- Details
- Category: การเมือง
- Published: Thursday, 26 November 2015 10:20
- Hits: 4626
ออกหมายจับ 112 'เสธ.โต'พตอ.-พตท.กองปราบ ถอดยศ-พอ.คชาชาต วิชายังไม่ลงลึกราชภักดิ์ ปมหัวคิวให้ถามบิ๊กโด่ง บิ๊กแป๊ะแจงเด้งผบช.ส.
'ผู้การโต'พล.ต.สุชาติ พรมใหม่ ไม่รอด ศาลทหารออกหมายจับพร้อมกับพ.ต.อ. ไพโรจน์ โรจนขจร อดีตผกก. 2 ป. และพ.ต.ท.ธรรมวัฒน์ หิรัณยเลขา อดีตรองผกก. 2 ป. ความผิด ม.112 แอบอ้างเบื้องสูง "ศรีวราห์"ระบุขอศาลอนุมัติหมายจับนายตำรวจยศสูงกว่าพ.ต.อ. รวมทั้งทหาร-พลเรือนมากกว่า 4 แต่ไม่ถึง 10 คน คุมตัว"อาท"คนสนิทหมอหยองฝากขังศาลทหารผัดที่ 4 เลขาฯปปง.เผยพบเส้นทางการเงินเครือข่ายหยอง-เอี๊ยดกว่า 30 ล้าน ป.ป.ช. "วิชา"ให้ไปถาม"บิ๊กโด่ง"เรื่องหัวคิวราชภักดิ์ เพราะป.ป.ช.ยังไม่ได้ลงรายละเอียด ผบ.ตร.บิ๊กแป๊ะแจงย้ายผบช.สันติบาลเพื่อมาทำงานพิเศษ ไม่เกี่ยวกับคดีแอบอ้างเบื้องสูง ถอดยศและยึดคืนเครื่องราชฯ"เสธ.โจ้"พ.อ.คชาชาต บุญดี ผู้ต้องหา 112 คู่หูผู้การโต
วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 25 ฉบับที่ 9129 ข่าวสดรายวัน
หมายจับ - พล.ต.สุชาติ พรมใหม่ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิทบ. (ที่ 2 จากขวา) ถูกศาลทหารออกหมายจับคดีแอบอ้างเบื้องสูง ขณะที่เว็บไซต์ ราชกิจจาฯ ออกประกาศถอดยศพ.อ.คชาชาต บุญดี (ยืนติดกัน)
เมื่อวันที่ 25 พ.ย. พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีคำสั่งให้พล.ต.ท.รอย อิงคไพโรจน์ ผบช.สันติบาล มาปฏิบัติราชการที่ศปก.ตร. ว่า สาเหตุที่มี คำสั่งดังกล่าวเนื่องจากมีภารกิจเฉพาะเกี่ยวกับงานด้านความมั่นคงให้ พล.ต.ท.รอยรับผิดชอบ เป็นภารกิจที่จะต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เกรงว่าหากให้อยู่ในตำแหน่งเดิมการปฏิบัติภารกิจจะขาดช่วง ซึ่งเป็นการใช้งานตามปกติ ไม่เกี่ยวคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และไม่ใช่เป็นการลงโทษ ตรงนี้เป็นเรื่องของความไว้ใจ
"เรื่องนี้เป็นเรื่องภายใน เป็นเรื่องการบริหารของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามปกติอยู่แล้ว โดยภารกิจพิเศษนี้เป็นเรื่องการประสานงานระหว่างประเทศด้วย เนื่องจากพล.ต.ท.รอยเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ ทั้งด้านภาษาอังกฤษ และด้านการสืบสวนสอบสวน แม้เรื่องของภาษากองการต่างประเทศจะสามารถทำได้ แต่ไม่มีความรู้ด้านการสืบสวนสอบสวน อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการปรับย้ายพล.ต.ท.รอยจะไม่สร้างความระส่ำระสายในหน่วยงาน" ผบ.ตร.กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวเตรียมปรับย้ายพล.ต.ต.อัคราเดช พิมลศรี ผบก.ป. ต่อจากย้ายผบช.สันติบาล พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า ยังไม่มีการปรับย้าย ตนก็ไม่ทราบว่าเอาข่าวมาจากไหน เมื่อถามว่าพล.ต.ท.รอยยินดีกับคำสั่งปรับย้ายครั้งนี้หรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า ตอนนี้ก็มารอพบตนอยู่ที่ศปก.ตร. เดี๋ยวจะไปมอบหมายงานให้ เมื่อถามว่ารู้สึกกดดันหรือหวั่นไหวหรือไม่ที่มีตำรวจจำนวนมากเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ผบ.ตร.กล่าวว่า ตนรู้อยู่แล้วว่าตำแหน่ง ผบ.ตร.มีความท้าทาย จะไปกดดันอะไร ต้องรับได้ทั้งหมดอยู่แล้ว ไม่รู้สึกกังวลอะไร ทำงานไปตามหน้าที่ เป็นไปตามข้อกฎหมาย
