- Details
- Category: การเมือง
- Published: Friday, 24 July 2015 13:07
- Hits: 10739
3 รมต.ระทึก อุ๋ย-ปีติพงศ์-ณรงค์ชัย ลุ้นปรับ-แต่ไม่ออกเอง 'สมหมาย'หนึบรมว.คลัง เจ๊หน่อยเมินกุนซือคสช. สั่งเด้ง'พงศกร'พ้นสมช.
กระแสปรับครม.ยังแรง 'หม่อมอุ๋ย -ปีติพงศ์-ณรงค์ชัย' ส่อหลุดเก้าอี้ 'สมหมาย'หนึบขุนคลังยัวะคนปล่อยข่าวทำลายความน่าเชื่อถือรัฐบาล 'จักรมณฑ์'ท้าทำโพลถามปชช.อยากได้ใครเป็นรมต. 'บิ๊กนมชง' โต้ถูกโยกจากพาณิชย์ไปพลังงาน'บิ๊กอ้อ'จวกข่าวมั่วลาออกจากเลขาธิ การนายกฯ 'หญิงหน่อย'ปัดร่วมสังฆกรรม คสช. ลั่นขัดจุดยืนตัวเองที่ยึดเส้นทางประชาธิปไตยมาตลอด สธ.วุ่นไม่เลิก "หมอณรงค์" เล็งฟ้องกลับแพทย์ชนบท เชื่อถูกสกัดคืนปลัดสธ. 'บิ๊กตู่'ใช้มาตรา 44 เด้งฟ้าผ่า'พงศกร' จากรองเลขาฯสมช. ไปนั่งที่ปรึกษานายกฯ ตั้ง'ปกรณ์'เสียบแทน 'วัฒนา'ยื่นศาลปกครอง คสช.สั่งห้ามไปต่างประเทศ
วันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 25 ฉบับที่ 9004 ข่าวสดรายวัน
ชนแก้ว - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ต้อนรับนายเหวียน เติ๊น สุง นายกฯ เวียดนาม ในโอกาสเดินทางมาเยือนไทยอย่างเป็นทางการ และหารือข้อราชการร่วมกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 23 ก.ค.
5 รมต.ศก.จับเข่าคุย-3 คนส่อปิ๋ว
เมื่อวันที่ 23 ก.ค.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากมีกระแสข่าวเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) มาอย่างต่อเนื่อง ปรากฏว่าเมื่อค่ำวันที่ 22 ก.ค.ที่ผ่านมา 'หม่อมอุ๋ย'ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาล นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รมว.อุตสาหกรรม นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รมว.พลังงาน ได้มาพบปะกันที่โรงแรมเรเนซองส์ เพลินจิต กรุงเทพฯ และพูดคุยถึงข่าวการปรับครม.ที่พุ่งเป้ามายังรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ซึ่งเห็นว่าข่าวนี้ไม่ให้ความเป็นธรรมกับรัฐมนตรีที่ดูแลงานด้านเศรษฐกิจเนื่องจากไม่มองที่ผลงานและเน้นโจมตีเฉพาะรัฐมนตรีที่เป็นพลเรือน แต่ละเว้นรัฐมนตรีที่เป็นทหาร
อย่างไรก็ตาม ในวงสนทนาตกลงกันว่าไม่ว่าจะมีกระแสกดดันอย่างไรก็จะไม่ลาออก ถ้าจะถูกปรับออกก็ให้ขึ้นอยู่กับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(ตสช.) เท่านั้น
ขณะเดียวกัน หากจะมีการปรับครม.คาดว่ารัฐมนตรีที่มีแนวโน้มว่าจะถูกปรับพ้นครม.คือ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร นายปีติพงศ์ และนายณรงค์ชัย โดยเฉพาะนายณรงค์ชัยที่ถูกมองว่าช่วงนี้มีม็อบมาคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ที่ทำเนียบรัฐบาล แต่นายณรงค์ชัย ที่ดูแลกระทรวงพลังงานกลับไม่เคยออกมาแก้ปัญหาใดๆ ส่วนนายสมหมายคาดว่าจะไม่ถูกปรับออกแต่อย่างใด
'สมหมาย'ยัวะคนปล่อยข่าว
นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง เปิดเผยถึงกระแสข่าวยื่นใบลาออกจากตำแหน่งว่า ไม่เคยคิดจะลาออก ตราบใดที่นายกฯ ยังมอบหมายให้ทำงานต่อไปเรื่อยๆ และนายกฯ ไม่ได้สั่งให้ลาออก แม้ที่ผ่านมามีข่าวว่าจะถูกปรับออก ตนก็วางเฉย ไม่หวั่นไหวต่อเรื่องนี้ ยังทำงานปกติทุกอย่าง เพราะยังมีงานต้องทำอีกจำนวนมาก ยอมรับว่ากลุ่มหรือกระบวน การปล่อยข่าวเกี่ยวกับทีมเศรษฐกิจขณะนี้ มีผลต่อความเชื่อมั่นมาก อยากรู้ว่าคนที่ปล่อยข่าวคิดหรือมีสมองเป็นอย่างไร หรือความรู้แค่ไหน แต่มันมีผลที่รัฐบาลต้องเอามาคิด เนื่องจากรัฐบาลนี้มาจากปฏิวัติ แต่มีเรื่องแบบนี้เข้ามาเกี่ยวข้องมันไม่ได้ เพราะทำลายความน่าเชื่อถือไม่ใช่ของคนที่ถูกปล่อยข่าวเท่านั้น แต่ทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลทั้งหมดด้วย
นายสมหมาย กล่าวว่า ต้องมีการจัดการกลุ่มหรือกระบวนการที่มีการปล่อยข่าวให้ เด็ดขาด ถือเป็นเรื่องไม่ดีเพราะรัฐบาลไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่ปล่อยให้มีการปล่อยข่าวแบบนี้ แสดงให้เห็นว่าพวกปล่อยข่าวฮึกเหิมมากเกินไปแล้ว แต่การจัดการเรื่องนี้ไม่ใช่หน้าที่ของตน เป็นหน้าที่ของฝ่ายที่รับผิดชอบของรัฐบาล ยืนยันว่าไม่เคยคิดยื่นหนังสือลาออกชัดเจนเลย ไม่เคยน้อยใจ ทำงานปกติทุกอย่าง
ห่วงกระทบตลาดหุ้น
รมว.คลัง กล่าวว่า ส่วนเงื่อนไขหากจะเปลี่ยนแปลงตำแหน่งนั้น ยืนยันว่าไม่มีเงื่อนไข แต่ที่ผ่านมาได้พูดถึงเงื่อนไขทางภาษี ก็ยังเดินหน้าอยู่ตลอด ที่ผ่านมาทำงานเต็มที่แล้ว แต่คนพอใจหรือไม่ แล้วแต่คนที่มองเห็น ไม่ว่าอะไร บางคนไม่พอใจ บางคนบอกไม่รู้เรื่อง และมีอีกหลายงานที่คิดทำต่อ ทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจ ที่เป็นงานโครงสร้างต่างๆ ยังมีอีกมากที่กระทรวงการคลังต้องทำ เพราะใครหลายคนพูดที่โครงสร้างมันงอ ไม่ดี ก็ต้องปรับต้องช่วยกันทำ ใครเข้ามาก็ต้องทำ ไม่ใช่ตนคนเดียว
"ยอมรับว่า เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่เป็นรมว.คลัง มีแต่ศัตรูมากขึ้น แต่ต้องทำตามแนวทางที่ควรจะทำในฐานะรมว.คลัง ส่วนแนวทางการสร้างความเชื่อมั่นให้รัฐบาลไม่ใช่ผมคนเดียว ต้องทำทั้งครม. ทั้งนายกฯ รองนายกฯ และรัฐมนตรีแต่ละกระทรวง เพราะต่างชาติอยากเข้ามาลงทุนไทยมาก แต่ยังขาดความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์ในประเทศ ซึ่งต้องทำให้ความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นให้ได้ระดับหนึ่ง กระแสข่าวดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้น เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่เกิดความวิตกกังวลถึงความไม่แน่นอนและความหวั่นไหวของ ครม. ทำให้ผู้ลงทุนถอดใจ เชื่อว่าอาจมีการปล่อยข่าวออกมาอีกเป็นระยะแน่นอน"นายสมหมายกล่าว
ท้าทำโพลอยากให้ใครเป็นรมต.
