- Details
- Category: การเมือง
- Published: Sunday, 08 November 2015 06:58
- Hits: 4412
'บิ๊กตู่'ขอโทษ พูดจารุนแรง ปลัดยธ.แจงวุ่น เด้งรองดีเอสไอ
'บิ๊กตู่'แจงออกทีวีขอโทษประชาชนที่ช่วงนี้อารมณ์หงุดหงิด แสดงออกดูเหมือนใจร้อน อ้าง เป็นนิสัยอยู่แล้ว แต่จริงๆ ไม่มีอะไรในใจกับใคร ยอมรับปัญหาเยอะ งานที่ทำอยู่ก็เยอะ ทับซ้อนกันไปหมด ขณะเดียวกันก็ถูกยั่วยุ ให้ข่าวบิดเบือนตามสื่อ ยันมาตรา 44 คดีข้าวไม่ได้ไล่ล่าใคร แต่เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการเกิดความสบายใจ เพราะที่ผ่านมาถูกขู่ 'จตุพร'หนุนบิ๊กตู่ลงพื้นที่พบปะชาวบ้าน แนะอย่าทำหน้าเคร่งเครียด เพราะประชาชนจะยิ่งกลัว สวนกลับน้ำแห้งเขื่อนไม่เกี่ยวกับโครงการจำนำข้าว กรธ.ชงเพิ่มกกต.เป็น 7 คน โดยมาจากผู้พิพากษา 2 คน อยู่ยาว 7 ปี ปลัดยุติธรรมพัลวันอ้างยังไม่มีคำสั่งย้าย 'วรรณพงษ์ คชรักษ์'พ้นรองอธิบดีดีเอสไอ แต่สั่งสอบเอกสารคำสั่งที่ออกมารั่วไหลได้อย่างไร
วันที่ 07 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 25 ฉบับที่ 9110 ข่าวสดรายวัน
ขอโทษ- พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช. ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนอย่างอารมณ์ดี พร้อมกล่าวขอโทษผ่านไปถึงประชาชนที่ช่วงนี้แสดงอาการหงุดหงิด เป็นเพราะงานเยอะ ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 6 พ.ย.
'บิ๊กตู่'ระบุความเชื่อมั่นไทยดีขึ้น
เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 6 พ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานประชุมมอบนโยบายและแนวทางขับเคลื่อนการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ และสร้างความมั่นใจให้แก่ภาคเอกชน ในการสนับสนุนให้ดำเนินธุรกิจได้โดยสะดวก มี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ รัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ผู้แทนภาคเอกชน เข้าร่วมประชุม
นายกฯ กล่าวตอนหนึ่งว่า นโยบายการค้าการลงทุนประเทศอื่นๆ มีการปรับตัวเพื่อแข่งขัน เราก็จำเป็นต้องผลักดันเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน น่ายินดีที่อันดับความเชื่อมั่นของไทยอยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้น ทั้งในประเทศที่ตัวเลขสูงขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และการจัดลำดับความน่าเชื่อถือขององค์กรในต่างประเทศก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี ดังนั้น เราต้องขับเคลื่อนเศรษฐกิจในแบบประชารัฐคือภายในของเราเอง ประเด็นสำคัญคือการอำนวยความสะดวก ลดขั้นตอนการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรม ความโปร่งใส ที่สำคัญที่สุด คือการสร้างความรับรู้ความเข้าใจให้เกิดความร่วมมือกัน ไม่ใช่การสร้างความ ขัดแย้ง ความมีเอกภาพ ความน่าไว้วางใจ ความน่าเชื่อถืออยู่ที่ความร่วมมือของพวกเราทุกคนที่เป็นคนไทยจริงๆ เพราะขณะนี้การเมืองทำให้การทำงานไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
เพื่อนบ้านอันดับดีขึ้นเพราะเพิ่งเริ่ม
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ถึงผลการประชุมว่า วันนี้เราต้องสร้างความเข้มแข็งให้ประเทศโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ เพราะผลจากการประเมินของธนาคารโลกบอกว่าไทยอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ตนเน้นย้ำในที่ประชุมให้ผลการประเมินจากธนาคารโลกดีขึ้นในปีต่อๆ ไป ซึ่งปีนี้มีการประเมินก่อนที่รัฐบาลจะเข้ามาจึงอยู่ในเกณฑ์ที่อาจจะต่ำลงไปบ้าง ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านรอบไทยมีอันดับที่สูงขึ้น เพราะเพิ่งเริ่มพัฒนาจึงสามารถเห็นความแตกต่างได้เร็ว ในขณะที่ไทยมีการทรงตัวในเรื่องการลงทุนและเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลแก้ไขทั้งในข้อกฎหมาย ครอบคลุมเรื่องผังเมือง การกำหนดพื้นที่อุตสาหกรรม รวมทั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษและการกำหนดมาตรฐานขององค์การอาหารและยา (อย.) กรมศุลกากร การขนส่งทางอากาศ ขนส่งทางน้ำ วันนี้การแก้ไขปัญหาต่างๆ มีความก้าวหน้าไปพอสมควร ต่อไปจึงอยู่ในขั้นตอนของการปฏิบัติ
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ทั้งหมดนี้จะทำไม่ได้เลยหากประเทศไทยขาดเสถียรภาพ มีความขัดแย้ง เราเห็นต่างกันได้ แต่อย่ากระพือจนนอกประเทศแตกตื่นกันไปหมด ตนมีอารมณ์กับสื่อมวลชนก็เพราะเรื่องเหล่านี้ เนื่องจากเป็นกังวลถึงความเข้าใจของต่างประเทศต่อเมืองไทย เพราะต้องการให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน ขณะที่เพื่อนบ้านแม้ว่าจะ มีความขัดแย้งบ้าง แต่ก็ไม่มีการกระพือ โหมข่าวอย่างเรา เรื่องดังกล่าวนั้นอันตราย จึงต้องขอฝากและขอความร่วมมือกับสื่อมวลชนด้วย
ย้ำคำสั่งม.44 ข้าว-คุ้มครองจนท.
