- Details
- Category: การเมือง
- Published: Tuesday, 20 October 2015 12:08
- Hits: 5400
ได้แล้ว 5 ปปช.ใหม่ วัชรพลผ่านฉลุย 'พรเพชร'รับเอง ชง'ม.44'ย้ายวุ่น
กก.สรรหาเคาะแล้ว 5 ปปช.ใหม่ 'สุวณา-วัชรพล'ฉลุยตามคาด'พรเพชร'แอ่นอก รับชงใช้ม.44เด้ง'จเร'ตั้ง'นัฑ' ก่อนเสนอใช้ย้าย"นัฑ"กลับอีก เพราะไม่อยากเกิดแรงกระเพื่อมในสภา เด็กปชป.จวก'พรเพชร' ทำม.44เสื่อม กรธ.จ่อให้กกต.แจกใบเหลือง-ใบแดง แต่ค้านตั้งศาลเลือกตั้ง กทม.โต้"วิลาศ" กางบัญชีเงินสะสมยันยังเหลือ 2.7 หมื่นล้าน
วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 25 ฉบับที่ 9092 ข่าวสดรายวัน
กก.สรรหาเคาะ 5 ว่าที่ป.ป.ช.
เมื่อวันที่ 19 ต.ค. ที่รัฐสภา คณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) 4 คน ประกอบด้วย นายนุรักษ์ มาประณีต ประธานศาลรัฐธรรมนูญ เป็นประธานที่ประชุม นายวีระพล ตั้งสุวรรณ ประธานศาลฎีกา นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และนายวิษณุ เครืองาม รอง นายกฯ ได้ประชุมเลือกผู้สมควรได้รับการเสนอชื่อให้เป็นกรรมการป.ป.ช. 5 คนจาก ผู้เข้ารับการสรรหา 59 คน
ที่ประชุมใช้เวลาสรรหา 1 ชั่วโมง 30 นาที จึงมีมติเลือก 1.นายวิทยา อาคมพิทักษ์ อดีตกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน 2.นางสุวณา สุวรรณจูฑะ ปลัดกระทรวงยุติธรรม 3. พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ อดีตรองผบ.ตร. 3.นายสุรศักดิ์ คีรีวิเชียร อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ และ5.พล.อ. บุญยวัจน์ เครือหงส์ อดีตผอ.สำนักตรวจสอบภายในกองทัพบก ให้เป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการป.ป.ช. โดยผู้ที่ได้รับเลือกจะต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของกรรมการสรรหาทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ขั้นตอนจากนี้กรรมการสรรหาฯ จะนำรายชื่อทั้ง 5 คน เสนอต่อประธานสนช. เพื่อให้ที่ประชุมสนช.ให้ความเห็นชอบต่อไป
ถกเครียด-ลงมติหลายรอบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการลงคะแนนเป็นไปอย่างเข้มข้น มีการลงมติหลายรอบโดยเฉพาะการลงมติเลือก พล.อ.บุญยวัจน์ ที่ต้องลงมติถึง 7 ครั้งจึงได้คะแนนถึง 2 ใน 3 หรือ 3 คะแนน โดยทำคะแนนขับเคี่ยวมากับ นายชำนาญ รวิวรรณพงษ์ อดีตประธานศาลอุทธรณ์ภาค 9 และนางสาวชุติมา บุณยประภัศร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ก่อนที่พล.อ.บุญยวัจน์ จะเบียดทำคะแนนชนะในรอบที่ 7
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า นอกจากนั้นนายสุรศักดิ์ ก็ต้องลงคะแนน 4 รอบ จึงได้คะแนน 2 ใน 3 ขณะที่พล.ต.อ.วัชรพล ซึ่งเป็นตัวเต็งจะได้รับการคัดเลือก ต้องลงคะแนนถึง 2 รอบจึงได้คะแนนครบ 2 ใน 3 ส่วนนางสุวณา ที่เป็นตัวเต็งอีกคน ลงคะแนนแค่รอบเดียวด้วยคะแนน 2 ใน 3 และนายวิทยาลงมติเพียงรอบเดียวได้คะแนนสูงสุด 4 คะแนน
พรเพชรรับเป็นคนชงตั้ง"นัฑ"
วันเดียวกัน นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. แถลงถึงคำสั่งของคสช. ที่ให้นายจเร พันธุ์เปรื่อง พ้นจากเลขาธิการสภา ผู้แทนราษฎร แล้วให้นายนัฑ ผาสุข ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย สำนักเลขาธิการวุฒิ สภา มาดำรงตำแหน่งแทน และล่าสุดคสช.มีคำสั่งให้ยกเลิก โดยให้นายนัฑ เป็นที่ปรึกษา ด้านกฎหมายเหมือนเดิมว่า การให้นายจเร พ้นตำแหน่ง เป็นผลจากการประเมินของคสช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่าการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ล่าช้า คืบหน้าไปเพียงร้อยละ 15-17 เท่านั้น และยังพบว่ามีเรื่องร้องเรียนการทุจริตในสภาผู้แทนราษฎร เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างที่ยังไม่ดำเนินการให้ได้ข้อยุติ จึงเห็นว่าเพื่อไม่ให้คสช.กังวล ก็ควรให้ปรับเปลี่ยนบุคลากรในสภา
