได้เป็นอย่างนั้น ต้องการแก้ปัญหาไม่ใช่สร้างปัญหาใหม่ แต่ต้องเอากฎหมายมาว่าก่อน กฎหมายว่ายังไงเป็นตามนั้น แล้วไปหาวิธีการว่าทำอย่างไรไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน แต่ต้องไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ปัญหาต่างๆ ถ้าเราไม่แก้จากต้นตอของมัน ก็แก้ไม่ได้หมด แต่การแก้ของต้นตอต้องลึกซึ้ง คิดองค์รวม ปัญหาที่เกี่ยวข้อง ทุกหน่วยงาน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มเพราะปัญหาหนึ่ง พาดถึงปัญหาหนึ่ง การทำงานก็กฎหมายต่อกฎหมาย มันเกี่ยวโยงกันทั้งหมด วันนี้เราถึงต้องแก้กฎหมายทั้งหมดแล้วหาวิธีบริหารจัดการที่เหมาะสม ประชาชนต้องร่วมมือ ฉะนั้นประชาชนต้องรู้อนาคต เราอย่าให้ใครมากำหนดอนาคตของเรา แต่ต้องร่วมมือในสิ่งที่ควรร่วมมือ ตามกฎหมาย ไม่ใช่คัดค้านกัน ทุกเรื่องไปเลย วันนี้ก็เป็นปัญหาหมด หลายโครงการทำไม่ได้ เพราะติดเรื่องกลุ่มสิทธิมนุษยชน เอ็นจีโอต่างๆ ก็ต้องช่วยกัน
"บิ๊กป้อม"ไม่หวั่นถูกปองร้าย
ที่กองบิน1 จ.นครราชสีมา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม กล่าวถึงเรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัยภายหลังกรณีมีกลุ่มบุคคลวางแผนประทุษร้ายคนในรัฐบาล รวมถึงตัวพล.อ.ประวิตรเองว่า มาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยของตนไม่ได้มีความเข้มข้นขึ้นแต่อย่างใด เพราะตนไม่ได้มาทำอะไรใคร มีหน้าที่ทำงานให้กับประเทศและประชาชน ดังนั้น จะไปขัดแย้งกับใครและจะมีใครมาทำอะไรตนเพราะไม่ได้ไปเกี่ยวข้องด้วย อีกทั้งตนไม่ใช่แกนหลักของรัฐบาล เป็นเพียงแค่รองนายกฯ คนที่ตัดสินใจคือพล.อ.ประยุทธ์ แต่ตนเป็นเพียงผู้รับผิดชอบร่วมกับนายกฯเท่านั้น
"ที่มาบอกว่าผมตกเป็นเป้าหมาย พร้อม นายกฯ ก็ไม่เป็นอะไร เพราะเป้าก็เคลื่อนที่ ไปมา ไม่ได้อยู่กับที่" พล.อ.ประวิตรกล่าว
ที่กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม(ยธ.) พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงการควบคุมตัวจ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ และนายณัฐพล ณ.วรรณ์เล 2 ผู้ต้องหาฐานหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามมาตรา 112 และเป็นสมาชิกเครือข่ายขอนแก่นโมเดล ซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ภายในเรือนจำชั่วคราว มณฑลทหารบกที่ 11 แขวงถนนนครไชยศรี (มทบ.11) ว่าไม่ได้สั่งการหรือมาตรการอะไรพิเศษ เรือนจำที่เราไปเปิดชั่วคราวภายในมทบ.11 สถานที่และการดูแลสูงกว่าเรือนจำถาวรด้วยซ้ำ และหากตร.ต้องการขอข้อมูลก็ให้ประสานมาได้ เพราะดีเอสไอมีฐานข้อมูลเกี่ยวกับผู้ต้องหาเครือข่ายนี้อยู่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมาทั้งสองหน่วยงานได้ทำงานร่วมกันมาตลอดอยู่แล้ว
ตร.ล่า 7 ผู้ต้องหาขอนแก่นโมเดล