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ทั้งหมดที่รัฐบาลทำนั้นคือการปฏิรูปโดยเน้นการบูรณาการ สร้างความเข้มแข็ง โดยโรดแม็ประยะที่สอง คือจากนี้ไปจนถึง ก.ค. 2560 เป็นการวางพื้นฐานทั้งกฎหมาย การบริหารจัดการ โดยแบ่งงานให้กับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ปัญหาไม่ได้อยู่ที่รัฐบาลเพียงอย่างเดียวแต่ ยังอยู่ในระดับท้องถิ่นรวมทั้งการกระจาย อำนาจ ดังนั้นจึงต้องใช้พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกให้เกิดประโยชน์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่พล.อ. ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ได้นำกระดาษขนาด เอ 4 ซึ่งเป็นโน้ตระหว่างประชุมที่เขียนด้วยลายมือตัวเอง โชว์ให้ผู้สื่อข่าวดู พร้อมระบุว่า "เป็นความต้องการหรือเจตนารมณ์ของผมเองที่ต้องการสื่อถึงประชาชนและจะให้โฆษกรัฐบาลเป็นคนแถลงให้ทราบถึงรายละเอียดต่อไป"
พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว มาตรา 44 เพื่อคุ้มครองเจ้าหน้าที่ ที่การบริหารจัดการข้าวในคลังโดยสุจริตว่า ที่หลายคนมองในมุมกลับว่าเป็นการนิรโทษกรรมนั้นไม่ใช่ เจ้าหน้าที่ไม่ได้ทำความผิดอะไรจะนิรโทษทำไม และที่ผ่านมามีการแจ้งให้ทราบถึงการตรวจคลังข้าวมาโดยตลอด รัฐบาลนี้ตรวจทุกคลัง 6,000 กว่าคลัง ที่ล่าช้าคือคลังที่ตรวจไม่ได้ ล้มกอง เสื่อมสภาพ มีแต่ฝุ่นมอด จ้างใครเข้าไปก็ไม่เอา ดูแล้วน่าจะมีข้าวสภาพดีน้อยมากแต่แยกไม่ไหว การจำหน่ายจึงต้องระวัง
โต้ไม่ได้ทำเพื่อไล่ล่า-เล่นงานใคร
นายกฯ กล่าวว่า วันนี้ข้าวดีเราก็จำหน่ายไปเรื่อยๆ แต่กำหนดราคากลางสูงก็ขายไม่ออก ทุกคนรู้ว่าเรามีข้าวก็รอว่าเมื่อไรจะได้ราคาถูกที่สุด ข้าวที่ต้องปรับปรุงคุณภาพก็ทำอยู่ แต่ข้าวที่ทำอะไรไม่ได้ เป็นอาหารสัตว์ก็ไม่ได้ เพราะเน่าเสียทำได้อย่างเดียวคือเอาไปเผาเป็นพลังงาน นี่คือสิ่งที่ตนเสียใจ หยดเหงื่อของชาวไร่ชาวนาเอามาเผาทิ้งมันไม่ใช่ แต่จะเอาไปทำอะไรก็ไม่ได้ แต่คนละเรื่องกับดีไม่ดี ถูกไม่ถูก ทุจริต คนละเรื่อง ส่วนการเก็บรักษาเราก็เก็บโดยคลังของเอกชน และรัฐบาลเข้าไปดูแลเอาใจใส่ต้องเข้าใจ ตรงนี้
"อย่าไปพูดว่าผมไปไล่ล่า ผมต้องการทำให้เกิดความชัดเจนที่สุด ถ้าถูก ก็คือถูก ผิด ก็คือผิด จะชดใช้ ไม่ชดใช้ก็แล้วแต่ มีกระบวนการต่อสู้ เช่น การฟ้องศาลปกครองยกเลิกคำสั่งทางปกครอง มีหมด อย่าบอกว่าไม่เป็นธรรม เพียงแต่กรรมการจะได้สบายในการระบายข้าวคลังที่เสียหาย ที่อาจมีข้าวดีปนอยู่บ้างแต่คิดว่าไม่มาก เดี๋ยวเขาจะหาว่าเอาข้าวดีมาขายในตลาดผมจะทำไปทำไม ผมมีแต่ว่าจะทำอย่างไรให้ข้าวได้ราคาสูงขึ้น ไม่ใช่จะทำเพื่อให้คนที่ทำโครงการนี้เสียหายไม่ใช่ เพราะนี่เป็นของรัฐของคนในประเทศนี้ต้องรับผิดชอบ ทำประโยชน์ให้มากที่สุด ไม่มีจะทำให้เจ๊งลง เพราะต้องการเล่นงานใคร อยากให้คิดแบบนี้" นายกฯ กล่าว
อารมณ์ดี-หยิบลอตเตอรี่ให้สื่อ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การให้สัมภาษณ์ของพล.อ.ประยุทธ์ ในวันเดียวกันนี้ นายกฯมีอารมณ์ดีเป็นพิเศษ โดยก่อนให้สัมภาษณ์นายกฯ ทำทีเดินเลยไมโครโฟนจะไม่ให้สัมภาษณ์ แต่เมื่อผู้สื่อข่าวทักท้วงและขอสัมภาษณ์ถึงผลการประชุมร่วมกับนายสมคิด พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เรื่องภาคเอกชนจะสำคัญหรือเพราะทุกครั้งนักข่าวก็ถามแต่เรื่องการเมือง เรื่องรัฐธรรมนูญ จากนั้นจึงเดินกลับมายังไมโครโฟนเพื่อแถลงผลการประชุมดังกล่าว และระหว่างให้สัมภาษณ์ได้กล่าวกระเซ้าผู้สื่อข่าวด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังให้สัมภาษณ์ก่อนเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งขอให้พล.อ.ประยุทธ์ เลือกลอตเตอรี่ที่จะซื้อ ให้ตัวเอง 1 คู่ โดยยื่นปึกลอตเตอรี่ให้เลือก พล.อ.ประยุทธ์ เลือกเลข 858680 ก่อนกล่าวว่า "ถ้าไม่ถูก จ่ายมา 20 บาท แต่ถ้าถูกก็ ไม่ต้อง"
แจงปิดประเทศ-พูดตามอารมณ์
ต่อมาเวลา 13.00 น. ที่คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ เลียบทางด่วนรามอินทรา พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานในพิธีเปิดงานและแสดงวิสัยทัศน์ในงาน "Innovation for Sustainability : The Power of Collaboration" โดยมีคณะผู้บริหารเอสซีจีให้การต้อนรับ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า ตนตั้งใจเข้ามาแก้ปัญหาของประเทศโดยสุจริต พยายามลดความขัดแย้งให้ได้มากที่สุด ไม่ได้เข้าสร้างความเสียหาย ส่วนเรื่องประชาธิปไตย เรื่องสิทธิมนุษยชนก็ทำ อย่างเต็มที่ ให้ทุกอย่างไปด้วยกันได้ ไม่ใช่เอาเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาเป็นหลักของความ ขัดแย้ง จนเกิดความไม่เชื่อมั่นต่อการค้าการลงทุน ซึ่งตนเข้ามามันต้องได้มากกว่าเสีย