นายพรเพชร กล่าวว่า ยอมรับว่าตนเป็นคนเสนอแต่งตั้งนายนัฑ เพราะเห็นว่าการแก้ปัญหาการก่อสร้างอาคารรัฐสภาและการทุจริต จำเป็นต้องใช้บุคคลที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายและไม่ได้มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง และยอมรับว่าไม่นึกว่าจะมีปฏิกิริยาต่อต้านรุนแรงแบบนี้เพราะ ตนมองว่าทั้งวุฒิสภาและสภาคือข้าราชการรัฐสภา เป็นประเภทเดียวกันสามารถโยก ย้ายข้ามห้วยกันได้ เหมือนกับศาลที่ย้าย ข้ามกันได้
ห่วงต้านหนักเลยชงย้ายกลับ
นายพรเพชร กล่าวว่า เมื่อเกิดปฏิกิริยา ต่อต้านรุนแรง ตนก็ต้องมาพิจารณา ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็เป็นห่วงและได้ปรึกษากับตน ซึ่งตนคิดว่าไม่อยากให้เกิดแรงกระเพื่อม ไม่อยากให้มีจุดใดๆ มากระทบต่อความรู้สึกของบุคลากร
"จริงๆ การตั้งนายนัฑ ขึ้นมาไม่คิดเลยว่าจะมีปัญหา แต่เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ผมจึงกราบเรียนนายกฯ ซึ่งนายกฯก็เห็นด้วย จึงออกคำสั่งคสช.ที่ 38/2558 ให้นายนัฑ กลับไปดำรงตำแหน่งตามเดิม ที่สำนักเลขาธิการวุฒิสภา เขามีโอกาสเจริญก้าวหน้าต่อไป ในเส้นทางของเขาอยู่แล้ว ทั้งหมดไม่มี เบื้องหน้าเบื้องหลัง" นายพรเพชรกล่าว
ขอเวลาหาเลขาฯสภาคนใหม่
เมื่อถามว่าตำแหน่งเลขาธิการสภาที่ว่างอยู่จะดำเนินการอย่างไร นายพรเพชรกล่าวว่า เพื่อความรอบคอบต้องใช้เวลาสักระยะประเมินว่าผู้ใดเหมาะสม จึงแต่งตั้ง นางจันทร์เพ็ญ อานามวัฒน์ รองเลขาธิการสภาที่มีอาวุโสสูงสุด ทำหน้าที่รักษาการแทนไปก่อน ส่วนการแต่งตั้งเลขาธิการสภาอย่างถาวร จะดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมาย ให้มีการสรรหา แสดงวิสัยทัศน์และผ่านคณะกรรมการกลั่นกรองของ คณะกรรมการรัฐสภา และนำความกราบบังคมทูลแต่งตั้งต่อไป จะทำให้ตำแหน่งเลขาธิการสภาได้รับการคัดเลือกและสรรหาอย่างดี
นายพรเพชร กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ยังไม่ได้กำหนดกรอบเวลาว่าจะได้เลขาฯเมื่อใด เพราะจากการตรวจสอบรองเลขาธิการสภาหลายคน ปรากฏว่าบางคนอยู่ระหว่างการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง จึงต้องขอเวลา แต่งานของสภาจะไม่บกพร่องเพราะมีรักษาเลขาฯสภาดำเนินการอยู่แล้ว ทั้งนี้ตนเป็นผู้ประเมินตำแหน่งรักษาการและตำแหน่งถาวรในฐานะทำหน้าที่ประธานรัฐสภา
'ขรก.สภา'เลิกแต่งดำประท้วง
นายพรเพชรกล่าวด้วยว่า ส่วนมูลเหตุที่เกี่ยวกับนายจเรนั้น ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว ก่อนมีคำสั่งของคสช.ออกมา ซึ่งการที่ตนมีคำสั่งให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนในครั้งนี้เนื่องจากมีหนังสือร้องเรียนจากบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ว่าการก่อสร้างอาคารรัฐสภาล่าช้า เพราะความผิดของเจ้าหน้าที่รัฐสภาโดยไม่ได้ระว่าเป็นบุคคลใด จึงต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวน ถ้าไม่ทำ จะถูกกล่าวหาว่า ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้
"ตรงนี้ไม่เกี่ยวกับคำสั่งของคสช. เพราะการตรวจสอบอาจมีคนผิดหรือไม่มีคนผิดก็ได้ เช่น ข้อเท็จจริงประการหนึ่งคือการส่งมอบที่ดินของโรงเรียนโยธินบูรณะล่าช้าไป 4 เดือน เพราะรัฐสภาไม่ทราบว่าเป็นใคร โอนเงินเข้าบัญชีแต่ไม่ใช่บัญชีของโรงเรียน ทำให้โรงเรียนไม่ได้เงินก้อน จึงไม่ได้นำเงินไปก่อสร้าง ทำให้ส่งมอบที่ดินล่าช้า ตรงนี้ก็ต้องดูว่าเป็นใคร ซึ่งเงินไม่ได้หายไปแต่ทำให้เกิดความเสียหาย" ประธานสนช.กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพรเพชร ลงนามคำสั่งสนช.ที่ 133/2558 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ล่าช้า เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 58 ส่วนกรณีข้าราชการสภานัดแต่งดำประท้วงนั้น หลังจากคสช.มีคำสั่งยกเลิกการแต่งตั้งนายนัฑ จึงไม่มีใครแต่งดำมาประท้วง
นิพิฏฐ์ซัดพรเพชรทำ'ม.44'เสื่อม
ด้านนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีนายพรเพชรยอมรับเป็นการเสนอชื่อนายนัฑและการเสนอคสช.ถอนคำสั่งแต่งตั้ง ว่า ตนคิดว่าเป็นการใช้ดุลพินิจที่ไม่เหมาะสม ค่อนข้างลุแก่อำนาจ การใช้มาตรา 44 ในระดับนี้ เป็นการลุแก่อำนาจของพรเพชร และน้ำหนักในการย้ายนายนัฑไม่พอ ถ้ามีน้ำหนักพอถึงแม้ข้าราชการจะออกมาต่อต้านอย่างไรก็ไม่เป็นผล เมื่อคิดได้ว่าเหตุผลไม่เพียงพอก็เลยยกเลิก