ด้านนายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ขณะนี้ไม่แน่ใจว่าข่าวปรับครม.ที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของกลุ่มบุคคลใดที่ต้องการตำแหน่ง หรือเป็นการวิเคราะห์จากสื่อ ซึ่งมองว่าอาจเป็นไปได้ทั้งสองทาง ซึ่งตนทำงานทั้งหมดในหน้าที่ที่รับผิดชอบเสร็จสิ้นเกือบหมดแล้ว จนไม่มีใครมาขอเข้าพบ ไม่มีใครเข้ามาขอพึ่งบารมีรัฐมนตรี เพราะทุกอย่างมีกฎเกณฑ์ระเบียบกำกับให้เข้าตามระบบ คนจึงหันไปพึ่งระบบที่ดีแล้ว ดังนั้นไม่ว่าใครมาเป็นรัฐมนตรีก็ได้ เพราะตนได้สะสางแก้ไขปัญหาที่ซุกไว้ใต้พรมจนหมด เพราะก่อนเข้ามาเป็นรัฐมนตรีก็วางแผนการทำงานไว้ 1 ปีอยู่แล้วเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งปลายปี
นายจักรมณฑ์ กล่าวว่า ส่วนข้อครหาที่หลายฝ่ายมองว่าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลทำให้เศรษฐกิจไทยแย่ลงนั้น อยากถามไม่ว่าใครเข้ามา จะแก้ปัญหาอะไรก่อน หากจะ ผลักดันเรื่องส่งออกที่ตกต่ำก็ต้องถามว่าจะทำอย่างไร ถ้าเปลี่ยนตัวแล้วจะสร้างความเชื่อมั่นต่อภาคเอกชนได้มากกว่าคนเก่าหรือไม่ เรื่องนี้สื่อใช้โพลสอบถามความคิดเห็นของประชาชนได้ว่าใครเหมาะสมจะนั่งรัฐมนตรีในกระทรวงต่างๆ เพื่อให้ได้คนที่ดีที่สุด และต้องถามว่าบุคคลที่เหมาะสมนั้น จะยอมมาเป็นรัฐมนตรีหรือไม่ มาแล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าสถานการณ์ดีขึ้น ถ้าไม่ทำให้อะไรดีขึ้น ก็จะถูกตำหนิ นายกฯก็เสียหน้าหนักไปอีกด้วย ถ้าเปลี่ยนแล้วปัญหาหนักกว่าเก่า คนที่เสียหน้าคือนายกฯ
'บิ๊กนมชง'โต้ย้ายไปพลังงาน
พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.พาณิชย์ กล่าวถึงกระแสข่าวที่ระบุจะถูกโยกย้ายไปนั่งรมว.พลังงานว่า ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง หากมีการปรับจริง นายกฯ ต้องบอกกล่าวหรือหารือก่อน ที่ผ่านมาการทำงานในกระทรวงพาณิชย์ ก็เดินหน้าตามแผนที่วางไว้ โดยเฉพาะการผลักดันส่งออก เริ่มเห็นผลชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง และในสัปดาห์หน้า จะทบทวนเป้าหมายการส่งออกในปี 2558 ใหม่อีกครั้ง จากเดิมตั้งไว้ขยายตัวร้อยละ 1.2 หลังจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เห็นสัญญาณการส่งออกในหลายประเทศยังไม่ดีขึ้น แต่กระทรวงพาณิชย์ยังคงเดินหน้าเจาะตลาดใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
พล.อ.ฉัตรชัยกล่าวว่า ปลายสัปดาห์นี้จะนำคณะเยือนแอฟริกาใต้ เพื่อเร่งขยายมูลค่าการค้าระหว่างกัน โดยเฉพาะข้าว รวมทั้งยังมีแผนโรดโชว์อีกหลายประเทศ ที่ต้องการสินค้าไทย รวมทั้งขณะนี้เงินบาทเริ่มมีสัญญาณการอ่อนค่าลง อยู่ระดับ 33-34 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ตามที่ภาคเอกชนต้องการเพื่อให้แข่งขันได้ แต่ในทางกลับกันอาจมีผล กระทบต่อการนำเข้าสินค้าเช่นกัน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะติดตามสถานการณ์ ทำงานใกล้ชิดกับเอกชน เพื่อไม่ให้ภาพรวมการส่งออกทั้งปีนี้ ติดลบ
ต้อนรับ - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ พร้อมภริยา ต้อนรับนายเหวียน เติ๊น สุง นายกฯ เวียดนามและภริยา ในโอกาสเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ และหารือข้อราชการร่วมกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 23 ก.ค. |
'บิ๊กอ้อ' อัดสื่อมั่วข่าวลาออก
พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวยื่นหนังสือลาออกว่า ไม่เป็นความจริง ต้องถามหนังสือพิมพ์ที่เสนอข่าวเรื่องนี้เอาเอง เพราะเขาไปยื่นใบลาออกให้ตนเสร็จสรรพ มารู้ได้อย่างไรแทนเรา ส่วนเรื่องลาพักเพื่อไปเยี่ยมลูกที่ต่างประเทศนั้นก็ไม่เกี่ยวกันเลย นี่คือสิ่งที่หนังสือพิมพ์บางฉบับไม่มีจรรยาบรรณ เป็นเฉพาะบางคน ตนเลยไม่ค่อยชอบสื่อ ความจริงอยู่กันแค่นี้ถ้าสงสัยอะไรก็วิ่งมาถามกันได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าเรื่องการลาพักไปเยี่ยม ลูกที่ต่างประเทศข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร พล.อ.วิลาศกล่าวว่า ยังไม่มี เมื่อถามว่ากระแสข่าวการปรับครม. ขณะนี้เป็นอย่างไร พล.อ.วิลาศกล่าวว่า ต้องถามพล.อ.ประยุทธ์ เอง แต่ตนอยู่ตรงนี้ยังไม่เห็นมี
'ไก่อู'ปฏิเสธคสช.คุยพท.
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย พร้อมพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรมว.ยุติธรรม มีการเจรจากับแกนนำคสช. ที่เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ถึงโอกาสร่วมเป็นรัฐบาลแห่งชาติหลังเลือกตั้งว่า ไม่เป็นความจริง สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่คือเดินหน้าปฏิรูปเพื่อวางระบบประเทศเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายขึ้นอีกในอนาคต เราพยายามเต็มที่เท่าที่ทำได้ โดยศึกษาจากปัญหาในอดีตเป็นพื้นฐานการแก้ไข และเชื่อว่าทุกคนจะวางตัวเหมาะสมในระยะเวลานี้
"การที่ใครจะไปคุยกับคนนั้นคนนี้ เป็นไปไม่ได้ เพราะขัดแย้งกับหลักการปฏิบัติอยู่แล้ว อีกทั้งนายกฯ ไม่ปรารถนาให้ใครปฏิบัติตัวเช่นนี้"พล.ต.สรรเสริญกล่าว
'หญิงหน่อย'ปัดร่วมงานคสช.
คุณหญิงสุดารัตน์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ "เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand" ถึงกระแสข่าวว่า คสช.ทาบทามมาเป็นที่ปรึกษาคสช.พร้อมด้วยนายพินิจ จารุสมบัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรีว่า ไม่เป็นความจริง การที่เราเติบโตมาทางเส้นทางการเลือกตั้ง เข้ามาตามกติกาประชาธิปไตย เราก็ดำรงในทางนั้นมาโดยตลอด ถ้าเราจะยุติชีวิตทางการเมือง หรือเดินต่อ เราคงต้องรักษาจุดยืนนี้ต่อ ถามว่าวันนี้บ้านเมืองเอาใจช่วยหรือไม่ ใครมาทำงานเราก็ต้องเอาใจช่วย แต่จะให้เข้าไปทำงาน คงลำบาก รู้สึกว่าขัดกับตัวเองที่มีจุดยืน
ส่วนที่มีข่าวว่า แกนนำระดับสูงของพรรคเพื่อไทย รวมถึงคุณหญิงสุดารัตน์ เดินทางไปเจรจานัดพิเศษกับตัวแทนของคสช. ที่เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ถึงแนวทางการเมืองหลังเลือกตั้งนั้น คุณหญิงสุดารัตน์ปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง ตนเองไม่ได้เดินทางไปที่เขาใหญ่ในช่วงนี้ และในกรุงเทพฯไม่ได้มีใครมาพูดคุยเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติแน่นอน
ลั่นเลยจุดรบ.แห่งชาติมาแล้ว
ต่อข้อถามข่าวระบุว่า มีคุณหญิงสุดารัตน์ และ พล.อ.ประชา ร่วมอยู่ในวงสนทนาด้วย และคุณหญิงสุดารัตน์ถูกวางให้เป็นตัวเชื่อมระหว่างคสช.และพรรคเพื่อไทย คุณหญิง สุดารัตน์กล่าวว่า ไม่เจอท่านประชาเลย และไม่ทราบว่าข่าวที่ออกไปใครอะไรอย่างไร หรือหวังดีประสงค์ร้ายอะไร แต่ข้อเท็จจริงคือ ข้อเท็จจริง
ผู้สื่อข่าวถามว่า เชื่อเรื่องรัฐบาลแห่งชาติ จะเป็นทางออกของประเทศหรือไม่ คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า ถ้าเชื่อว่าเป็นทางออกของประเทศหรือไม่ ณ จุดนี้ยังยืนยันว่า มันอาจจะเลยจุดมาแล้ว รัฐบาลแห่งชาติอาจใช้เป็นประโยชน์เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องหนักหนาสาหัส เช่นการปฏิวัติ เจตนาที่ประกาศว่าปฏิวัติเพื่อให้ประเทศชาติสงบ ความปรองดองก็แบ่งฝักแบ่งฝ่าย เลิกประท้วง คสช.ต้องทำให้ได้ผล และ คืนอำนาจให้ประชาชนเข้ากติกา ประเทศจะได้เดินหน้าต่อ เจตนารมณ์ที่ประกาศไว้ เป็นเจตนาที่ดี เชื่อว่าหลายคนคงสนับสนุน แต่จะเกิดได้จริงหรือไม่ อยากจะฝากคสช.ว่า ตั้งใจทำให้บ้านเมืองแล้ว ต้องทำให้ได้จริง แล้วตัวท่านเองจะลงอย่างสง่างาม
ปชช.หนุนปรับทีมศก.