"ผมเปิดอยู่แล้วประเทศ ใครจะไปบ้าปิด ผมพูดตามอารมณ์ และไม่ชอบทะเลาะเบาะแว้ง แต่ถ้าอยากเป็นแบบนั้นก็ทำกันไป เราต้องพัฒนาประเทศให้เกิดความยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ ตอนเดินทางไปต่างประเทศ เขาบอกว่าวันนี้ประเทศเรามีศักยภาพเข้มแข็ง ดูดีขึ้น แต่ตอนเจอครั้งแรกเขาถามว่าประเทศสงบเรียบร้อยดีใช่หรือไม่ พอบอกไปว่าเรียบร้อยดี แต่มีคำถามว่าแล้วจะเลือกตั้งเมื่อไร เป็นคำถามที่ติดปาก ซึ่งผมก็เข้าใจการเป็นประชาธิปไตยโลก เราไม่เคยฝ่าฝืนอยู่แล้ว แต่ประชาธิปไตยของเราจะต้องมีเส้นทางเดินที่ยั่งยืน ตอนนี้หลายอย่างไปได้ด้วยดี อยากให้ลืมผมไปสักพักหนึ่ง อีกแค่ไม่กี่เดือน ผมเข้ามาทำงานแต่ต้องกลับมาพูดเรื่องเก่าๆ อีกแล้ว พูดมากก็ปวดหัว สับสน" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ลั่นเป็นคนมีปชต.มากกว่าสหรัฐ
นายกฯ กล่าวว่า ทั้งหมดต้องไปต่อยอดที่สปท.และกรธ.ในการร่างรัฐธรรมนูญ มันถึงจะเดินหน้าได้ ยืนยันการเลือกตั้งมีแน่นอน แต่จะมองมิติเดียวไม่ได้ ถ้ามองการเลือกตั้งในมิติสากล มันก็กลับไปที่เดิมหมด เป็นเรื่องของทุกคน เพราะตนไปชี้นำไม่ได้ เดี๋ยวหาว่าตนอยากอยู่ต่ออีก ตนไม่ได้คิดหวงเอาไว้เพราะแผ่นดินนี้ไม่ใช่ของตน แต่แผ่นดินนี้เป็นของทุกคน และอยากบอกว่าประชาธิปไตยของตนมีมากกว่าสหรัฐด้วยซ้ำไป วันนี้คนที่มีปัญหากับตน เป็นกลุ่มคนที่ไม่น่าให้ความสนใจมากนัก
นายกฯ กล่าวด้วยว่า ตนเข้ามาทำเพื่อคนไทย 70 ล้านคน ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่ง เพราะตนไม่ใช่นักการเมือง และตนไม่อยากใช้อำนาจมาก เพราะอำนาจจะอยู่กับเราไม่นานถ้าเราใช้มากเกินไป ให้เป็นความร่วมมือและทำความเข้าใจกันดีกว่า สำหรับวิสัยทัศน์วันนี้คือความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน วันนี้เรามีค่านิยม 12 ประการ ซึ่งตนไม่ได้มาบังคับ ไม่ต้องมาแต่งเพลงให้ ที่ตนพูดถึงเรื่องค่านิยมเพราะต้องการเตือนเท่านั้น ทำไมต่างชาติเขาพัฒนาได้เร็วเพราะเขาให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้
ยืนยันระวังการพูดจาเต็มที่แล้ว
"วันนี้ลองเปิดสื่อโซเชี่ยลมีเดียดู เอากันใหญ่ มาบอกผมไปบังคับ คสช.บังคับโน่น บังคับนี่ มาเขียนบอกว่าพ่อกูยังบังคับกูไม่ได้เลย สื่อโซเชี่ยลฯเป็นกันแบบนี้ ต้องร่วมมือกันแก้ปัญหา จัดการด้วยว่าจะทำอย่างไร ให้คนเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่อย่างนั้นจะไปไม่ได้ ต้องขอโทษด้วยที่พูดแรงบ้าง ทุกคนบอกว่าเป็นนายกฯต้องระวัง ก็ระวังเต็มที่แล้ว แต่เป็นทหารก็ต้องทำให้ลูกน้องฮึกเหิม มีขวัญกำลังใจก็ต้องแบบนี้ แต่ผมไม่เคยใช้วิธีแบบทหารกับพวกท่านเลย ไม่ใช่คนไม่เห็นด้วยแล้วเอาไปฆ่าทิ้ง ที่ผ่านมาเรียกไปคุยก็เปลืองข้าว ขอทุกอย่าง ความสะดวกสบายก็ให้หมด สุดท้ายก็เหมือนเดิม สิ่งใดที่เป็นกฎหมาย ถ้าทำผิดก็ต้องรับผิด เขาเขียนไว้หมด ต้องขึ้นศาลทหาร เช่นเรื่องที่มีผลกระทบต่อความสงบของประเทศ วันนี้สถานการณ์ไม่ปกติ ทำไมก่อนหน้านั้นพวกที่เสนอมาทุกเรื่องจึงไม่เสนอมา" นายกฯ กล่าว
จตุพรหนุน'บิ๊กตู่'ลงพื้นที่ถี่ขึ้น
วันเดียวกัน นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการการมองไกล ผ่านยูทูบ ถึงกรณีพล.อ.ประยุทธ์ จะเดินทางไปจังหวัดอุบลราชธานีว่า ขอสนับสนุนให้นายกรัฐมนตรีออกไปพบประชาชนที่ต่างจังหวัดให้มากขึ้น และควรไปให้ทุกจังหวัด เพื่อรับฟังปัญหาความ เดือดร้อนของประชาชน แล้วนำมาแก้ไข เสนอแนะกับนายกรัฐมนตรี ควรกำชับไม่ให้เจ้าหน้าที่ต้อนรับแบบผักชีโรยหน้า อย่าได้กะเกณฑ์หรือซ้อมปรบมือให้ถูกใจ และไม่ควรทำหน้าเครียดกับประชาชน เพราะปกติประชาชนกลัวนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว ดังนั้นจึงต้องมีอารมณ์ดีเป็นพิเศษ รวมทั้งไม่ควรนำกำลังมาอารักขามากมายเป็นพันคน ซึ่งจะทำให้ประชาชนตกใจ
นายจตุพร เรียกร้องว่า พล.อ.ประยุทธ์ ควรกระตุ้นเร่งให้รัฐมนตรีเดินไปรับฟังปัญหาประชาชนอย่างใกล้ชิดในต่างจังหวัดเป็นเรื่องถูกต้อง โดยเฉพาะพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในวันเสาร์และอาทิตย์ควรจัดเวรรัฐมนตรีลงไปให้ความอบอุ่นประชาชน เนื่องจากนักการเมืองจากเลือกตั้งจะใช้ช่วงเวลาวันหยุดนี้ไปพบประชาชน แต่รัฐมนตรีไม่มาจากเลือกตั้งคงคิดวันเป็นวันหยุดพักผ่อน เพราะที่มาทางอำนาจของคณะรัฐมนตรีไม่ได้รับผิดชอบกับประชาชนโดยตรง จึงคิดว่า ไม่จำเป็นต้องไปหาประชาชน
แนะใจกว้าง-ทำตัวเท่าชาวบ้าน
"พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนที่สั่งงานมากที่สุด พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เคยแถลงถึง คำสั่งนายกรัฐมนตรี ให้รัฐมนตรีลงพื้นที่ต่างจังหวัด สั่งแล้วรัฐมนตรีก็ไม่ไป เมื่อสั่งงานมาก ก็ไม่จำ แล้วลืม จึงทำให้ผู้ปฏิบัติไม่ทำ เพราะคนสั่งจำไม่ได้ แต่หากสั่งไปตอนนี้ว่า ใครมีเรื่องราวก็จัดชุดมาพบท่าน เพื่อโชว์วุฒิภาวะในการแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ถ้ามีจิตใจรับใช้ประชาชน ซึ่งท่านจะมีความสุข เพราะปัญหาประชาชน คือ โอกาสของท่านจะพบความตื่นตัวตลอด หากแสวงหาความสุขแบบนี้ชีวิตก็เป็นอีกอย่าง เหมือนการทำตลาดน้ำคลองผดุงกรุงเกษม ที่ท่านมีความสุข" นายจตุพรกล่าว
นายจตุพร กล่าวว่า การเดินทางไปต่างจังหวัดนั้น นายกรัฐมนตรีต้องเปิดใจให้กว้าง ควรมีความคิดว่าตัวตนเท่ากับประชาชน ซึ่งจะทำให้พบปัญหาจริง เพราะประชาชนกล้ารายงานปัญหาอันแท้จริงให้รับรู้ ดังนั้นแนวทางแบบนี้ควรสั่งรัฐมนตรีอีกครั้งให้ไปต่างจังหวัด เมื่อตั้งใจมาโดยไม่มีใครให้มาแล้ว ก็ควรรับใช้ประชาชนอย่างใกล้ชิดให้มาก
อย่าโยนน้ำแล้งเพราะจำนำข้าว
ส่วนกรณีการกล่าวถึงภัยแล้งเกิดจากโครงการรับจำนำข้าวนั้น นายจตุพรกล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2557 ไม่มีการรับจำนำข้าว แต่ยังต้องผจญกับภัยแล้งอยู่ ถ้ามีชุดเหตุผลในการแก้ปัญหาด้วยการโยนปัญหาแล้ว ต้องอธิบายได้เช่นกันว่า ฝนไม่ตกเพราะมีพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ดังนั้น ชายชาติทหารต้องอธิบายสาเหตุด้วยข้อมูลที่เป็นจริง ต้องกล้าจะบอกว่า ภัยแล้งเกิดจากฝนไม่ตก เพราะเป็นธรรมชาติ เป็นเรื่องจริง ซึ่งนายกรัฐมนตรี สั่งให้ฝนตกไม่ได้ และจะใช้มาตรา 44 บังคับก็ไม่ได้ด้วย
นายจตุพร ย้ำว่า ปัญหาของบ้านเมือง มีไว้ให้แก้ไข ไม่ใช่มีไว้ให้ซัดทอดกัน ถ้ายอมรับความจริงแล้วแก้ไขอย่างมีสติ ปัญหาก็ไม่เกิด และสติในการแก้ภัยแล้งนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับการรับจำนำข้าว
ประธานนปช.กล่าวต่อว่าในปี 2555 รัฐบาลอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร สามารถแก้ไขปัญหาปริมาณน้ำเก็บกักในเขื่อนได้ ในปี 2556 จึงไม่มีภัยแล้ง แต่ในปี 2558 เริ่มเกิดภัยแล้งขึ้น จึงแสดงว่า ในปี 2557 ไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำในเขื่อนกันได้ ดังนั้น จึงเชื่อได้ว่า ในปี 2559 ต้องเกิดภัยแล้งหนักหน่วงกว่าปี 2558 เนื่องจากปริมาณน้ำในเขื่อนปี 2558 มีน้อยจึงเกิดปัญหาปริมาณน้ำในปีถัดไปอย่างต่อเนื่อง
สนช.กระทู้ถามคลังข้าวจำนำ
ที่รัฐสภา ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณากระทู้ถามของนายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิกสนช. ซึ่งถามนายกฯว่า รัฐบาลมีมาตรการจัดการเกี่ยวกับคลังสินค้าที่เก็บข้าวในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งเป็นข้าวเสื่อมคุณภาพที่ต่ำกว่ามาตรฐาน รวมถึงข้าวเน่าเสียหรือไม่ และข้าวที่เก็บรักษาไว้ในคลังสินค้ามีปริมาณมากน้อยเพียงใด รวมถึงค่าใช้จ่ายดูแลรักษาเป็นเงินเท่าใด และรัฐบาลมี นโยบายบริหารจัดการในการระบายข้าวเพื่อลดความเสียหายที่เกิดจากข้าวในคลังสินค้าเสื่อมคุณภาพหรือต่ำกว่ามาตรฐานอย่างไร
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ ชี้แจงว่า นับแต่คสช. เข้ามาบริหารงานได้ตั้งคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) เพื่อบริหารจัดการสต๊อกข้าวของรัฐบาล โดยตรวจสอบปริมาณและคุณภาพของข้าว พร้อมแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบสต๊อกข้าว 100 ชุดทั่วประเทศ ซึ่งได้เก็บตัวอย่างเพื่อวิเคราะห์ทางพันธุกรรมตามสภาพของข้าว หลังจากตรวจนับและตรวจสอบแล้วตั้งต้นระบายข้าวในเดือนส.ค.2557
พาณิชย์อ้างภาระจัดเก็บปีละพันล้าน
นางอภิรดีกล่าวว่า จากการตรวจสอบสต๊อกข้าวทั้งหมด มี 18.7 ล้านตัน เป็นข้าวที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานหรือหย่อนคุณภาพเล็กน้อย 12 ล้านตัน ข้าวต่ำกว่ามาตรฐานหรือข้าวเสีย 6 ล้านตัน และเป็นข้าวขาดบัญชี 4 แสนตัน และได้แจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าของคลังข้าวในกลุ่มที่ต่ำกว่ามาตรฐานและข้าวขาดบัญชีแล้ว นอกจากนี้ ยังมีข้าวนอกคลังกลางที่จะต้องตรวจสอบอีก 3 แสนตัน สำหรับค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษามีค่าเช่าคลัง ค่าฝากเก็บ การเก็บรักษา การรมยา ค่าเงินกู้ รวมทั้งการประกันภัย โดยเฉลี่ยเดือนละ 1,000 ล้านบาท ถือเป็นภาระหนักของรัฐบาล
นางอภิรดี กล่าวอีกว่า การบริหารจัดการระบายข้าวช่วงที่ผ่านมา เริ่มระบายข้าวที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานเปิดประมูลก่อนเดือน ส.ค.2557 โดยชะลอในช่วงเดือนปลายเดือนม.ค.-พ.ค. และเดือนพ.ย.-ธ.ค.เพื่อพยุงราคาไม่ให้แข่งขันหรือกระทบข้าวใหม่ที่ออกมา และไม่ได้มองที่ตลาดข้าวอย่างเดียว แต่นำไปใช้เป็นอาหารสัตว์ และพลังงานทดแทน ซึ่งจะต้องไม่ให้กระทบกับพืชที่ใช้เพื่อทำพลังงาน ทดแทนอื่นๆ โดยตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค.2557 จนถึงปัจจุบัน ได้ระบายข้าวไปแล้ว 5 ล้านตัน เป็นเงิน 52,300 ล้านบาท คงเหลือ 13.7 ล้านตัน