ด้านพล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบ สวนคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง เปิดเผยว่า ช่วงเช้าวันนี้พนักงานสอบสวนได้ขอศาลอาญา และศาลอาญากรุงเทพใต้ ออกหมายจับพ.ต.อ. ไพโรจน์ โรจน์ขจร อดีตผกก. 2 บก.ป. และพ.ต.ท.ธรรมวัฒน์ หิรัณยเลขา อดีตรองผกก. 2 บก.ป. และนายตำรวจที่ยศสูงกว่าพ.ต.อ. รวมถึงทหารและพลเรือนมากกว่า 4 คน แต่ไม่ถึง 10 คน ซึ่งทำความผิดต่างกรรม ต่างวาระ โดยพนักงานสอบสวนมีพยาน เอกสาร วัตถุพยาน และพยานบุคคล จึงมั่นใจว่าศาลจะอนุมัติตามที่ร้องขอ ทั้งนี้ได้ส่งเจ้าหน้าที่ประกบและติดตามความเคลื่อนไหวของผู้ที่เสนอศาลออกหมายจับแล้ว
รองผบ.ตร.กล่าวต่อว่า นอกจากนี้เมื่อวานที่ผ่านมา ศาลทหารออกหมายจับนายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ เลขาฯคนสนิทนายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือหมอหยอง ในความผิดหมิ่นเบื้องสูงอีก 1 คดี จึงเป็นสำนวนที่ 17 สำหรับสำนวนคดีความผิดตามมาตรา 112 ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงาน สอบสวน 7 สำนวน และอาจมีผู้ที่เสนอศาลออกหมายจับเพิ่มเติมได้อีก
ส่วนกรณีที่มีการร้องทุกข์กล่าวโทษกรณีทุจริตอุทยานราชภักดิ์นั้น รองผบ.ตร.กล่าวว่า ในฐานะนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ทราบว่ามีการกล่าวโทษตามข่าวในหนังสือพิมพ์เท่านั้น ไม่ใช่การร้องทุกข์ จึงยังไม่เป็นคดี ตามกฎหมายตำรวจต้องเชิญหนังสือพิมพ์มาสอบสวนว่าเสนอข่าวนั้นจริงหรือไม่ เอาข่าวมาจากไหน หากไม่มีมูลก็จะยุติไปตามกระบวน การของกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ศาลทหารกรุงเทพ อนุมัติตามคำร้องของพนักงานสอบสวน กองปราบปราม เพื่อออกหมายจับกุมอดีตนายทหารและตำรวจในข้อหากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ประกอบด้วย 1.หมายจับเลขที่ 46/2558 และ 47/2558 พล.ต.สุชาติ พรมใหม่ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก และอดีตนายทหารคนสนิท ของพล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123 ว่าด้วย เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในพฤติการณ์ที่อาจทําให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีตําแหน่ง หรือหน้าที่ ทั้งที่ตนมิได้มีตําแหน่งหรือหน้าที่นั้น เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสําหรับตนเองหรือผู้อื่น ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจําและปรับ
2.พ.ต.อ.ไพโรจน์ โรจนขจร อดีตผกก.2 บก.ป. หมายจับเลขที่ 48/2558 ความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และ 3.พ.ต.ท.ธรรมวัฒน์ หิรัณยเลขา อดีตรองผกก.2 บก.ป. ตามหมายจับเลขที่ 49/2558 ความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราช การแทนพระองค์ และความผิดตามพ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123 ว่าด้วย เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในพฤติการณ์ที่อาจทําให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีตําแหน่งหรือหน้าที่ ทั้งที่ตนมิได้มีตําแหน่งหรือ หน้าที่นั้น เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสําหรับตนเองหรือ ผู้อื่น ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึง สิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
ทั้งนี้ในการขออนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย เนื่องจากในการสืบสวนสอบสวน พบข้อมูลสำคัญและพฤติการณ์แอบอ้างเบื้องสูงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ โดยพล.ต.สุชาติพบการกระทำความผิดร่วมกับพ.อ.คชาชาต บุญดี ผู้ต้องหาคดีความผิดตามมาตรา 112 ที่ถูกออกหมายจับก่อนหน้านี้ ในการไปขอเงินสนับสนุนเพื่อมาทำเสื้อที่ใช้ในกิจกรรมสำคัญ