กรุงเทพโพลล์ โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้สำรวจความคิดเห็น เรื่อง "ปรับครม.พล.อ.ประยุทธ์ ฟื้นความเชื่อมั่นประชาชน" จากประชาชนทุกภูมิภาคทั่วประเทศจำนวน 1,111 คน วันที่ 21-22 ก.ค. พบว่าร้อยละ 59.8 เห็นด้วยหากพล.อ.ประยุทธ์จะปรับครม. เพราะเริ่มไม่เชื่อมั่นในความสามารถของครม.ชุดปัจจุบัน ร้อยละ 24.3 ไม่เห็นด้วย เพราะ ครม.ชุดปัจจุบันยังทำงานได้ดีอยู่ และร้อยละ 15.9 ไม่แน่ใจ
หากมีการปรับครม.จริง ร้อยละ 67.7 อยากให้ปรับเฉพาะกระทรวงที่ผลงานไม่เข้าเป้า ร้อยละ 24.0 อยากให้ปรับใหญ่หลายๆ กระทรวง ร้อยละ 8.3 ไม่แน่ใจ โดยร้อยละ 74.4 ต้องการให้ปรับกระทรวงด้านเศรษฐกิจมากที่สุด ร้อยละ 38.6 เป็นกระทรวงด้านสังคมและคุณภาพชีวิต และร้อยละ 26.6 กระทรวงด้านการบริหารจัดการและการบังคับใช้กฎหมาย
เชียร์'สมคิด-สุรเกียรติ์'นั่งรมต.
เมื่อถามว่าอยากได้คนที่มีความรู้ ความสามารถจากกลุ่มใดมาช่วยรัฐบาลบริหารประเทศ ร้อยละ 45.2 อยากได้คนจากภาคเอกชน ร้อยละ 20.2 อยากได้คนจากพรรคใหญ่ ทั้งเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ และร้อยละ 17.0 อยากได้คนจากกลุ่มบ้านเลขที่ 111 ที่ไม่ได้สังกัดพรรค เช่น นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ร้อยละ 17.6 ไม่แน่ใจ
ทั้งนี้ ร้อยละ 79.6 เห็นว่าหากมีการปรับ ครม.จริงจะทำให้ทิศทางการทำงานของรัฐบาลดีขึ้น ร้อยละ 6.3 เห็นว่าจะยังเหมือนเดิม และร้อยละ 1.3 เห็นว่าจะแย่ลง นอกจากนี้ ร้อยละ 64.7 ยังเชื่อมั่นค่อนข้างมากถึงมากที่สุดว่า การปรับครม.จะช่วยทำให้การปฏิรูปประเทศสำเร็จเร็วยิ่งขึ้น ร้อยละ 16.4 เชื่อมั่นค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด
เด้งฟ้าผ่า'พงศกร'พ้นสมช.
วันเดียวกัน เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา สำนักนายกรัฐมนตรี เผยแพร่คําสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 21/2558 เรื่อง การกําหนดตําแหน่งเพิ่มและการแต่งตั้งข้าราชการให้ดํารงตําแหน่งเพื่อให้การปฏิรูปด้านความมั่นคงและการบริหารราชการในสํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มีประสิทธิภาพและเหมาะสมมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปประเทศตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 อาศัยอํานาจในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว หัวหน้าคสช.โดยความเห็นชอบของคสช. จึงมี คําสั่ง 1.ให้ พล.ท.พงศกร รอดชมภู พ้นจาก รองเลขาธิการ สมช. และให้ดํารงตําแหน่งที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจํา
2.ให้นายปกรณ์ ศรีจันทร์งาม พ้นจาก ผู้ช่วยเลขาธิการ สมช. เป็น รองเลขาธิการ สมช. 3.ให้ปฏิบัติหน้าที่ตามตําแหน่งตั้งแต่วันที่ คําสั่งนี้ใช้บังคับเป็นต้นไป 4.ให้สํานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน สํานักงบประมาณ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดําเนินการเกี่ยวกับตําแหน่งและอัตราเงินเดือนของข้าราชการดังกล่าวให้เรียบร้อยโดยด่วน และให้นายกฯ นําความกราบบังคมทูลเพื่อทรงแต่งตั้งข้าราชการให้ดํารงตําแหน่ง หรือพ้นจากตําแหน่งตามคําสั่งนี้ ตามมาตรา 24 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 5.คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
พลิกปูมเคยข้ามห้วยนั่งเก้าอี้
พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี อดีตเลขาธิการ สมช. กล่าวเพียงสั้นๆ ถึงเรื่องดังกล่าวว่า "ก็เป็นไปตามที่มี คำสั่ง ไม่ขอแสดงความเห็นอะไร"
รายงานข่าวเปิดเผยว่า พล.ท.พงศกรเป็นบุคคลที่ทำงานใกล้ชิดและเป็นเพื่อนเตรียม ทหารของพล.ท.ภราดร ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองเลขาธิการ สมช. เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2556 ในสมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยข้ามสายงานตามมติครม.ที่ให้รับโอนพล.ท.พงศกร จากผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กองบัญชาการกองทัพไทย มาบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ในตำแหน่งรองเลขาธิการ สมช.
