- Details
- Category: การเมือง
- Published: Wednesday, 22 July 2015 13:03
- Hits: 8344
ลูกหม่อมอุ๋ยงัด 15 ผลงาน โต้แทนพ่อ ข้องใจไม่แตะรมต.ทหาร ปชป.จี้ปรับทีมเศรษฐกิจ ครม.ตั้ง'กฤษฎา'ปลัดมท. อาทิตย์นำทีม 4 อธิบดีใหม่ สรุปว่าที่ 7 กสม.วิจารณ์หึ่ง
ครม.ตั้ง 9 บิ๊กคลองหลอด'กฤษฎา'ผงาดนั่งปลัด กมธ.ยกร่างฯลงมติเอกฉันท์ขยายเวลาอีก 30 วัน จวกคนวิจารณ์ปมตัดสิทธิคิดแบบศรีธนญชัย ชี้คดีไม่ถึงที่สุดลงเลือกตั้งได้
@ ครม.ไฟเขียวตั้ง 9 บิ๊กมหาดไทย
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 21 กรกฎาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์และ ครม.สวมใส่เสื้อโปโลสีฟ้าสกรีน "Bike For Mom" เพื่อเป็นการรณรงค์กิจกรรมปั่นจักรยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา 12 สิงหาคม 2558 จัดขึ้นในวันที่ 16 สิงหาคม
ต่อมาภายหลังการประชุม พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม.ว่า ครม.มีมติเห็นชอบแต่งตั้งข้าราชการบริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย 9 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายกฤษฎา บุญราช อธิบดีกรมการปกครอง เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย นายไมตรี อินทุสุต รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมพัฒนาชุมชน นายจรินทร์ จักกะพาก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมที่ดิน ร.ต.ท.อาทิตย์ บุญญะโสภัต รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมการปกครอง นายชยพล ธิติศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายณัฐพงศ์ ศิริชนะ ผู้ว่าฯ นราธิวาส เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายประทีป กีรติเรขา ผู้ว่าฯอุบลราชธานี เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ผู้ว่าฯชัยนาท เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย
@ โยก'ประพนธ์'พ้นกรุนั่งรองปลัด
พล.ต.สรรเสริญกล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติแต่งตั้งนายประพนธ์ วงษ์ท่าเรือ ผู้ตรวจราชการกระทรวงพลังงาน เป็นรองปลัดกระทรวงพลังงาน นายพิทักษ์ ดิเรกสุนทร ผู้อำนวยการสำนักบริหารที่ราชพัสดุกรุงเทพมหานคร รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นกรรมการผู้แทนกระทรวงการคลังในคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ แทนนายชาญณัฏฐ์ แก้วมณี ที่เกษียณอายุราชการและขอลาออก และแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร 7 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชุดเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระ 3 ปี ดังนี้ นายไพศาล พฤฒิพร ผู้เชี่ยวชาญด้านแรงงาน นายพูลศักดิ์ เศรษฐนันท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านแรงงาน นายปั้น วรรณพินิจ ผู้เชี่ยวชาญด้านแรงงาน นายวีรศักดิ์ ลดาคม ผู้เชี่ยวชาญด้านแรงงาน นางสินี จงจิตต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน นายสุวรรณ สุขประเสริฐ ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรม และนายชาติพงษ์ จีระพันธุ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย
@ สิงห์ทองคนแรกผงาดนั่งแท่นปลัด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงกระทรวงมหาดไทยแทนตำแหน่งที่จะพ้นวาระในเดือนตุลาคม ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ เมื่อนายกฤษฎาจบคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง หรือสิงห์ทอง ได้เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย แทนนายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ที่เกษียณอายุวันที่ 30 กันยายน ทั้งนี้เนื่องจากก่อนหน้านี้บรรดาผู้ที่จบคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือสิงห์ดำ และสิงห์แดง หรือข้าราชการที่จบการศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มักสลับกันนั่งเก้าอี้นี้มาตลอด