กรธ.ชงกกต.7 คน-อยู่ยาว 7 ปี
ที่รัฐสภา นายนรชิต สิงหเสนี โฆษกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) แถลงว่า ที่ประชุมได้พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญหมวดว่าด้วยองค์กรอิสระ สาระสำคัญคือ ให้แยกหมวดศาลรัฐธรรมนูญออกจากหมวดองค์กรอิสระ โดยให้ศาลรัฐธรรมนูญไปอยู่ในหมวดศาล เท่าที่คุยกันเห็นว่ามีความเหมาะสมมากกว่าจะอยู่ในหมวดองค์กรอิสระ และเพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ให้องค์กรอิสระรายงานผลการปฏิบัติงานต่อสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาเพื่อทราบทุกปี พร้อมเผยแพร่ให้ประชาชนรับทราบด้วย รวมถึงให้สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือสมาชิกทั้งสองสภา ประชาชน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อพิจารณาถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งในองค์อิสระกรณีต่างๆ ได้ เช่น กรณีร่ำรวยผิดปกติ หรือทุจริตต่อหน้าที่ ส่วนเมื่อถูกชี้มูลจะต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ทันทีหรือไม่ รายละเอียดจะอยู่ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ
นายนรชิต กล่าวต่อว่า สำหรับองค์ประกอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดให้มี 7 คน ประกอบด้วย ผู้พิพากษา 2 คน และสาขาวิชาชีพต่างๆ รวม 5 คน ส่วนวาระของกกต. คือ 7 ปี ทั้งนี้ กระบวนการสรรหายังไม่ได้พิจารณา และ ยังไม่ได้ข้อสรุปว่ายังคงให้มีกกต.จังหวัดหรือไม่
ส.ส. 500 คน-ปาร์ตี้ลิสต์ใช้หักลบ
นายนรชิต กล่าวอีกว่า กรธ.ได้พิจารณาข้อเสนอเกี่ยวกับวิธีคำนวณผลการเลือกตั้งเพิ่มเติม เพื่อให้ได้สูตรการคำนวณที่สะท้อนคะแนนนิยมของพรรคการเมืองอย่างแท้จริง วิธีนับคะแนนการได้มาของส.ส. ขณะนี้กรธ.เห็นในทางเดียวกันว่า ให้มีส.ส.จำนวน 500 คน เลือกตั้งโดยใช้บัตรลงคะแนนใบเดียวเพื่อเลือกส.ส.เขต 350 คน ส่วนส.ส.บัญชี รายชื่อมี 150 คน โดยให้นำคะแนนของทุกพรรคในทุกเขตเลือกตั้งมาคำนวณว่า แต่ละพรรคจะได้จำนวนส.ส.ทั้งหมดเท่าไร จากนั้น นำไปหักลบกับจำนวนส.ส.เขตที่ได้รับเลือก
"หากพรรคใดได้ส.ส.เขตตามจำนวนที่ควรได้หรือเกินจำนวนแล้ว ก็จะไม่ได้ในส.ส.บัญชีรายชื่ออีก แต่หากพรรคใดได้ส.ส.เขตไม่ถึงจำนวนที่ควรได้ ก็จะได้จำนวนส.ส.เพิ่มในส่วนบัญชีรายชื่อ ทั้งนี้ กรธ.พยายามหาวิธีการคิดคำนวณเพื่อไม่ให้เกิดการเกินจำนวน (โอเวอร์แฮงก์) ซึ่งวิธีนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป และยังพร้อมรับฟังจากทุกภาคส่วน"นายนรชิตกล่าว
ขอโทษออกทีวีกรณีหงุดหงิด
เวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์กล่าว ในรายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ" ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ตอนหนึ่งว่า ในเรื่องการเลือกตั้ง การเตรียมเข้าสู่การเลือกตั้งกำลังดำเนินการอยู่ เป็นไปตามโรดแม็ป ซึ่งมีการเสนอแนวทางต่างๆ ตนติดตามรายละเอียดอยู่ตลอดและให้แสดงความคิดเห็นโดยอิสระ ตนไม่สนใจว่าพรรคใด จะได้เปรียบเสียเปรียบ สนใจว่าเราจะทำอย่างไรให้ได้พรรคหรือส.ส.ที่เป็นคนดี มีความรู้ความสามารถ ได้รับการยอมรับ ประชาชนไว้เนื้อเชื่อใจ ซึ่งประชาชนต้องเรียนรู้แล้วทบทวนบทเรียนที่ผ่านๆ มา สิ่งสำคัญคือต้องรู้เท่าทัน ถ้าเราไม่สนใจเลยก็ถูกบิดเบือน ชักจูงในวิธีการ ไม่ว่าจะหาเสียง การเข้ามาสู่การเลือกตั้ง เราจะได้คนที่ไม่ดีเข้ามาอีก
นายกฯ กล่าวว่า ส่วนการเคลื่อนไหวทางการเมือง ช่วงนี้ก็กราบขอโทษ ตนอาจหงุดหงิดไปบ้าง หรือแสดงออกทางสื่อ ดูใจร้อน ซึ่งเป็นนิสัยตนอยู่แล้ว จริงๆ ตนไม่มีอะไรในใจกับใคร แต่ปัญหามันเยอะ งานที่ทำอยู่ก็เยอะ มันทับซ้อนกันไปหมด ขณะเดียวกันก็มีการยั่วยุ ให้ข่าวบิดเบือนตามสื่อต่างๆ ซึ่งไม่ค่อยเป็นธรรมกับตน บางสื่อก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ตนก็ไม่เคยไปละเมิดจรรยาบรรณของสื่อ แต่สื่อต้องระมัดระวังตัวเองด้วย
ขู่ดำเนินคดีถ้าเคลื่อนไหวผิดช่อง
"วันนี้ถ้าเรายังคงให้ร้ายไปเรื่อยๆ ผู้คน ก็ไม่เข้าใจ แล้วเราจะได้การเมืองที่ดีได้อย่างไร เรื่องการรณรงค์ใส่เสื้อสีโน้นสีนี้ ผมก็ไม่ได้ดำเนินการอะไร เห็นประชาชนก็ร่วมมือกันดี ไม่ได้ขยายความขัดแย้ง แสดงว่า ทุกคนเริ่มไปสู่ขบวนการปรองดองในชั้นต้นแล้ว แต่มีหลายคนต้องการให้บังคับใช้กฎหมายเพื่อจะเกิดภาพความรุนแรงขึ้น ให้เห็นว่ารัฐบาลไม่เป็นธรรม สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่บิดเบือน ทำให้ต่างประเทศเขาไม่เข้าใจเรา ดังนั้น ขอร้องอย่าทำเลย ไม่งั้นก็เลือกตั้งไม่ได้ แต่ถ้าประชาชนช่วยกันดูแล ผมก็ไม่จำเป็นต้องใช้กฎหมายใดๆ เจ้าหน้าที่ก็สบายใจ กรณีที่เคลื่อนไหว ไม่ว่าความเดือดร้อนหรืออะไรต่างๆ ถ้าเข้ามาใน ช่องทางที่ถูกต้องเราจะแก้ไขให้ แต่ถ้าไม่ถูกต้อง วันหน้าก็ต้องถูกดำเนินคดีเพราะมี พ.ร.บ.การชุมนุม ขอให้ระมัดระวังด้วย" นายกฯ กล่าว