ส่วนพ.ต.อ.ไพโรจน์พบพฤติกรรมร่วมกับพ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา หรือสารวัตรเอี๊ยดที่เสียชีวิตไปแล้ว แอบอ้างสถาบันเบื้องสูงเพื่อไปขอเบอร์โทรศัพท์วีไอพีจากกสทช. ขณะที่พ.ต.ท.ธรรมวัฒน์พบว่ามีพฤติกรรมแอบอ้างเบื้องสูง ไปเรียกรับค่าหัวคิวส่วนแบ่งโฆษณาประชาสัมพันธ์ ในกิจกรรมสำคัญทางโทรทัศน์จากผู้ประกอบการภาคเอกชนหลายแห่ง
รายงานข่าวจากกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า ภายหลังพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม มอบหมายพล.อ. ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการจัดสร้างโครงการอุทยานราชภักดิ์นั้น ล่าสุดพล.อ. ปรีชามอบให้รองปลัดกระทรวงกลาโหม 3 คน ประกอบด้วย พล.ร.อ.อุทัย รัตตะรังสี พล.อ.ชาญชัย ช้างมงคล และพล.อ.อ.ศิวเกียรติ์ ชเยมะ เป็นผู้คัดเลือกบุคคลที่จะเข้ามาเป็นคณะกรรมการตรวจสอบอุทยานราชภักดิ์ พร้อมให้นำรายชื่อดังกล่าวเสนอพล.อ. ประวิตรคัดเลือกอีกครั้ง เนื่องจากพล.อ.ปรีชาเคยเป็นคณะกรรมการในโครงการก่อสร้าง อุทยานราชภักดิ์ สมัยเป็นผู้ช่วยผบ.ทบ. และพล.อ.พอพล มณีรินทร์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม เคยเป็นคณะกรรมการก่อสร้าง อุทยานราชภักดิ์ สมัยเป็นที่ปรึกษากองทัพบก คาดว่าจะได้ความชัดเจนภายในสัปดาห์นี้ หากได้ประธานคณะกรรมการแล้ว ในส่วนของกรรมการจะใช้บุคลากรจากกรมเสมียนตรา, กรมพระธรรมนูญ หรือสำนักงานจเรทหารทั่วไป
เมื่อเวลา 10.30 น. ที่ศาลทหารกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์พร้อมด้วยตำรวจและทหารคุมตัว นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ หรืออาท คนสนิทของนายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือหมอหยอง จากเรือนจำชั่วคราวมทบ.11 มายังศาลทหารกรุงเทพฯ เพื่อขออำนาจศาลทหารฝากขังผัดที่ 4 ตั้งแต่วันที่ 26 พ.ย.-7 ธ.ค.2558 โดยนายจิรวงศ์ถูกแจ้งข้อหากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แอบอ้างมีความใกล้ชิดกับสถาบันเบื้องสูง และเรียกรับผลประโยชน์จากบริษัทเอกชน รวม 13 คดี กระทั่งถูกออกหมายจับเมื่อวันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งระหว่างถูกควบคุมมายังศาลทหาร ทั้งนี้ศาลทหารอนุมัติให้ฝากขังนายจิรวงศ์ ต่อเป็นผัดที่ 4 และให้นำตัวไปควบคุมต่อที่เรือนจำชั่วคราวมทบ.11
วันเดียวกันที่สำนักงานคณะกรรมการป.ป.ช. นายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช. ให้สัมภาษณ์ถึงการตรวจสอบอุทยานราชภักดิ์ ว่า เรื่องนี้อย่าเพิ่งกล่าวหากันรุนแรง เนื่องจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ หัวหน้าคสช.ระบุว่าอย่าไปเชื่อมโยงเพราะเป็นเรื่องบุคคล ซึ่งกองทัพบกได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนผู้มีจิตศรัทธา ซึ่งสิ่งที่ตนและรัฐบาลกังวล เรื่องความจงรักภักดีนั้นเป็นความบริสุทธิ์ แต่อาจ มีการแสวงหาผลประโยชน์จากโครงการนี้ จึงต้องแยกให้ออกว่าอะไรคือความบริสุทธิ์ และอะไรคือการเข้ามาหากิน
นายวิชาก ล่าวต่อว่า เชื่อว่าคนไทยทุกคนต้องการรู้ว่าใครมีความเลวร้ายแบบนั้น ซึ่งกองทัพบกได้ไปแจ้งความเพื่อดำเนินการกับคนที่อาศัยความจงรักภักดีแสวงหาผลประโยชน์แล้ว ดังนั้นต้องร่วมมือทุกฝ่าย และสำนักงานป.ป.ช.เก็บข้อมูลและทำให้ชัดเจน เบื้องต้นยังไม่ได้ประเมินผลการตรวจสอบของกองทัพแต่อย่างใด เพราะป.ป.ช.ขอข้อมูลในส่วนนี้อยู่ว่ากองทัพมีข้อมูลอะไรแล้วบ้าง อย่างเรื่องที่บอกว่ามีคนไปเรียกเก็บค่าหัวคิวโรงหล่อ ก็ต้องขอข้อมูลมาให้หมด ต้องดูว่ามีเจ้าหน้ารัฐที่เกี่ยวข้องหรือไม่ หากพบว่าไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องก็ต้องส่งให้ตำรวจดำเนินการต่อ ตอนนี้ทราบว่ามีคนไปฟ้องร้องต่อตำรวจแล้ว หากมีความเกี่ยวข้องกับป.ป.ช. ตำรวจคงส่งมาให้ป.ป.ช.เอง