"ดังนั้นจะมีปัญหาว่าต่อไปนี้เวลานายกฯ ใช้มาตรา 44 อีก จะทำให้หลักการในมาตรา 44 ลดลงไม่น่าเชื่อ ต่อไปนี้จะเสียหายมาก ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นตัวอย่างว่าคนที่อยู่ภายใต้ร่มเงานายกฯ อย่าลุแก่อำนาจ ปัญหาที่เกิดขึ้นควรแก้ในระบบก่อน เว้นแต่แก้ไม่ได้จริงๆ ถึงจะใช้มาตรา 44 ซึ่งต้องมีเหตุผลด้วย" นายนิพิฏฐ์กล่าว
วิษณุปัดไม่รู้เรื่องย้าย'จเร'
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจเร พันธุ์เปรื่อง เข้ารายงานตัวกับ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี หลังพล.อ. ประยุทธ์ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ให้พ้นจากเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร มาเป็นที่ปรึกษาประจำสำนักนายกฯ จากนั้นเดินทางกลับในทันที โดยนายจเรกล่าวเพียงสั้นๆ ทางโทรศัพท์ว่า วันนี้เป็นข้าราชการในสังกัดปลัดสำนักนายกฯ ก็พร้อมปฏิบัติหน้าที่แต่ยังไม่ได้รับมอบหมายให้ดูงานด้านใด และปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นถึงสาเหตุที่ถูกย้ายด้วยคำสั่งมาตรา 44
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงคำสั่งหัวหน้าคสช.ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ย้ายนายจเรว่า ตนไม่รู้เรื่องดังกล่าว ไม่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลัง ส่วนสาเหตุที่ต้องใช้มาตรา 44 มาดำเนินการ เพราะหากไปใช้กฎหมายอื่นจะต้องกำหนดตำแหน่งขึ้นมาใหม่ซึ่งต้องใช้เวลาพิจารณาประมาณ 6 เดือน เอาเป็นว่า ไม่รู้เรื่องการออกคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 37/ 2558 ให้เลขาฯสภาพ้นจากตำแหน่งเป็นเพราะอะไร และไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรที่ต้องออกคำสั่งหัวหน้าคสช.38/2558 แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 37 ให้นายนัฑ ผาสุข มิเคยพ้นจากที่ปรึกษาด้านกฎหมาย สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา และมิเคยได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาฯสภา ตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 37
นายวิษณุ กล่าวด้วยว่า เรื่องดังกล่าวคสช.เป็นเจ้าของคำสั่ง ส่วนสำนักเลขาธิการครม.ไปเกี่ยวข้องคือรับเรื่องมาแล้วนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเท่านั้น ไม่ใช่กระบวน การที่ต้องเข้าครม.ฝ่ายรัฐบาลอาจจะไม่ ตรวจสอบ
มีชัยเผยกำลังร่างเรื่อง'สิทธิ'
ที่รัฐสภา นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมกรธ.ว่า เริ่มลงรายมาตรา ผ่านไปแล้ว 2 หมวด คือ หมวดทั่วไป และหมวดพระมหากษัตริย์ ที่ไม่มีการแก้ไขเลย ล่าสุดกำลังร่างหมวดสิทธิเสรีภาพปวงชนชาวไทย ซึ่งหาวิธีเขียนใหม่ให้สั้นกระชับ เข้าใจง่าย ขณะเดียวกันก็ทบทวนส่วนที่ผ่านมา เพื่อเวลาร่างไปข้างหน้าจะได้สอดคล้องกัน ส่วนอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็น ได้นำความเห็นของประชาชนมาแยกแยะว่าอยู่ในส่วนใดบ้าง บางข้อเสนอก็ใช้ได้ บางข้อเสนอก็ไปไกลรุนแรง เราไม่อาจทำตามได้ แต่ถือว่าเป็นประโยชน์ จุดประกายให้กรธ.คิดสิ่งใหม่ได้
"การกำหนดเรื่องสิทธิ จะกลับตาลปัตรจากทฤษฎี คือ จะเขียนหลักไว้กว้างๆ แล้วกำหนดว่ามีอะไรบ้างที่ทำไม่ได้ อะไรที่ไม่ห้ามไว้ก็ทำได้ทุกอย่าง เช่น เรื่องใดสุ่มเสี่ยงกระทบสิทธิประชาชน เราจะเขียนเงื่อนไขไว้ ไม่ต้องตีความกันวุ่นวาย"นายมีชัยกล่าว
ชี้ต้องสร้างสมดุลองค์กรอิสระ
