WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

GOV23


เปล่านินทา'บิ๊กตู่'ไม่รู้ศก. 'อุ๋ย'ปฏิเสธ! '
ประยุทธ์'ลั่นไม่ติดใจ'สมหมาย'ปัดข่าวออก ฮิวแมนไรต์ฯไทยวิตก 6 ว่าที่กสม.-ฟ้องโลก!
      ออกโรงโต้ลั่น'หม่อมอุ๋ย'ยันไม่เคยพูดกล่าวหา'บิ๊กตู่'ไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจแล้วชอบให้สัมภาษณ์สื่อ ซัดฝีมือขบวนการปล่อยข่าวหวังทำลาย ขณะที่ที่ปรึกษาสมาคมธนาคารไทยก็ออกโรงอุ้มการันตีรองนายกฯ ไม่ได้พูดอย่างนั้น ด้าน 'พล.อ.ประยุทธ์'เผยไม่ติดใจ ไม่ต้องเคลียร์ ยืนยันมีอำนาจเต็มเบ็ดเสร็จ แต่อุบไต๋ไม่บอกว่าจะปรับครม.หรือไม่ ด้าน'สมหมาย'ก็ปฏิเสธข่าวยื่นใบลาออก ถ้าจะถูกปรับก็พร้อม โทรโข่งนิ้งโหน่งโต้ลือเลขาธิการนายกฯ ลาออก แค่ขอเวลาไปพักผ่อนเยี่ยมลูกชายที่สหรัฐเท่านั้น ที่ปรึกษาฮิวแมนไรต์วอตช์ประเทศไทย 'สุณัย ผาสุข' เตรียมร่อนหนังสือถึงองค์กรสิทธิมนุษยชนโลก-องค์กรระหว่างประเทศ แสดงข้อกังวลรายชื่อ 6 ว่าที่กสม. ไม่เคยมีบทบาทด้านนี้เลย แถมยังรู้เห็นเป็นใจในการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ด้วย

วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 25 ฉบับที่ 9003 ข่าวสดรายวัน

'อุ๋ย'โต้ตำหนิ'บิ๊กตู่'-ชี้ข่าวปล่อย
      เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 22 ก.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐ มนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวกล่าวตำหนิพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ หัวหน้าคสช.ในการประชุมสมาคมธนาคารไทย เมื่อวันที่ 17 ก.ค. ว่า นายกฯ ไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องเศรษฐกิจแต่ตอบคำถามนักข่าวทุกเรื่องว่า ตนจะไปพูดอย่างนั้นได้อย่างไร ไม่ใช่ นายกฯ เข้าใจเรื่องเศรษฐกิจจะตาย ไม่จริง คงมีขบวนการปล่อยข่าว เขาพยายามเล่นตนอยู่เรื่อย ตนจะไปพูดอย่างนั้นได้อย่างไร
     "การไปพูดคุยกับสมาคมธนาคารไทย พูดถึงนโยบายด้านเศรษฐกิจ ไปเล่าให้เขาฟังในสิ่งที่รัฐบาลกำลังทำและไปขอความร่วมมือในเรื่องสินเชื่อ เอสเอ็มอี แล้วผมจะไปพูดว่านายกฯ ไม่เข้าใจเศรษฐกิจได้อย่างไร ยืนยันว่าเป็นกระบวนการปล่อยข่าวที่ต้องการเล่นงานผมอย่างแน่นอน ซึ่งไม่รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าว ผมจะไปพูดให้ยุ่งยากอย่างไร" ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว

บิ๊กตู่ ลั่นไม่ติดใจ-ไม่ต้องมาเคลียร์ 
      ต่อมาเมื่อเวลา 11.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าว ม.ร.ว.ปรีดิยาธรพูดระหว่างการประชุมสมาคมธนาคารไทยศุกร์ที่ 17 ก.ค. โดยระบุนายกฯไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องเศรษฐกิจ แต่ตอบคำถามนักข่าวทุกเรื่องนั้น ได้มีการพูดคุยกันหรือยัง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวว่า ทำไม วันนี้ ท่านก็มาประชุมแล้วทำไม อะไร ตนไม่คุยหรอก 
     เมื่อถามว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธรมาเคลียร์ทำความเข้าใจหรือยัง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "เคลียร์ทำไม ผมไม่ต้องเคลียร์ใจกับใคร ข่าวที่ออกมาก็ใครเขียนเล่า หนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับนั่นแหละ นักข่าวอย่ามาอ๋อเหมือนเพิ่งรู้ พวกคุณไม่เคยอ่านคนที่เขียนเศรษฐกิจหรืออย่างไร ไม่เคยอ่านคอลัมนิสต์เลย หรือมัวแต่เขียนถึงกลุ่มบูรพาพยัคฆ์ให้มันปั่นป่วนไปหมดทุกเรื่อง ไม่ต้องมาพูด ด่าแล้วไม่ต้องมาถามผม"
     เมื่อถามว่า นายกฯ ไม่ติดใจอะไรใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "ผมจะไปติดใจใครล่ะ วันนี้ใจผมก็อยู่ในใจผม ไม่ต้องมาคิดแทน ใจผมก็เป็นใจผม ไม่ใช่ใจคุณ คุณไม่ต้องมาถามผม วันนี้ผมเป็นคนรับผิดชอบ ดังนั้น การตัดสินใจจึงเป็นเรื่องของผมไม่จำเป็นต้องพูดกับใคร เพราะผมเป็นคนเอาใครเข้ามาทำงาน ผมเป็นคนเลือก ผมมีอำนาจเด็ดขาดทั้งหมด ไม่มีใครมีอำนาจหนือผมสักคน เพราะฉะนั้นสื่อเขียนให้มันถูกด้วย กลุ่มนี้ กลุ่มโน้น กลุ่มนั้น ให้มันรู้บ้างว่าใครเป็นผู้บังคับบัญชา บทบาทผู้บังคับบัญชา บทบาทการทำงานมันคนละเรื่องกัน เป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้องก็เป็นอีกเรื่อง อะไรมันก็ลบล้างไม่ได้ มันคนละเรื่อง เรื่องงานก็คือเรื่องงาน แยกกันให้ออกเสียบ้าง"

แจงเหตุบิ๊กป้อมไม่ประชุมครม.
      เมื่อถามถึงสาเหตุที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ไม่มาร่วมประชุม ครม. เมื่อวันที่ 21 ก.ค. และไม่เข้าประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติในวันเดียวกันนี้เป็นเพราะอะไร เกี่ยวกับกระแสข่าวการปรับ ครม.ในตำแหน่ง รมว.กลาโหมด้วยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร ป่วย ไม่ค่อยสบาย แล้วทำไม เป็นห่วงหรืออย่างไร ไม่มีคนให้ซักไม่มีคนให้โมโห 
     เมื่อถามย้ำถึงกระแสข่าวปรับครม.เก้าอี้รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า รัฐมนตรี กลาโหมไม่ใช่ใครก็เป็นได้ และไม่ใช่เรื่องของบารมีอย่างเดียว และก็ไม่ใช่เพราะความเป็นพี่ ไม่เกี่ยว ตนมีพี่หลายร้อยหลายพันคน ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ความเหมาะสม ความสามารถ ไม่ใช่เพราะเป็นบูรพาพยัคฆ์ ตนไม่ได้เป็นอะไรสักอย่าง ถ้าอย่างนั้นคงเป็นทหารเสือ เพราะชอบเขียนให้เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว มีกลุ่มทหารเสือ กลุ่มบูรพาพยัคฆ์ กลุ่มเก่า กลุ่มวงศ์เทวัญ คราวหลังคุณก็มาเป็นรัฐมนตรีกลาโหมก็แล้วกัน ตั้งอยู่นั้นอยากตั้งใครก็ตั้งไป มี พ.ร.บ.แต่งตั้งอยู่แล้ว ไม่ใช่จะแต่งตั้งใครก็ได้ คนที่พอใจในสิ่งที่มี สื่อก็ชอบไปเขียนน้องคนนี้คนนั้นจนรวนไปหมด แบ่งคนเป็นก๊กเป็นเหล่าไปหมด วันนี้ทุกคนต้องการความสงบสุขให้ประเทศชาติเดินหน้า หรือต้องการให้มีความขัดแย้งอยู่เช่นเดิมก็ต้องไปคิดกัน
      เมื่อถามว่า แสดงว่าการจัดทำโผโยกย้ายข้าราชการทั้งหมดต้องทำให้เร็วขึ้นหรือไม่ เพื่อให้เป็นไปในคราวเดียวกันกับการปรับ ครม. พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่เกี่ยวเพราะตนยังอยู่ ตามกำหนดเวลาเขามีอยู่แล้ว ส่วนข่าวที่ว่าตนจะปรับ ครม.ไปคราวเดียวกันกับการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการนั้นไม่เกี่ยว ไม่จริง วันนี้ไม่คิดจะปรับใคร ตนคิดของตนในใจ ต้องคิดล่วงหน้าคิดทั้งหมด ไม่ได้คิดสั้นๆ แบบที่คิดกัน คิดมาตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค.2557 จนถึงวันนี้ตนคิดทั้งหมด รวมทั้งคิดไปถึงข้างหน้าด้วย

บอกปัดไม่รู้-ไม่ทราบปรับครม.
      เมื่อถามว่า ถึงเวลานี้ยังไม่จำเป็นต้องปรับ ครม.ใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า จำเป็นหรือไม่จำเป็น ไม่รู้ เดี๋ยวเปลี่ยนก็รู้เอง วันนี้ไม่รู้ ไม่ทราบ
     เมื่อถามว่า เหตุผลของการปรับ ครม.คืออะไร พล.อ.ประยุทธ์ย้อนถามว่า แล้วเหตุผลของสื่อคืออะไร ที่เขียนมาทั้งหมดเหตุผลคืออะไร ถ้าบอกว่าปัญหาเศรษฐกิจถ้าเป็นสื่อแล้วจะแก้อย่างไรในทางปฏิบัติ ถ้าบอกว่า ครม.ควรต้องมีเอกภาพ ก็ต้องบอกว่าเอกภาพทั้งหมดอยู่ที่ตน ตนสั่งทั้งหมดอยู่แล้ว ทำไมจะไม่มีเอกภาพ ไม่ทำตนก็เล่นงาน ระบบการทำงานจริงต้องเป็นเช่นนี้ ไม่ใช่ระบบของทหาร การทำงานมันต้องมีหัวมีหาง
       เมื่อถามว่า มีข่าวว่าที่ไม่กล้าปรับครม.เพราะเกรงใจ เพราะเป็นคนไปเชิญเข้ามาเลยไม่กล้าปรับออก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "วันหลังถ้ามีโอกาสเข้าได้เข้าไปนั่งในที่ประชุม ครม. ดูว่า ผมเกรงใจเขาหรือเปล่า ผมฟังเขาทุกอันและสั่งทุกอัน ทำไม ถ้าเกรงใจแล้วต้องทำอย่างไร บอกเขาหรือว่าท่านครับเรื่องนี้อย่าทำเลยนะครับผมขอร้องพี่หรือ ไม่ใช่ ผมสั่งคือ สั่งให้ไปทำงานอะไรก็ไปทำ ทำได้ก็ทำ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็มาบอกผม ไม่ใช่ไม่ทำ อยากคิดอะไรเพิ่มก็ให้มาบอกผม แล้วผมจะสั่งให้"
      เมื่อถามว่า การจะปรับหรือไม่ปรับ ครม. จะยึดหลักอะไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของตน โดยยึดหลักประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ทำไมพวกสื่อถึงสนใจเรื่องจะปรับ หรือไม่ปรับ ครม. เอาง่ายๆ ไหม ปรับนายกฯ คนเดียวแล้วจบ จะได้เลิกวุ่นวายกันเสียที อยากให้ใครมาเป็นไปหามา ทำไมมันยุ่งกันเหลือเกินเรื่องปรับ มันอยู่ที่วิธีการทำงาน ถ้าวิธีการทำงานทั้งหมดแล้วเขาไม่ทำตนปรับ สั่งแล้วไม่ทันปรับ หรือทำงานแล้วไม่มีประสิทธิภาพตามที่ต้องการก็ปรับ"