นายวิชากล่าวอีกว่า ส่วนป.ป.ช.จะเข้าไปตรวจสอบได้หรือไม่นั้น ต้องดูภาพรวมทั้งหมด โดยมากแล้วการไต่สวนจะดูแบบบูรณาการว่าเรื่องนั้นเชื่อมโยงถึงไหน อย่างไร เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยู่ในความชำนาญของป.ป.ช.อยู่แล้ว แต่ตอนนี้ยังอยู่ในชั้นแสวงหาข้อเท็จจริง
นายวิชา กล่าวว่า ส่วนที่พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ระบุมีการหักค่าหัวคิวโรงหล่อส่อว่าทุจริตหรือไม่นั้น ขอให้ไปถามพล.อ.อุดมเดชที่เป็นคนพูดเรื่องนี้ เพราะยังไม่ได้รายละเอียดตรงนี้ จึงต้องรอข้อมูลจาก ทุกฝ่าย ส่วนเรื่องงบประมาณก่อสร้างยังไม่ชัดเจนว่าเป็นงบประมาณแผ่นดินหรือไม่ จึงต้องรอให้แยกแยะให้ชัดเจนก่อน ซึ่งป.ป.ช. มอบหมายฝ่ายเลขาฯดำเนินการแล้ว ยืนยันว่าป.ป.ช.มีอิสระในการทำงาน เพราะทุกคนต้องการความบริสุทธิ์ และความจงรักภักดี ไม่มีใครมาเหยียบย่ำหรือเหยียดหยามได้ ส่วนที่มีบางฝ่ายปรามาสป.ป.ช.ไม่กล้าตรวจสอบโครงการนี้นั้นก็ไม่เป็นไร เพราะทุกเรื่องก็เป็นแบบนี้ แต่เราทำงานลุล่วงทุกคดี
ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พ.ต.อ. สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการปปง. กล่าวถึงการตรวจสอบเส้นทางการเงินของพ.ต.ต. ปรากรม วารุณประภา หรือสารวัตรเอี๊ยด และนายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือหมอหยอง กับพวก ว่า ปปง.กำลังตรวจสอบและมีคำสั่งอายัดทรัพย์สินของเครือข่ายดังกล่าวแล้ว โดยพบจำนวนทรัพย์สินกว่า 10 รายการ รวมเป็นจำนวนเงินกว่า 30 ล้านบาท ซึ่งทรัพย์สิน ดังกล่าว เป็นทรัพย์สินที่เครือข่ายนี้ใช้วิธี การแอบอ้างรับเงินบริจาคจากภาคเอกชน ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ก่อนจะนำมา ใช้ประโยชน์ส่วนตัว อย่างไรก็ตามยังไม่สามารถระบุได้ว่ามีการเรียกรับเงินทั้งหมดกี่โครงการ แต่จากการตรวจสอบพบว่าเครือข่ายนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่โครงการปั่นเพื่อแม่ ทั้งนี้ไม่พบการโอนเงินออกไปยังต่างประเทศ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสำนักนายกฯ เรื่อง พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ถอดยศทหาร และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรม ราชานุญาตให้ถอดพ.อ.คชาชาต บุญดี ออกจากยศทหาร ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย. 2558 ซึ่งเป็นวันที่มีคำสั่งปลดออกจากราชการ เนื่องจากต้องหาคดีอาญาฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และได้หลบหนีคดีเดินทางออกนอกราชอาณาจักร กับประพฤติ ชั่วอย่างร้ายแรง ทั้งนี้ ตามข้อ 2 ของระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยผู้ซึ่งไม่สมควรจะดำรงอยู่ในยศทหารและบรรดาศักดิ์ พ.ศ. 2507 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย ตริตาภรณ์มงกุฎไทย จัตุรถาภรณ์ช้างเผือก และจัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย ที่บุคคลดังกล่าวได้รับพระราชทานตามข้อ 6 และ ข้อ 7 (4) ของระเบียบสำนักนายกฯว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. 2548 ประกาศ ณ วันที่ 25 พ.ย. 2558 ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ
หมายจับคนสนิท'โด่ง'เสธ.สุชาติ 'พตอ.-พตท.'โดนด้วย คดีทุจริต-อ้างเบื้องสูง ถอดยศพ.อ.คชาชาต ศรีวราห์ชี้มีคนผิดอีก ศาลสั่งขัง"อาท"ผลัด 4 'ติ๊ก'ลุยสอบราชภักดิ์
ถอดยศ-ยึดคืนเครื่องราชฯ 'พ.อ.คชาชาต'หนีคดี ม.112 ศาลทหารอนุมัติหมายจับ 'เสธ.โต-พ.ต.อ.-พ.ต.ท.'หมิ่นเบื้องสูง
@ "บิ๊กแป๊ะ"แจงย้าย"ผบช.ส."
เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงคำสั่งให้ พล.ต.ท.รอย อิงคไพโรจน์ ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล (ผบช.ส.) ปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) ว่า เนื่องจากมีภารกิจเฉพาะเกี่ยวกับงานด้านความมั่นคงให้ พล.ต.ท.รอยรับผิดชอบ เป็นภารกิจที่จะต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เกรงว่าหากให้อยู่ในตำแหน่งเดิมการปฏิบัติภารกิจจะขาดช่วง ซึ่งเป็นการใช้งานตามปกติ ไม่เกี่ยวคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และไม่ใช่เป็นการลงโทษ ตรงนี้เป็นเรื่องของความไว้ใจ ทั้งนี้ หาก พล.ต.ท.รอยดำรงตำแหน่ง ผบช.ส. ก็สามารถปฏิบัติภารกิจพิเศษนี้ได้ แต่จะไม่มีความต่อเนื่อง เพราะมีงานหลักที่ต้องรับผิดชอบอยู่
"เรื่องนี้เป็นเรื่องภายใน เป็นเรื่องการบริหารของ ตร.ตามปกติอยู่แล้ว โดยภารกิจพิเศษนี้เป็นเรื่องการประสานงานระหว่างประเทศด้วย เนื่องจาก พล.ต.ท.รอยเป็นผู้มีความรู้ความสามารถทั้งด้านภาษาอังกฤษและด้านการสืบสวนสอบสวน แม้เรื่องของภาษา กองการต่างประเทศจะทำได้ แต่ไม่มีความรู้ด้านการสืบสวนสอบสวน อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการปรับย้าย พล.ต.ท.รอย จะไม่สร้างความระส่ำระสายในหน่วยงาน" ผบ.ตร.กล่าว
@ ยังไม่เด้ง"ผู้การฯกองปราบ"
ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวการปรับย้าย พล.ต.ต.อัคราเดช พิมลศรี ผบก.ป. พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า ยังไม่มีการปรับย้าย ซึ่งไม่ทราบว่าเอาข่าวมาจากไหน เมื่อถามว่า การมีคำสั่งช่วยราชการครั้งนี้ พล.ต.ท.รอยยินดีหรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า พล.ต.ท.รอยก็มารอพบตนอยู่ที่ ศปก.ตร. เดี๋ยวจะไปมอบหมายงานให้ส่วนกระแสข่าวการปรับย้ายตำรวจจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับความผิดหมิ่นสถาบันฯ พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่ทราบ ส่วนการเสนอศาลออกหมายจับตำรวจที่เกี่ยวข้องคดีหมิ่นสถาบันฯ เพิ่มเติม ทราบว่าในขณะนี้มีเพียง 2 นาย ส่วนจะมีมากกว่านี้หรือไม่ ถ้ามีส่วนเกี่ยวข้องก็ต้องดำเนินการ
@ "ศรีวราห์"เผยยื่นหมายจับอีกอื้อ
พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ด้านความมั่นคง ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีหมิ่นสถาบันฯกล่าวถึงผลการสอบสวนว่า เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ศาลทหารได้อนุมัติหมายจับนายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ หรืออาท เลขานุการส่วนตัวนายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือหมอหยอง เพิ่มเติมในข้อหาความผิดตามมาตรา 112 หลังพบว่าร่วมกระทำผิดในกรรมอื่นๆ ซึ่งอยู่ใน 7 สำนวนที่กำลังสอบสวน ขณะเดียวกันเช้าวันนี้คณะพนักงานสอบสวนได้ยื่นต่อศาลทหารและศาลอาญารัชดาภิเษก ขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาในความผิดมาตรา 112 และมาตราอื่นๆ เช่น กรณีเกี่ยวข้องกับอาวุธปืนและวิทยุสื่อสารเพิ่มเติม โดยในจำนวนนี้มี พ.ต.อ.ไพโรจน์ โรจนขจร อดีต ผกก.2 ป. และ พ.ต.ท.ธรรมวัฒน์ หิรัญเลขา อดีตรอง ผกก.2 บก.ป.ที่ลาออกไปแล้ว และยังมีตำรวจที่ยศสูงกว่า พ.ต.อ.-ทหารและพลเรือน รวมมากกว่า 4 คน แต่ถึง 10 คนหรือไม่จำจำนวน ชั้นยศ และชื่อไม่ได้ รอให้ศาลอนุมัติหมายจับก่อนจึงชี้แจงได้ โดยในกลุ่มนี้มีทั้งที่เป็นเครือข่ายของนายสุริยัน และกลุ่มที่ไม่ใช่เครือข่าย ทั้งนี้จากการสอบสวนถึงขณะนี้กลุ่มของนายสุริยันนั้น มีนายสุริยันใหญ่ที่สุด สูงที่สุดแล้ว
@ มั่นใจพยานหลักฐานเอาผิด
พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าวว่า การขออนุมัติหมายจับล่าสุดเป็นการสืบสวนสอบสวนขยายผลใน 7 สำนวนที่ตนกำลังดำเนินการสอบสวน คาดว่าจะขยายผลไปสู่การออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีก ขณะที่การขออนุมัติหมายจับล่าสุดนั้นมั่นใจในพยานหลักฐาน ทั้งเอกสาร วัตถุพยาน โดยเพราะพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ทางเทคนิค ไม่ได้เอาความลับ หรือคำซัดทอด หรือคำสารภาพไปขอหมายจับ แต่ดูจากหลักฐานทั้งหมดจนมั่นใจเราต้องชัดเจน มิฉะนั้นเป็นการละเมิดอำนาจศาล ทั้งนี้อยู่ที่ดุลพินิจศาลจะอนุมัติหรือไม่หรืออาจให้สอบสวนเพิ่มเติมก็ได้