เมื่อถามถึงการรับฟังความคิดเห็นขององค์กรอิสระเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายมีชัยกล่าวว่า ต้องระวังว่าหากจะเพิ่มอำนาจตามที่องค์กรเหล่านี้ขอทั้งหมด วันหน้าจะมีอำนาจทับซ้อนกันและทะเลาะกันเองได้ เราจึงต้องสร้างสมดุล อีกทั้ง กรธ.กังวลว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนมั่นใจในความเที่ยงธรรมขององค์กรเหล่านี้ หากเราทำได้ ก็จะไม่มีปัญหาโต้แย้งว่าเลือกที่รักมักที่ชัง ที่ผ่านมาได้ยินการร้องเรียนเรื่องกกต.จังหวัด ไม่ค่อยสุจริตยุติธรรมก็คิดทางแก้อยู่ ขณะที่ความไม่พอใจของฝ่ายการเมืองต่อองค์กรอิสระนั้น เป็นเรื่องความรู้สึกคลางแคลงใจ เมื่อถูกชี้ว่าผิด จึงรู้สึกไม่เป็นธรรม ตรงนี้ต้องเอามาชั่งน้ำหนักกัน ส่วนเรื่องยุบไม่มีการพูดถึง อะไรที่ประชาชนคุ้นเคยแล้วก็ไม่ควรยุ่ง แต่ต้องหาวิธีการได้มาและกำหนดการทำงานให้มีความเชื่อมั่น ยอมรับ
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีนายธานินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรี เสนอแนะให้ตัดสิทธินักการเมืองทุจริตตลอดชีวิต นายมีชัยกล่าวว่า ต้องขอบคุณ ถือเป็นเจตนาดีที่แสดงความห่วงใยต่อบ้านเมือง ซึ่งไม่ได้เป็นปัญหาเพราะข้อเสนอดังกล่าว กำหนดไว้ในรัฐ ธรรมนูญชั่วคราว มาตรา 35 อยู่แล้ว อีกทั้งเป็นสิ่งที่ทุกคนเห็นร่วมกันว่าเป็นปัญหา เราจะพยายามแต่จะได้แค่ไหน ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของเรา
กรธ.ยันไม่ได้ลดสิทธิ-เสรีภาพ
นายอมร วาณิชวิวัฒน์ โฆษก กรธ. แถลงถึงการดำเนินการของ กรธ.ว่า การพิจารณาในหมวด 3 สิทธิ เสรีภาพของบุคคล มีสาระสำคัญน่าสนใจในมาตรา 25 ว่าด้วย เรื่องใดที่ไม่ได้ถูกจำกัดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่นๆ ประชาชนย่อมมีสิทธิเสรีภาพที่จะกระทำได้ แต่ต้องไม่กระทบต่อความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย รวมถึงไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น ตรงนี้กรธ.ยังไม่ได้ลงรายละเอียด โดยจะดูรายละเอียดอย่างระมัดระวังอีกครั้ง
นายอมร กล่าวว่า การจำกัดสิทธิเสรีภาพต้องระบุเหตุผลความจำเป็นในการจำกัดเรื่องต่างๆ เพื่อให้ทราบถึงการเลือกปฏิบัติที่ ไม่เป็นธรรม หมวดนี้ตนยืนยันว่าไม่มีการบัญญัติ สิทธิ เสรีภาพลดน้อยลงกว่าฉบับนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.)ยกร่างรัฐธรรมนูญ คาดว่าจะบัญญัติหมวดนี้ 10 กว่ามาตรา ส่วนหมวดที่พิจารณาแล้วคือ หมวดทั่วไป 6 มาตรา หมวดพระมหากษัตริย์ 19 มาตรา
เผยคณะทูตสนใจเรื่อง"สิทธิ"
โฆษกกรธ. กล่าวว่า ส่วนนายนรชิต สิงหเสนี รองโฆษก กรธ.ไปประชุมเพื่อชี้แจงต่อคณะทูตกว่า 50 ประเทศและองค์กรระหว่างประเทศกว่า 10 องค์กรที่กระทรวงการต่างประเทศนั้น ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องสิทธิ เสรีภาพ เพราะบุคคลที่เป็นชาวต่างชาติและมาทำงานหรือใช้ชีวิตในประเทศไทยย่อมต้องการทราบถึงสิทธิที่จะได้รับ
นายอมรกล่าวว่า วันที่ 28 ต.ค.จะประชุมแม่น้ำ 5 สาย ซึ่งกรธ.ร่วมประชุมด้วย เป็นโอกาสดีที่เราจะได้รับฟังความคิดเห็นจากทั้งสนช. ครม. สปท.และคสช. ซึ่งตนเข้าใจที่สปท.กังวลวาระปฏิรูปจะไม่มีอะไรเชื่อมโยงกับร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเรายินดีจะประสานเรื่องนี้เพื่อรับฟังความคิดเห็นจาก สปท. ส่วนการรายงานความคืบหน้าการร่างรัฐธรรมนูญให้ สปท.รับทราบเหมือนครั้งที่มี สปช.นั้น เรายินดีชี้แจง ไม่ขัดข้องหาก สปท.ต้องการ
เมื่อถามว่า กรธ.กำหนดนิยามแต่ละคำไว้เหมือนของนายบวรศักดิ์หรือไม่ นายอมร กล่าวว่า กรธ.ไม่ได้นิยามแต่ละคำไว้เหมือนของนายบวรศักดิ์ แต่ดูรายละเอียดต่างๆ จากสาระสำคัญ เพราะหากเราบัญญัติรายละเอียดมาก จะทำให้การร่างรัฐธรรมนูญ ยืดยาว ส่วนการร่างเจตนารมณ์ ไม่ได้เขียนไว้ แต่จะดูจากบันทึกการประชุมที่ผ่านมาซึ่งแทนกันได้
เชิญ"สมบัติ"ให้ข้อมูล
นายศุภชัย ยาวะประภาษ กรธ. ในฐานะอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างฝ่ายบริหาร เปิดเผยว่า อนุกรรมการกำลังเก็บรวบรวมข้อมูลจากส่วนต่างๆ ก่อนหน้านี้เชิญอาจารย์ที่เคยวิจัยเรื่องการได้มาซึ่งฝ่ายบริหารที่เป็นอิสระจากฝ่ายนิติบัญญัติ มาเสนอผลวิจัยและร่วมแสดงความคิดเห็น ขณะเดียวกันที่ประชุมหารือกันว่าน่าจะเชิญนายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อดีตสมาชิกสปช. มาให้ข้อมูลเรื่องนี้ด้วย เนื่องจากเคยเป็นประธานกมธ.ปฏิรูปการเมือง เคยศึกษาโครงสร้างฝ่ายบริหาร กรธ.พยายามฟังจากทุกฝ่ายเพื่อดูว่ามีจุดแข็งและจุดอ่อนอย่างไร และสิ่งใดเหมาะสมกับสังคมไทยทั้งในปัจจุบันและอีก 5 ปีหรือ 10 ปีข้างหน้า จากนั้นจะนำโมเดลเหล่านี้ไปสอบถามความคิดเห็นจากประชาชนด้วย