ลั่นจะเอาไงวะ-พอใช้อำนาจก็ว่า
        เมื่อถามว่า ยังมีกระทรวงไหนที่ยังทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพตามที่ต้องการบ้าง นายกฯ กล่าวว่า ไปประเมินมาก็แล้วกัน สำหรับการตรวจการบ้านในการทำงานก็ตรวจ กันทุกสัปดาห์อยู่แล้ว ตนสั่งให้รัฐมนตรีทุกคนทำแผนการปฏิบัติงานมาตลอด 3-6-9 เดือน แล้วดูว่างานไหนไม่เสร็จบ้างก็ต้อง เร่งไป งบประมาณเบิกจ่ายไม่ทันก็ไปเร่งมา ไม่ใช่นอนแล้วฝันเอา ทุกกระทรวงรายงาน มาทุกสัปดาห์ถึงความก้าวหน้าต่างๆ เพราะต้องการให้เขาวางแผนงานล่วงหน้า 
      "พอใช้อำนาจก็หาว่าผมใช้อำนาจมากเกินไป ไม่ฟังคนนั้นคนนี้ พอไม่ใช้อำนาจก็หาว่าชักช้าเสียเวลา จะเอาไงวะ จะให้ทำอย่างไร อยากให้มีหรือไม่ทั้งรถไฟฟ้า รถไฟ ก็ต้องไปช่วยกันสร้างการรับรู้ว่าเขาทำกันอย่างไร ไม่ใช่เขียนส่งเดชไปเรื่อยๆ หาว่ามีผลประโยชน์ตรงนั้นตรงนี้ ทั้งหมดเขาดูรายละเอียดอย่างรอบคอบ ทำโปร่งใสที่สุดแล้ว" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว 
        พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ปัญหาคือคนไทยเห็นไม่ตรงกันแล้วชอบมาพูดข้างนอก ขยายความไปเรื่อยโดยไม่มีข้อเท็จจริง อะไรก็ได้ที่เป็นความขัดแย้งก็ขยายให้หมด วันนี้ทุกคนในครม.พยายามสร้างการรับรู้แต่สื่อไม่ค่อยฟัง เวลาที่คนอื่นพูดสื่อก็ไม่ค่อยพอใจ ชอบให้ตนพูดแรงๆ ดุๆ แล้วนำไปพาดหัวว่าบิ๊กตู่พูดอย่างนี้อย่างนั้น ขายหนังสือได้เยอะ ลองไปพาดหัวคนอื่นก็ขายหนังสือไม่ออก สื่อต้องลดตรงนี้ลงอย่าให้ความสำคัญกับตนมากนัก
     พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนพูดในหลักการ เมื่อสื่อไม่ฟังคนอื่นก็ต้องพูดแทน หรือนายกฯ ต้องนิ่งๆ นายกฯ วันนี้เวลานี้ไม่ใช่นายกฯ แบบนั้น สถานการณ์คนละเรื่อง ทุกคนก็ผ่านกาลเวลาและสภาพแวดล้อมที่มีอยู่ ทุกคน มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศมา มีคุณ สมบัติทั้งสิ้น ไม่เช่นนั้นก็เป็นไม่ได้หรอก ไอ้ผมมันมาอำนาจพิเศษ วิจารณ์ผมมากก็ไม่ได้ ผมก็ไม่ชอบเพราะท่านไม่ได้เลือกผมมา ทั้งนี้เราต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจไปเรื่อยๆ จนตายจากกันถึงจะเข้าใจ

ขอร้องไว้ใจในฐานะหัวหน้ารัฐบาล
       พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์กรณีพล.อ.อ. ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคม ยอมรับหลายโครงการขนาดใหญ่ไม่สามารถเปิดประมูลได้ทันในสิ้นปีนี้ โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างพื้นฐานเส้นทางรถไฟสายต่างๆ ว่า เปิดประมูลไม่ทัน เพราะอะไร เพราะเถียงกันมาตลอดคนจะได้ก็ถูกล้มประมูล ถูกฟ้องร้อง ส่งผลให้ทำไม่ได้หมด แล้วทำไมไม่ยอมรับกติกา บางอย่างมันจบไปแล้วก็รื้อฟื้นมันขึ้นมาใหม่ ไอ้นี่โกงก็ต้องหยุดทั้งหมด นี่แหละประเทศไทย ต้องเรียนรู้ว่าจะอยู่กันอย่างไร ทำอะไรได้บ้าง ถ้ามติส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้นก็คือมติ เข้าใจคำว่ามติหรือไม่ ไม่ใช่มีคนไม่เห็นด้วยคนสองคนแล้วมาพูดข้างนอก ก็จะทำให้ทุกโครงการล้มหมด เรื่องเป็นร้อยเรื่องไม่มีใครเห็นชอบด้วยกันทั้งหมด
     เมื่อถามว่า จะกระทบต่อการลงทุนอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยอารมณ์โมโหว่า ต้องกระทบสิไม่กระทบได้อย่างไร เมื่อถามว่าประเมินความเสียหายไว้ที่เท่าไร พล.อ. ประยุทธ์กล่าวว่า ก็แล้วประเมินเท่าไรล่ะ ผู้สื่อข่าวตอบว่าอยู่ที่ 7 แสนล้าน นายกฯ กล่าวว่า แล้วเยอะไหม แล้วมาถามทำไม ไม่ใช่ 7 บาท 7 ร้อยบาท ถามคำถามที่รู้อยู่แล้ว แล้วก็ไปเขียนว่ารัฐบาลไม่มีปัญญาทำ วันนี้ทำทุกปัญญาแล้วอยู่ที่ท่านจะเอาหรือไม่เอา ติดไปหมดทุกอัน ทั้งรถเมล์ที่ออกมาแล้วคันละล้าน กำลังจะสั่งเข้ามาก็ประท้วงกันอีก ฟ้องกันอีกจนต้องหยุด ก็รอไปแล้วกันนั่งรถเก่าๆ ไป
     "ต้องไว้ใจ ผมเป็นหัวหน้ารัฐบาล ต้องดูแลเรื่องความโปร่งใสอยู่แล้ว ถ้าใช้วิธีการปกติก็ล้มกันไปมา คนได้ไม่ได้ก็ใส่กัน ไอ้นี่ก็ประโคมข่าวกันเข้าไป แล้วก็ทำไม่ได้ก็อยู่กันอย่างเก่า" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

สมหมาย โต้ข่าวลาออก
      ที่กระทรวงการคลัง นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง เปิดเผยถึงกรณีกระแสข่าวยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรมว.คลัง ต่อนายกฯว่า ไม่เคยเขียนใบลาออกโดยเหตุผลเรื่องสุขภาพและไม่จำเป็นต้องส่งใบลาออกให้กับนายกฯ เพราะนายกฯสามารถปลดใครหรือเลือกให้มาเป็นรัฐมนตรีได้ จะส่งไปทำไม ปัจจุบันได้ทำงานให้กับประเทศที่ต้องคิดหน้าคิดหลัง และที่ผ่านมาก็นั่งประชุมและบริหารงานตลอด ใครจะไปยื่นใบลาออก
     นายสมหมาย กล่าวว่า รู้สึกว่ามีคนต้องการให้ออกจากรมว.คลัง เนื่องจากการเข้ามาทำงานในตำแหน่งนี้ย่อมมีแต่ศัตรู แต่ยืนยันว่ายังมีกำลังใจในการทำงานดี ล่าสุดจากการพบภาคเอกชนและ นักวิชาการ เช่น นาย อัมมาร์ สยามวาลา อดีตประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ก็ชื่นชมการทำงานเรื่องการปฏิรูปภาษี ที่ไม่ว่าใครมาเป็นรมว.คลังก็ไม่มีใครกล้าดำเนินการ
    "บอกไม่ได้ว่า จะถูกปรับออกหรือไม่ ตอนนี้ก็เจอนายกฯปกติ คงเป็นเรื่องของ นายกฯจะบีบใครออกจากตำแหน่ง ผมก็ไม่รู้ หรือจะบีบผมสะท้อนไปถึงใครผมก็ไม่รู้ แต่ที่ผมรู้สึกคือบรรยากาศในการทำงานมันแปลกๆ ไป" นายสมหมายกล่าว
     นายสมหมาย กล่าวว่า ตนพร้อมจะออกจาก รมว.คลัง แต่ยังห่วงงานที่ดำเนินการค้างไว้อยู่ 3 เรื่องคือ 1.การผลักดันภาษีที่ดินและ สิ่งปลูกสร้าง ที่ต้องดำเนินการให้เสร็จภายในรัฐบาลชุดนี้ 2.การอุดช่องโหว่ เพื่อให้การ จัดเก็บรายได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และ 3.การดูแลสัญญาโครงการต่างๆ ในระยะยาว เช่น การเช่าที่ราชพัสดุ กรณีที่มักกะสันจากการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) กับกรมธนารักษ์