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.ต. ชยพล ฉัตรชัยเดช ผอ.สยศ.ตร. หนึ่งในชุดสอบสวนคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง มาตรา 112 กล่าวถึงความคืบหน้าคดีขอนแก่นโมเดลว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทหารและตำรวจ จับกุมผู้ต้องหา 2 ราย คือจ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ อายุ 60 ปี อดีตตำรวจตชด. ชาวจ.ขอนแก่น และนายณัฐพล ณ.วรรณ์เล อายุ 26 ปี ชาวจ.ขอนแก่น หลังพบความผิดร่วมกันกระทำความผิดซ้ำ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ ตามพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ และมีการสื่อสารตระเตรียมก่อเหตุความวุ่นวายในหลายพื้นที่ ซึ่งศาลได้ออกหมายจับผู้ต้องหาอีก 7 ราย รวมเป็น 9 รายแล้วนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เร่งติดตามหาตัว ผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี โดยส่งเอกสารเกี่ยวกับผู้ต้องหาคดีนี้ไปตามด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ต่างๆ ทั่วประเทศตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งติดตามตัว ผู้ต้องหามาดำเนินคดีตามกฎหมาย
พล.ต.ต.ชยพลกล่าวว่า ผู้ต้องหาที่จับกุมได้ 2 ราย ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารนำตัวมาส่งให้ตำรวจเมื่อวันที่ 26 พ.ย.ที่ผ่านมา จากการสอบสวนเบื้องต้นพบว่า ผู้ต้องหาซัดทอดไปยังกลุ่มบุคคลที่เคยก่อเหตุโพสต์ข้อความหมิ่นสถาบัน ผ่านทางโซเชี่ยลซึ่งขณะนี้ยังคงหลบหนีอยู่ในต่างประเทศ จากนี้พนักงานสอบสวนจึงต้องดำเนินการสอบสวนขยายผลเพิ่มเติมในประเด็นต่างๆ ต่อไป ถ้าหากพบว่ามีผู้เกี่ยวข้องมากกว่า 9 รายจะออกหมายจับเพิ่มเติม
ทหารลั่นข่าวกรองเกาะติดตลอด
ที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน จ.ขอนแก่น (กอ.รมน.จว.ขอนแก่น) พ.อ.จตุรพงศ์ บกบน รอง ผอ.รมน.จว.ขอนแก่น กล่าวว่า หน่วยงานด้านความมั่นคงติดตามผู้ต้องหาที่ศาลทหารได้ออกหมายจับ 9 คน อยู่ในเขต อ.กระนวน จ.ขอนแก่น 2 คน ที่เหลืออยู่ในหลายจังหวัดในภาคอีสานขณะนี้กำลังหลบหนี ทางส่วนกลางได้ประสานกับ กอ.รมน.จว.ขอนแก่นติดตามตัวถ้าพบเมื่อไรต้องจับกุมตัวไปสอบสวนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติทันที
พ.อ.จตุรพงศ์กล่าวว่า บุคคลที่อยู่ในขอนแก่นโมเดล 21-23 คน ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงต้องติดตามพฤติกรรมของกลุ่มคนดังกล่าวตลอดเวลา การสืบสวนหาข่าวพบว่ามีการเคลื่อนไหวแบบเงียบๆ ตลอดเวลาในการเตรียมก่อเหตุได้ทุกเมื่อ ซึ่งกระทบกับความมั่นคงภายในประเทศอย่างแน่นอน กลุ่มนี้พยายามป่วนบ้านเมืองให้เกิดความวุ่นวายมานานมากกว่า 1 ปี โดยไม่ทราบมีใครอยู่เบื้องหลังแต่ต้องการทำให้เกิดขึ้นมา โดยฝ่าย เจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถจับกุมพวกนี้ได้ ซึ่งการข่าวยังไม่ทราบว่ามีใครอยู่เบื้องหลัง หรือมีการสร้างกระแสขึ้นมาหรือไม่
จตุพรติง"ขอนแก่นโมเดล"