นายประพันธ์ นัยโกวิท กรธ. ในฐานะประธานอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างฝ่ายนิติบัญญัติ เปิดเผยว่า อนุกรรมการอยู่ระหว่างการพิจารณาตั้งคำถามเพื่อให้ประชาชนแสดงความเห็น ผ่านสำนักงานสำรวจความคิดเห็น อาทิ ที่มาของส.ส. จำนวนส.ส. ระบบเลือกตั้ง การได้มาซึ่งส.ว. หน้าที่ของส.ว. คาดว่าก่อนสิ้นเดือนต.ค.นี้จะได้รูปแบบคำถามที่จะสำรวจความเห็น และเมื่อได้รับผลสำรวจแล้วจะเสนอ กรธ.ให้พิจารณาเพื่อประกอบการเขียนรายมาตราต่อไป
จ่อให้ดาบ"กกต."ฟันโกงเลือกตั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการหารือระหว่าง กรธ. กับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งนำเสนอข้อมูลของกกต. เพื่อประกอบการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น พอสรุปได้ว่า กรธ.เห็นสมควรให้กกต.มีอำนาจเด็ดขาดในการป้องกันการทุจริตเลือกตั้ง โดยสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ (ใบเหลือง) และการเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง (ใบแดง) แก่ผู้สมัครที่กระทำผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้งในช่วงก่อนวันเลือกตั้ง ก่อนและหลังประกาศผลการเลือกตั้ง ซึ่งจะคล้ายกับรัฐธรรมนูญ 2540 คือเมื่อกกต.มีมติแจกใบเหลืองหรือใบแดงก็ไม่ต้องส่งสำนวนไปยังศาล ให้อำนาจอยู่ที่กกต.ได้เลย แม้จะมีมติหลังประกาศผลการเลือกตั้ง แต่อาจต้องกำหนดกรอบเวลาพิจารณาคดีให้เสร็จ ยกเว้นคดีเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งตลอดชีวิตที่อาจต้องส่งให้ศาลพิจารณา เพราะคดีดังกล่าวเป็นการกระทำผิดมากกว่าการทุจริตเลือกตั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า กรธ.ยังมีความเห็นให้กกต.ไปปรับปรุงระบบการสอบสวนภายในขององค์กรกกต.เอง รวมทั้งปรับปรุงการปฏิบัติหน้าที่ของ กกต.ประจำจังหวัด ไม่ให้เกิดการแทรกแซงหรือมีส่วนได้เสียจากฝ่ายการเมือง ส่วนจะปรับปรุงอย่างไร กกต.ต้องนำไปพิจารณาอีกครั้ง ส่วนข้อเสนอของกกต.ที่ให้มีศาลเลือกตั้งนั้น กรธ.มีความเห็นว่า การให้มีศาลเลือกตั้งอาจไม่ช่วยแก้ไขปัญหา เนื่องจากการพิจารณาของศาลจะเป็นวิธีการพิจารณาคดีทางอาญา ต้องมีหลักฐานพิสูจน์ได้โดยปราศจากความเคลือบแคลงสงสัย แต่รูปแบบการพิจารณาคดีของกกต.นั้นคือ หลักฐานที่เชื่อได้ว่าทุจริต กกต.ก็แจกใบเหลืองและใบแดงได้ จึงเห็นว่าแม้มีศาลเลือกตั้งก็คงไม่ช่วยอะไร และไม่เห็นด้วยที่จะให้มีศาลดังกล่าว
สปท.ประชุมนัดแรก
ที่รัฐสภา ร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธานสปท. ทำหน้าที่ประธานการประชุม สปท. เป็นครั้งแรก โดยก่อนเข้าสู่วาระ ที่ประชุมได้รับทราบประกาศจากสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งร.อ.ทินพันธุ์ เป็นประธานสปท. นายอลงกรณ์ พลบุตร เป็นรองประธานสปท.คนที่ 1 และน.ส.วลัยรัตน์ ศรีอรุณ เป็นรองประธานสปท.คนที่ 2 จากนั้นจึงเข้าสู่วาระการพิจารณาหารือแนวทางการทำงาน ซึ่งสมาชิกสปท.เห็นชอบให้มีการประชุมสัปดาห์ละ 2 วัน คือวันจันทร์ และวันอังคาร เริ่มตั้งแต่เวลา 09.30 น. เป็นต้นไป
ต่อมาที่ประชุมให้ความเห็นชอบตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างข้องบังคับการประชุม 25 คน อาทิ นายเสรี สุวรรณภานนท์ นายวันชัย สอนศิริ นายวิทยา แก้วภราดัย นายสุชน ชาลีเครือ กำหนดแล้วเสร็จภายใน 15 วัน พร้อมกันนี้ สมาชิกสปท.ได้หารือถึงแนวทางการร่างข้อบังคับว่า ควรกำหนดแนวทางให้สานต่องานจากสปช. กำหนดให้มีกรรมาธิการปฏิรูปอย่างน้อย 11 ด้าน ตามที่รัฐธรรมนูญชั่วคราวกำหนดไว้ และควรให้มีคณะติดตามการร่างรัฐธรรมนูญของกรธ.ด้วย จากนั้นร.อ.ทินพันธุ์ สั่งปิดการประชุมในเวลา 13.20 น. พร้อมนัดประชุมต่อในวันที่ 20 ต.ค. เวลา 09.30 น.