สมาคมแบงก์ยัน'อุ๋ย'ไม่ได้พูด
       วันเดียวกัน นายธวัชชัย ยงกิตติคุณ ที่ปรึกษาสมาคมธนาคารไทย ให้สัมภาษณ์ถึงข่าวม.ร.ว.ปรีดิยาธรวิจารณ์พล.อ.ประยุทธ์ ไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจ ระหว่างการประชุมสมาคมธนาคารไทยว่า ไม่เป็นความจริง ตนอยู่ในที่ประชุมด้วย ซึ่งเป็นการประชุมประจำเดือนของสมาคม เชิญม.ร.ว.ปรีดิยาธรมาเล่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศว่าเป็นอย่างไร รัฐบาลมีมุมมองอย่างไร และต้องการให้ธนาคารพาณิชย์ช่วยเหลืออะไรบ้าง ซึ่งรองนายกฯขอให้ธนาคารพาณิชย์ช่วยปล่อยกู้กลุ่มเอสเอ็มอีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จากนั้นมีการพูดเล่นกัน โดยในที่ประชุมถามถึงนายกฯ ซึ่งม.ร.ว.ปรีดิยาธรบอกว่าบางครั้งก็หงุดหงิด โดยเฉพาะตอนถูกนักข่าวแหย่ ไม่ได้พูดว่า นายกฯไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจ ตนไม่ทราบว่าไปเอาข่าวมาจากไหน เพราะไม่ได้พูดเช่นนั้น ซึ่งตนยืนยันได้

นิ้งโหน่งโต้เลขาฯ นายกฯไขก๊อก
      พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกระแสข่าวที่ระบุว่า พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เตรียมยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากทำงานไม่ไหวว่า ข่าวดังกล่าวไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด เป็นเพียงการคุยกันถึงการขอลาพักผ่อน ซึ่ง พล.อ.วิลาศ อยากหาช่วงเวลาที่จะขอลาพักกับนายกฯเพื่อไปเยี่ยมลูกที่กำลังศึกษาอยู่ที่สหรัฐ โดยกำลังพิจารณาในช่วงที่ภารกิจไม่มากนัก
     "เรื่อง พล.อ.วิลาศจะยื่นใบลาออกนั้นยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะถือว่าภารกิจขณะนี้ยังไม่เสร็จสิ้น ซึ่งนายกฯมักย้ำเสมอว่า คนเป็นทหารเมื่อออกจากกรมกองเพื่อไปปฏิบัติภารกิจแล้ว ถ้าภารกิจยังไม่เสร็จก็จะกลับไม่ได้" พล.ต.วีรชนกล่าว

รองเลขาฯก็ยันไม่เคยพูดว่าออก
      น.ส.เรณู ตังคจิวางกรู รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หาก พล.อ.วิลาศ มีแนวคิดที่จะลาออกจริง คงมีการพูดกับตนบ้างแล้ว แต่จนถึงขณะนี้ไม่มีการพูดหรือปรารภเรื่องนี้แต่ประการใด พล.อ.วิลาศถือเป็นคนที่ทำงานละเอียด ขยันขันแข็งมาก การให้เหตุผลว่าจะลาออกเพราะงานหนักนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ 
      "ยอมรับว่า ทุกวันนี้งานหนักจริง เพราะหน้าที่เลขาฯนายกฯถือว่าเป็นนายกฯน้อย ต้องทำแทบทุกเรื่อง แต่ พล.อ.วิลาศก็แบ่งงานให้กับรองเลขาฯและทีมงานด้วย ฉะนั้นทีมงานทุกคนก็ทำงานหนัก ส่วนตัวมีความสนิทสนมกับ พล.อ.วิลาศพอสมควร หากมีเรื่องนี้จริงคงต้องมีพูดอะไรออกมาบ้างแล้ว ที่สำคัญ พล.อ. วิลาศเป็นคนที่รักนายกฯมาก" น.ส.เรณูกล่าว
      ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดทั้งวันนี้ พล.อวิลาศยังคงปฏิบัติหน้าที่ภายในทำเนียบรัฐบาลด้วยสีหน้าปกติ โดยในช่วงเย็นยังเดินตรวจการเตรียมความพร้อมต้อนรับคณะ นายกฯเวียดนามที่จะเดินทางมาเยือนประเทศ ไทยอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 23 ก.ค.นี้ โดยมีการดูแลสถานที่ต่างๆ ในการต้อนรับ และดูการซักซ้อมการตรวจแถวทหารกองเกียรติยศที่จัดเตรียมต้อนรับด้วย

ทร.โชว์ชุดอนาคต-ปราบจลาจล
     ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และผบ.ทบ. เป็นประธานมอบรางวัลผลงานนวัตกรรมของกระทรวงกลาโหม ประจำปี 2558 และมอบรางวัลนักวิจัยดีเด่นของประทรวงกลาโหม โดยมีพล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร ผบ.สส. พล.ร.อ. ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผบ.ทร. พล.อ.อ.ตรีทศ สนแจ้ง ผบ.ทอ. เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ทั้งนี้ กองทัพเรือได้ออกแบบชุดแห่งอนาคตเป็นชุดปราบจลาจล มีหมวกกันกระสุนขนาด 9 ม.ม. และมีเสื้อเกราะกันกระสุน พร้อมเครื่องทำความเย็นมาโชว์ด้วย
     ต่อมาเวลา 09.30 น. พล.อ.อุดมเดชเป็นประธานประชุมสภากลาโหม แทนพล.อ. ประวิตร ที่ไม่สบาย โดยมี ผบ.เหล่าทัพ เข้าร่วม ทั้งนี้ พล.อ.อุดมเดชกล่าวก่อนการประชุมถึงบัญชีปรับย้ายนายทหารประจำปี 2558 ว่า ยังพอมีเวลา ซึ่งเหล่าทัพมีการพูดคุยเบื้องต้นไปแล้ว และพล.อ.ประวิตร ไม่ได้เร่งรัด เพราะยังมีเวลาอยู่
      ที่สโมสรกองทัพบก ถ.วิภาวดีรังสิต กทม. พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงกรณีการแต่งตั้งโยกย้ายภายในกระทรวงยุติธรรมว่า ตนตั้งใจว่าจะให้เสนอรายชื่อแต่งตั้งปลัดกระทรวงยุติธรรม แทนพล.ต.อ. ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ ที่จะเกษียณอายุราชการในเดือนก.ย. ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนส.ค.นี้ ผู้สื่อข่าวถามว่า จะเสนอรายชื่อคนนอกหรือคนในกระทรวง พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า การปรับย้ายเป็นเรื่องภายในกระทรวง ซึ่งตนมีรายชื่ออยู่ในใจแล้ว ส่วนจะเป็นคนนอกหรือคนในกระทรวงนั้นยังไม่ขอเปิดเผย แต่จะรีบทำให้เสร็จสิ้นภายในเดือนส.ค.นี้ 
    เมื่อถามว่า กระทรวงมหาดไทยปรับเปลี่ยนโยกย้ายข้าราชการระดับสูงหลายตำแหน่ง กระทรวงยุติธรรมจะดำเนินการอย่างไรหรือไม่ พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า คาดว่าภายในเดือนส.ค.นี้จะได้ข้อยุติแล้ว ซึ่งตนก็อยากทำเหมือนกระทรวงมหาดไทยเช่นกัน เพราะจะทำให้การปรับย้ายในตำแหน่งอื่นๆ เกิดความลื่นไหลมากขึ้น

วิษณุ สั่งคปก.ช่วยงานกก.กฤษฎีกา
     วันเดียวกัน นายวิษณุ เครืองาม รอง นายกฯ กล่าวถึงคำสั่ง คสช.ฉบับที่ 20/2558 ที่ระงับการสรรหาคัดเลือกคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) และให้สำนักงาน คปก.ทำงานสนับสนุนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า ได้เรียกสำนักงาน คปก.เข้าพบและมอบหมายงานว่าอะไรที่ทำเสร็จแล้วแต่ยังไม่ได้ดำเนินการต่อให้ส่งมาได้ทันที ส่วนเรื่องใดที่คณะกรรมการชุดเก่าคิดไว้ขอให้หยุดไว้ก่อน เพราะอาจเกิดความขัดแย้งกัน เวลานี้มีคนอยู่ในสำนักงาน 60 คน ส่วนใหญ่ไม่ใช่นักกฎหมายแท้ๆ เพราะ คปก.ไม่เหมือนสำนักงานกฤษฎีกาซึ่งทำงานแบบนักกฎหมาย แต่ คปก.เป็นนักนิติสังคม จึงถนัดทั้งเรื่องวิจัย รับฟังความเห็น ให้ความรู้สร้างความเข้าใจ เรื่องสิทธิมนุษยชน ซึ่งการปฏิรูปกฎหมายต้องเอาคนแบบนั้นมาช่วย ส่วนกฤษฎีกาใช้แต่นักกฎหมาย จึงนำสำนักงานคปก.มาช่วยทำความเข้าใจ เติมหัวเติมท้าย ส่วนกฤษฎีกาจะทำตรงกลาง หากทำเช่นนี้ภาพการทำกฎหมายของประเทศในซีกรัฐบาลจะสมบูรณ์มากขึ้น
     เมื่อถามว่า จะให้ คปก.ช่วยงานแบบนี้นานเท่าไร นายวิษณุกล่าวว่า ระยะหนึ่ง และเจตนาของคำสั่ง คสช.ฉบับที่ 20/2558 บอกแล้วว่าให้รอไว้เพื่อรัฐธรรมนูญ เห็นภาพชัดเจนเกี่ยวกับการปฏิรูปว่าการปฏิรูปกฎหมายต่อจากนี้จะอยู่ในมือใครและทำอย่างไรก่อน อีกไม่กี่เดือนก็จะเข้าสู่กระบวนการใหม่
      ต่อข้อถามว่า เมื่อเข้าสู่กระบวนการใหม่แล้วจะยุบสำนักงาน คปก.หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ขณะนี้ไม่ยุบ กฎหมายก็ยังมี สำนักงานก็ยังอยู่ งบประมาณยังจัดให้ งานจะให้ทำมีเยอะกว่าเดิม แต่ถ้ากฎหมายใหม่ออกมาแล้วต้องเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาใหม่ ต้องเป็นองค์กรใหม่