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการมองไกลว่า ขอถามพล.อ.ประยุทธ์ถึงการจับกุมจ.ส.ต.ประธินและนายณัฐพล ในคดีความผิดตามมาตรา 112 และความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งเชื่อมโยงกลุ่มขอนแก่นโมเดล และระบุว่าเกี่ยวข้องกับการร่วมชุมนุมกับนปช.นั้น จ.ส.ต.ประทินและนายณัฐพลถูกอุ้มจากบ้านพักไปเก็บตัวไว้ที่ค่ายทหารก่อนถึงงานซ้อมปั่นเพื่อพ่อ ที่จ.ขอนแก่น ในวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา เป็นเวลา 2 วัน และในวันงานไม่มีเหตุการณ์ป่วนเกิดขึ้น ส่วนการกล่าวหาผู้ต้องหาทั้งสองคนว่าเตรียมก่อเหตุป่วนในงานลอยกระทง งานปีใหม่ และวางแผนประทุษร้ายผู้นำของประเทศ ซึ่งลอยกระทงผ่านไปแล้วแต่ไม่เกิดปัญหา ยังเหลืองานปีใหม่และการประทุษร้ายผู้นำประเทศ
นายจตุพรกล่าวว่า ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 2 คนถูกตั้งข้อหาว่ามีแนวคิดก่อการร้าย ซ่องสุมกำลังพล อาวุธ พร้อมจะยึดค่ายทหาร ตำรวจ และหน่วยราชการ ตรวจค้นพบครอบครองอาวุธปืน อาวุธสงคราม กระสุนปืน วัตถุระเบิด ขณะที่ภรรยาของจ.ส.ต.ประธินระบุว่าสามีมีสภาพคนแก่สิ้นหวัง ตกงานอยู่บ้าน ไม่มีศักยภาพใดส่องสุมกำลัง ขณะที่นาย ณัฐพลไม่ได้เล่นเฟซบุ๊กมานานแล้ว ทั้งสองจึงไม่มีพฤติกรรมป่วนหรือประทุษร้าย
โวย"บิ๊กตู่"-นปช.เกี่ยวอย่างไร
"หากพล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.ประวิตรเชื่อว่าผู้ถูกกล่าวหาสองคนมีการสะสมอาวุธ กำลังคน วางแผนยึดค่ายทหาร ตำรวจ เพื่อนำไปใช้ก่อเหตุรุนแรง เป็นเรื่องจริง ทำไมไม่ตั้งข้อกล่าวหา แต่กลับตั้งความผิด ม.112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และเหตุผลที่ตำรวจออกมาแถลงข่าวยังเป็นคนละเรื่องกับหมายจับ และการฝากขังด้วย แต่แถลงเอาง่ายเข้าไว้ เชื่อมโยงผู้ถูกกล่าวหาทั้งสอง ให้ไปเกี่ยวพันกับเหตุการณ์ขอนแก่นโมเดล ให้เป็นเรื่องใหญ่โต แล้วปฏิเสธว่าไม่ใช่การสร้างเรื่องเพื่อกลบข่าวทุจริตโครงการราชภักดิ์" นายจตุพรกล่าว
นายจตุพรกล่าวว่า เหตุการณ์ขอนแก่นโมเดลพวกตนไม่รู้เรื่อง เพราะช่วงที่จับกุมนั้นถูกควบคุมตัวอยู่ในค่ายทหารแห่งหนึ่ง แต่เมื่อมาโยงว่าป่วนการซ้อมงานปั่นเพื่อพ่อไปสู่ขอนแก่นโมเดล และพล.อ.ประยุทธ์ระบุว่า นปช.เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ ทั้งที่นปช. ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย จึงขอเรียนถึงพล.อ. ประยุทธ์ ว่าการชุมนุมของนปช.มีคนมาร่วมหลายแสนคน ตนไม่รู้จักส่วนตัวอยู่แล้ว ถ้าใช้หลักการใครมาชุมนุมแล้วต้องรับผิดชอบ
สวนจะรับผิดคดีคนสนิทอย่างไร
นายจตุพรกล่าวอีกว่า ดังนั้น นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือหมอหยอง ที่มีคดีแอบอ้างเบื้องสูงและคดีอื่นๆ และไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มกปปส. จึงแปลความว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำคนอื่น พร้อมจะรับผิดชอบในกรณีหมอหยองหรือไม่ รวมทั้งศาลทหารที่ออกหมายจับหนึ่งนายทหารยศพลตรีกับพันเอก ซึ่งเป็นมือซ้ายขวาของอดีตผบ.ทบ.และรมช.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ก็ต้องรับผิดกรณี 2 นายทหารด้วย รวมทั้งการรู้จักกับเซียนพระชื่อ "อ" จะต้องรับผิดชอบหรือไม่ ถ้าพล.อ. ประยุทธ์รับ ตนก็รับ เอาแบบนี้หรือไม่