ขณะเดียวกัน มีกระแสวิจารณ์ว่าคำสั่ง โยกย้ายดังกล่าวเป็นการเปิดทางเพื่อให้รองเลขาธิการ สมช.คนอื่นขยับขึ้นมาเพื่อรอการแต่งตั้งในตำแหน่งเลขาธิการ สมช.คนต่อไป เนื่องจากนายอนุสิษฐ คุณากร เลขาธิการ สมช.คนปัจจุบันและนายพรชาต บุนนาค รองเลขาธิการ สมช.จะเกษียณอายุราชการในเดือนก.ย.นี้
หมอณรงค์โวยถูกสกัดคืนสธ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มอบให้ทนาย ความส่วนตัว ยื่นหนังสือ ขอข้อมูลและหลักฐานการสอบสวนต่อนพ.รัชตะ รัชตะนาวินรมว.สธ. และนพ.ทวี ตั้งเสรี ผู้ทรงคุณวุฒิกรมสุขภาพจิต ในฐานะประธานคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงตามคำสั่งของรมว.สาธารณสุข ซึ่งตั้งขึ้นหลังจากชมรมแพทย์ชนบท แถลงคัดค้านไม่ให้นพ.ณรงค์กลับกระทรวง ซึ่งคำสั่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าว ระบุให้เสร็จภายใน 30 วันด้วย
นพ.ณรงค์ กล่าวว่า เรื่องนี้ขอให้แยกจากผลการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงว่า ปลัดสธ.ไม่สนองนโยบายรัฐบาลและรมว.สธ. เพราะเรื่องนั้นอยู่ที่การตัดสินใจของนายกฯ แต่คณะกรรมการชุดนพ.ทวี คนละเรื่องกัน ตั้งขึ้นมาตรวจสอบโดยไม่แจ้งตนในฐานะที่ถูกตรวจสอบ ไม่มีข้อมูลข้อเท็จจริง ตนมีสิทธิจะปกป้องตนเอง
เล็งฟ้องกลับแพทย์ชนบท
นพ.ณรงค์ กล่าวว่า ตั้งแต่ไปปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักนายกฯ เกือบ 4 เดือน พยายามสงบนิ่ง ไม่อยากให้ปัญหาของตนไปกระทบกับภารกิจปฏิรูปประเทศของนายกฯ และรัฐบาล แต่เมื่อมีข้อสรุปจากคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง และมีข่าวจะให้กลับกระทรวงสาธารณสุข กลับมีขบวนการสกัดกั้น ออกข่าวใส่ร้ายป้ายสี ตั้งโต๊ะแถลงข่าว แจกเอกสารที่มีข้อมูลเป็นเท็จ และมีการรับลูกโดยการตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงอย่างรวดเร็วในวันที่ 7 ก.ค. สังคมมองออกว่าเพราะไม่ต้องการให้ตนกลับใช่หรือไม่ ส่วนจะฟ้องร้องดำเนินคดีกับนพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท และกลุ่มแพทย์ชนบท หรือไม่นั้น ขอพิจารณาก่อน
ด้านนพ.อารักษ์ วงศ์วรชาติ ผอ.กรรมการชมรมแพทย์ชนบท กล่าวว่า ยืนยันว่าที่ผ่านมาการนำเสนอข้อมูลใดๆ ล้วนมีคนส่งเรื่องมาให้และได้ตรวจสอบหลักฐานหมดแล้ว พวกตนเป็นแค่ผอ.ร.พ.ชุมชน การออกมาพูดคัดค้านไม่ให้นพ.ณรงค์กลับมานั้น ไม่ได้สกัดกั้น แต่ตั้งข้อสังเกตว่าที่ผ่านมาปัญหาความขัดแย้งภายในกระทรวงมีอยู่ แต่เมื่อนพ.ณรงค์ไม่อยู่ ทุกอย่างราบรื่น ทำงานต่างๆ ได้ ส่วนเรื่องที่ชมรมฯ ออกมาเปิดเผยนั้น เป็นเพียงตั้งข้อสังเกตอาจมีการกระทำที่ไม่สุจริต ข้อเท็จจริงก็ต้องไปตรวจสอบ เพราะนพ.ณรงค์เป็นบุคคลสาธารณะ เป็นผู้ใหญ่ และเป็นผู้นำประกาศธงเรื่องธรรมาภิบาล เรื่องนี้ต้องชัดเจนด้วย
'สมชัย'ดิ้นขออำนาจกกต.คืน
ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง แถลงเรื่องมาตร การแก้ปัญหาการทุจริตการเลือกตั้งที่กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญยังมองไม่เห็นว่า ขณะนี้อยู่ในช่วงขยายเวลา 30 วัน จึงเสนอว่ากมธ.ยกร่างฯ ควรให้อำนาจเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ใบแดง) ก่อนวันเลือกตั้งและก่อนประกาศรับรองผลการเลือกตั้งแก่กกต. เพื่อเป็นมาตรการไล่คนที่มีหลักฐานว่าทุจริตออกจากการเลือกตั้ง เป็นการตัดสิทธิชั่วคราวเพียง 1 ปี จึงไม่จำเป็นต้องเป็นอำนาจของศาล เพราะถ้าส่งไปศาล เชื่อว่าจะไม่สามารถพิจารณาคดีได้ทันตามเวลาที่กฎหมายกำหนด
นายสมชัย กล่าวว่า เชื่อว่าหากกมธ.ยกร่างฯ ให้อำนาจใบเหลืองแดงแก่กกต.ก่อนประกาศรับรองผล เวลาพิจารณา 30 วันเชื่อว่าทำได้ทัน กกต.จะปรับกระบวนการภายใน ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องพิจารณาตัวเอง ส่วนหลังประกาศรับรองผลอำนาจให้ใบเหลืองใบแดง ที่ให้เป็นอำนาจของศาลขอให้บัญญัติว่าหลังประกาศรับรองผลเลือกตั้ง เมื่อศาลอุทธรณ์ได้รับ คำร้องใบเหลือง ใบแดง ไว้พิจารณาให้ผู้ที่ ถูกร้องซึ่งเป็นส.ส. ส.ว. รวมถึงเพิ่มเติมถึงรัฐมนตรีให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ด้วย
"ผมว่าท่านไม่ได้พายเรือให้ประชาชน ซึ่งการออกแบบแก้ปัญหาทุจริต ต้องมองใบเหลืองใบแดงให้ครบทุกใบ ทั้งหมด 7 ใบ แต่ท่านเขียนในรัฐธรรมนูญให้เราแค่ 3 ใบ หายไปครึ่ง ถือว่าสอบตกไปลงทะเบียนใหม่ ดังนั้น กมธ.ยกร่างฯ จึงต้องสร้างกลไกที่ทำได้จริง เหมือนออกรบถ้าไม่มียุทโธปกรณ์ รบแล้วแพ้ คนที่คิดวางแผนก็สมควรโดนโทษประหาร" นายสมชัยกล่าว
สนช.ตั้งกมธ.คุ้ยประวัติว่าที่กสม.
เวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญ เพื่อตรวจสอบประวัติ ความประพฤติและพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) 7 คน โดยที่ประชุมสนช.เห็นชอบให้ตั้งกมธ. 17 คน มาตรวจสอบประวัติผู้ได้รับเสนอชื่อเป็นกสม.ทั้ง 7 คน ให้เสร็จภายใน 20 วัน
จากนั้นจะนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป แต่หากสนช.ไม่เห็นชอบให้ส่งรายชื่อกลับมายังคณะกรรมการสรรหากสม. ถ้าคณะกรรมการสรรหายืนยันตามมติเดิมด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ ประธานสนช.จะต้องนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับว่าที่ 7 กสม. ที่ได้รับคัดเลือกได้แก่ 1.นางฉัตรสุดา จันทรดียิ่ง เลขานุการคณะผู้พิพากษาสมทบ ศาลเยาวชนและครอบครัว จ.สมุทรปราการ 2. นายบวร ยสินทร ประธานเครือข่ายราษฎรอาสาปกป้อง 3 สถาบัน 3.นางประกายรัตน์ ต้นธีรวงศ์ นายกสมาคมบัณฑิตสตรีทางกฎหมายแห่งประเทศไทย 4.นายวัส ติงสมิตร อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา 5.นายศุภชัย ถนอมทรัพย์ อาจารย์พิเศษคณะแพทยศาสตร์ ร.พ.รามาธิบดี 6.นายสุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ 7.นางอังคณา นีละไพจิตร ประธานคณะทำงานยุติธรรม เพื่อสันติภาพ ภรรยานายสมชาย นีละไพจิตร อดีตทนายความที่หายสาบสูญไป
'วัฒนา'ฟ้อง'บิ๊กตู่'ห้ามไปนอก
เมื่อเวลา 09.30 น. ที่สำนักงานศาลปกครอง ถ.แจ้งวัฒนะ นายวัฒนา เมืองสุข อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย เข้ายื่นฟ้องพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ต่อศาลปกครองกลาง เพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนประกาศ คสช. ฉบับที่ 21/2557 ที่ห้ามบุคคล 155 คนเดินทางออกนอกราชอาณาจักร
นายวัฒนา กล่าวว่า ประกาศดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เลือกปฏิบัติ การห้ามเดินทางและการใช้ดุลพินิจอนุญาตให้เดินทางได้หรือไม่นั้น เกิดขึ้นตามอำเภอใจของผู้ออก คำสั่ง มีขึ้นเพื่อประโยชน์และเครื่องมือต่อรองทางการเมือง เป็นการกำจัดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนหรือกฎหมายระหว่างประเทศ รวมทั้งขัดต่อรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 มาตรา 4 การมีคำสั่งห้ามตนเดินทางออกนอกประเทศเช่นนี้ เพราะตนไปวิจารณ์การทำงานของนายกฯ ตนจึงมาใช้สิทธิทางศาลเพื่อแสดงให้เห็นวิธีของอารยะในการแก้ปัญหา เช่นเดียวกับนักเรียน ม.6 ที่ส่งกระดาษเปล่า ดีกว่าใช้ปืนและรถถังมายึดอำนาจซึ่งไม่ถูกต้อง แต่ไม่ได้ขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินเพราะช่วงนี้ยังไม่มีภารกิจที่ต้องการเดินทาง
"พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหมและผบ.ทบ. ระบุการที่อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทยเดินทางไปต่างประเทศเพื่อไปสุมหัวกันนั้น พล.อ.อุดมเดชเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถ้าพวกผมจะไปสุมหัวกันคงไม่ขออนุญาตให้มีหลักฐานเช่นนี้ ผมไปต่างประเทศเพื่อไปดูสถานศึกษาให้ลูก เพราะไม่อยากให้ลูกถูกบังคับเรื่องค่านิยม 12 ประการอะไรแบบนี้ รวมทั้งไม่มีกำหนดไปงานวันเกิดของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในวันที่ 26 ก.ค.นี้" นายวัฒนากล่าว
'บิ๊กเข้'ลั่น'ไนซ์'ทำไม่แปลก
พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึงพล.อ.ประยุทธ์ สั่งการให้กระทรวงศึกษาธิการ เพิ่มหลักสูตรเสริมสร้างความเข้มแข็งของประเทศ เน้นหน้าที่พลเมืองว่า กระทรวงรับนโยบายมาดำเนินการแล้ว โดยให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เน้นกิจกรรมหน้าที่พลเมือง ที่ควรปฏิบัติ นำหลักค่านิยม 12 ประการ มาผสมผสานในการเรียนโดยไม่ได้เพิ่มเวลาเรียนของนักเรียน เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนแยกแยะระหว่างสิทธิและหน้าที่ของพลเมือง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างปรับปรุงในระบบใหญ่คาดว่าจะใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี
เมื่อถามถึงกรณีน.ส.ณัฐนันท์ วรินทรเวช หรือไนซ์ นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และเลขาธิการกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท ส่งกระดาษเปล่าในข้อสอบวิชาหน้าที่พลเมือง แสดงความไม่เห็นด้วยกับการเข้ามาควบคุมอำนาจของรัฐบาล พล.ร.อ.ณรงค์กล่าวว่า ไม่คิดอะไร เด็กคนเดียวจากเด็ก 10 กว่าล้านคน จึงอาจมีบ้างที่เด็กจะมีความคิดแบบนั้น ไม่ถือว่าแปลก แต่คิดว่าสื่อไม่จำเป็นต้องนำเรื่องนี้เสนอให้เป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งไม่กังวลว่าเรื่องจะลุกลาม และคงไม่ต้องทำความเข้าใจ เพราะโรงเรียนคงทำความเข้าใจอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเป็นข่าวขึ้นมา แน่นอนว่าต้องได้รับความสนใจ
ศาลตัดสินคดีแท็กซี่เสื้อแดง
เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ห้องพิจารณา 910 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.196/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายชินวัฒน์ หาบุญพาด แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และนายธีรวัฒน์ บุญพา แนวร่วมวิทยุชุมชนคนขับแท็กซี่ เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันมีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต , จัดตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต และจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคม เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ.2498 มาตรา 6, 11, 22, 23
ตามฟ้องอัยการโจทก์สรุปว่า วันที่ 9 ม.ค.-13 เม.ย. 2552 จำเลยทั้งสอง มีและใช้วิทยุคมนาคม เครื่อง FM TRANSMITTER ที่ไม่ปรากฏหมายเลขทะเบียน มีคลื่นความถี่ใช้งานภาคส่งที่คลื่นวิทยุ 107.5 เมกะเฮิร์ตซ์ พร้อมเครื่องขยายกำลังส่งตราอักษร R.V.R. รุ่น PJ. 1000 C-LCD ชนิดประจำที่ที่มีหมายเลยเครื่อง 1278 ซึ่งไม่ปรากฏทะเบียน โดยตรวจพบที่ตั้งสถานีวิทยุคมนาคมผ่านคลื่น ที่อาคารเอ็มพี ทาวเวอร์ เลขที่ 731 เขตดินแดง โดยไม่ได้รับอนุญาต จงใจทำให้เกิดการรบกวนความถี่วิทยุของสถานีวิทยุกระจายเสียง กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี เหตุเกิดที่แขวง-เขตดินแดง กทม. จึงขอให้ลงโทษตามกฎหมาย จำเลยให้การปฏิเสธ
จำคุก'ธีรวัฒน์'2 ปีไม่รอลงอาญา
ระหว่างพิจารณาคดีนายชินวัฒน์มีพฤติการณ์หลบหนี ไม่มาศาลตามนัด ศาลจึงให้ออกหมายจับพร้อมปรับนายประกัน โดยให้จำหน่ายคดีในส่วนนายชินวัฒน์ออกจากสารบบความชั่วคราวไว้ก่อน จนกว่าจะได้ตัวกลับมาดำเนินคดี ในวันนี้ศาลจึงอ่านคำพิพากษา นายธีรวัฒน์ จำเลยที่ 2 เพียงคนเดียว โดยนายธีรวัฒน์มาศาลพร้อมกับทนาย
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า นายธีรวัฒน์เป็นผู้เข้ามาทำสัญญา หลังจากนายชินวัฒน์ติดต่อขอเช่าห้องอาคารชั้นที่ 21 ที่อ้างว่าไม่ทราบจำเลยที่ 1 ส่งสัญญาณวิทยุนั้นรับฟังไม่ได้ เนื่องจากการทำสัญญาเช่าห้องอาคารมีภาระผูกพันชำระค่าเช่าเดือนละกว่า 10,000 บาท จำเลยที่ 2 ต้องเป็นผู้ชำระในฐานะผู้เช่าตามสัญญา หากไม่ทราบเรื่อง ก็ไม่น่านำตัวเองเข้าสู่ภาระผูกพันตามสัญญาที่มีมูลค่าสูง จึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำผิดตามฟ้อง
จึงพิพากษาให้จำคุก 3 ปี นายธีรวัฒน์ ฐานพ.ร.บ.วิทยุคมนาคมฯ มาตรา 6, 11, 23 ซึ่งคำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา และให้ริบเครื่องส่งของกลาง
หลังฟังคำพิพากษา ทนายความเตรียมยื่นหลักทรัพย์ 200,000 บาท เพื่อขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดีต่อไป
'บิ๊กตู่'รับนายกฯเวียดนามชื่นมื่น
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 23 ก.ค. ที่สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา ให้การต้อนรับนายเหวียน เติ๊น สุง นายกฯ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามและภริยา ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของรัฐบาล โดยนายกฯ นำนายกฯ เวียดนามตรวจแถวกองทหารเกียรติยศผสม จากนั้นทั้งสองฝ่าย หารือทวิภาคีและประชุมครม.ร่วมไทย-เวียดนาม อย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 3 และร่วมเป็นสักขีพยานลงนามเอกสารความร่วมมือด้านต่างๆ 5 ฉบับ
พล.อ.ประยุทธ์แถลงข่าวกล่าวชื่นชมความสัมพันธ์ไทยและเวียดนามที่ราบรื่น มีการติดต่อในทุกระดับอย่างสม่ำเสมอ และไทยเป็นประเทศเดียวที่เวียดนามจัดการประชุมครม.ร่วมด้วย ส่วนการประชุมครม.ร่วมมีการหารือในหลายประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะการส่งเสริมการค้าและการลงทุน การเกษตร อุตสาหกรรมแปรรูป ท่องเที่ยว รวมถึงการเพิ่มการส่งออกผลไม้ไทยไปยังเวียดนาม และไทยเชิญเวียดนามเป็นสมาชิกสภาความร่วมมือด้านยางพาราระหว่างประเทศ ซึ่งไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย เป็นสมาชิกแล้ว เพื่อร่วมมือรักษาเสถียรภาพราคายางพาราในตลาดโลกด้วย
นอกจากนี้ทั้ง 2 ฝ่าย เห็นพ้องให้จัดตั้งกลไกเพื่อแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ยกระดับความร่วมมือปราบปรามและป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติและการค้ามนุษย์ รวมถึงเพิ่มเป้าหมายมูลค่าการค้าระหว่างกันจาก 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2563
นายกฯ กล่าวว่า ไทยขอบคุณเวียดนามสำหรับการสนับสนุนไทยขึ้นทะเบียนอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท และกลุ่มป่าแก่งกระจาน เป็นแหล่งมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งต่อไปในปี 2559 ที่ประเทศตุรกี และไทยพร้อมสนับสนุนเวียดนาม สมัครตำแหน่งกรรมการผู้บริหารขององค์กรยูเนสโก สำหรับปี 2558-2562
ขุนคลังจี้จัดการเด็ดขาด แพร่ข่าวลือ ปรับครม.-กระทบเชื่อมั่น ฉุนรบ.คุมไม่ได้-ทำหุ้นร่วง สมหมาย-จักรมณฑ์อยู่ต่อ อุ๋ย-ณรงค์ชัย-ปีติพงศ์หลุด หญิงหน่อยปัดร่วมวงคสช.
ปธ.สทท.อัด ครม.เศรษฐกิจมีเพียงทฤษฎีแต่การปฏิบัติเหลว 'อุ๋ย'อัดกลับประธาน สอท.ไม่ทำอะไรเลย "สมหมาย"โวยจัดการมือปล่อยข่าวปรับ ครม.อ้างกระทบความเชื่อมั่น ศก. 'จักรมณฑ์'ชี้หากคนใหม่แก้ไม่ได้-นายกฯเสียหน้า
มติชนออนไลน์ :
@ 'สมหมาย'จี้จัดการปูดปรับครม.