อลงกรณ์ปัดตั้งกก.ปรองดอง
นายอลงกรณ์แถลงถึงกระแสข่าวสปท.จะตั้งคณะกรรมการเกี่ยวกับการปรองดองว่า เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน ซึ่งการประชุมในนี้ มีวาระตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างข้อบังคับ เพื่อกำหนดแนวทางการทำงานสปท. และเปิดให้สมาชิกสปท.แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการขับเคลื่อนการปฏิรูปเท่านั้น ยังไม่มีวาระตั้งคณะทำงานเกี่ยวกับความปรองดอง
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ส่วนการประชุมแม่น้ำ 5 สาย ในวันที่ 28 ต.ค.นั้น สปท.จะนำเสนอเพียงรายงานความพร้อมต่อการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเท่านั้น ยอมรับว่าการสร้างความปรองดองคือสิ่งสำคัญ ไม่แพ้การขับเคลื่อนการปฏิรูป แต่สปท.จะตั้งคณะกรรมศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง เหมือนที่สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เคยตั้งหรือไม่นั้น ยังต้องรอการพิจารณาก่อน ส่วนการทำงานร่วมกับกรธ. แม้สปท.จะไม่เกี่ยวข้องโดยตรง แต่จำเป็นต้องมีความใกล้ชิดกับกรธ. เพื่อผลักดันให้เกิดการขับเคลื่อนการปฏิรูป ด้วยการออกกฎหมายลูกหรือกฎหมายประกอบรัฐธรรม นูญ ตนมองว่าหลังได้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรก สปท.ถึงจะหารือเพื่อแสดงความคิดเห็นส่งให้กรธ.ได้ แต่แนวทางตั้งกมธ.ขึ้นเพื่อรวบรวมความเห็นสปท.ต่อการร่างรัฐ ธรรมนูญหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับแนวนโยบายของ ร.อ.ทินพันธุ์
'บิ๊กหมู'ลั่นทำให้บ้านเมืองสงบ
ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ. ให้สัมภาษณ์ภายหลัง เป็นประธานประชุมผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก (นขต.ทบ.) และผู้บังคับหน่วยระดับกองพันทั่วประเทศว่า ได้เน้นย้ำให้กำลังพลดูแลประชาชนเป็นหลัก ตอบสนองนโยบายรัฐบาล และคสช.ในการสร้างความปรองดอง
ผู้สื่อข่าวถามว่ารัฐบาลและคสช. รวมทั้งกองทัพบกจะสร้างความมั่นใจให้ประชาชนได้หรือไม่ว่าทหารจะไม่ออกนอกแถวและ ไม่แทรกแซงทางการเมือง พล.อ.ธีรชัยกล่าวว่า ทหารเข้าแถวตลอดเวลา ยืนยันว่ากองทัพบก กองกองทัพไทยจะทำทุกอย่างทุกวิถีทางให้บ้านเมืองสงบ ปราศจากอิทธิพลอำนาจมืด ให้สร้างปรองดอง
เมื่อถามว่าฝ่ายความมั่นคงกังวลเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่ พล.อ.ธีรชัยกล่าวว่า สื่อต้องเขียนให้ดี ลงข่าวให้ดี เพื่อให้การร่างรัฐธรรมนูญเดินต่อไปได้ เพราะจะเลือกตั้งได้ต้องมีรัฐธรรมนูญก่อน อีกทั้งกรธ.และรัฐบาลพยายามหาระบบการปกครองที่ดีที่สุดและเหมาะสมกับประเทศที่สุด เพื่อให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง ดังนั้นไม่ต้องห่วง เพราะเป็นหน้าที่ของกกล.รส. ทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ห่างไกลทั้งประเทศว่าความจริงใจของรัฐบาลและคสช.นั้น คืออะไร ส่วนกลุ่มมวลชนต่างๆ ก็เป็นคนที่มีปัญหาที่ไม่อยากให้บ้านเมืองสงบ
กทม.โต้เด็กปชป.
ที่ศาลาว่า การกทม. นายจุมพล สำเภาพล รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวถึงกรณีนายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีตประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประ พฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร แฉทุจริตภายในกทม. อาทิ การเดินทางไปต่างประเทศทุกเดือนของรองผู้ว่าฯกทม. การใช้จ่ายงบไม่ถูกต้อง การจ่ายเงินถึง 7 หลักเพื่อการแต่งตั้งโยกย้าย การให้เขตจัดซื้อรถดูดไขมันและรถดูดเลนว่า นายวิลาศ ไม่ได้ระบุว่าเป็นรอง ผู้ว่าฯ กทม. คนใด จึงไม่ทราบว่าหมายถึงใครเพราะตนไม่ได้ไปต่างประเทศทุกเดือน ที่ผ่านมาไปราชการเพียงปีละครั้งเพราะไม่ถนัดภาษาอังกฤษ ล่าสุด ไปประเทศเยอรมัน ช่วงเดือนพ.ย. 57