อ้าง ม.44 คดีข้าว-เพระขรก.ถูกขู่
นายกฯ กล่าวว่า ส่วนการออกคำสั่งตามมาตรา 44 กรณีคุ้มครองการทำงานของเจ้าหน้าที่ เรื่องการบริหารจัดการข้าวคงเหลือ อธิบายกันซ้ำแล้วซ้ำอีกแต่ก็ยังมีคนบิดเบือน ไม่เกี่ยวกับการนิรโทษล่วงหน้า เป็นเรื่องการตรวจสอบการระบายข้าว ซึ่งจำเป็นต้องทำตามกฎหมาย เพื่อให้เจ้าหน้าที่สบายใจว่าเขาตรวจสอบตามข้อเท็จจริง โดยบริสุทธิ์ใจ ก็ต้องเดินตามนั้น จะได้ไม่ต้องไปเกรงกลัวต่อการข่มขู่ใดๆ หรือกลัวถูกฟ้องร้องในภายหลัง แต่ถ้าเจ้าหน้าที่ทำงานไม่บริสุทธิ์ใจก็ยังถูกฟ้องได้เหมือนเดิม ขอให้เข้าใจ อย่าไปบิดเบือน เพราะตอนนี้หลายคนถูกขู่โดยใครไม่ทราบ ว่าถ้ากลับมามีอำนาจทางการเมืองอีก ให้ระมัดระวังให้ดี คิดว่าสังคมน่าจะเข้าใจตรงนี้ ไม่งั้นเราก็ไม่ชัดเจนสักเรื่องหนึ่ง
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า รัฐบาลกำลังเร่งทุกเรื่อง ก็อย่าไปฟังคนพยายามต่อต้าน เขาไม่ต้องการให้ประชาชนเข้มแข็ง ไม่อยากเห็นประเทศเดินหน้า ขอให้ไปเปรียบเทียบกันให้ดี อย่าเอาทุกประเด็นมาพูดให้เสียหายมีวาทกรรม ที่ผ่านมาไม่เห็นพูดเลยว่าผิดพลาดตรงไหน มีปัญหาตรงไหน ตอนนี้ก็มาพูดเรื่องเลือกตั้ง เรื่องการเป็นส.ส. แต่ไม่เคยเห็นพูดว่าจะแก้ปัญหาที่ตนแก้นี้อย่างไร ขอให้ประชาชนพิจารณาแล้วกัน วันนี้อาจจะพูด หนักนิดเบาหน่อยไปบ้างก็ขอโทษด้วย ผมอาจจะขี้โมโหไปบ้างก็ธรรมดา ทหารเก่า ขอโทษด้วยแล้วกัน
ไก่อูแจงเจตนารมณ์ลายมือบิ๊กตู่
เวลา 16.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกฯ แถลงเจตนารมณ์ของพล.อ. ประยุทธ์ ที่เขียนด้วยลายมือในกระดาษเอ 4 จำนวน 6 แผ่น เพื่อสื่อสารกับประชาชนว่า นายกฯเน้นย้ำความมีเสถียรภาพของประเทศ การปฏิรูปประเทศมีเวลา 20 เดือนหรือ 6-4-6-4 ซึ่งตอนนี้เหลือ 18 เดือน และต่อไปเป็นระยะหลังเลือกตั้ง คือมีรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง และระยะยาวในอนาคต นายกฯมองว่าปัญหาสำคัญขณะนี้คือการสร้างความเข้มแข็ง ที่จุดเริ่มต้นอยู่ที่เรื่องความมั่นคงและความมีเสถียรภาพของบ้านเมือง
โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า สิ่งที่นายกฯอยากบอกคือวันนี้ประเทศไม่ได้มีปัญหาเรื่องประชาธิปไตยอย่างเดียว มีปัญหาของกับดักหลายอย่าง ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญกับทุกเรื่อง เราอย่าให้ความสำคัญเฉพาะเรื่องการเมือง ประชาธิปไตย การเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว การที่พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ยาวนาน มันเป็นไปตามโรดแม็ปก็จบภารกิจ
ชื่นชมเขียนสวยที่สุด-ปกติหวัด
พล.ต.สรรเสริญ กล่าวถึงเบื้องหลังการเขียนจดหมายของนายกฯว่า วันนี้นายกฯเขียนสวยที่สุดแล้ว ปกติเขียนหวัดกว่านี้ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขียนแบบนี้ แต่เขียนมาตลอด ไม่ว่าจะประชุมอะไรวันนี้เขียนมาจากที่บ้าน ส่วนหนึ่งและในที่ประชุมส่วนหนึ่งที่จะพยายามแก้ปัญหาคอขวด เรื่องการสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนต่างประเทศ
พล.ต.สรรเสริญกล่าวถึงความคืบหน้ากรณีนายกฯให้เปิดแถลงชี้แจงการดำเนินคดีรับจำนำข้าวร่วมกับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯว่า ได้ปรึกษานายวิษณุแล้ว คิดว่า น่าจะแถลงช่วงปลายเดือนพ.ย. เนื่องจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ขอเพิ่มพยานและมีหลักฐานยื่นเพิ่มเติม จึงอยู่ระหว่างคณะกรรมการสอบสวนกำลังรับข้อมูลและนัดพยานเพิ่มเติม ต้องรอให้เสร็จตรงนี้ จึงจะเหมาะสม
แฉเงื่อนงำสร้างศูนย์เยาวชนมีนฯ
ที่รัฐสภา นายวิชาญ มีนชัยนันท์ อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย แถลงถึงก่อการสร้างศูนย์เยาวชนมีนบุรีของกทม. บนพื้นที่สวนเฉลิมพระเกียรติรัชกาลที่ 9 ว่า สวนดังกล่าวในสมัยนั้น ตนเป็นคนขอใช้พื้นที่สร้างขึ้นและขอพระราชทานชื่อดังกล่าว โดยผ่านความเห็นชอบของประชาชนในพื้นที่ แต่ วันที่ 30 ก.ย.กรุงเทพมหานครได้เซ็นสัญญากับบริษัทเรืองฤทัย จำกัด ในวงเงินก่อสร้าง 85,300,000 บาท และดำเนินการตอกเสาเข็มแล้ว โดยกทม.ไม่ได้ปรึกษาการใช้ประโยชน์ที่ดินในการก่อสร้างศูนย์เยาวชนกับประชาชน และไม่เข้าใจการจัดสร้างองค์พระบรมราชานุสาวรีย์