ปปช.เตรียมประกาศบัญชีดำคู่สัญญา
     ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ นายภักดี โพธิศิริ กรรมการป.ป.ช. เป็นประธานเปิดสัมมนาเรื่องแนวทางปฏิบัติของคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐตามหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำและแสดงบัญชีรายการรับจ่ายของโครงการส่วนกลาง จัดโดยศูนย์กำกับดูแลการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และมีเอกชนคู่สัญญากับหน่วยงานรัฐกับนักตรวจบัญชีกว่า 300 คนเข้าร่วมสัมมนา
     นายภักดี กล่าวว่า เงินที่ประเทศใช้จ่ายงบลงทุนปีละ 6-7 แสนล้านบาทในการจัดซื้อ จัดจ้าง แต่ในจำนวนนี้เกิดความสูญเปล่าไม่น้อยกว่า 20-30 เปอร์เซ็นต์ที่หายไปในการทุจริต แทนที่จะนำไปใช้พัฒนาประเทศแต่ ถูกนำไปเป็นประโยชน์ของคนส่วนน้อย แต่ขณะนี้มีมาตรการดำเนินการเฉียบขาดขึ้น ตามพ.ร.บ. ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 103/7 ที่ให้หน่วยงานรัฐจัดทำข้อมูลค่าใช้จ่ายการจัดซื้อจัดจ้าง โดยเฉพาะราคากลางและการคำนวณราคากลางไว้ในระบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ประชาชนเข้าตรวจได้ 
    นายภักดี กล่าวต่อว่า กรณีที่ทำสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับบุคคลที่เป็นคู่สัญญาของรัฐ ที่มีมูลค่า 2 ล้านบาทขึ้นไป มีหน้าที่แสดงบัญชีรายการรับจ่ายของโครงการต่อกรมสรรพากร หากคู่สัญญาของรัฐไม่ดำเนินการจะถูกขึ้นบัญชีประกาศไว้ในฐานข้อมูล ซึ่งคู่สัญญารายนั้นจะถือว่าขาดคุณสมบัติในการรับงานของหน่วยงานรัฐ ไม่สามารถรับงานของรัฐได้อีกต่อไปไม่ว่ากรณีใดๆ โดยในเร็วๆ นี้ป.ป.ช.จะประกาศรายชื่อผู้ถูกขึ้นบัญชี 

แย้มมีกว่า 1 พันราย-กำลังตรวจสอบ
      นายภักดี ให้สัมภาษณ์ว่า ผู้ถูกขึ้นบัญชีนั้นมีกว่า 1,000 ราย ส่วนใหญ่เป็นเอกชนที่เพิ่งเปิดกิจการขึ้นมาใหม่ อาจจะยังไม่ทราบหลักเกณฑ์ตรงนี้จึงยังไม่มีการแสดงบัญชีรายรับจ่ายมาอย่างครบถ้วน จึงตรวจพบว่ามีจำนวนมากพอสมควร แต่เมื่อมีการแสดงบัญชีรายรับจ่ายมาก็จะได้รับการปลดออกจากการขึ้นบัญชีดังกล่าว ไม่เหมือนผู้ทิ้งงานที่จะเสียสถานะไปทันที ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตาม จะมีการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์ในการประกาศรายชื่อผู้ถูกขึ้นบัญชีในวันที่ 28 ก.ค.นี้
     นายภักดี กล่าวถึงกรณีตกเป็นเป้าโจมตีถึงคุณสมบัติการเป็นกรรมการป.ป.ช.ว่า ตนไม่ขอ พูดเรื่องนี้เพราะจบไปนานแล้ว แต่การนำมาอ้างเพื่อเป็นประโยชน์ครั้งนี้ถือว่าไม่เหมาะสม เมื่อถามว่าคิดว่ามีผลต่อความเชื่อถือที่ประชาชนมีต่อป.ป.ช.หรือไม่ นายภักดีกล่าวว่า ตนไม่ได้ดำเนินการอะไรเพราะตามระบบของป.ป.ช.มีการชี้แจงโดยสถาบันอยู่แล้ว เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว
      นายภักดี กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีคณะอนุกรรมการป.ป.ช.สั่งอายัดทองคำมูลค่า 179 ล้านบาท ของนายสาธิต รังคสิริ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร กรณีการทุจริตคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 4.3 พันล้านบาทว่า นายสาธิตมารับทราบข้อกล่าวหาเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนเข้าชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ส่วนจะมีการอายัดทรัพย์เพิ่มหรือไม่นั้นต้องดูตามข้อเท็จจริง เพราะมูลค่าความเสียหายจากการทุจริตครั้งนี้มีจำนวนมาก หากตรวจสอบพบว่ามีอะไรที่เกี่ยวข้องก็ต้องอายัดเพิ่ม 

สป.แจงนิรโทษทางคดีไม่เน้นบุคคล
      ที่รัฐสภา นายบัณฑูรย์ เศรษฐศิโรตม์ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ในฐานะกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองเปิดเผยว่า หลังจากที่ประชุมสปช. ให้ความเห็นชอบรายงานการศึกษาและข้อเสนอแนะการสร้างปรองดอง เมื่อวันที่ 21 ก.ค. คณะกรรมการยังมีเวลาทำงานเพื่อพิจารณาและปรับปรุงเนื้อหาของรายงานตามที่สปช.อภิปรายอีก 7 วัน ตามข้อบังคับการประชุมสปช. ก่อนส่งให้นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสปช. เพื่อพิจารณาส่งรัฐบาลต่อไป 
     นายบัณฑูรย์ กล่าวว่า สำหรับเนื้อหาการอภิปรายของสปช.ในประเด็นต่างๆ นั้น เบื้องต้นเป็นข้อเสนอที่ระบุไว้ในรายงานอยู่แล้ว ส่วนที่มีข้อเสนอให้นิรโทษกรรมตัวบุคคล อาทิ ผู้ที่หลบหนีไปต่างประเทศนั้น คงไม่นำมาพิจารณาแก้ไขปรับปรุง เพราะแนวทางหลักการสร้างความปรองดอง หากจะนิรโทษกรรมบุคคลผู้ที่หนีไปต่างประเทศ ซึ่งไม่อยู่ในฐานความผิดคดีทุจริต คดีหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ก็พิจารณานิรโทษกรรมได้ สาระสำคัญของรายงานไม่ได้เน้นตัวบุคคล แต่เป็นเรื่องทางคดี หากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่หลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ ไม่ได้มีคดีที่เข้าข่ายฐานความผิดที่ได้ระบุไปแล้ว ก็สามารถพิจารณานิรโทษกรรมได้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของรัฐบาลจะพิจารณา



เตรียมหารือญาติเหยื่อคดีการเมือง



นายบัณฑูรย์กล่าวว่า คณะกรรมการยังมีเวลาทำงานอีก 1 เดือน เบื้องต้นหารือร่วมกันว่าจะเชิญญาติที่สูญเสียหรือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองมาร่วมแลกเปลี่ยนความเห็น เพื่อหามาตรการเยียวยา และแนวทางของการสำนึกผิดและให้อภัย ทั้งนี้ อยู่ระหว่างหารือว่าจะกำหนดหลักเกณฑ์อย่างไร 



นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ สมาชิกสปช. ในฐานะประธานคณะกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองเปิดเผยว่า หลังจากรับฟังความเห็นของสมาชิกสปช.เกี่ยวกับรายงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว คณะกรรมการจะไปปรับแก้ไขถ้อยคำให้เรียบร้อยภายใน 1 สัปดาห์ จากนั้นจะเสนอต่อประธานสปช. ส่งต่อรัฐบาลดำเนินการขั้นตอนต่อไป ส่วนตัวพอใจกับรายงานดังกล่าวมาก โดยตลอด 7 เดือนที่ดำเนินการนั้น ได้รับความร่วมมือจากคณะกรรมการที่มาจากหลายส่วน รวมทั้งมีบุคคลที่มาจากฝ่ายสูญเสียของทุกฝ่ายร่วมเป็นกรรมการด้วย ซึ่งการทำงานของเราได้ใช้เวลารวมใจ รวมปัญญาเพื่อนำสู่สันติสุข เราใช้เวลาและความอดทนด้วยจิตใจที่เปิดกว้างเหมือนมหาสมุทร รับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง เพื่อให้รายงานฉบับนี้ออกมาสมบูรณ์ที่สุด 



สปช.เตรียมยกร่างพ.ร.บ.ปฏิรูป



ที่รัฐสภา ในการประชุมกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีนพ.กระแส ชนะวงศ์ รองประธานกมธ.คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานที่ประชุม พิจารณาบันทึกเจตนารมณ์ร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ที่ประชุมหารือถึงการจัดทำร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการปฏิรูป โดยนพ.ชูชัย ศุภวงศ์ รองประธานกมธ.ยกร่างฯ คนที่ 6 ในฐานะประธานอนุกมธ.ศึกษาเตรียมการจัดทำร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปฏิรูป ชี้แจงว่า ร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการปฏิรูป ต้องเข้าที่ประชุมกมธ.ยกร่างฯและจะต้องตั้งกมธ.ร่วมกันระหว่างกมธ.ยกร่างฯ และสปช.ก่อนเสนอต่อสนช. 



นพ.ชูชัยกล่าวว่า ในการประชุมกมธ. ยกร่างฯวันที่ 23 ก.ค.นี้ อนุกมธ.ศึกษาเตรียมการจัดทำร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการปฏิรูป จะนำ เสนอร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ ต่อที่ประชุม หลังจากหารือกับกมธ.ปฏิรูป 18 คณะมาแล้ว เพื่อให้พิจารณาในหมวดว่าด้วยการปฏิรูปด้านต่างๆ ที่ยังค้างอยู่ ก่อนจะนำไปผลการประชุมไปหารือกับกมธ.ปฏิรูป 18 คณะอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 24 ก.ค.นี้



ร่างรธน.ใหม่ลดเหลือ285มาตรา



รายงานข่าวจากรัฐสภาแจ้งว่า กมธ.ยกร่างฯ จะเชิญสปช. 8 กลุ่ม และครม.ที่เคยยื่นคำขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญเข้ารับฟังเหตุผลที่กมธ. ปรับแก้ไขร่างแรกจนออกมาเป็นร่างสุดท้ายในวันที่ 17-19 ส.ค.นี้ ซึ่งในการเชิญทั้งเชิญ 9 กลุ่มครั้งนี้ จะไม่สามารถยื่นขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญได้อีก เพราะได้ยื่นคำขอต่อกมธ.ยกร่างฯไปแล้วตามกรอบเวลาของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ส่วนการปรับแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญขณะนี้ คาดว่าจะมีทั้งหมด 285 มาตรา พร้อมวางกรอบการทำงานในช่วงสุดท้ายก่อนครบกำหนดส่งร่างรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 22 ส.ค.นี้ เพื่อลงมติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราทั้งฉบับก่อนเสนอร่างรัฐธรรมนูญ ต่อ สปช.



พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช (ที่ปรึกษาและโฆษกกมธ.)ยกร่างรัฐธรรมนูญ ให้สัมภาษณ์ว่า ช่วงระยะเวลาทำงานที่เพิ่มขึ้นอีก 30 วัน จะไม่มีการปรับแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราอีก เพราะกมธ.ยกร่างฯ ได้พิจารณาและมีข้อยุติแล้ว แต่เวลาที่ขยายดังกล่าวเพื่อเป็นการพิจารณาเนื้อหาให้รอบคอบ ยอมรับว่ากมธ.ยกร่างฯเป็นปุถุชนคนธรรมดา ย่อมมีข้อผิดพลาดได้ ดังนั้นเวลาที่ขยายเพิ่มจะพิจารณาเนื้อหาให้ถูกต้อง ขณะเดียวกันการบัญญัติคำไว้ในร่างรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาจากกฎหมายที่มีบังคับใช้อยู่เดิมด้วย หากพบว่ามีบัญญัติไว้แล้วก็จะไม่นำไปเขียนในร่างรัฐธรรมนูญอีก ดังนั้นหากในร่างรัฐธรรมนูญไม่ได้แก้ไขตามคำขอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) อย่าได้แปลกใจ เพราะส่วนหนึ่งได้นำไปเขียนไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญแล้ว



"สดศรี"เห็นด้วย-ริบใบแดงจากกกต.