นายจุมพล กล่าวว่า ส่วนการใช้จ่ายงบนั้น มีระเบียบขั้นตอนชัดเจนที่ต้องปฏิบัติตาม คงไม่สามารถนำมาเบิกจ่ายเพื่อการส่วนตัวได้ ขณะที่การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ผู้ที่มีอำนาจดำเนินการมีเพียง 2 คน คือผู้ว่าฯกทม. ที่จะพิจารณาในตำแหน่งระดับสูงหรือซี 9 ขึ้นไป ส่วนตำแหน่งรองจากนั้นเป็นอำนาจของปลัดกทม. ตนจะเข้าไปดำเนินการไม่ได้ ส่วนการจัดซื้อรถดูดเลนหรือรถไขมัน มีการจัดซื้อมาตั้งแต่สมัยที่ตนเป็นรองปลัดกทม. หรือช่วงสมัยม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็น ผู้ว่าฯกทม.สมัยที่ 1 หรือหากสำนักงานเขตสำรวจว่าจำเป็นต้องจัดซื้อ ก็ดำเนินการได้เอง
กางบัญชีแจง-สวน'วิลาศ'
ด้านนายกฤษฎา ศิริพิบูลย์ ผอ.สำนักการคลัง (สนค.) กล่าวว่า ขณะนี้เงินสะสมกทม. ต้นปีงบประมาณ 2559 ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.58 รวมกับเงินกันเหลื่อมของปี 2558 ซึ่งเป็นยอดก่อนปรับปรุงบัญชี มีอยู่ 30,000 ล้านบาท กทม.ต้องบริหารจัดการ ส่วนหนึ่งจะต้องใช้จ่ายเป็นเงินเดือนค่าจ้างของข้าราชการ ลูกจ้างและบุคลากรกทม. เป็นเวลา 2 เดือน เดือนละ 1,300-1,500 ล้านบาท ทำให้เงินสะสมยังคงเหลือ 27,000 ล้านบาท นอกจากนี้กทม.ยังได้รับเงินจากการจัดเก็บภาษีทั้งในส่วนที่รัฐบาลจัดสรรให้และ ที่กทม.จัดเก็บเองอีก ยืนยันว่าเงินสะสม ไม่ได้เหลือ 2,000 ล้านบาท ตามที่นายวิลาศ ตั้งข้อสังเกต ไม่รู้ว่านายวิลาศ เอาข้อมูลมาจากที่ใด
วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 25 ฉบับที่ 9092 ข่าวสดรายวัน
'บิ๊กตู่'เปิดทำเนียบฯ-รับฮีโร่โคลนดูด ผวจ.สั่ง-เร่งช่วย ปัญหาที่ดินบ้าน
ฮีโร่เข้ากรุง - นายชัด อุบลจินดา ฮีโร่ ผู้ช่วยชาวต่างชาติจากโคลนดูด กลับมาดูริมเขื่อนปากแม่น้ำกระบี่ จ.กระบี่ จุดเกิดเหตุ ยังไม่มีป้ายเตือนใดๆ ล่าสุดกระทรวงวัฒนธรรมพาเข้ากทม.มาพบพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯในวันนี้ |
ประมงฮีโร่บินเข้ากรุง พบ 'บิ๊กตู่' ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้ว่าฯ กระบี่รับจัดการ ประสานการไฟฟ้าขยายเสาไฟเข้าถึงบ้าน แก้ปัญหาจ่ายค่าไฟแพง-เดือนละ 3 พัน พร้อมปรับถนนที่แคบ-เป็นดินลูกรัง มอบจนท.ดูแลเรื่องเอกสารสิทธิบ้านที่อยู่ในเขตป่าชายเลนด้วย ขณะที่ประมงฮีโร่วอนติดตั้งป้ายเตือนจุดต่างชาติจมโคลน หวั่นนักท่องเที่ยวลงไปจมซ้ำ เผยก่อนหน้าเคยช่วยนักท่องเที่ยวจมน้ำมาด้วย ส่วนอาการปวดหลังจากการให้ฝรั่งเหยียบขึ้นจากโคลนเริ่มดีขึ้น เสนออัยการสูงสุดมอบเสื้อสามารถ
จากกรณีมีการแชร์คลิปวิดีโอขณะนายชัด อุบลจินดา อายุ 44 ปี ฮีโร่ชาวกระบี่ เข้าช่วยเหลือสองสามีภรรยาชาวนอร์เวย์ขณะจมในโคลน บริเวณริมเขื่อนปากแม่น้ำกระบี่ ถนนอุตรกิจ อ.เมือง จ.กระบี่ โดยนอนให้ทั้งสองคนขึ้นเหยียบบนหลังขึ้นมาจากโคลนทีละคน สร้างความประทับใจกับสามีภรรยาชาวนอร์เวย์และชาวโซเชี่ยลมีเดียอย่างกว้างขวาง แถมยังโด่งดังไปทั่วโลก แต่ผลจากการให้สามีภรรยาเหยียบหลังทำให้มีอาการปวดหลังและกล้ามเนื้ออักเสบ จนต้องไปหาหมอให้ฉีดยา ขณะที่ผู้ว่าฯ กระบี่และนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองกระบี่ต่างชื่มชมพร้อมมอบเกียรติบัตร แถมยังเตรียมให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ด้านการท่องเที่ยวและต่อเรือลำใหม่ให้ ขณะที่แม่ของประมงฮีโร่วอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือเรื่องบ้านที่ไม่มีเอกสารสิทธิ ตามที่ข่าวสดเคยเสนอข่าวไปนั้น
สำหรับ ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 19 ต.ค. นายชัด อุบลจินดา ฮีโร่ชาวกระบี่ เดินทางไปยังจุดเกิดเหตุที่สามีภรรยาชาวนอร์เวย์จมโคลน บริเวณริมเขื่อนปากแม่น้ำหน้าเมืองกระบี่ ถนนอุตรกิจ โดยพบประชาชนและ นักท่องเที่ยวผ่านไปมาบริเวณดังกล่าวจำนวนมาก แต่ยังไม่มีการนำป้ายเตือนมาติดตั้ง
นายชัด กล่าวว่า รู้สึกเป็นห่วงจะมีนักท่องเที่ยวลงไปเหยียบบริเวณดังกล่าวและจมโคลนอีก เพราะมองผิวเผินไม่รู้ว่าเป็นโคลน จึงอยากให้เทศบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งนำป้ายเตือนมาติดตั้งไว้ โดยห้ามนักท่องเที่ยวไม่ให้ลงเดินบริเวณจุดดังกล่าวอีก รวมทั้งจุดอื่นที่มีความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากเคยเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้กับนักท่องเที่ยวหลายครั้ง เมื่อไม่นานมานี้ตนเคยช่วยชีวิตนักท่องเที่ยวจมน้ำ บริเวณช่องเขาขนาบน้ำมาแล้วด้วย เพราะช่วงน้ำขึ้นกระแสน้ำจะเชี่ยว แต่นักท่องเที่ยวไม่รู้จึงควรมีป้ายเตือน