ในครั้งนี้ผู้ที่จบสิงห์ดำ คาดหมายว่าปลัดกระทรวงมหาดไทยคนใหม่อาจจะเป็นนายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หนึ่งในสิงห์ดำ แต่เนื่องจากนายกฤษฎาเคยดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ก่อนย้ายมาเป็นอธิบดีกรมการปกครอง ประกอบกับนายกฤษฎาเคยผ่านงานในพื้นที่ภาคใต้ มีประสบการณ์การทำงานในตำแหน่งสำคัญ ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดยะลาและสงขลา จึงมีแรงสนับสนุนจากหลายฝ่าย ประกอบกับเพื่อเป็นการลดแรงเสียดทาน เพราะนายฉัตรชัยมีอายุการทำงานอยู่อีกถึง 6 ปี จึงให้นั่งรออยู่ในตำแหน่งเดิมก่อนจะขยับเข้ามาเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทยคนต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกฤษฎาเป็นสิงห์ทองคนแรกที่ได้ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย
@ สิงห์ดำผงาดยึดมท.เต็มพื้นที่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแต่งตั้งโยกย้ายในระดับรองปลัดกระทรวงถือเป็นการเลื่อนเข้าตำแหน่งของสิงห์ดำเกือบทั้งหมด ทั้งนายสุทธิพงษ์และนายณัฐพงศ์ ทั้งสองเหลืออายุราชการไม่ต่ำกว่า 5 ปี ถือเป็นการจัดทัพวางตัวรอเป็นอธิบดีและปลัดกระทรวงในอนาคต
ขณะที่ ร.ต.ท.อาทิตย์ สิงห์ดำ เติบโตก้าวกระโดดเป็นผู้ว่าฯเพียงแค่ปีกว่า มาเป็นรักษาราชการแทนในตำแหน่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทยในเวลาไม่กี่เดือน ได้รับการแต่งตั้งเป็นอธิบดีกรมการปกครอง โดยนายจรินทร์เป็นอีก 1 สิงห์ดำที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมใหญ่ ขณะที่นายอภินันท์และนายชยพลล้วนเป็นสิงห์ดำ จะมีก็เพียงนายไมตรี อินทุสุต รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน โดยนายไมตรีจบคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือสิงห์แดง อย่างไรก็ตาม นายไมตรีเป็นคู่เขยกับนายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ส่วนนายประทีปเป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นสิงห์ทอง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันสิงห์ดำคุมตำแหน่งหลักในกระทรวงมหาดไทย มีรองปลัด 2 ตำแหน่ง อธิบดีกรมการปกครอง อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อธิบดีกรมที่ดิน รวมถึงนายสุธีก็เป็นหนึ่งในสิงห์ดำเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ต้องจับตาดูการแต่งตั้งโยกย้ายผู้ว่าฯครั้งหน้า เนื่องจากมีตำแหน่งเกษียณและตำแหน่งที่ว่างอยู่ประมาณ 30 ตำแหน่ง
@ กมธ.ชี้วิจารณ์ตัดสิทธิ'ศรีธนญชัย'
เวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยนายมานิจ สุขสมจิตร รองประธาน กมธ.ยกร่างฯคนที่ 2 ทำหน้าที่เป็นประธาน มีวาระรับรองรายงานการประชุมที่ค้างการพิจารณากว่า 20 เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ค้างมาจากการประชุม กมธ.ยกร่างฯนอกสถานที่ที่ จ.ชลบุรี และในที่ประชุมได้หารือเรื่องการขอขยายระยะเวลาการทำงานของ กมธ.ยกร่างฯออกไปอีก 30 วัน
ก่อนเข้าสู่วาระการประชุม นายมานิจระบุว่า กรณีการวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นการตัดสิทธิทางการเมืองตลอดไปของนักการเมืองที่กระทำการทุจริตและให้มีผลย้อนหลังนั้น เป็นการบิดเบือนและคิดแบบศรีธนญชัย ขอยืนยันว่าไม่ได้มีข้อห้ามหรือผลย้อนหลัง แต่เป็นข้อห้ามของผู้ที่กระทำผิด เพื่อไม่ต้องการให้คนไม่ดีเข้ามาสู่ระบบการเมือง
@ มติเอกฉันท์ยืดเวลา 30 วัน
พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ที่ปรึกษาและโฆษก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงว่า ที่ประชุม กมธ.ยกร่างฯมีมติเอกฉันท์ให้ขยายระยะเวลาการทำงานออกไปอีก 30 วันนับแต่วันที่ครบกำหนด เท่ากับว่าจะครบกำหนดในการส่งร่างรัฐธรรมนูญให้ทาง สปช.ได้พิจารณาในวันที่ 22 สิงหาคม ขั้นตอนต่อจากนี้ทางประธาน กมธ.ยกร่างฯจะแจ้งมติให้ทาง สปช.ได้รับทราบ