นางสดศรี สัตยธรรม อดีตกกต.ด้านกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ กล่าวถึงการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ใบแดง) ให้อยู่ในอำนาจของศาล ว่า ที่ผ่านมางานของกกต.จะกว้างขวางมาก ตั้งแต่การจัดเลือกตั้งไปถึงการสืบสวนสอบสวนคำร้องคัดค้านเลือกตั้ง เพื่อตรวจสอบว่ามีการทุจริตหรือไม่ แต่หน้าที่สำคัญที่สุดของกกต.คือการจัดการเลือกตั้ง จึงเห็นว่าการพิจารณาบทลงโทษเพิกถอนสิทธินักการเมืองที่ทุจริตการเลือกตั้งนั้น ควรเป็นหน้าที่ของผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในสำนวนคดี นั่นคือให้เป็นหน้าที่ของศาล ยิ่งถ้าได้ผู้พิพากษาที่มีความเข้าใจในระบบเลือกตั้งเพียงพอจะทำให้การพิจารณานั้นมีศักยภาพมากขึ้น ทางที่ดีควรจะเป็นการพิจารณาอย่างน้อย 2 ศาลคือให้ผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิอุทธรณ์แสดงความบริสุทธิ์ได้ เนื่องจากในร่างรัฐธรรมนูญใหม่จะมีบทกำหนดโทษที่รุนแรง คือตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต เป็นมาตรการที่เข้มงวดมากกว่าเดิม แต่กระบวนการพิจารณาของศาลในคดีเลือกตั้งคงต้องปรับให้มีความรวดเร็วเพิ่มขึ้น



นางสดศรีกล่าวอีกว่า กกต.จึงต้องกลับ มามองตัวเองว่าการทำงานที่ผ่านมามีความเรียบร้อยดีหรือไม่ การขออำนาจการให้ใบแดงซึ่งควรเป็นอำนาจที่ตรวจสอบได้ เพราะตามกฎหมายเดิมที่มีการระบุถ้อยคำว่า เชื่อได้ว่าอาจทุจริต ก็สามารถให้ใบเหลืองหรือใบแดงได้ แต่สิ่งนี้ไม่ได้เป็นมาตรการที่จะรับประกันว่าถูกต้องจริงหรือไม่ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือต้องทบทวนตัวเอง ว่าทำไมเขาจึงมีแนวคิดให้จัดตั้งกจต.หรือมอบอำนาจการให้ใบแดงไปสู่ศาล ถ้าทำงานดีจริงร้อยเปอร์เซ็นต์จะมีแนวคิดดังกล่าวออกมาหรือไม่ สิ่งที่ทำได้คือควรนำประเด็นเหล่านี้มาปรับปรุงแก้ไขปัญหาในองค์กรให้มีสมรรถภาพยิ่งขึ้น



สุณัยจ่อฟ้องโลก-กังวลกสม.ไทย



วันเดียวกัน นายสุณัย ผาสุข ที่ปรึกษา ฮิวแมนไรต์ วอตช์ ประจำประเทศไทย กล่าวถึงกระแสวิจารณ์ความไม่เหมาะสมของว่าที่ 7 คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน (กสม.) ว่า วันที่ 24 ก.ค.นี้ ฮิวแมนไรต์ฯ ประเทศไทย จะร่อนจดหมายทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เผยแพร่ให้องค์กรสิทธิมนุษยชนสากลและองค์กรระหว่างประเทศทั่วโลก รับทราบ ข้อห่วงกังวลต่อการสรรหา กสม.ไทย ที่ขัดต่อ หัวใจสำคัญของหลักการปารีสที่ว่าด้วยหลักสิทธิมนุษยชนสากล เนื่องจากกระบวนการสรรหาไม่โปร่งใส ทำให้ว่าที่ กสม. ที่ได้มา นอกจากนางอังคณา นีละไพจิตร แล้วล้วนเป็นบุคคลที่ไม่เคยมีผลงาน ส่งเสริมคุ้มครองปกป้องสิทธิมนุษยชน ในทางกลับกัน ได้สนับ สนุนให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางและร้ายแรง ใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 เล่นงานคนที่มีความคิดเห็น แตกต่าง 



นายสุณัยกล่าวว่า หากเป็นแบบนี้การทำงานของกสม.จะไม่ต่างจากชุดที่ผ่านมา นางอังคณา เป็นนักสิทธิฯคนเดียวคงทำอะไรไม่ได้มาก ภาพการทำงานจะไม่ใช่ภาพรวมขององค์กรกสม. แต่จะเป็นเพียงตัวบุคคล อีกทั้งหากมีประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ต้องใช้มติตัดสินเสียงของนางอังคณาคนเดียวคงไม่เพียงพอ การสรรหาว่าที่ 7 กสม.ที่ ออกมา จึงเป็นภาพสะท้อนของผู้ถืออำนาจ ในประเทศไทยว่า ไม่เคยให้ความสำคัญกับการปกป้องสิทธิมนุษยชนตามหลักสากล ดังนั้น ฮิวแมนไรต์ฯ จึงขอเรียกร้อง สนช. ไม่ให้ความเห็นชอบรายชื่อกสม. ตามที่กรรมการสรรหาเสนอ พร้อมให้สรรหาใหม่ ด้วยกระบวนการที่โปร่งใสมากกว่านี้ 



"คณะกรรมการสรรหากสม. ต้องตอบคำถามด้วยว่า ทำไมจึงไม่คัดเลือกบุคคล อื่นที่มีคุณสมบัติเป็นที่ประจักษ์ในทางสิทธิ มนุษยชนสากล แต่กลับเลือกคนที่ส่งเสริมการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง" นาย สุณัยกล่าว 

 

ปรับครม.รอจบวิกฤตแล้ง ขยับไปตค. หึ่ง'บิ๊กฉัตร'คุมพลังงาน อุ๋ย'ปัดว่านายกฯไม่รู้ศก. 'บิ๊กตู่'วางเกณฑ์โละรมต. 'สมหมาย'โต้ลือชิงออก ฮิวแมนไรต์สฯจี้รื้อกสม.

      ขุนคลังยันไม่ได้ลาออก แฉมีคนส่งซิกถูกบีบออก 'บิ๊กตู่'ปัดเคลียร์'ชายอุ๋ย' ลั่นปรับ ครม.ไม่เกรงใจใคร ยึดงานเป็นหลัก ด้าน'ชายอุ๋ย'ปฏิเสธไม่เคยว่านายกฯไม่รู้เศรษฐกิจ ชี้มีคนเลื่อยขา กมธ.เล็งหั่น รธน.เหลือ 285 มาตรา พท.จี้ตอบให้ชัดปมตัดสิทธิตลอดชีพ ฮิวแมนฯจี้สรรหา กสม.ใหม่

 

@ "บิ๊กตู่"ชี้ไม่ต้องเคลียร์"อุ๋ย"

       เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าว ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ กล่าวระหว่างการประชุมร่วมกับสมาคมธนาคารไทย เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมาระบุทำนอง นายกรัฐมนตรีไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องเศรษฐกิจแต่ตอบคำถามนักข่าวทุกเรื่องว่า "ทำไม วันนี้ท่านก็มาประชุมแล้วทำไม อะไร ผมไม่คุยหรอก" 

     ผู้สื่อข่าวถามว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธรได้มาเคลียร์ทำความเข้าใจแล้วหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "จะเคลียร์ทำไม ผมไม่ต้องเคลียร์ใจกับใคร ข่าวที่ออกมาก็ใครเขียนเล่า หนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับนั่นแหละ พวกคุณไม่เคยอ่านคนเขียนเศรษฐกิจหรืออย่างไร ไม่เคยอ่านคอลัมนิสต์เลย หรือมัวแต่เขียนถึงกลุ่มบูรพาพยัคฆ์ให้ปั่นป่วนไปหมดทุกเรื่อง ไม่ต้องมาพูด ด่าแล้วไม่ต้องมาถามผม"

 

@ ไม่ติดใจ-ลั่นแยกแยะงานกับพี่น้อง

      เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรีไม่ติดใจอะไรใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "ผมจะไปติดใจใครล่ะ ใจผมก็อยู่ในใจผม ไม่ต้องมาคิดแทน วันนี้ผมเป็นคนรับผิดชอบ ดังนั้นการตัดสินใจจึงเป็นเรื่องของผมไม่จำเป็นต้องพูดกับใคร เพราะผมเป็นคนเอาใครเข้ามาทำงานผมเป็นคนเลือก ผมมีอำนาจเด็ดขาดทั้งหมด สื่อเขียนให้ถูกด้วย กลุ่มนี้ กลุ่มโน้น กลุ่มนั้น ให้รู้บ้างว่าใครเป็นผู้บังคับบัญชา บทบาทผู้บังคับบัญชา บทบาทการทำงานคนละเรื่องกัน เป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง ก็เป็นอีกเรื่อง อะไรก็ลบล้างไม่ได้ คนละเรื่อง เรื่องงานก็คือเรื่องงาน แยกกันให้ออกเสียบ้าง"

เมื่อถามถึงสาเหตุ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่เข้าร่วมประชุม ครม.เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม และไม่เข้าประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติในวันเดียวกันนี้เป็นเพราะอะไร เกี่ยวกับกระแสข่าวการปรับ ครม.ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "พล.อ.ประวิตร ท่านป่วย ไม่ค่อยสบาย แล้วทำไมเป็นห่วงหรืออย่างไร ไม่มีคนให้ซัก ไม่มีคนให้โมโห" 