เมื่อถามว่า ตำรวจที่ออกหมายจับระดับชั้นยศ พล.ต.อ.ที่ลาออกไปแล้วหรือไม่ พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าวว่า รอให้ศาลพิจารณาอนุมัติก่อนดีกว่า ส่วน พล.ต.ต.อัคราเดชทีมีกระแสข่าวว่าอาจพัวพันในคดีก็ไม่ปรากฏในสำนวนเช่นเดียวกับ พล.ต.ท.รอย และในชั้นนี้ยังไม่มีการออกหมายจับในสำนวนคดีที่เกี่ยวข้องกับบริษัทสามารถ คอร์ปอเรชั่นฯ ยังอยู่ระหว่างพิจารณา อย่างไรก็ตามเร็วๆ นี้พล.ต.อ.จักรทิพย์จะส่งสำนวนคดี 112 อีก 3 สำนวนให้คณะพนักงานสอบสวนชุดตนดำเนินการ
@ หมายจับ"เสธ.โต"คดี112-123
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันเดียวกันนี้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามไปขอหมายจับจากศาลทหารกรุงเทพ ผู้ต้องหา 3 ราย แบ่งเป็น 4 หมายจับ ประกอบด้วย พล.ต.สุชาติ พรมใหม่ หรือ เสธ.โต คนสนิท พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมตามหมายจับเลขที่ 46/2558 และหมายจับเลขที่ 47/2558 ข้อหาร่วมกันกระทำความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123 ว่าด้วยเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในพฤติการณ์ที่อาจทําให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีตําแหน่งหรือหน้าที่ ทั้งที่ตนมิได้มีตําแหน่งหรือหน้าที่นั้น เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสําหรับตนเองหรือผู้อื่น ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000-20,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ โดยหมายจับคดีแรก พฤติการณ์ร่วมกับ พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา หรือสารวัตรเอี๊ยด และนายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือหมอหยอง เรียกรับผลประโยชน์จากส่วนต่างของการจัดทำริสต์แบนด์กิจกรรมสำคัญ และหมายจับคดีที่สอง ร่วมกับ พ.อ.คชาชาต บุญดี ผู้ต้องหาในคดี 112 ที่ถูกหมายจับก่อนหน้านี้และอยู่ระหว่างการหลบหนี ขอเงินบริษัทเอกชนมาทำเสื้อสำหรับกิจกรรมสำคัญและโรงหล่อองค์กษัตริย์ที่อุทยานราชภักดิ์ จ.ประจวบคีรีขันธ์
@ "พ.ต.อ.-พ.ต.ท."กองปราบฯด้วย
พ.ต.อ.ไพโรจน์ โรจนขจร อดีต ผกก.2 บก.ป. หมายจับเลขที่ 48/2558 ในข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ โดยพบพฤติกรรมแอบอ้างเบื้องสูงกระทำความผิดร่วมกับ พ.ต.อ.ปรากรม ขอเบอร์โทรศัพท์วีไอพี (เบอร์สวย) ใช้ในการติดต่อ และ พ.ต.ท.ธรรมวัฒน์ หิรัณยเลขา อดีตรอง ผกก.2 บก.ป. หมายจับเลขที่ 49/2558 ในข้อหาร่วมกันความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และความผิดตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123 โดยพบพฤติกรรมแอบอ้างเบื้องสูงกระทำการเรียกรับค่าหัวคิวส่วนแบ่งโฆษณาประชาสัมพันธ์กิจกรรมสำคัญทางโทรทัศน์จากผู้ประกอบการภาคเอกชนหลายแห่ง ทั้งนี้ศาลทหารกรุงเทพได้อนุมัติหมายจับทั้ง 3 รายตามคำร้องของพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม
ข่าวแจ้งว่า ในวันนี้พนักงานสอบสวน บก.ป.ได้เสนอศาลทหารกรุงเทพและศาลอาญา ขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหารวม 6 คน นอกจาก พล.ต.สุชาติ พ.ต.อ.ไพโรจน์ และ พ.ต.ท.ธรรมวัฒน์ แล้วยังมีนายตำรวจอีก 2 นาย และพลเรือนอีก 1 คน
@ ส่งฝากขัง"อาท"ผลัด4