"สาเหตุที่ กมธ.ยกร่างฯขอขยายเวลาการทำงานออกไปอีก 30 วัน เนื่องจากจำเป็นต้องพิจารณาคำขอแก้ไขเพิ่มเติมของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และ ครม.ที่เสนอเข้ามาเป็นจำนวนมาก บางคำขอขอปรับแก้ไขจนส่งผลกระทบต่อโครงสร้างร่างรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะการเสนอให้ปรับจำนวนมาตราและเนื้อหาในภาค 4 ว่าด้วยการปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง ดังนั้นเพื่อให้การทำงานเกิดความรอบคอบในเรื่องของถ้อยคำและเลขมาตรา จึงจำเป็นต้องขอขยายเวลาการทำงานออกไปอีก 30 วัน เพื่อให้ร่างรัฐธรรมนูญออกมาสมบูรณ์และดีที่สุด" พล.อ.เลิศรัตน์กล่าว และว่า ช่วง 30 วันที่ขอขยายเวลาออกไปนั้น ทาง กมธ.ยกร่างฯสามารถปรับแก้เนื้อหาในส่วนที่ กมธ.ยกร่างฯเคยมีความเห็นชอบร่วมกันไปแล้วได้ แต่ที่ประชุมต้องมีความเห็นร่วมกันก่อน ขณะเดียวกัน กมธ.ยกร่างฯจะเชิญตัวแทนจาก สปช.และ ครม.ในฐานะผู้เสนอคำขอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญมารับฟังเหตุผลของ กมธ.ยกร่างฯที่ได้แก้ไขเนื้อหาทั้งหมดระหว่างวันที่ 17-19 สิงหาคม
@ เสธ.อู้ปัดตอบปมถูกเพิกถอนสิทธิ
เมื่อถามว่า มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในมาตรา 111 ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร ส.ส.ที่อาจนำไปสู่การตีความได้ว่า ผู้ที่ถูกห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะไม่สามารถสมัคร ส.ส.ได้ พล.อ.เลิศรัตน์กล่าวว่า ทุกอย่างชัดเจนอยู่แล้ว ไม่มีอะไรที่ไม่ชัดในรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา บทบัญญัติในลักษณะนี้ อยู่ในรัฐธรรมนูญ 2550
เมื่อถามว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่าผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจากเหตุของการถูกยุบพรรคและรับโทษห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองมาครบแล้ว 5 ปี จะสามารถกลับมาลงสมัครเลือกตั้งได้ พล.อ.เลิศรัตน์กล่าวว่า ให้อ่านเอง คงไม่ตอบอะไร เพราะไม่ใช่หน้าที่ของ กมธ.ยกร่างฯที่จะต้องไปตอบในรายละเอียดที่เกี่ยวกับตัวบุคคล หรือคณะบุคคล เพราะการยกร่างรัฐธรรมนูญเป็นการยกร่างในหลักการที่สำคัญ เพื่อให้เกิดการยึดถือในทางปฏิบัติ เพราะถ้าไปยึดถือเรื่องตัวบุคคลก็จะมีการ
ตั้งคำถามไม่จบสิ้น
@ ไพบูลย์ชี้คดียังไม่ถึงที่สุดไม่ตัด
นายไพบูลย์ นิติตะวัน กมธ.ยกร่างฯ กล่าวว่า ปัญหาที่มีหลายฝ่ายสงสัยเรื่องความชัดเจนเกี่ยวกับขอบเขตของการตัดสิทธิผู้สมัครเลือกตั้ง ส.ส.ในมาตรา 111(8) ที่บัญญัติว่าบุคคลที่เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายว่า กระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ หรือกระทำการอันทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตหรือไม่เที่ยงธรรมจะไม่สามารถลงสมัคร ส.ส.ได้นั้น ทาง กมธ.ยกร่างฯจะบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ในเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญว่า จะจำกัดสิทธิเฉพาะบุคคลที่เป็นตัวการที่ทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตและไม่เที่ยงธรรมเท่านั้น ส่วนกรรมการบริหารพรรคที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองจากการกระทำของบุคคลที่เป็นตัวการดังกล่าวจะไม่ถูกตัดสิทธิในการลงสมัครเลือกตั้ง
"เช่นเดียวกับผู้ที่เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายว่า กระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ กมธ.ยกร่างฯจะบันทึกในเจตนารมณ์ว่าจะต้องเป็นกรณีที่บุคคลถูกคำพิพากษาถึงที่สุดว่ามีความผิดฐานทุจริตเท่านั้นถึงจะไม่มีสิทธิสมัคร ส.ส. แต่หากเป็นกรณีที่บุคคลถูกคำสั่งของคณะกรรมการป้องกันละปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่ามีความผิด โดยศาลยังไม่มีคำพิพากษาให้ถึงที่สุดจะยังมีสิทธิสมัครเลือกตั้ง ส.ส.ได้" นายไพบูลย์กล่าว
@ สปช.ลงมติร่างรธน.5-7 ก.ย.