"ดังนั้น ให้เลิกคิดว่าพวกผมต้องการโค่นล้มท่าน ถ้าค่ายทหารขอนแก่น หรือทั้งประเทศ ธนาคาร ถูกตำรวจเกษียณและพวกยึดค่ายได้ อย่ามีค่ายทหารเลย คนพวกนี้จะไปยึดโรงพยาบาลบ้า ยังไม่มีปัญญาเลย และถ้ามีปัญญายึดค่ายทหารจะถูกอุ้มจากบ้านพักหรือ แต่พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าจะป้องกันอย่างไรเพราะต้องลงพื้นที่ ทั้งที่การลงพื้นที่มีทหาร-ตำรวจถึง 2-3 พันนายคอยป้องกัน แล้วท่านเชื่อคนพวกนี้จะประทุษร้ายหรือ ท่านบอกว่าผ่านการรบมา เป็นทหาร แล้วพวกนี้จะยึดค่ายท่านเชื่อหรือ" นายจตุพรกล่าว
ณัฐวุฒิถามหาหลักฐาน
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการนปช. กล่าวว่า แม้รัฐบาลจะยืนยันว่าการจับกุมตัวกลุ่มคนที่เตรียมก่อเหตุวุ่นวายและปองร้ายบุคคลสำคัญนั้น มีหลักฐานชัดเจน แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครทราบว่าหลักฐานที่อ้างคืออะไร เมื่อพิจารณาประกอบกับตัวตนของผู้ต้องหาก็ยิ่งน่าสงสัย ว่าคนพวกนี้มีศักยภาพเพียงพอจะก่อการขนาดนั้นหรือไม่ จะให้ชัด รัฐบาลต้องนำตัวผู้ถูกจับกุมมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน สังคมจะได้ร่วมกันใช้วิจารณญาณว่า นี่คือ นักล่าที่มีคนระดับนายกฯ เป็นเหยื่อ หรือที่จริงพวกเขาเป็นเหยื่อที่ถูกล่า เพื่อแก้ปัญหาทางการเมืองให้ผู้มีอำนาจ
"เกิดเหตุคนในกองทัพเกี่ยวข้องกับการทุจริตอุทยานราชภักดิ์ ท่านบอกเป็นเรื่องบุคคล ไม่เกี่ยวกับองค์กร แต่อยู่ๆ รัฐบาลก็เปิดเรื่องนี้ออกมาแล้วชี้ว่าเกี่ยวข้องกับนปช. ผมยังนึกไม่ออกว่าเราไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ไม่เคยแม้แต่จะคิดได้ยังไง ถ้าเป้าหมายเรื่องนี้อยู่ที่การเบี่ยงเบนประเด็นทุจริตอุทยานราชภักดิ์ ผมมั่นใจว่าไม่สำเร็จ เพราะกรณีนี้ยังขาดน้ำหนักให้สังคมเชื่อ ต่างกับกรณีอุทยานราชภักดิ์ ซึ่งรมช.กลาโหมสารภาพไปแล้วว่ามีทุจริต และข้อมูลแวดล้อมอื่นๆ ก็บ่งชี้เช่นนั้น เมื่อรัฐบาลไม่แสดงความจริงใจจัดการเรื่องนี้ ก็เป็นหน้าที่ของส่วนต่างๆ จะเรียกร้องความจริงและตรวจสอบต่อไป" นายณัฐวุฒิกล่าว
เหวงชี้หวังเบี่ยงคดี"ราชภักดิ์"
นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. กล่าวว่า คนที่ถูกจับกุมถูกกล่าวหาว่าวางแผนลอบสังหาร พล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.ประวิตรนั้นไม่สมเหตุสมผล เห็นได้ว่ารอบตัวนายกฯและรองนายกฯ มีการรักษาความปลอดภัย อารักขาอย่างเข้มงวด แทบจะกล่าวได้ว่ายุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม ดูศักยภาพแล้วเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะไปลอบสังหาร
นพ.เหวงกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นความพยายามจะใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดง ยืนยันว่านปช.ไม่เกี่ยวข้อง เพราะนโยบาย นปช.ดำเนินการโดยสันติวิธี ปราศจากอาวุธ เราปฏิเสธการใช้ความรุนแรง และเท่าที่ติดตามจากสื่อโซเชี่ยลมีเดีย ทราบว่าบางคนที่ถูกจับกุมนั้นเป็นคนสติไม่ดีด้วยซ้ำ จะไปวางแผนลอบสังหารได้อย่างไร แค่คิดก็เป็นเรื่องเหลวไหลและฟั่นเฟือน ที่ผ่านมาคนเสื้อแดงให้ความร่วมมือกับโรดแม็ป แต่คสช.กลับพยายามสร้างสถานการณ์ให้เกิดความปั่นป่วนติดต่อกันหลายเรื่อง จึงต้องการใส่ร้ายคนเสื้อแดงให้กลายเป็นเหยื่อ ตั้งใจสร้างเรื่องเบี่ยงเบนความสนใจของสังคมจาก อุทยานราชภักดิ์ที่ฉาวโฉ่ขึ้นทุกที