รัฐมนตรีที่มีรายชื่ออยู่ในข่ายการปรับเปลี่ยนตัวแสดงความไม่พอใจถึงกระแสข่าวการปรับ ครม. เรียกร้องให้รัฐบาลจัดการเอาผิด โดยนายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ที่ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ ว่ากระแสข่าวลือเรื่องการปรับ ครม.มีผลกระทบมากต่อความเชื่อมั่นเศรษฐกิจ และมีส่วนทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับลดลง เพราะเมื่อ ครม.หวั่นไหว ทำให้นักลงทุนกังวลและขายหุ้นออก ไม่รู้ว่าคนที่ปล่อยข่าวออกมาคิดอย่างไร หรือมีสมองเป็นอย่างไร มีความรู้มากแค่ไหน แต่มีผลต่อความเชื่อมั่น รัฐต้องเอามาคิดเพราะรัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติ แต่ปล่อยให้เรื่องพวกนี้มีอยู่เต็มไปหมดไม่ได้ เพราะทำลายความเชื่อถือ ไม่ใช่เฉพาะของคนที่ถูกปล่อยข่าวเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อรัฐบาลทั้งคณะ ควรต้องจัดการคนที่ปล่อยข่าวลือขั้นเด็ดขาด
"รัฐบาลนี้ไม่ใช่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ยังปล่อยให้มีการปล่อยข่าวแบบนี้ ทำให้พวกปล่อยข่าวฮึกเหิมกันมากเกินไป แต่การจัดการเรื่องนี้ไม่ใช่หน้าที่ผม การจัดการขั้นเด็ดขาดเป็นหน้าที่ของฝ่ายที่รับผิดชอบของรัฐบาล" นายสมหมายกล่าว และว่า การสร้างความเชื่อมั่นไม่ใช่เฉพาะตนคนเดียว แต่รวมถึง ครม. นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีแต่ละกระทรวง จากการออกไปพบนักลงทุนต่างประเทศ ทำให้ทราบว่าต่างชาติอยากจะเข้ามาลงทุนในเมืองไทยมาก แต่ความเชื่อมั่นยังไม่ได้ถูกเติมให้อยู่ในระดับที่จะเข้ามาลงทุนได้
@ ยันไม่ยื่นหนังสือลาออก
นายสมหมายกล่าวปฏิเสธกระแสข่าวยื่นใบลาออกว่า จะไม่ยื่นหนังสือลาออก และไม่คิดจะลาออก ตราบใดที่นายกรัฐมนตรีให้ทำงาน ก็ทำต่อไปเรื่อยๆ และนายกรัฐมนตรีไม่ได้สั่งให้ลาออก ก็ยังทำงานปกติ มีงานให้ทำมากมาย ข่าวที่ออกมามีคนสร้างขึ้น ที่ผ่านมาก็เคยมีข่าวว่าจะถูกปรับออก แต่ก็ยังนั่งทำงานปกติอยู่ ไม่ได้กังวลเรื่องนี้ และไม่หวั่นไหวกับข่าว
"ผมไม่ได้คิดที่จะยื่นหนังสือลาออกและไม่ได้รู้สึกน้อยอกน้อยใจอะไร ทำงานปกติทุกอย่าง ความสัมพันธ์กับท่านนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้มีอะไรที่ผิดปกติ ส่วนปัจจัยที่จะทำให้เปลี่ยนความตั้งใจไปจากนี้ก็ไม่มีเงื่อนไข แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีเงื่อนไขเรื่องภาษีนิดหน่อย แต่ตอนนี้ภาษีก็เดินหน้าตลอด ก็ไม่มีเงื่อนไขอื่น จนกว่านายกรัฐมนตรีจะปรับ ครม.แล้วเอาผมออก" นายสมหมายกล่าว
@ อ้างนั่งเก้าอี้ขุนคลังศัตรูมาก
ผู้สื่อข่าวถามว่า กระแสข่าวที่ออกมาเป็นเพราะการไปขัดผลประโยชน์หรือการเดินหน้าเรื่องภาษีหรือไม่ นายสมหมายกล่าวว่า เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติ คนเป็นรัฐมนตรีคลังย่อมมีศัตรูมากขึ้น คนรักอาจจะมีอยู่แล้ว แต่ไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่ศัตรูมีมากขึ้นแน่นอน แต่ตนเดินตามแนวทางที่ควรจะทำ ในฐานะที่ทำหน้าที่ตรงนี้ เมื่อถามว่า ได้มีการต่อสายคุยกับนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายสมหมายกล่าวว่า ไม่ได้ต่อสายคุย เพราะในวันนี้ (23 กรกฎาคม) มีนัดรับประทานอาหารกลางวันกับนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว เพื่อต้อนรับคณะรัฐมนตรีจากเวียดนาม
@ 'อุ๋ย'อัดเอกชนไม่ทำอะไรเลย
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ กล่าวถึงการที่มีภาคเอกชนวิพากษ์การทำงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ไม่ตอบสนองต่อภาคเอกชนว่า "ผมทำเยอะกว่านายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) อีก ผมไม่เห็นนายสุพันธุ์จะทำอะไรเลย" เมื่อถามถึงกระแสการปรับ ครม.ด้านเศรษฐกิจ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวว่า ไม่มีการปรับ ครม.ทั้งนั้น มีแต่สื่อชอบเขียนข่าวออกมาเป็นซีรีส์ตลอดวันเดียวกันนี้ เวลา 15.00 น. ที่ตึกไซเบอร์เวิลด์ ถนนรัชดาภิเษก ม.ร.ว.ปรีดิยาธรได้ขึ้นพูดงานเสวนาเศรษฐกิจดิจิตอล อธิบายถึงมาตรการรัฐบาลขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจดิจิตอลให้กับนักลงทุนและนักธุรกิจฟัง ซึ่งได้ปิดท้ายงานเสวนาเชิงติดตลกว่า "นี่คือสิ่งรัฐบาลกำลังทำ และจะขับเคลื่อนต่อไป หากเขายังให้ผมเป็นรองนายกฯต่อ" ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะจากผู้เข้าฟังสัมมนาทั้งห้อง
@ 'ประจิน'ชม'หม่อมอุ๋ย'ทำงานดี
พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่ากระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ในรัฐบาลชุดนี้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ได้ดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเป็นเวลาที่เกิดปัจจัยต่างๆ เข้ามากระทบรุมเร้ามาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาข้าว ปัญหายางพารา ปัญหาภัยแล้ง ซึ่งต้องแก้ปัญหาไปด้วย ต้องพัฒนาไปด้วยก็เป็นเรื่องยาก ถามว่ามีแนวโน้มเปลี่ยนคนทำงานหรือไม่ พล.อ.อ.ประจินกล่าวว่า
"โนคอมเมนต์ ท่านทำงานดีอยู่แล้ว" ส่วนกรณีที่มีข่าวว่านายกรัฐมนตรีจะปรับ ครม.ใหม่นั้น ไม่ทราบจริงๆ นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ส่วนตัวยังไม่ทราบเรื่อง แต่หากตนถูกปรับจริง คงต้องไป ไม่สามารถทำอะไรได้ ส่วนกระแสข่าวมีชื่อนายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะรัฐมนตรี จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯแทนนั้น เห็นว่าเป็นเรื่องดี เนื่องจากเคยทำงานร่วมกันมาก่อน
@ 'วิลาศ'โต้ข่าวยื่นใบลาออก
พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีมีกระแสข่าวยื่นหนังสือลาออกว่า "ไม่เป็นความจริง ต้องไปถามหนังสือพิมพ์ที่นำเสนอข่าวในเรื่องนี้เอาเอง เพราะเขาไปยื่นใบลาออกให้ผมเสร็จสรรพ มารู้ได้อย่างไรแทนเรา เรื่องลาพักเพื่อไปเยี่ยมลูกที่ต่างประเทศนั้นก็ไม่เกี่ยวกันเลย นี่คือสิ่งที่หนังสือพิมพ์บางฉบับไม่มีจรรยาบรรณ ซึ่งเป็นเฉพาะบางคน ผมเลยไม่ค่อยชอบสื่อ ความจริงอยู่กันแค่นี้ถ้าสงสัยอะไรก็วิ่งมาถามกันได้" เมื่อถามว่า ตกลงเรื่องการลาพักไปเยี่ยมลูกที่ต่างประเทศข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร พล.อ.วิลาศกล่าวว่า ยังไม่มี ผู้สื่อข่าวถามว่าสรุปกระแสข่าวการปรับ ครม.เป็นอย่างไร พล.อ.วิลาศกล่าวว่า ต้องไปถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.เอง แต่ตนอยู่ตรงนี้
@ 'ฉัตรชัย-กอบกาญจน์'ไม่รู้
พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงกระแสข่าวโยกย้ายไปนั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานว่า ไม่เป็นความจริง เพราะหากมีการปรับตำแหน่งจริง นายกรัฐมนตรีต้องมีการบอกกล่าวหรือหารือก่อน
นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่เห็นมีการพูดคุยอะไรใน ครม. จึงไม่อยากแสดงความคิดเห็น หากกระแสข่าวนี้เป็นจริงและตนจะต้องถูกปรับด้วย ยังมั่นใจว่าหากมีคนใหม่มารับหน้าที่ต่อ การบริหารงานต่างๆ จะสามารถเดินหน้าอย่างแน่นอน เพราะได้วางแผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวและนโยบายต่างๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว
@ 'จักรมณฑ์'ชี้ปรับแล้วแก้ไม่ได้'เสีย'
นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ได้ทำงานเกือบหมดแล้ว วางกฎเกณฑ์อนาคตที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงทั้งหมด ถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลง ใครจะมาเป็นรัฐมนตรีก็ได้ ไม่ได้ติดใจอะไร และที่ผ่านมาก่อนเข้าเป็นรัฐมนตรี ก็วางแผนการทำงานของตนเองไว้ประมาณ 1 ปีอยู่แล้ว เพราะคาดว่าจะมีการเลือกตั้งปลายปีนี้ อย่างไรก็ตาม ข่าวที่ออกมามองได้ 2 กรณีคือ มีคนปล่อยข่าวเพื่อต้องการตำแหน่ง หรือสื่อมวลชนเห็นว่าควรปรับเปลี่ยน เพราะเห็นว่าเศรษฐกิจไม่ดี แต่สำหรับทีมเศรษฐกิจเองก็มั่นใจว่าได้ทำผลงาน และเอกชนส่วนใหญ่ยอมรับ แต่ด้วยปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น มีผลต่อสภาพเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม อาทิ การส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ภาวะภัยแล้งที่ไม่สามารถควบคุมได้
"หากเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจ อยากถามว่าคนใหม่ที่เข้ามาจะน่าเชื่อถือกว่าคนเก่าไหม ลองไปทำโพลให้ประชาชนเลือกเลยว่าใครควรเข้าทำงาน เมื่อได้ชื่อก็ควรถามเจ้าตัวว่ากล้ารับตำแหน่งหรือไม่ จะแก้ปัญหายังไง เพราะถ้าเข้ามาแก้ไม่ได้ นายกรัฐมนตรีก็จะยิ่งเสียหน้า โดนด่าหนักกว่าเดิม" นายจักรมณฑ์กล่าว
@ คาดเด้ง'อุ๋ย'-สมหมายได้นั่งต่อ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อคืนวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา ได้มีการพบปะของรัฐมนตรีกลุ่มของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ที่โรงแรมเรอเนสซองส์ เพลินจิต และมีการหารือในปัญหาต่างๆ รวมถึงการปรับปรุง ครม.
รายงานข่าวเปิดเผยว่า สำหรับห้วงเวลาที่จะมีการปรับ ครม. น่าจะเป็นช่วงเดือนตุลาคม หรือธันวาคม ผู้ที่จะถูกปรับได้แก่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รมว.เกษตรฯ และนายณรงค์ชัย อัครเศรณี รมว.พลังงาน ส่วนนายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง มีโอกาสอยู่ต่อ เช่นเดียวกับนายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รมว.อุตสาหกรรม
@ นายกฯเลี่ยงม็อบออกประตู 5
เมื่อเวลา 16.45 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาลโดยเลี่ยงใช้เส้นทางปกติที่เคยออกทางประตู 2 ผ่านสะพานชมัยมรุเชฐ เปลี่ยนไปออกทางประตู 5 ตรงข้ามกระทรวงศึกษาธิการ มุ่งหน้าสะพานมัฆวานรังสรรค์ ถนนราชดำเนินใน เพื่อเลี่ยงกลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน จ.กระบี่ ที่เคลื่อนไหวมาประชิดรั้วหน้าทำเนียบรัฐบาล ถนนพิษณุโลก
ทั้งนี้ โดยปกติเมื่อนายกฯจะเดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาล ขบวนรถจะมาจอดรอที่หน้าทางเข้าตึกไทยคู่ฟ้า โดยใช้เวลาระยะหนึ่งจึงจะลงมาขึ้นรถ แต่วันนี้นายกฯได้มายืนรอเพื่อขึ้นรถออกไปทันที ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด
@ 'สุดารัตน์'ปัดคสช.ทาบร่วมรบ.
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวที่ระบุว่าคุณหญิงสุดารัตน์พร้อม พล.อ.ประชา พรหมนอก อดีตรองนายกรัฐมนตรี มีการเจรจากับแกนนำคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ถึงโอกาสร่วมเป็นรัฐบาลหลังเลือกตั้งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ไม่เป็นความจริง ไม่ได้ประชุม และยืนยันว่า คสช.ไม่ได้ทาบทามให้เข้าร่วมรัฐบาล เพราะเป็นไม่ได้อยู่แล้ว และตนยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง
@ สทท.ชี้มีแต่ทฤษฎี-ปฏิบัติเหลว
นายอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า สทท.เห็นว่าต้องการบุคคลที่จะมาเป็นรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวฯ คนใหม่ ต้องเป็นผู้มีประสบการณ์ทำงานท่องเที่ยวมาก่อน จะได้เดินหน้านโยบายต่างๆ ได้ โดยไม่ต้องเสียเวลาเรียนรู้งานใหม่ เพราะขณะนี้ภาคท่องเที่ยวถือว่าสำคัญที่สร้างรายได้เข้าประเทศ ในช่วงที่บางอุตสาหกรรมยังชะลอตัว โดยอยากให้เน้นเรื่องมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวเชื่อมโยงตลาดอาเซียน เพราะประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) จะเริ่มปลายปีนี้ ผู้ที่จะเป็นรัฐมนตรีจะต้องตอบโจทย์เรื่องการผลักดันนโยบายต่างๆ ได้
"การทำงานของ ครม.ฝ่ายเศรษฐกิจยังมีจุดอ่อน เรื่องการขับเคลื่อนและการปฏิบัติงานล่าช้า มีเพียงทฤษฎีแต่การปฏิบัติกลับไม่ดีนัก ทำให้เสียโอกาสการแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ไปค่อนข้างมากถือเป็นจุดอ่อนสูงสุดของรัฐบาล" นายอิทธิฤทธิ์กล่าว
@ แอตต้าคาดหวังผลงานรบ.
นายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า แอตต้าต้องการผู้ที่ตั้งใจทำงานและจะต้องเป็นผู้ที่บูรณาการการทำงานระหว่างภาครัฐและเอกชนได้เป็นอย่างดี ส่วนจะเป็นใครนั้นคงไม่สำคัญ เพราะที่ผ่านมาการทำงานก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯจะต้องมีความเข้าใจระบบการทำงานของภาคเอกชนให้มากขึ้นด้วย การทำงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดปัจจุบันถือว่าพอใจระดับหนึ่ง แต่ยอมรับว่าก่อนหน้านี้ค่อนข้างคาดหวังเรื่องผลงานในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจต่างๆ ให้เด่นชัดกว่านี้ เพราะเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจในมาตรา 44 สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้ดีขึ้นและรวดเร็วกว่ากฎหมายปกติทั่วไป
@ กมธ.ยกร่างฯถกหมวดปฏิรูป
ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยมีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะ กมธ.ยกร่างฯทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม มีวาระพิจารณาเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง โดยการประชุมมีขึ้นตั้งแต่เวลา 09.30 น. และเลิกประชุมในเวลา 18.30 น.