นายอลงกรณ์ พลบุตร เลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วิป สปช.) กล่าวว่า สปช.จะรับทราบคำขอขยายเวลาการพิจารณาคำขอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญจาก 60 วัน เป็นไม่เกิน 90 วัน ของ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญในการประชุม สปช.วันที่ 22 กรกฎาคม ซึ่ง กมธ.ยกร่างฯจะต้องส่งร่างรัฐธรรมนูญให้ สปช.ภายในวันที่ 22 สิงหาคม และ สปช.จะลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญระหว่างวันที่ 5-7 กันยายน หาก กมธ.ยกร่างฯมีมติขอขยายเวลาและมีหนังสือถึงประธาน สปช.ภายในวันที่ 21 กรกฎาคม คาดว่าประธาน สปช.จะแจ้งให้ที่ประชุมรับทราบหลังเสร็จสิ้นวาระพิจารณาอื่นๆ ภายในวันเดียวกัน
@ 'บิ๊กตู่'งดจ้อปมตัดสิทธิทั้งชีวิต
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงกรณีที่ กมธ.ยกร่างฯมีมติตัดสิทธิบุคคลที่ถูกถอดถอนในคดีทุจริตตลอดชีวิตว่า เป็นเรื่องของกฎหมายว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่ตนไม่มีความเห็น ผู้สื่อข่าวถามว่า อนาคตจะดีไหม ถ้ากำหนดประเด็นไว้ในรัฐธรรมนูญ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไปดูคนว่าดีหรือไม่ดี ต้องดูคนก่อน ถ้าได้คนดีก็ดี
"วันนี้ไม่ใช่เสนอแต่เรื่องการเมือง เสนอว่านายกฯมาจากการเลือกตั้ง เสนออยู่แค่นี้ยังไปไม่จบเลย ก่อนหน้านี้ได้ประกาศไปแล้ว การเป็น สปช.ให้พรรคการเมืองส่งคนเข้ามา ใครก็ได้ใช่ไหม แล้วเขามาไหมเล่า เขาบอกเขาไม่มา เขาไม่อยากอยู่ในความขัดแย้ง วันนี้บอกไม่รู้เรื่อง เพราะเราไม่ถามเขา มันพูดอย่างนี้ได้อย่างไร พูดแบบนี้กับพูดแบบผมจะเชื่อแบบไหน ผมไม่รู้นะ วันนี้ตัวแทนเขาก็มีอยู่ แต่ส่งเข้ามางั้นๆ ตัวหลักๆ ไม่เข้ามา ก็มาโจมตีผมทุกวัน อย่ามาพูดอย่างนี้" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
@ กกต.ชี้ร่างรธน.ขาดประเด็นสำคัญ
ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง แถลงว่า ที่ประชุม กกต.มีมติให้ทำจดหมายถึง กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญเนื่องจากพบว่าตกประเด็นสำคัญไปจากรัฐธรรมนูญ 2550 ระบุไว้ว่าเมื่อศาลรับคำร้องใบเหลือง-ใบแดงจาก กกต.แล้ว ส.ส.-ส.ว.