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์พร้อมด้วยตำรวจและทหาร ได้ควบคุมตัวนายจิรวงศ์จากเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี กองพันทหารราบ มณฑลทหารบกที่ 11 มายังศาลทหารกรุงเทพ เพื่อขออำนาจฝากขังผลัดที่ 4 ตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน -7 ธันวาคม 2558 โดยนายจิรวงศ์ถูกแจ้งข้อหากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แอบอ้างมีความใกล้ชิดกับสถาบันเบื้องสูง และเรียกรับผลประโยชน์จากบริษัทเอกชน รวม 13 คดี กระทั่งถูกออกหมายจับเมื่อวันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา จากนั้นทางศาลทหารฯได้อนุมัติให้ฝากขังนายจิรวงศ์ต่อเป็นผลัดที่ 4 และให้นำตัวไปควบคุมต่อที่เรือนจำชั่วคราว แขวงถนนนครไชยศรีต่อไป
@ ถอดยศ-ยึดเครื่องราชฯ"คชาชาต"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาลงประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ถอดยศทหารและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ถอด พ.อ.คชาชาต บุญดี ออกจากยศทหาร ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2558 ซึ่งเป็นวันที่มีคำสั่งปลดออกจากราชการ เนื่องจากต้องหาคดีอาญาฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และได้หลบหนีคดีเดินทางออกนอกราชอาณาจักร กับประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ทั้งนี้ ตามข้อ 2 ของระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยผู้ซึ่งไม่สมควรจะดำรงอยู่ในยศทหารและบรรดาศักดิ์ พ.ศ.2507 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย ตริตาภรณ์มงกุฎไทย จัตุรถาภรณ์ช้างเผือก และจัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย ที่บุคคลดังกล่าวได้รับพระราชทานตามข้อ 6 และ ข้อ 7 (4) ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ.2548
@ "บิ๊กติ๊ก"สั่งรองปลัดกห.เฟ้นกก.
แหล่งข่าวจากสำนักงาน ปลัดกระทรวงกลาโหม (กห.) กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบหมายให้ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง การจัดสร้างโครงการอุทยานราชภักดิ์ว่า ล่าสุด พล.อ.ปรีชาได้มอบหมายให้รองปลัดกระทรวงกลาโหม 3 คน ประกอบด้วย พล.ร.อ.อุทัย รัตตะรังสี พล.อ.ชาญชัย ช้างมงคล พล.อ.อ.ศิวเกียรติ์ ชเยมะ เป็นผู้คัดเลือกบุคคลที่จะเข้ามาเป็นคณะกรรมการตรวจสอบอุทธยานราชภักดิ์ พร้อมให้นำรายชื่อดังกล่าวเสนอให้ พล.อ.ประวิตรได้คัดเลือกอีกครั้ง เนื่องจากว่า พล.อ.ปรีชาเคยเป็นคณะกรรมการในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ สมัยดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก กับ พล.อ.พอพล มณีจันทร์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม ก็เคยเป็นคณะกรรมการ ก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ สมัยดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษากองทัพบก โดยคาดว่าจะได้ความชัดเจนภายในสัปดาห์นี้
@ ปปง.อายัดทรัพย์กว่า30ล้าน
ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการ ปปง. กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีการตรวจสอบเส้นทางการเงินของ พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา หรือสารวัตรเอี๊ยด และนายสุริยันกับพวก ผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า ขณะนี้ ปปง.กำลังตรวจสอบและมีคำสั่งอายัดทรัพย์สินของเครือข่ายดังกล่าวแล้ว โดยพบทรัพย์สินกว่า 10 รายการ รวมเป็นจำนวนเงินกว่า 30 ล้านบาท ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่เครือข่ายแอบอ้างรับเงินบริจาคจากภาคเอกชน เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ก่อนจะนำมาใช้ประโยชน์ส่วนตัว
พ.ต.อ.สีหนาท กล่าวต่อว่า ในส่วนของข้อมูลที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ส่งมาให้ ปปง.ตรวจสอบนั้น ขณะนี้กำลังตรวจสอบกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกราย ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและเอกชน อย่างไรก็ตามคดีดังกล่าวยังไม่สามารถระบุได้ว่ามีการเรียกรับเงินทั้งหมดกี่โครงการ แต่จากการตรวจสอบพบว่าเครือข่ายนี้เริ่มตั้งแต่โครงการปั่นเพื่อแม่ เราไม่พบว่ามีการโอนเงินออกไปยังต่างประเทศ
@ "วิชา"ยันสอบราชภักดิ์ต้องรอบคอบ
ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ถนนพิษณุโลก นายวิชา มหาคุณ คณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวถึงการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ว่าจะเข้าข่ายการโกงหรือไม่ว่า อย่าเพิ่งไปกล่าวหากันรุนแรง เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ระบุว่าอย่าไปเชื่อมโยงเนื่องจากเป็นเรื่องบุคคล โครงการดังกล่าวกองทัพบกได้การสนับสนุนจากภาครัฐ ภาคเอกชนและผู้มีจิตศรัทธา แต่สิ่งที่กังวลคือเรื่องความจงรักภักดีบนความบริสุทธิ์ แต่อาจจะมีคนที่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ จึงต้องแยกแยะให้ออก ประกอบกับทางกองทัพบกได้เข้าไปแจ้งความกับคนที่อาศัยผลประโยชน์ความจงรักภักดีแล้ว และคิดว่าคนไทยทุกคนต้องการรู้ว่าใครที่มีความเลวร้ายแบบนั้น ดังนั้นต้องร่วมมือทุกฝ่าย โดยกองทัพได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนและกระทรวงกลาโหมก็ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง ทาง ป.ป.ช.ต้องเก็บข้อมูลจากทุกด้านให้รอบคอบและทำให้ชัดเจน โปร่งใส
@ "ณัฐวุฒิ"แนะกองทัพพูดความจริง
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. กล่าวหลังเข้าแจ้งความเพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานกับ ร.ต.ท.ชาตรี สีจันทร์ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี ว่าตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ได้มีทหารขับรถจี๊ปของทางราชการมาสอดส่องบริเวณบ้านของตนภายในหมู่บ้านเศรษฐศิริ ถนนสนามบินน้ำ จ.นนทบุรี ว่า ฝากไปถึงยังรัฐบาลกรณีการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ มีการติดตามสอบถามความจริง ไม่มีใครมีเจตนาจะไปลากไปดึงกองทัพหรือหน่วยงานความมั่นคงมาเกี่ยวพัน แต่ทางกองทัพหรือหน่วยงานความมั่นคงเอง เอาทั้งองค์กรมาอุ้มเรื่องนี้ไว้โดยไม่พูดความจริงอย่างตรงไปตรงมา คิดว่าถ้าเอาความจริงมาวางบนโต๊ะจะไม่บานปลายและไม่ยืดยาวมาจนถึงทุกวันนี้ แต่เมื่อความจริงมันไม่กระจ่างมันก็ยิ่งสร้างความสงสัยแล้วก็เกิดเป็นการทวงถามจากฝ่ายต่างๆ ทางสังคมและรัฐบาลก็จะรู้สึกกดดันในที่สุด
@ "มาร์ค"จี้"บิ๊กโด่ง"แจงให้ชัด
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีความไม่โปร่งใสในการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ว่า หน่วยงานที่มีหน้าที่ทั้งต้นสังกัด และ ป.ป.ช.คงต้องดำเนินการให้เกิดความชัดเจน เพราะทางการยอมรับยังไม่จบ โดย พล.อ.ประวิตรก็ระบุว่า ป.ป.ช.เข้ามาตรวจสอบได้ และกองทัพตั้งกรรมการตรวจสอบอยู่จึงต้องทำอย่างตรงไปตรงมา และต้องจับประเด็นที่มา เพื่อไม่ทำให้เกิดความค้างคาใจ เพราะมีการยอมรับว่ามีการเรียกรับผลประโยชน์จริง จึงต้องมุ่งให้ชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกับใคร ทั้งนี้ อำนาจหน้าที่ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่จะเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ ต้องดูว่าเกี่ยวพันกับเงินแผ่นดินหรือไม่ แต่ในแง่ของหน่วยงานอื่นต้องยอมรับว่ามีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานของรัฐ เมื่อเกิดการเรียกรับผลประโยชน์ต้องทำให้โปร่งใสชัดเจนว่าจะไม่ให้ใครมาหาผลประโยชน์จากโครงการรัฐหรืออ้างตำแหน่งหน้าที่ไปเรียกรับผลประโยชน์ได้อีก
"พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะอดีต ผบ.ทบ. ที่ถูกพาดพิงก็ยอมรับว่ามีการเรียกรับผลประโยชน์ จึงควรทำให้ชัดเจนว่าเมื่อทราบเรื่องแล้วดำเนินการอย่างไร ทำไมจึงใช้วิธีดำเนินการอย่างนั้น หากปล่อยให้เป็นที่เคลือบแคลงต่อสังคมก็จะไม่เป็นเรื่องดี เพราะจะกระทบต่อความเชื่อถือสะสมไปจนเกิดปัญหา ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่การขยายผลเหมือนที่ พล.อ.ประยุทธ์ออกมาระบุ แต่เป็นเรื่องของความจริงที่สังคมสงสัยจึงต้องหาคำตอบให้สังคมรับทราบและดำเนินการตามกระบวนการเพื่อทำให้เกิดความเชื่อมั่น" นายอภิสิทธิ์กล่าว