นพ.ชูชัย ศุภวงศ์ รองประธาน กมธ.ยกร่างฯคนที่ 6 เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะ กมธ.ยกร่างฯได้พิจารณาข้อเสนอจากสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) โดยมีข้อสรุปว่าจะบัญญัติหมวดการปฏิรูปและการสร้างความปรองดองไว้ในรัฐธรรมนูญจำนวน 4 มาตรา ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม รวม 17 ด้าน ประกอบด้วย กลุ่มที่ 1 การปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม การบริหารราชการแผ่นดิน การบริหารท้องถิ่น และการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ กลุ่มที่ 2 การปฏิรูปการศึกษา สาธารณสุข สังคม ศิลปวัฒนธรรม และการคุ้มครองผู้บริโภค กลุ่มที่ 3 การปฏิรูปเศรษฐกิจ และกลุ่มที่ 4 การปฏิรูปการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและการผังเมือง ด้านพลังงาน ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งแต่ละมาตราจะกำหนดเป้าหมายทิศทางและสาระสำคัญของการปฏิรูป
@ กรรมการปรองดองยังไม่ลงตัว
นพ.ชูชัยกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังได้กำหนดให้ดำเนินการตามแผนและขั้นตอนที่เสนอโดย สปช.ส่วนกลไกในการกำหนดยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการดำเนินการปฏิรูปด้านต่างๆ กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาที่ยังไม่ได้ข้อยุติ เพราะต้องคำนึงถึงสถานการณ์ที่เป็นจริงหลังเลือกตั้ง เพื่อให้การปฏิรูปด้านต่างๆ เกิดผลอย่างแท้จริง ส่วนร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปฏิรูปประเทศ นอกจากจะบัญญัติการปฏิรูปทั้ง 17 ด้านดังกล่าวแล้ว อาจจะยังมีการบัญญัติการปฏิรูปด้านอื่นๆ ในอนาคตด้วย คาดว่าจะเสนอร่างดังกล่าวต่อคณะ กมธ.ยกร่างฯได้ภายในสิ้นเดือนนี้
แหล่งข่าวจากที่ประชุมคณะ กมธ.ยกร่างฯกล่าวว่า ประเด็นที่ยังไม่สามารถตกลงกันในที่ประชุมได้คือโครงสร้างของคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ซึ่งเดิมได้มีข้อตกลงเบื้องต้นว่าจะกำหนดให้มีคณะกรรมการฯจำนวน 20 คน แต่มีคณะ กมธ.ยกร่างฯบางส่วนให้มีการเพิ่มจำนวนคณะกรรมการฯให้มากขึ้น พร้อมกับเพิ่มอำนาจให้กับคณะกรรมการฯในลักษณะที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้เกิดสภาพบังคับที่รัฐบาลในอนาคตควรนำไปปฏิบัติ
@ 'สมชัย'ตื๊อขออำนาจแจกใบแดง
ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง แถลงว่า มาตรการแก้ไขปัญหาการทุจริตการเลือกตั้งที่กรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญยังมองไม่เห็น มาตรการที่กำหนดขึ้นยังไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาซื้อสิทธิขายเสียง เป็นการคิดในเชิงอุดมคติ แต่ไม่สามารถเกิดผลในทางปฏิบัติ ท้ายที่สุดการออกแบบจะเสียของ กกต.เห็นว่าขณะนี้อยู่ในช่วงขยายเวลา 30 วันในการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ กกต.จึงขอเสนอว่า กมธ.ยกร่างฯควรให้อำนาจในการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ใบแดง) ก่อนวันเลือกตั้งและก่อนประกาศรับรองผลการเลือกตั้งแก่ กกต. เพื่อเป็นมาตรการในการไล่คนที่มีหลักฐานว่าทุจริตออกจากการเลือกตั้ง ถือเป็นการตัดสิทธิชั่วคราวเพียง 1 ปี จึงไม่จำเป็นต้องเป็นอำนาจของศาลเพราะถ้าส่งไปที่ศาลเชื่อว่าจะไม่สามารถพิจารณาคดีได้ทันตามเวลาที่กฎหมายกำหนด
@ วัฒนาฟ้อง'บิ๊กตู่'ห้ามไปนอก
เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ศาลปกครอง ถนนแจ้งวัฒนะ นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย พร้อมนายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ฐานะผู้รับมอบอำนาจ ยื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นผู้ถูกฟ้อง เรื่องกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จากกรณีที่มีการออกประกาศ คสช. ฉบับที่ 21/2557 ลงวันที่ 23 พฤษภาคม 2557 ห้ามบุคคลที่มีชื่อ 155 ราย เดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่จะได้รับอนุญาต ซึ่งนายวัฒนา ผู้ฟ้อง เป็น 1 ใน 155 รายชื่อดังกล่าวด้วย
โดยคำฟ้องระบุว่า ประกาศดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากประกาศ คสช. ห้ามบุคคล มีชื่อ 155 ราย เดินทางออกนอกราชอาณาจักร มีผลบังคับทางบริหารจึงถือเป็นคำสั่งทางปกครอง ซึ่งสภาพของประกาศใช้บังคับกับบุคคลที่ระบุไว้โดยเฉพาะเจาะจง 155 ราย ด้วยเหตุผลทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้า คสช. ผู้ถูกฟ้อง ไม่ได้เป็นการใช้บังคับกับประชาชนเป็นการทั่วไป และการระบุชื่อก็เกิดจากดุลพินิจของผู้ถูกฟ้องเพียงฝ่ายเดียวโดยคำนึงถึงผลทางการเมืองเช่นเดียวกัน โดยไม่มีหลักเกณฑ์ใดให้ยึดถือปฏิบัติ ซึ่งการแจ้งผลว่าจะอนุญาตให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้หรือไม่
ก็จะแจ้งด้วยวาจาผ่านทางโทรศัพท์ ไม่มีเอกสารหลักฐานใดแสดงการอนุญาต ประกาศนั้นจึงไม่ได้มีผลในทางนิติบัญญัติที่สามารถนำไปใช้บังคับกับบุคคลเป็นการทั่วไปที่จะถือว่าเป็นกฎหมายได้
@ เลือกปฏิบัติ-ต่อรองการเมือง
นอกจากนี้ การออกประกาศดังกล่าวยังมีลักษณะเลือกปฏิบัติ เพราะการกำหนดรายชื่อบุคคลที่ห้ามเดินทางและการใช้ดุลพินิจอนุญาตให้เดินทางได้หรือไม่ เกิดขึ้นตามอำเภอใจของผู้มีคำสั่ง มีขึ้นเพื่อประโยชน์ทางการเมืองและถูกใช้เป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง ขัดต่อประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมทั้งจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการเดินทางที่เป็นเสรีภาพของบุคคล ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และยังขัดต่อรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่ใช้บังคับอยู่ปัจจุบันด้วย ซึ่งก่อนยื่นฟ้องคดี ผู้ฟ้องได้แจ้งขออนุญาตนายกรัฐมนตรีในวันที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อขอเดินทางไป-กลับประเทศสิงคโปร์ ในวันเดียว วันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อดูสถานศึกษาให้บุตร กระทั่งวันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา คณะทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ ผู้ถูกฟ้อง แจ้งผลว่า ไม่อนุญาตให้ผู้ฟ้องเดินทางออกนอกราชอาณาจักรตามคำขอ เนื่องจากผู้ฟ้องแสดงความเห็นผ่านสื่อวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ ผู้ถูกฟ้อง จึงให้ชะลอการยื่นเรื่องขอเดินทางไว้ 3 เดือนก่อน หรือให้ยื่นเรื่องใหม่หลังวันที่ 18 กันยายน การกระทำจึงส่งให้ผู้ฟ้องไม่สามารถเดินทางไปประเทศสิงคโปร์ และจากนี้ไปจะไม่สามารถเดินทางไปกิจธุระต่างประเทศได้อีกด้วย
ผู้ฟ้องจึงขอให้ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาเพิกถอนประกาศ คสช. ฉบับที่ 21/2557 ดังกล่าว รวมทั้งขอให้ศาลมีคำสั่ง
คุ้มครองชั่วคราวด้วย เพื่อให้ผู้ฟ้องเดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้โดยไม่ต้องขออนุญาตตามประกาศ คสช.ได้เหมือนบุคคลทั่วไป ทั้งนี้ศาลปกครองกลาง ได้รับคำฟ้องไว้ในสารบบความ เพื่อมีคำสั่งว่าจะรับฟ้องหรือไม่ หรือมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไป
@ อ้างไปหาที่เรียนให้ลูก
นายวัฒนาให้สัมภาษณ์ว่า การออกกฎเกณฑ์ต่างๆ จะขัดรัฐธรรมนูญฯไม่ได้ ต้องมีความชอบธรรมไม่ขัดกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ขัดสิทธิพื้นฐานความเป็นมนุษย์ วันนี้จึงใช้สิทธิทางศาล ตนถูกนำมาใช้ต่อรองทางการเมือง ถูกสั่งห้ามตนเดินทางไปต่างประเทศเพราะวิจารณ์นายกรัฐมนตรี
"ผมไม่มีกำหนดการเดินทางไปงานวันเกิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในวันที่ 26 กรกฎาคมนี้ แต่ต้องการเดินทางไปสิงคโปร์เพราะไปติดต่อที่เรียนให้บุตร" นายวัฒนากล่าว
นายนรินท์พงศ์ ทนายความ กล่าวว่า ในการยื่นฟ้องนี้ที่ขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองนั้น เป็นการขอไว้ในอนาคตว่าหากมีความจำเป็นต้องเดินทางออกนอกประเทศ ขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองที่จะไม่ต้องขออนุญาต คสช. แต่การขอนี้ไม่ได้เห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉิน จึงไม่ได้ขอให้ศาลไต่สวนโดยฉุกเฉินเร่งด่วน หลังจากยื่นฟ้องศาลก็ยังไม่ได้มีคำสั่งนัดใดๆ