ที่ถูกร้องต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่โดยทันที แต่รัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังยกร่างไม่ได้ระบุไว้ กกต.จะเสนอเรื่องนี้ไปยัง กมธ.ยกร่างฯ รวมทั้งจะให้รวมถึงนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเพิ่มเข้าไปด้วย เพราะหากร่างฉบับนี้ไม่มีประโยคดังกล่าว และถ้าคนคนนั้นได้เข้าสู่ตำแหน่งและสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้จะส่งผลเสียหายเป็นอย่างมาก เพราะอาจใช้ตำแหน่งหน้าที่ข่มขู่พยาน ยกตัวอย่าง กรณีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 คนที่ กกต.ให้ใบแดงอยู่ในตำแหน่งประธานรัฐสภา กว่าจะถูกศาลให้ใบแดงต้องใช้เวลาถึง 7 เดือน จนถึงขณะนี้ระยะเวลาผ่านมา 8 ปี คนที่เป็นพยานยังไม่สามารถกลับเข้าพื้นที่ได้ เป็นต้น
@ จวกกมธ.'แกว่ง-มัว-ธง'
นายสมชัยกล่าวอีกว่า แม้ กมธ.ยกร่างฯจะหมดช่วงรับฟังความเห็นหรือปรับแก้แล้ว และทราบว่า กมธ.ยกร่างฯจะลงมติขยายเวลา 30 วัน จึงอยากให้ กมธ.ยกร่างฯทบทวนเรื่องต่างๆ ที่ค้างอยู่ทั้งเรื่องที่ กกต.ได้เสนอไป เช่น ใบส้ม หรือขอคืนอำนาจให้ใบแดง รวมถึงกรณีการเพิ่มเติมถ้อยคำด้วย ดังนั้น เวลาที่เหลือยังมีเวลาให้คิดปรับแก้ให้เหมาะสม ไม่อยากให้ กมธ.ยกร่างฯทำงานโดยไม่สามารถสร้างภาพความชัดเจนให้การเมืองไทย
"วิธีคิดของ กมธ.ยกร่างฯจำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบจากประชาชนและฝ่ายต่างๆ เพื่อนำความเห็นไปทบทวน ผมไม่อยากให้ประชาชนมอง กมธ.คือ แกว่ง มัว ธง ซึ่งแกว่งหมายถึงหลักคิดกลับไปกลับมา พอมีคนว่าเยอะๆ ก็กลับไปกลับมา เช่น ระบบเลือกตั้งแบบโอเพ่นลิสต์ การจับสลาก ส.ว. หรือกรณีคณะกรรมการดำเนินการจัดการเลือกตั้ง (กจต.) ดังนั้น ถ้าจะแกว่งควรแกว่งไปในทางที่ดีงาม ส่วน มัว คือคนในสังคมรู้สึกว่าร่าง รัฐธรรมนูญไม่สามารถทำให้เห็นภาพว่าการเลือกตั้งจะปราศจากการซื้อเสียง กมธ.ยกร่างฯต้องล้างภาพมัวออก ให้เกิดความชัดเจนว่ากติกาสามารถจัดการทุจริตได้อย่างไรบ้าง" นายสมชัยกล่าว และว่า ธง อย่าทำให้ถูกมองว่า กมธ.มีธงหรือไม่ คือร่าง รธน.ที่ออกมาไม่ควรเข้าทางหรือทำให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้เปรียบเสียเปรียบ จำกัดสิทธิฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ แกว่ง มัว ธง สามารถแก้ได้ภายใน 1 เดือน
@ ปชป.ให้ปรับอุ๋ยพ้นหน.ทีมศก.
ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีต ส.ส.กทม.พรรค ปชป. กล่าวถึงกระแสการปรับ ครม.ในทีมเศรษฐกิจว่าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ยังดีกว่าทีมเศรษฐกิจในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่ถ้าต้องการปฏิรูปต้องเปลี่ยนหัวหน้าทีมเศรษฐกิจคือ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ซึ่งมีโอกาสบริหารเศรษฐกิจหลังการรัฐประหารสองยุคคือ ยุคคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และ คสช. แต่ไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ ทำได้แค่ประคับประคองเศรษฐกิจเท่านั้น เพราะไม่มีนโยบายในเชิงรุกและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไม่ทันท่วงที ทั้งเรื่อง ประมง และกรณีองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ปรับลดมาตรฐานการบินของไทย แสดงให้เห็นว่านโยบายเศรษฐกิจไม่รองรับการปฏิรูป
@ งัดตัวเลขศก.จวกกิตติรัตน์
นายอรรถวิชช์แถลงตอบโต้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กรณีถูกนายกิตติรัตน์กล่าวหาว่าโกหกให้ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ สร้างหนี้สาธารณะมโหฬารว่า ขอนำตัวเลขทางเศรษฐกิจมายืนยัน ว่ารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์เข้าบริหารประเทศปี 2554 ตัวเลขหนี้สาธารณะ 4.2 ล้านล้านบาท พ้นจากตำแหน่ง ปี 2556 ตัวเลขหนี้สาธารณะอยู่ที่ 5.4 ล้านล้านบาท นี่คือความน่าอับอายเพราะรัฐบาลเดียวสร้างหนี้ 1.2 ล้านล้านบาท หนี้ครัวเรือนกระโดดขึ้นจาก 159,432 บาท เพิ่มเป็น 188,774 บาทต่อครัวเรือน คือเพิ่มขึ้นถึง 29,342 บาท ส่วนการที่นายกิตติรัตน์อ้างว่ารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ทำให้จีดีพีโตนั้น ความจริงคือ การนำตัวเลขจีดีพีในช่วงหลังน้ำท่วมที่มีการฟื้นฟูจนจีดีพีอยู่ที่ 6.5 จากปี 2554 ที่จีดีพีอยู่ที่ 0.1 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นลดลงเรื่อยๆ จึงแปลกใจที่นายกิตติรัตน์กล้านำเรื่องนี้มาอ้างเป็นผลงานของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ด้วยการพูดความจริงแค่ครึ่งเดียว
"กรณีงบประมาณประจำปี ที่นายกิตติรัตน์อ้างว่าลดภาระได้นั้น แท้จริงแล้วเป็นการซุกหนี้ไว้นอกงบประมาณคือรัฐวิสาหกิจ ที่หนักสุดคือ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ต้องเพิ่มวงเงิน ตลอดจนสุดท้ายไม่มีเงินจ่ายชาวนา เพราะไม่ได้ขายข้าวตามปกติ แต่เป็นการขายข้าวจีทูจีปลอม ลึกๆ แล้วนายกิตติรัตน์น่าจะทราบเรื่องนี้ดี" นายอรรถวิชช์กล่าว
@ เอกชนซัดทีมศก.ตอบสนองช้า
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงกระแสข่าวการปรับ ครม.โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจว่า ในแง่ของภาคเอกชนต้องการให้ข้อเสนอต่างๆ ได้รับการตอบรับจากทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่ผ่านมาข้อเสนอของเอกชนได้รับการตอบสนองที่ล่าช้าจากบางกระทรวงโดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ทั้งในเรื่องภาษี การขยายวงเงินค้ำประกันของบรรษัทประกันสินเชื่อเอสเอ็มอีหรือ บสย. และการนิรโทษกรรมภาษีย้อนหลังที่ใช้เวลาพิจารณาเป็นปี และปัญหาราคาสินค้าเกษตรเป็นสิ่งที่เอกชนเรียกร้องมาตลอดเช่นกัน แต่ก็ยังไม่มีการแก้ไขให้ดีขึ้น
"ที่ผ่านมาเอกชนได้ส่งสัญญาณเตือนว่าทีมเศรษฐกิจควรจะอุดหนุนหรือดูแลราคาสินค้าให้กับภาคการเกษตรบ้าง แต่ทีมเศรษฐกิจไม่ได้มีมาตรการอะไรออกมาอย่างชัดเจน ทีมเศรษฐกิจรัฐบาลตอบรับข้อเสนอของเอกชนช้า ทั้งที่อาการป่วยของเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลง จากวันนี้กับอดีตไม่เหมือนกัน ควรต้องปรับแก้ไขวิสัยทัศน์ให้ชัดเจนมากกว่านี้ เพราะปัญหาเศรษฐกิจไทยกำลังฝังรากแล้ว" นายสุพันธุ์กล่าว