นายวิชาญ กล่าวว่า ทั้งนี้ กรมศิลปากร ได้ทักท้วงว่า การใช้สถานที่ดังกล่าวไม่เหมาะสม โดยมีหนังสือจากนายเอนก สีหามาตย์ อธิบดีกรมศิลปากร ที่ วธ 0414/3704 ลงวันที่ 26 ก.ย. 2557 และนายบวรเวท รุ่งรุจี อธิบดีกรมศิลปากร วธ 0414/432 ลงวันที่ 2 ก.พ. 2558 ที่ส่งถึงกทม. เรื่องขอท้วงติงจากกรมธนารักษ์ว่าให้พิจารณาถึงผลกระทบ กับกฎหมายอื่น ซึ่งกรมธนารักษ์เป็นเจ้าของที่ดิน 2 ฉบับ อีกทั้งกทม.ไม่สนใจข้อท้วงติงของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ว่าไม่ปฏิบัติตามระเบียบของที่ราชพัสดุ จะทำให้เกิดความเสียต่องบประมาณ แต่จนถึงขณะนี้กทม.ก็ยังดำเนินการต่อโดยไม่สนใจข้อทักท้วง
บัวแก้วประชุมทูต-กงสุลทั่วโลก
ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า ในวันที่ 12-14 พ.ย. กระทรวงจะจัดประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ไทยทั่วโลกครั้งที่ 2 ของปีนี้ โดยมีเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ที่ประจำการอยู่ทั่วโลก 95 แห่งเข้าร่วม เน้นมิติด้านเศรษฐกิจ ภายใต้หัวข้อ "การทูตเชิงรุก เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย" และช่วงเช้าวันที่ 13 พ.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จะมอบนโยบาย เพื่อให้สนับสนุนการทำงานของรัฐบาลได้อย่างมีทิศทางเป็นเอกภาพ สร้างความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยในประชาคมโลก โดยเฉพาะการเดินหน้าตามโรดแม็ป เพื่อให้เห็นความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยที่จะสร้างความเข้มแข็ง จะได้มีข้อมูลที่ชัดเจนไปชี้แจงต่างชาติ และประธานสปท. จะชี้แจงแนวคิดและความคืบหน้าในการปฏิรูป เพื่อจะได้นำไปชี้แจงความคืบหน้าให้กับนานาชาติทราบ เช่นกัน
นายเสข กล่าวว่า ช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายสมคิด จะหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในด้านยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของประเทศ มุ่งให้ทูตและกงสุลที่ประจำในประเทศยุทธศาสตร์ต่างๆ มีความเข้าใจในนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล เสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศต่างๆ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการของไทยให้แข่งขันในเวทีโลกได้ นอกจากนี้จะพบปะภาคเอกชนด้วย โดยทูตจะอธิบายข้อมูลประเทศนั้นๆ อาทิ จุดแข็ง จุดอ่อนเพื่อส่งเสริมให้นักธุรกิจไทย เข้าถึงตลาดที่มีศักยภาพในต่างประเทศ รวมทั้งแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ด้วย
บิ๊กตู่ มีคิวร่วมถกเอเปก-อาเซียน
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ในวันที่ 17-19 พ.ย.นี้ พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมด้วยนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ และนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ จะเข้าร่วมประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) ครั้งที่ 23 ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งมีผู้นำประเทศจาก 21 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมิรกา รัสเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เข้าร่วมด้วย มีวาระการประชุมเรื่อง "การสร้างศรษฐกิจที่มีส่วนร่วมการสร้างโลกที่ดีขึ้น" ทั้งนี้ นายกฯจะกล่าวปาฐกถาหัวข้อ "การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรม" เพื่อเน้นย้ำให้ทุกภาคส่วนได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเท่าเทียม พร้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาสู่การปฏิบัติ
นายเสข กล่าวว่า จากนั้นนายกฯจะร่วมการประชุมผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 27 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย วันที่ 21-22 พ.ย.นี้ ซึ่งมีผู้นำจาก 12 ประเทศร่วมประชุม ซึ่งอาเซียนจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 31 ธ.ค.นี้ โดยผู้นำชาติสมาชิกจะร่วมกันกำหนดวิสัยทัศน์ของอาเซียนในอีก 10 ปีข้างหน้า รวมถึงบทบาทและการปฏิสัมพันธ์ระหว่างอาเซียน กับประเทศคู่เจรจาต่างๆ เช่น จีน ญี่ปุ่น สหรัฐ
ปลัดโต้เด้งรองอธิบดีดีเอสไอ
เมื่อวันที่ 6 พ.ย. ที่กระทรวงยุติธรรม นางสุวณา สุวรรณจูฑะ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีมีกระแสข่าวปลัดยธ.เซ็นคำสั่งโยกย้าย พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไปเป็นรองผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ว่า ตนไม่ทราบและยังไม่มีการเซ็นลงนามคำสั่งใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งกระบวนการดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการพิจารณาบริหารงานบุคคลภายในกระทรวง ตนได้สั่งให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าใครเป็นผู้เผยแพร่เอกสารดังกล่าว เนื่องจากยังไม่ใช่คำสั่งทางราชการ แต่เป็นเรื่องการบริหารงานภายในกระทรวง และทำให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ
นางสุวณา กล่าวว่า ส่วนการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายในระดับรองอธิบดี เป็นอำนาจหน้าที่ของปลัดกระทรวงตามกฎหมาย ไม่มีการล้วงลูกจากฝ่ายการเมือง ทั้งนี้ การโยกย้ายจะต้องมีการเสนอเรื่องจากกองการเจ้าหน้าที่ สำนักงานปลัดกยธ.ตามขั้นตอนปกติ แต่หนังสือที่ เผยแพร่นั้น ยังไม่ใช่คำสั่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมา ในสื่อออนไลน์มีการเผยแพร่เอกสารว่า นางสุวณา ลงนามคำสั่งเห็นชอบโยกย้ายพ.ต.ท.วรรณพงษ์ ไปเป็น รองผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ตามนโยบายของรมว.ยุติธรรม เพื่อประโยชน์ในการดำเนินงานตามนโยบายของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และประสานราชการกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.)
'บิ๊กป้อม'เร่งจัดการแก๊งทวงหนี้
เมื่อวันที่ 6 พ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้ปัญหาผู้มีอิทธิพล ร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงทั้งกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช.มอบหมายว่า การปฏิบัติการจะเริ่มต้นจากงานด้านการข่าวก่อน เพื่อให้ทราบความชัดเจนว่าแต่ละจังหวัด แต่ละพื้นที่เป็นอย่างไร โดยเจ้าหน้าที่ทางการข่าวทั้งคสช. ทหาร และตำรวจ ได้กำหนดรูปแบบการดำเนินงานไว้แล้วและจะบูรณาการการทำงานทั่วประเทศ เพื่อสืบหาข้อมูลและนำข้อมูลของตำรวจมีที่อยู่มาประกอบ ไม่ได้เจาะจงว่าต้องดำเนินการกับใครเฉพาะ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีพื้นที่ใดต้องปักธงแดง
รองนายกฯ กล่าวว่า เราจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาว่าในแต่ละจังหวัด แต่ละพื้นที่ มีใครทำหน้าที่อย่างไร แต่ต้องให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนก่อนดำเนินการ โดยจะตรวจค้นหาอาวุธสงครามก่อนเพื่อให้รู้ว่าอาวุธเหล่านี้ไปอยู่ที่ใครบ้าง ซึ่งเป็นปฏิบัติการควบคู่กับด้านการข่าว แต่ในกรณีตำรวจจะขอซื้ออาวุธปืนพกนั้น ถือเป็นเรื่องส่วนตัว เพื่อใช้ปฏิบัติหน้าที่ทางราชการ ไม่ได้ซื้อมาแล้วนำไปขาย จึงไม่เกี่ยวข้องกับการปราบผู้มีอิทธิพล จากนี้ต่อไปตร. จะต้องกำหนดหลักเกณฑ์การพกพาให้ชัดเจนต่อไป
พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ส่วนการจัดการกับแก๊งทวงหนี้ เราต้องดำเนินการอยู่แล้ว เพราะคนพวกนี้ส่วนใหญ่ถูกขึ้นบัญชีอาชญากรรมของตำรวจ ขอให้ไว้ใจว่าจะใช้เวลาแก้ปัญหาให้เร็วที่สุด ตามที่นายกฯ กำหนด
คุก 43 ปี-ยิงเอ็ม 79 ถล่มกปปส.
เมื่อวันที่ 6 พ.ย. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษา อ.3820/2557 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายณรงค์ศักดิ์ หรือตุ้ย พลายอร่าม อดีตการ์ดกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และนายพีรพงษ์ สินธุสนธิชาติ ผู้จัดหาอาวุธ จำเลย 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, กระทำการให้เกิดระเบิดเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลฯ, ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรและร่วมกันทำให้เสียทรัพย์
กรณีเมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2557 นายณรงค์ศักดิ์กับพวกยิงระเบิดชนิดเอ็ม-79 ใส่กลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. หน้าอาคารชินวัตร 3 เขตจตุจักร แต่ระเบิดไปถูกเสาอาคารและต้นไม้ประดับของอาคารชินวัตร 3 ทำให้ได้รับความเสียหายคิดเป็นเงิน 2 หมื่นบาท
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์มีพยานเบิกความว่านายณรงค์ศักดิ์ จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ และให้รายละเอียดในชั้นสอบสวนว่าเป็นผู้ไปรับระเบิดและเครื่องยิงระเบิดชนิดเอ็ม-79 ที่ลานจอดรถห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียลลาดพร้าว รวมถึงเส้นทางขับรถยนต์ จุดที่ขับรถพานายยงยุทธ บุญดี หรือชินจัง ไปยิงระเบิด รวมถึงเส้นทางขับรถยนต์กลับ และพยานบุคคล พยานเอกสาร รวมถึงพยานวัตถุยังสอดคล้องกับคำเบิกความของนายณรงค์ศักดิ์ด้วย ส่วนนายพีรพงษ์ จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนว่าเป็นผู้โทรศัพท์แจ้งให้นายณรงค์ศักดิ์ ไปรับอาวุธเพื่อนำไปใช้ก่อเหตุ
ศาลพิพากษาจำคุก นายณรงค์ศักดิ์ และนายพีรพงษ์ ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนฯ คนละ 12 ปี ฐานพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะฯ 3 ปี ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนให้จำคุกตลอดชีวิต แต่จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุกคนละ 43 ปี 4 เดือน