@ แจงรมต.กลาโหมไม่ใช่ใครก็ได้

เมื่อถามการปรับ ครม.มีเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรวมอยู่ด้วยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "กลาโหมไม่ใช่ใครก็เป็นได้ ไม่ใช่เรื่องของบารมีอย่างเดียว และก็ไม่ใช่เพราะความเป็นพี่ ไม่เกี่ยวหรอก ผมมีพี่หลายร้อยหลายพันคน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ความเหมาะสม ความสามารถ ไม่ใช่เพราะเป็นบูรพาพยัคฆ์ ผมไม่ได้เป็นอะไรสักอย่าง ถ้าอย่างนั้นเป็นทหารเสือ ก็ชอบเขียนให้เป็นอย่างนั้นอยู่แล้วนี่ มีกลุ่มทหารเสือ กลุ่มบูรพาพยัคฆ์ กลุ่มเก่า กลุ่มวงศ์เทวัญ อยากจะตั้งใครก็ตั้งไป เขามี พ.ร.บ.แต่งตั้งอยู่แล้ว ไม่ใช่จะแต่งตั้งใครก็ได้ พวกสื่อชอบไปเขียนน้องคนนี้คนนั้นจนรวนไปหมด แบ่งคนเป็นก๊กเป็นเหล่าไปหมด วันนี้ทุกคนต้องการความสงบสุขให้ประเทศชาติเดินหน้า หรือต้องการให้มีความขัดแย้งอยู่เช่นเดิมก็ต้องไปคิดกันเอง

เมื่อถามว่าแสดงว่าการจัดทำโผโยกย้ายข้าราชการทั้งหมดต้องทำให้เร็วขึ้นหรือไม่ เพื่อให้เป็นไปในคราวเดียวกันกับการปรับ ครม. พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่เกี่ยวเพราะตนยังอยู่ ตามกำหนดเวลาเขามีอยู่แล้ว ส่วนข่าวที่ว่าจะปรับ ครม.ไปคราวเดียวกันกับการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการนั้นไม่เกี่ยว ไม่จริง วันนี้ไม่คิดจะปรับใคร คิดในใจ ต้องคิดล่วงหน้าคิดทั้งหมด ไม่ได้คิดสั้นๆ แบบที่คิดกัน คิดมาตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 57 จนถึงวันนี้คิดทั้งหมด รวมทั้งคิดไปถึงข้างหน้าด้วย

@ ยันไม่เกรงใจใคร-ยึดทำงาน 

เมื่อถามว่าถึงเวลานี้ยังไม่จำเป็นต้องปรับ ครม.ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า จำเป็นหรือไม่จำเป็นไม่รู้ เดี๋ยวเปลี่ยนก็รู้เอง วันนี้ไม่รู้ไม่ทราบ

เมื่อถามว่าเหตุผลของการปรับ ครม.คืออะไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "แล้วเหตุผลของสื่อคืออะไร ที่เขียนมาทั้งหมดเหตุผลคืออะไร ถ้าบอกว่าปัญหาเศรษฐกิจถ้าเป็นสื่อแล้วจะแก้อย่างไรในทางปฏิบัติ ถ้าบอกว่า ครม.ควรต้องมีเอกภาพ ก็ต้องบอกว่าเอกภาพทั้งหมดอยู่ที่ผม ผมสั่งทั้งหมดอยู่แล้ว ทำไมจะไม่มีเอกภาพ ไม่ทำตนก็เล่นงานเอา ระบบการทำงานจริงต้องเป็นเช่นนี้ ไม่ใช่ระบบของทหาร การทำงานต้องมีหัวมีหาง"

เมื่อถามว่ามีข่าวว่าไม่กล้าปรับ ครม.เพราะเกรงใจ ครม.เพราะเป็นคนไปเชิญเข้ามาจึงไม่กล้าปรับออก พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "วันหลังถ้ามีโอกาสให้เข้าไปนั่งในที่ประชุม ครม.ดูซิว่าผมเกรงใจใครหรือเปล่า ผมฟังเขาทุกอันและสั่งทุกอัน ทำไมถ้าเกรงใจแล้วต้องทำอย่างไร บอกเขาหรือว่าท่านครับเรื่องนี้อย่าทำเลยนะครับ ขอร้องพี่หรือ ซึ่งไม่ใช่ ผมสั่งคือ 1.สั่งให้ไปทำงานอะไรก็ไปทำ ทำได้ก็ทำ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็มาบอก ไม่ใช่ไม่ทำ 2.อยากคิดอะไรเพิ่มก็ให้มาบอก แล้วจะสั่งให้"

@ เผยตรวจการบ้านครม.ตลอด

เมื่อถามว่าการจะปรับหรือไม่ปรับ ครม. จะยึดหลักอะไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับการพิจารณา ยึดหลักประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน "ทำไมพวกสื่อถึงสนใจเรื่องจะปรับ หรือไม่ปรับ ครม.เอาง่ายๆ ไหม ปรับนายกรัฐมนตรีคนเดียวแล้วจบ จะได้เลิกวุ่นวายกันเสียที อยากให้ใครมาเป็นล่ะไปหามา ทำไมมันยุ่งกันเหลือเกินเรื่องปรับ ครม. อยู่ที่วิธีการทำงาน ถ้าวิธีการทำงานทั้งหมดแล้วเขาไม่ทำผมปรับ สั่งแล้วไม่ทันผมปรับ หรือทำงานแล้วไม่มีประสิทธิภาพตามที่ต้องการก็ปรับ" นายกฯกล่าว

เมื่อถามว่ายังมีกระทรวงไหนยังทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพตามต้องการบ้าง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็ไปประเมินมาก็แล้วกัน การตรวจการบ้านการทำงานนั้นตรวจทุกสัปดาห์อยู่แล้ว สั่งให้รัฐมนตรีทุกคนทำแผนการปฏิบัติงานมาตลอด 3-6-9 เดือน ทำมาโดยตลอดว่าจะทำอะไรในวันนี้วันหน้าแล้วเสร็จเมื่อใด ก็มาดูว่างานไหนไม่เสร็จบ้างก็ต้องเร่งไป งบประมาณเบิกจ่ายไม่ทันก็ไปเร่งมา ทุกกระทรวงรายงานมาทุกสัปดาห์ถึงความก้าวหน้าต่างๆ เพราะต้องการให้เขาวางแผนงานล่วงหน้าอะไรต้องการให้เกิดในปี 59 อย่างน้อยต้องเริ่มต้นไว้ แต่จะให้ไปล็อกรัฐบาลในอนาคตมากก็ไม่ได้ เป็นเรื่องยาก แต่ก็ต้องเริ่มต้นไว้ ส่วนจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับทุกคน

@ รับใจร้อนแต่ต้องเข้าใจขรก.ด้วย

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวกับผู้สื่อข่าวเพิ่มเติมว่า ทุกวันนี้ร่างกายยังคงฟิตตามวัย พยายามอดทนเพื่อฟันฝ่าประเทศชาติไปให้ได้ แต่ยอมรับว่าหนักใจเพราะภาระเหล่านี้ติดอยู่ในหัว แม้เวลาหลับ ไม่ใช่จะสลัดทิ้งไปง่ายๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถตอบคำถามสื่อได้ทุกเรื่อง รายละเอียดทั้งหมดอยู่ในหัวไม่เคยลืม 

"ขอให้เข้าใจแล้วกัน ผมไม่ได้จ้องที่จะไปทะเลาะกับสื่อ เพียงแต่ว่าขอให้เบาๆ ลงหน่อย บางช่วงเราต้องการความสงบเรียบร้อย ขอให้ช่วยกันอันไหนไม่ได้ก็คือไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเสียเวลาเปล่า ไหนๆ เราก็ต้องเสียตรงนี้แล้ว ผมเข้ามาตรงนี้ขอให้แก้ทุกอย่างให้ได้ก่อน จะปล่อยให้ทำอะไรไม่ได้เหมือนปกติ ไม่มีโอกาสอีกแล้ว การบริหารแผ่นดินบางครั้งอาจจะไม่ทันใจสื่อ ความจริงก็ไม่ทันใจผมด้วย เพราะผมเป็นคนใจร้อน แต่ก็ต้องเข้าใจและเห็นใจข้าราชการ เพราะเขาต้องใช้เวลาทำงานมี

ขั้นตอนต่างๆ ด้วย" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว 

@ "หม่อมอุ๋ย"โวยมีคนเลื่อยขา 

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังนายมายาสุ โฮซูมิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) เข้าพบ กรณีมีการนำเสนอข่าวว่าในการประชุมประจำเดือนของสมาคมธนาคารไทยเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไม่เข้าใจเรื่องเศรษฐกิจว่า ไม่มี ไม่ได้พูด

"จะบ้าหรือ จะไปพูดอย่างนั้นได้อย่างไร ผมไม่เคยพูดว่านายกฯไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจเลย นายกฯเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจจะตาย ผมจะไปพูดอย่างนั้นได้อย่างไร เรื่องที่พูดคุยกับสมาคมธนาคารไทยเป็นการไปเล่าให้เขาฟังในสิ่งที่รัฐบาลกำลังทำ และไปขอความร่วมมือในการปล่อยสินเชื่อเอสเอ็มอี มั่นใจว่าข่าวนี้เป็นกระบวนการปล่อยข่าว คอยเล่นงาน คอยเลื่อยขาผมอยู่เรื่อย ปัดโธ่จะหาเรื่องทำไม แค่นี้ก็จะตายอยู่แล้ว" ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าว

@ "สมหมาย"แฉส่งซิกถูกบีบออก

นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง กล่าวถึงกระแสการปรับทีมเศรษฐกิจว่า มีคนอยากให้ออกจากตำแหน่ง และยิ่งทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนาน เป็นการสร้างศัตรูเพิ่มขึ้น ไม่ได้รู้สึกหนักใจ มีคนให้กำลังใจการทำงานมาก เมื่อคืนที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายอัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ยังมาบอกเลยว่าเป็นรัฐมนตรีคลังเพียงคนเดียวที่กล้าเล่นกับภาษี ถือเป็นการให้กำลังใจในการทำงานว่าถ้าทำดีแล้วให้ทำต่อไป

"ผมกับนายกฯนั่งทำงานใกล้ๆ กัน ไม่ได้ส่งสัญญาณอะไรมาถึงผม ถ้าให้ออกจากตำแหน่ง ไม่มีปัญหา พร้อมจะไป แต่ขณะนี้จะเดินหน้าทำงานต่อไปไม่ชะงัก แม้ว่าช่วงนี้จะมีความรู้สึกแปลกๆ ว่ามีการส่งซิกเพื่อบีบผม เพื่อสะท้อนถึงใครบางคน แต่ผมจะวางเฉย มีงานที่ยังค้าง 3 เรื่อง คือ ปฏิรูปภาษีเพื่ออุดช่องโหว่ ภาษีที่ดิน และในเรื่องการปรับแก้กฎหมายเพื่อให้มีการเช่าที่ดินระหว่างหน่วยงานรัฐ 99 ปี" นายสมหมายกล่าว 

@ ปัดเขียนใบลาออก

นายสมหมายกล่าวถึงกระแสข่าวว่าได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งให้นายกฯรับทราบแล้ว โดยให้เหตุผลการลาออกว่าเป็นปัญหาเรื่องสุขภาพว่า ไม่เคยเขียนหนังสือลาออก และไม่มีเวลาเขียน เพราะต้องทำงาน โดยวันนี้ (22 กรกฎาคม) ก็ประชุมตลอดทั้งวัน นายกฯไม่เคยสั่งให้เขียนใบลาออก และหากจะลาออก เป็นหวัดก็ลาออกได้ ไม่จำเป็นต้องอ้างว่าป่วยเป็นมะเร็ง ไม่มีปัญหา ถ้านายกฯให้ออก ก็ออก ถ้าไม่บอกให้ออก ก็ยังทำงานต่อไป และไม่คิดจะยื่นใบลาออกด้วย

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลกล่าวว่า มีกระแสข่าวว่านายสมหมายได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งต่อนายกรัฐมนตรีแล้ว โดยให้เหตุผลว่ามีปัญหาด้านสุขภาพ จึงอยากมีเวลาพักผ่อนไปรักษาตัว และด้วยสุขภาพจึงไม่เอื้อให้ทำงานในคณะรัฐมนตรีได้ต่อไป 

@ "นพ.รัชตะ"ปัดข่าวปรับครม.

นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รมว.สาธารณสุข กล่าวถึงกระแสการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ไม่เคยได้ยินว่ามีใครพูด รัฐบาลยังไม่มีการคุยกัน ในการประชุม ครม.เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมาไม่มีการคุยกัน จึงไม่ทราบจริงๆ ว่าจะมีการปรับ

นพ.รัชตะกล่าวว่า ส่วนความไม่ลงรอยภายในกระทรวงสาธารณสุขนั้น ตอนนี้ทุกคนก็ยังทำงานกันอยู่ การปรับปรุงโครงสร้างภายในสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ส่วนใหญ่จะเป็นการปรับปรุงเรื่องของข้อกฎหมาย การปรับปรุงตัวบุคคลก็ต้องว่าไปตามขั้นตอน ต้องดูจังหวะเหมาะสมด้วย ส่วนความคืบหน้าการสอบสวน นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ไม่ปฏิบัติตามนโยบายของกระทรวงนั้น ขณะนี้ยังตรวจสอบกันอยู่ อยู่ในขั้นตอนนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯกำลังพิจารณา

@ เอกชนลุ้นทีมศก.ใหม่ตอบสนอง

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เอกชนอยากเห็นทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลทุกชุดมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจกับภาคเอกชน และตอบสนองความต้องการของเอกชนได้เร็ว ปัญหาที่ผ่านมาคือทีมเศรษฐกิจรัฐบาลตอบรับภาคเอกชนช้า แก้ปัญหาไม่ตรงจุด อยากเห็นทีมเศรษฐกิจชุดใหม่เข้ามาดูในภาคการเกษตรและดูแลเอสเอ็มอี เนื่องจากมีส่วนช่วยเศรษฐกิจให้เติบโตได้เร็วขึ้น จะขอดูหน้าตาของผู้จะมาเป็นรัฐมนตรีก่อนจึงจะบอกได้ว่าเอกชนมีความเชื่อมั่นหรือไม่ และต้องดูนโยบายที่มีต่อภาคเอกชนว่าเป็นอย่างไรบ้าง ขณะนี้ยังไม่อยากวิจารณ์มาก การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศนั้นเอกชนและรัฐบาลต้องร่วมมือกัน รับฟังความคิดเห็นกันจริงๆ จังๆ และดำเนินการให้เร็ว

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า นิสัยของคนไทยเป็นผู้ให้โอกาส ทุกครั้งปรับ ครม.มักเชื่อว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น แต่หากสิ่งที่ส่งต่อมาจาก ครม.ชุดเดิมมีปัญหา ครม.ชุดใหม่ยังคงต้องใช้เวลาแก้ไข เศรษฐกิจจะดีได้ ครม.ชุดใหม่ต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นจากเอกชนทุกภาคส่วนเน้นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และต้องทำเป็นแพคเกจ แต่หากยังดำเนินมาตรการแบบปะผุ เชื่อว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวเหมือนในปัจจุบัน

@ รอปรับครม.หลังวิกฤตแล้ง

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับความคืบหน้าเรื่องการปรับ ครม. ล่าสุดมีข้อเสนอให้การปรับเปลี่ยนเกิดขึ้นหลังจากพ้นวิกฤตภัยแล้งไปก่อน คาดว่าอาจจะปรับ ครม.ในเดือนกันยายนหรือตุลาคมนี้ เนื่องจากช่วงเวลานี้รัฐบาลต้องการให้รัฐมนตรีทุกคนช่วยกันทำงาน และแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ตลอดจนปัญหาอื่นๆ ที่รุมเร้ารัฐบาลอยู่ ทั้งนี้ทีมเศรษฐกิจมีการปรับ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ย้ายไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานแทนนายณรงค์ชัย อัศรเศรณี ส่วน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ยังไม่ยอมออกจากตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม กระแสข่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่การปรับ ครม.ครั้งนี้จะปรับ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ออกไปด้วย

@ "บิ๊กต๊อก"ชี้รธน.ต้องช่วยปรองดอง

พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวให้ความเห็นร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะสามารถนำไปสู่ความปรองดองได้หรือไม่ว่า เชื่อว่าทุกคนมีความกังวลว่าภายหลังจากมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้ว สังคมจะเกิดความขัดแย้งอีกหรือไม่ แต่รัฐธรรมนูญคือกระดาษและเป็นตัวหนังสือ ส่วนพฤติกรรมของคนต่างหากจะยอมรับได้หรือไม่ และนำไปสู่การกระทำและทัศนคติ เพราะฉะนั้นจึงมีความกังวล เพราะท้ายที่สุดแล้วทุกคนจะยอมรับในจุดนี้ได้หรือไม่ เนื่องจากการ่างรัฐธรรมนูญไม่มีทางที่ใครจะได้รับผลประโยชน์โดยตรง อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญที่เขียนออกมานั้น มีคนได้และเสียผลประโยชน์ในเนื้อหาของกฎหมายอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าทุกคนเห็นประโยชน์ของชาติในภาพรวม จะยอมลดส่วนได้ส่วนเสียของตัวเองลงได้หรือไม่ เพราะหากทำไม่ได้จะเกิดปัญหาอีกในภายหลัง

"อย่าคิดว่าจะสุดโต่งในด้านใดด้านหนึ่ง แต่อยากให้มองถึงเหตุผลว่าทำไมต้องเป็นอย่างนี้ การเมืองที่ผ่านมาและคนที่เขียนรัฐธรรมนูญต้องชี้แจงให้เข้าใจถึงเหตุผลนั้น เขาถึงจะยอมเสียสละผลประโยชน์ของตัวเอง เพื่อนำไปสู่ประโยชน์ของชาติอย่างเต็มใจ หากไม่เต็มใจคือคำตอบที่ถามว่าเมื่อเขียนรัฐธรรมนูญเสร็จจะเกิดความปรองดองจริงหรือไม่" พล.อ.ไพบูลย์กล่าว

@ กมธ.ยกร่างฯแจงตั้งกมธ.ร่วมสนช.

ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยมี นพ.กระแส ชนะวงศ์ รองประธาน กมธ.ยกร่างฯ คนที่ 1 เป็นประธานการประชุม มีวาระพิจารณาปรับแก้ไขบันทึกเจตนารมณ์เป็นรายมาตราต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 หลังจากเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พิจารณาไปแล้วกว่า 50 มาตรา พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ กมธ.ยกร่างฯได้ขอหารือว่า การจัดทำร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการปฏิรูป กมธ.ยกร่างฯจะต้องเสนอให้สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เพื่อพิจารณาอีกครั้งหรือไม่ และขั้นตอนของกฎหมายนี้จะต้องเข้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อกลั่นกรองก่อนออกมาเป็นพระราชบัญญัติด้วยหรือไม่ 

นพ.ชูชัย ศุภวงศ์ รองประธาน กมธ.ยกร่างฯ คนที่ 6 ในฐานะประธานอนุ กมธ.ศึกษาเตรียมการจัดทำร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปฏิรูป ชี้แจงว่า ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปฏิรูปจะต้องเข้าที่ประชุม กมธ.ยกร่างฯและต่อไปจะต้องตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกันระหว่าง กมธ.ยกร่างฯ และ สนช.ก่อนเสนอต่อ สนช.พิจารณา ทางอนุ กมธ.ศึกษาเตรียมร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปฏิรูป จะได้นำเสนอร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ต่อที่ประชุม กมธ.ยกร่างฯ บ่ายวันที่ 23 กรกฎาคมนี้ หลังจากได้ไปหารือกับ กมธ.ปฏิรูป 18 คณะมาแล้ว สรุปว่าจะกำหนดเรื่องปฏิรูปไว้ในรัฐธรรมนูญเพียง 5 มาตรา 17 ด้าน ใน 4 กลุ่มใหญ่ คือ ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านสิ่งแวดล้อม คาดว่าเนื้อหาที่จะบัญญัติในรัฐธรรมนูญจะเสร็จในวันที่ 24 กรกฎาคมนี้ และร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปฏิรูปจะเสร็จในปลายเดือนกรกฎาคมเช่นเดียวกัน

@ อ้างไม่ตัดสิทธิส.ส.ย้อนหลัง 

เมื่อถามถึงข้อเรียกร้องของฝ่ายการเมืองไม่เห็นด้วยกับการกำหนดคุณสมบัติต้องห้ามการเป็น ส.ส. ตัดสิทธิผู้ถูกถอดถอนจากคดีทุจริตตลอดชีวิต นพ.ชูชัยกล่าวว่า เป็นการยกร่างรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญปี 2550 และรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ไม่ถือเป็นการเอาผิดย้อนหลัง แต่เป็นการสืบเนื่องตามรัฐธรรมนูญและเหตุการณ์ต่างๆ ก็เกิดขึ้นในรัฐธรรมนูญเท่านั้นและไม่รู้สึกกังวลว่าจะมีการนำเรื่องนี้ไปขยายผลให้ไม่รับรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นคนกลุ่มเล็กๆ

@ เล็งปรับแก้รธน.เหลือ285มาตรา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กมธ.ยกร่างฯเตรียมเชิญ สปช. 8 กลุ่ม และ ครม.ที่เคยยื่นคำขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญเข้ารับฟังเหตุผลปรับแก้ไขร่างแรกจนออกมาเป็นร่างสุดท้ายในวันที่ 17-19 สิงหาคมนี้ การเชิญทั้ง 9 กลุ่มครั้งนี้ จะไม่สามารถยื่นขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญได้อีก เพราะได้ยื่นคำขอต่อ กมธ.ยกร่างฯไปแล้วตามกรอบเวลาของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 เบื้องต้น กมธ.ยกร่างฯได้ปรับแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ คาดว่าจะมีทั้งหมด 285 มาตรา พร้อมวางกรอบการทำงานช่วงสุดท้ายก่อนครบกำหนดส่งร่างรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 22 สิงหาคมนี้ กมธ.ยกร่างฯจะประชุมเพื่อลงมติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราทั้งฉบับก่อนเสนอร่างรัฐธรรมนูญต่อ สปช.