ด้านนายกีรติศักดิ์ ภูเก้าล้วน นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองกระบี่ กล่าวว่า ได้สั่งทำป้ายเตือนแล้วคาดว่าจะสามารถนำไปติดตั้งได้เร็วๆ นี้ และเบื้องต้นได้ประชาสัมพันธ์ว่าไม่ควรลงไปในจุดที่เป็นโคลน เพราะบางจุดเป็นหลุมลึก ซึ่งจะดำเนินการติดตั้งป้ายเตือนตามจุดอื่นด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส่วนบรรยากาศภายในบ้านพักของนายชัด บริเวณถนนคู่เมือง ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.กระบี่ ยังคงมีเพื่อนบ้าน รวมถึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่างเดินทางมาชื่นชมและแสดงความยินดีอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
ต่อมานายวิรุจเทพ รัฐการวงศ์ หัวหน้ากลุ่มงานข้อมูลสารสนเทศ สำนักงานจังหวัดกระบี่ เป็นตัวแทนนายพินิจ บุญเลิศ ผู้ว่าฯ กระบี่ เดินทางมาสอบถามถึงความเดือดร้อนและความต้องการของครอบครัวนายชัด
โดยนายชัด กล่าวว่า สิ่งที่ต้องการขณะนี้คือ บ้านที่อยู่อาศัยตอนนี้อยู่ในเขตป่าชายเลน โดยไม่รู้ว่าจะต้องย้ายออกจากพื้นที่เมื่อไร จึงอยากขอให้ช่วยเรื่องนี้เป็นการเร่งด่วน รวมถึงเรื่องกระแสไฟฟ้าที่ยังต่อไฟฟ้าแบบพิเศษชั่วคราว ซึ่งมีค่าใช้จากการใช้กระแสไฟฟ้าที่สูงกว่าปกติ ตอนนี้ต้องจ่ายค่าไฟฟ้าประมาณ 2,500-3,000 บาทต่อเดือน ทั้งที่มีแค่โทรทัศน์กับหลอดไฟไม่กี่ดวง ซึ่งพอใกล้ครบรอบบิลที่จะต้องจ่ายค่าไฟฟ้า ตนต้องวิ่งออกหาปลาทั้งเช้าและเย็น เพื่อให้เพียงพอต่อจ่ายค่ากระแสไฟฟ้า
ด้านนายวิรุจเทพกล่าวว่า ขณะนี้ผู้ว่าฯ กระบี่ได้ประสานงานกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จ.กระบี่ไว้แล้ว ในเรื่องขยายเสาไฟฟ้าเข้ามา พร้อมประสานเทศบาลเมืองกระบี่ให้ปรับถนนที่ยังคับแคบและยังเป็นดินลูกรังให้ด้วย นอกจากนี้ยังมอบหมายให้สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.กระบี่ มาดูเรื่องบ้านที่อยู่อาศัยในเขตป่าชายเลนให้ด้วย คาดว่าทั้ง 3 หน่วยงานจะเข้ามาดำเนินการในเร็วๆ นี้
จากนั้นนายเชษฐา เตกฉัตร์ รองอัยการจังหวัดกระบี่ ได้เข้ามาพบและได้เสนอสำนักงานอัยการสูงสุดมอบเสื้อสามารถให้กับนายชัด ในฐานะทำคุณงามความดีให้กับแผ่นดิน ซึ่งสำนักงานกิจการและโครงการในพระดำริ พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้า พัชรกิติยาภา สำนักงานอัยการสูงสุด ได้ทราบข่าวการทำความดีของนายชัดผ่านสื่อต่างๆ จึงเห็นควรให้มอบเกียรติบัตร พร้อมเสื้อคนดีแก่นายชัด เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการทำความดี และยกย่องเชิดชูให้เป็นแบบอย่างที่ดีของสังคม โดยมีกำหนดมอบให้ในวันที่ 23 ต.ค.
ถัดมา นพ.จรูญ โอภาสพิมลธรรม รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดกระบี่ นำสมาชิกเหล่ากาชาดเดินทางมาเยี่ยมและให้กำลังใจ พร้อมตรวจสุขภาพให้กับนายชัด เบื้องต้นพบอาการปวดหลังและต้นขาเริ่มทุเลา
นายชัด กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้คนจำนวนมากเดินทางเข้ามาแสดงความยินดี บ้างก็โทรศัพท์มาสัมภาษณ์สอบถามจนแทบจะไม่มีเวลาออกหาปลา ซึ่งตนไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องขนาดนี้ ทั้งที่การช่วยเหลือนักท่องเที่ยวก็ไม่ได้หวังค่าตอบแทนอะไร วันนั้นช่วยเหลือนักท่องเที่ยวเสร็จแล้วก็ออกไปหาปลา ไม่ได้บอกใครที่บ้านว่าเกิดอะไรขึ้น ที่บ้านไม่รู้ แต่ก็มีคนมาหาจนพบ ความจริงจะไม่ให้ใครรู้เสียด้วยซ้ำ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 16.00 น. นายชัดได้รับการประสานจากผู้แทนกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อพาเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยนายชัดได้นั่งเครื่องบินจากท่าอากาศยานนานาชาติ จ.กระบี่ มากรุงเทพฯ ในทันที เพื่อเตรียมเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ในวันที่ 20 ต.ค.