มีชัยยังไม่สรุปอุทธรณ์คดีการเมือง
ที่รัฐสภา นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมว่า ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า ที่มาส.ว.จากการเลือกตั้งทางอ้อม ซึ่งขณะนี้กรธ.พิจารณาอยู่ว่าจะจัดกลุ่มทางสังคมให้ครอบ คลุมประชาชนทั้งประเทศอย่างไร แนวทางนี้มีข้อดีคือ ส.ว.จะปลอดจากการแทรกแซงโดยพรรคการเมือง ส่วนหน้าที่ก็ตัดอำนาจการถอดถอนทิ้งไป เพราะไม่เหมาะกับวัฒนธรรมไทย ที่ขี้สงสาร มีพรรคพวก ส่วนที่เหลือจะมีหน้าที่แต่งตั้งองค์กรอิสระ กลั่นกรองกฎหมาย ซึ่งดูอยู่ว่าอาจจะทำให้รวดเร็วขึ้นเพื่อให้มีประสิทธิภาพ ด้วยการลดขั้นตอนการพิจารณาวาระแรก ไปรวมกับวาระ 2 ชั้นการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ขึ้นมาพิจารณาเลย
เมื่อถามถึงการอุทธรณ์ในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายมีชัย กล่าวว่า กำลังปรึกษาหารือกับตัวแทนจากศาลฎีกาอยู่ว่าจะใช้กฎหมายอย่างไร เบื้องต้นมองว่าเมื่อมีการอุทธรณ์ อาจตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมาเพราะใช้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาที่มี 100 กว่าคนคงไม่ได้ ทั้งนี้คณะกรรมการชุดใหม่อาจต้องใช้บุคคลระดับหัวหน้าผู้พิพากษา เพื่อไม่ให้มีปัญหา หากผลที่ออกมาแตกต่างจากคำพิพากษาของชั้นต้น ขณะเดียวกันยังมองอีกว่าการอุทธรณ์จะให้ทำได้ทั้งทางข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ถ้าให้ทำได้แค่ข้อกฎหมายอย่างเดียวก็ไม่ยาก ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่ได้ข้อยุติ
ชี้คดีข้าว"ปู"จบก่อนรธน.เสร็จ
เมื่อถามว่าเนื้อหาส่วนนี้จะถูกนำไปใช้ กับน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ถูกฟ้องในคดีโครงการรับจำนำข้าวหรือไม่ นายมีชัยกล่าวว่า กว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้จะใช้ คดีนั้น คงจบไปแล้ว
เมื่อถามถึงการเข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ครั้งล่าสุด นายมีชัยกล่าวว่า นายกฯ แจกหนังสือเรื่อง กับดักประชาธิปไตย ให้ครม.ไปอ่าน และบอกว่าจะนำมาออกข้อสอบ ตนจึงได้มาด้วยหนึ่งเล่ม โดยหนังสือเล่มนี้กล่าวถึงสถานการณ์ในต่างประเทศ ซึ่งคล้ายกับบ้านเรา ที่การเลือกตั้งไม่ได้แก้ปัญหา เป็นเพียงพิธีการที่ไม่ได้สร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้น
โยนสูตรปาร์ตี้ลิสต์ไว้ในกม.ลูก
นายนรชิต สิงหเสนี โฆษก กรธ. แถลงผลการประชุมกรธ. ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับรัฐสภา โดยกำหนดหลักการเกี่ยวกับผู้สมัครส.ส.ทั้งระบบแบ่งเขต และบัญชีรายชื่อ ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การจัดทำบัญชีรายชื่อ การแบ่งเขตการเลือกตั้ง และอื่นๆ ให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การกำหนดหลักการให้ ผู้ได้รับคะแนนสูงสุดของแต่ละเขตเลือกตั้งเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส.ระบบเขต รวมถึงกำหนดหลักการคำนวณหาส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ส่วนรายละเอียดหลักเกณฑ์วิธีการคำนวณการนับคะแนน การคิดอัตราส่วน และการประกาศผลเลือกตั้งให้เป็นไปตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญต่อไป