@ "วรชัย"จี้แจงให้ชัดปมตัดสิทธิ

นายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี กมธ.ยกร่างฯเห็นชอบให้ตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิตกับผู้เคยถูกถอดถอนจากคดีทุจริตว่า ประเด็นนี้หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์มาก นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ระบุว่ายังไม่ ทราบเรื่อง หรือแม้แต่ กมธ.ยกร่างฯบางรายยังพูดประเด็นนี้แบบอ้อมแอ้ม กำกวม ดังนั้น อยากให้ กมธ.ยกร่างฯออกมาพูดให้ชัดเจนไปเลยว่าต้องการเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อกีดกันสมาชิกบ้านเลขที่ 111 และ 109 หรือไม่ แม้กรรมาธิการยกร่างฯจะตอบเรื่องนี้แบบกำกวม แต่ตนขอฟันธงเลยว่ามีเจตนาต้องการตัดสิทธิสมาชิกบ้านเลขที่ 111 และ 109 รวมทั้งพรรค พท.ไปจนถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ เพราะรู้ว่าถ้ามีการเลือกตั้งเราก็จะชนะเลือกตั้งอยู่ดี 

@ พท.หนุนนิรโทษกรรมต้นซอย 

นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการปรองดองนำรายงานเสนอต่อที่ประชุม สปช. หนึ่งในนั้นได้เรียกร้องให้ฝ่ายรัฐนิรโทษกรรมต้นซอย ต่อผู้ร่วมชุมนุมทางการเมือง ต้องไม่เป็นคดีอาญาร้ายแรง การละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง ไม่เกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และคดีทุจริตคอร์รัปชั่น ว่า เห็นด้วยจะมีการนิรโทษกรรมผู้มาร่วมชุมนุมกิจกรรมทางการเมือง โดยไม่ใช่แกนนำ เพราะชาวบ้านไปร่วมชุมนุมทางการเมืองไปด้วยความเชื่อ พอเชื่อก็ต้องแสดงออก แม้บางครั้งจะไปกระทบสิทธิคนอื่นหรือกฎหมายไม่ร้ายแรงบ้าง โดยไม่เจตนาก็ควรยกโทษให้แบบไม่มีเงื่อนไข และควรระบุไว้ในเนื้อในด้วยว่า คดีของคนเสื้อเหลืองคดีอาจจะยังไม่คืบหน้า เพื่อความปรองดองก็ควรยังไม่ต้องดำเนินคดี ส่วนเสื้อแดงก็ต้องบอกว่าทำผิดอะไร จะลงโทษอย่างไร ทุกคนได้รับโทษไปแล้ว มีทั้งพวกถูกคุมขังหรือไม่ก็มีคดีถูกคุมขังแล้วปล่อยตัวไปแล้ว พวกนี้ควรได้รับการเยียวยาเช่นกัน

@ "สดศรี"หนุนศาลแจกใบแดง 

นางสดศรี สัตยธรรม อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ กล่าวกรณี กมธ.ยกร่างฯกำหนดการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหรือใบแดง ให้อยู่ในอำนาจของศาลว่า ที่ผ่านมางานของ กกต.กว้างขวางมาก ตั้งแต่การจัดเลือกตั้งไปถึงการสืบสวนสอบสวนคำร้องคัดค้านเลือกตั้งเพื่อตรวจสอบว่ามีการทุจริตหรือไม่ แต่หน้าที่สำคัญที่สุดของ กกต.คือการจัดการเลือกตั้ง การพิจารณาบทลงโทษเพิกถอนสิทธินักการเมืองทุจริตการเลือกตั้งควรเป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญสำนวนคดี นั่นคือศาล ยิ่งถ้าได้ผู้พิพากษาเข้าใจระบบเลือกตั้ง จะทำให้การพิจารณานั้นมีศักยภาพมากขึ้น ทางที่ดีควรพิจารณาอย่างน้อยสองศาลคือให้ผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิอุทธรณ์แสดงความบริสุทธิ์ได้ เนื่องจากในร่างรัฐธรรมนูญใหม่จะมีบทกำหนดโทษรุนแรงคือตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต เป็นมาตรการเข้มงวดกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม กระบวนการพิจารณาของศาลในคดีเลือกตั้งคงต้องปรับให้รวดเร็วขึ้น

นางสดศรีกล่าวว่า กกต.ต้องกลับมามองตัวเองว่าการทำงานที่ผ่านมามีความเรียบร้อยดีหรือไม่ การขออำนาจการให้ใบแดงควรเป็นอำนาจตรวจสอบได้ เพราะตามกฎหมายเดิมระบุถ้อยคำว่า เชื่อได้ว่าอาจจะทุจริต ก็ให้ใบเหลืองหรือใบแดงได้ แต่สิ่งนี้ไม่ได้เป็นมาตรการรับประกันว่าถูกต้องจริงหรือไม่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องทบทวนตัวเองว่าทำไมเขาจึงมีแนวคิดให้จัดตั้งคณะกรรมการดำเนินการจัดการเลือกตั้ง (กจต.) หรือมอบอำนาจการให้ใบแดงไปสู่ศาล ถ้าทำงานดีจริงร้อยเปอร์เซ็นต์จะมีแนวคิดดังกล่าวออกมาหรือไม่ ควรนำประเด็นเหล่านี้มาปรับปรุงแก้ไขปัญหาในองค์กรให้มีสมรรถภาพยิ่งขึ้น

@ กกต.ใช้เครื่องลงคะแนนประชามติ

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวภายหลังเป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการเลือกตั้งว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องการเลือกตั้งด้วยเครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์โดยจะจัดทำแผนพัฒนาเครื่องลงคะแนนใน 3 ระดับ คือระยะสั้น 1 ปี ระยะกลาง 5 ปี และระยะยาว 10 ปี และเพื่อให้ทันกับการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ กกต.จะใช้เครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ในหน่วยออกเสียงประชามติ จะเป็นหน่วยต้นแบบ 2 หน่วย ในเขตราชเทวี กรุงเทพฯ มีจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงประมาณ 1,600 คน จะทำให้ผู้มาใช้สิทธิได้มีโอกาสเลือกรูปแบบการออกเสียง และเป็นการทดสอบระบบเครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ว่าสามารถตรวจสอบได้ และให้เกิดความไว้ใจ จะเป็นการโชว์ศักยภาพของหน่วยเลือกตั้งในอนาคต

@ เล็งใช้แอพพ์ปลุกคนใช้สิทธิเพิ่ม

นายสมชัยกล่าวว่า ที่ประชุมหารือถึงการพัฒนาแอพพลิเคชั่นดาวเหนือในโทรศัพท์มือถือ อำนวยความสะดวกให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งโหลดแอพพลิเคชั่น แล้วกรอกหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก จะทราบข้อมูลที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นหน่วยเลือกตั้ง ที่ตั้งหน่วย ลำดับการใช้สิทธิ รวมทั้งแผนที่นำทางไปยังหน่วยเลือกตั้งที่บุคคลนั้นมีสิทธิ จะเร่งพัฒนาแอพพลิเคชั่นดังกล่าวให้เสร็จภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ และหากทำประชามติในเดือนมกราคม 2559 จะเป็นครั้งแรกที่ผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติจะได้ใช้แอพพลิเคชั่นดังกล่าว ถือว่าเป็นประเทศแรกในโลกใช้แอพพลิเคชั่นอำนวยความสะดวกและลดความยุ่งยากให้กับผู้มีสิทธิออกเสียง ที่ผ่านมาได้ถามผู้จัดการเลือกตั้งในประเทศต่างๆ อาทิ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย และสิงคโปร์ ยังไม่มีการใช้แอพพลิเคชั่นดังกล่าวเชื่อว่าจะทำให้จำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิสูงกว่าเดิมอย่างแน่นอน การพัฒนาแอพพลิเคชั่นดังกล่าวจะใช้งบประมาณกว่าแสนบาท ในส่วนของแผนที่นำทางน่าจะใช้ได้ในเขตเมือง แต่ยังไม่ครอบคลุมพื้นที่ห่างไกล

@ ฮิวแมนฯจี้สรรหากสม.ใหม่ 

นายสุณัย ผาสุข ที่ปรึกษา ฮิวแมน ไรต์ส วอตช์ ประจำประเทศไทย กล่าวถึงกระแสวิจารณ์ความไม่เหมาะสมของว่าที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) 7 คน ว่า ภายในวันที่ 24 กรกฎาคม ฮิวแมนไรต์สฯ ประเทศไทย จะส่งจดหมายทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพื่อเผยแพร่ให้องค์กรสิทธิมนุษยชนสากลและองค์กรระหว่างประเทศทั่วโลกรับทราบข้อห่วงกังวลต่อการสรรหา กสม.ไทย ขัดต่อหัวใจสำคัญของหลักการปารีสที่ว่าด้วยหลักสิทธิมนุษยชนสากล เนื่องจากกระบวนการสรรหาไม่โปร่งใส ทำให้ว่าที่ กสม.ที่ได้มานอกจากนางอังคณา นีละไพจิตร แล้ว ล้วนแต่เป็นบุคคลไม่เคยมีผลงานส่งเสริมคุ้มครองปกป้องสิทธิมนุษยชน กลับกันก็ได้สนับสนุนให้ละเมิดสิทธิมนุษชนอย่างกว้างขวางและร้ายแรง หากเป็นแบบนี้การทำงานของ กสม.จะไม่ต่างจากชุดที่ผ่านมา นางอังคณานับว่าเป็นนักสิทธิมนุษยชนคนเดียวคงทำอะไรไม่ได้มาก ภาพการทำงานที่ออกมาจะไม่ใช่ภาพรวมขององค์กร กสม. แต่จะเป็นเพียงตัวบุคคล อีกทั้งหากมีประเด็นกาละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ต้องใช้มติตัดสินเสียงของนางอังคณาคนเดียวคงไม่เพียงพอ การสรรหาว่าที่ 7 กสม.ที่ออกมาจึงเป็นภาพสะท้อนของผู้ถืออำนาจในประเทศไทยว่า ไม่เคยให้ความสำคัญกับการปกป้องสิทธิมนุษยชนตามหลักสากล ฮิวแมนไรต์สฯจึงขอเรียกร้องให้ สนช.ไม่ให้ความเห็นชอบรายชื่อ กสม. ตามที่กรรมการสรรหาเสนอ พร้อมให้สรรหาใหม่ ด้วยกระบวนการโปร่งใสมากกว่านี้

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!