นายนรชิตกล่าวว่า ที่ประชุมได้พิจารณากำหนดหลักการเกี่ยวกับระยะเวลาในการประกาศผลการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ภายใน 30 วัน ซึ่งหากมีการเลือกตั้งซ่อมทางกกต.เสนอว่า ให้ดำเนินการจัดการเลือกตั้งใหม่ภายใน 30 วัน และประกาศผลภายใน 15 วัน เพื่อให้มีการจัดตั้งรัฐบาลได้โดยเร็ว สำหรับเกณฑ์ขั้นต่ำในการเปิดประชุมรัฐสภาได้นั้น ทางกรธ.วางไว้ที่ 90-95% ของจำนวนส.ส. ซึ่งยังไม่ได้ข้อยุติ เพราะเห็นว่าหากใช้จำนวน 95% อาจเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ครบได้ ดังนั้นความเป็นไปได้น่าจะอยู่ที่ 90% ส่วนกรณีที่บางเขตที่มีคะแนนโหวตโนชนะนั้น ทางกรธ.เห็นว่าแนวโน้มขณะนี้คือให้เลือกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ส.ส. ส่วนจะให้ผู้สมัครคนเดิมลงสมัครได้อีกหรือไม่ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อยุติ
ถูกระงับสิทธิเลือกตั้งห้ามสมัคร
นายนรชิตกล่าวว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้กำหนดเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง รวมถึงหลักการเกี่ยวกับคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส. โดยที่ประชุมยังไม่ได้ข้อยุติ แต่ที่สามารถบอกได้คือ ต้องไม่เป็นผู้ที่อยู่ในระหว่างถูกระงับสิทธิเลือกตั้ง รวมทั้งถูกจำคุกโดยหมายศาล ในคดีอาญา และคดีทุจริต เว้นแต่ถูกจำคุกในคดีหมิ่นประมาท หรือคดีลหุโทษ ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าจะมีพ.ร.บ.ล้างมลทิน ทำให้บุคคลที่เคยถูกจำคุกพ้นผิดไปแล้ว ก็ไม่มีสิทธิที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งตลอดไป
"เพราะเราต้องการวางมาตรการทางจริย ธรรมของนักการเมืองให้สูงกว่าผู้อื่น ส่วนกรณีของสมาชิกบ้านเลขที่ 111 และ 109 ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองและพ้นโทษมาแล้วนั้น ตนคิดว่าไม่เกี่ยว เพราะเป็นการตัดสิทธิตามระยะเวลาที่กำหนดไปแล้ว ส่วนผู้ที่ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งจะมีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่นั้นทางกรธ.กำลังพิจารณาอยู่" นายนรชิตกล่าว
อสส.แจงเลื่อนนัดฟ้องบ.บุหรี่
เมื่อวันที่ 27 พ.ย. ที่ห้องพิพิธภัณฑ์อัยการไทย สำนักอัยการสูงสุด ชั้น 11 นายชาติพงษ์ จีระพันธุ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 พร้อมนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักอัยการสูงสุด แถลงความคืบหน้ากรณีฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ดหรือ PMTL หลีกเลี่ยงภาษีบุหรี่ มูลค่าความเสียหาย 52,000 ล้านบาท โดยอัยการนัด PMTL ซึ่งเป็นนิติบุคคลโดยนายทรอย เจ ม้อดลิน สัญชาติอเมริกัน เป็นผู้ต้องหาที่ 1 มาฟังคำสั่งในวันนี้นั้น
นายชาติพงษ์กล่าวว่า วันนี้ทนายความผู้รับมอบอำนาจของนายม้อดลิน ซึ่งเป็นตัวแทนนิติบุคคลของ PMTL มายื่นหนังสือขอเลื่อนนัดฟังคำสั่งของอัยการ โดยอ้างว่านายม้อดลิน ได้ไปยื่นหนังสือขอใบอนุญาตทำงานต่อที่ประเทศอินโดนีเซีย แต่การยื่นต้องใช้พาสปอร์ต และกระทรวงแรงงานของอินโดนีเซียออกหนังสือรับรองว่าพาสปอร์ตของนายม้อดลิน อยู่ที่กระทรวงแรงงานอินโดนีเซียจริงและทำให้นายม้อดลิน ไม่สามารถเดินทางออกมาจากประเทศอินโดนีเซียมารายงานตัวกับอัยการได้ ซึ่งอัยการพิจารณาแล้วเห็นว่าเอกสารที่นำมายื่นแท้จริง มีตราประทับของรัฐบาลอย่างถูกต้อง และเห็นว่ามีเหตุจำเป็นที่นายม้อดลิน ไม่สามารถรายงานตัวในวันนี้ได้จึงอนุญาตให้เลื่อนนัดฟังคำสั่งออกไปในวันที่ 19 ม.ค. 2559 เวลา 09.30 น. พร้อมผู้ต้องหาที่เป็นชาวไทยอีก 7 ราย
เมื่อถามว่านายม้อดลิน มีพฤติการณ์หลบหนี และควรจะออกหมายจับหรือไม่ นาย ชาติพงษ์กล่าวว่า อัยการมองว่า นายม้อดลิน เป็นเพียงตัวแทนของนิติบุคคล ถ้าอัยการนำตัวส่งฟ้องศาลแล้วศาลฟังว่ามีความผิดจริงจะลงโทษ PMTL ซึ่งนายม้อดลิน เป็นเพียงตัวแทนไม่ต้องรับโทษ ฉะนั้นนายม้อดลิน ไม่น่ามีพฤติการณ์หลบหนี โดยวันนี้นายม้อดลิน ไม่ได้มารายงานตัวเพื่อฟังคำสั่ง แต่ก็ส่งทนายความผู้รับมอบอำนาจมาพบกับพนักงานอัยการตลอด
โปรดเกล้าฯ7กสม.-"วัส"นั่งปธ.
วันที่ 27 พ.ย. ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระบรมราชโองการ ประกาศแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ความว่า ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามประกาศลงวันที่ 25 มิ.ย. 2552 นั้น บัดนี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทั้งคณะ พ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากครบวาระ 6 ปี เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2558 ตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง แห่งพ.ร.บ.คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้ลงมติเห็นชอบให้ผู้ซึ่งมีความรู้หรือประสบการณ์ด้านการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นที่ประจักษ์ ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของผู้แทนจากองค์การเอกชนด้านสิทธิมนุษยชนให้เป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 7 คน และบุคคลทั้ง 7 คนได้ประชุมและเลือกกันเองให้คนหนึ่งเป็นประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติแล้ว
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 6 ประกอบมาตรา 24 ของรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ดังนี้ นายวัส ติงสมิตร เป็นประธาน นางฉัตรสุดา จันทร์ดียิ่ง นางประกายรัตน์ ต้นธีรวงศ์ นายสุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย นางอังคณา นีละไพจิตร นางเตือนใจ ดีเทศน์ นายชาติชาย สุทธิกลม เป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 20 พ.ย. 2558 เป็นปีที่ 70 ในรัชกาลปัจจุบัน ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