@ ศาล-คสช.ให้'วรเจตน์'ไปนอก
เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ศาลทหารกรุงเทพ ทางคณะตุลาการศาลทหารกรุงเทพนัดสืบพยานฝ่ายโจทก์ ครั้งที่ 2 ในคดีหมายเลขดำ 32 ก./2557 ตามที่อัยการทหารเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นจำเลยในความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งเรียกบุคคลให้มารายงานตัวตามประกาศ คสช.ฉบับที่ 5/2557 ลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2557 และฉบับที่ 57/2557 ลงวันที่ 9 มิถุนายน 2557 ความผิดระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยอัยการทหารยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2557
ต่อมาเวลา 10.30 น. นายวรเจตน์ให้สัมภาษณ์หลังออกจากห้องพิจารณาคดีว่า ตามกำหนดเป็นการนัดสืบพยานโจทก์ปากที่ 2 คือ พ.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี รองผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ แต่ พ.อ.ทรงวิทย์ไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ ฝ่ายอัยการโจทก์จึงได้เลื่อนการสืบพยานฝ่ายโจทก์ออกไปเป็นวันที่ 28 ตุลาคม โดยจะนำพยานปากอื่นคือทหารกองทัพภาคที่ 1 ขึ้นมาสืบพยานแทน พ.อ.ทรงวิทย์ก่อน
"ผมยังได้ขออนุญาตต่อศาลทหารเพื่อเดินทางไปประเทศเยอรมนี ระหว่างวันที่ 27 กรกฎาคม-7 สิงหาคม เพื่อศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับกฎหมายวิธีการพิจารณารัฐธรรมนูญของประเทศเยอรมนี ทั้งยังไปศึกษาและดูตำราใหม่ๆ ด้วย ทางศาลทหารและ คสช.ได้อนุญาต เมื่อเดินทางกลับมาจะต้องมารายงานตัวต่อศาลทหารภายใน 3 วันด้วย" นายวรเจตน์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่นายวรเจตน์เดินทางมาถึงศาลทหารมีประชาชนจำนวนหนึ่งมาให้กำลังใจด้านหน้าศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือลูกเกด 1 ใน 14 นักศึกษาในกลุ่มประชาธิปไตยใหม่มาให้กำลังใจเช่นกัน
@ 'รินดา'รายงานตัวหลังครบฝากขัง
เวลา 10.12 น. ที่ศาลทหารกรุงเทพ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางรินดา ปฤชาบุตร หรือหลิน อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาในความผิดฐานนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 116 ทำให้เกิดความปั่นป่วน กระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน และมาตรา 348 ทำให้ประชาชนตื่นตระหนกตกใจ เนื่องจากโพสต์ข้อความกล่าวหาว่า พล.อ.ประยุทธ์ โอนเงินไปยังประเทศสิงคโปร์กว่า 1 หมื่นล้านบาท เดินทางมารายงานตัวต่อศาล หลังครบกำหนดผลัดแรก 12 วัน ก่อนหน้าศาลทหารฯได้อนุญาตให้นางรินดาประกันตัวได้ในหลักทรัพย์ 1 แสนบาท
นางรินดา กล่าวว่า มาตามที่ศาลนัดและทางทนายความบอก ตนก็ไม่ทราบรายละเอียด ในส่วนกำลังใจส่วนตัวนั้นดีขึ้น เพราะสู้ข้างนอกก็ดีกว่าสู้ข้างใน เนื่องจากได้เห็นหน้าลูก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียน ใช้ชีวิตให้รอบคอบและต้องระมัดระวังมากขึ้น
น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐนันท์ ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ในฐานะทีมทนายความของนางรินดา กล่าวหลังการรับฟังคำสั่งศาลว่า พนักงานสอบสวนได้ยื่นขอฝากขังนางรินดาเป็นผลัดที่ 2 ให้เหตุผลว่ายังต้องรอผลการตรวจสอบของกลางและผลการตรวจทะเบียนประวัติอาชญากร ทางศาลอนุญาตฝากขังผลัด 2 ต่อ แต่นางรินดาได้ทำเรื่องประกันตัวแล้วจึงใช้หลักทรัพย์ประกันตัวเดิม 1 แสนบาท ปล่อยตัวชั่วคราว พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดิมคือ ห้ามแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ อย่างไรก็ตาม ศาลนัดรายงานตัวผลัด 3 ในวันที่ 29 กรกฎาคม
@ 'บิ๊กต๊อก'ยันทูตญี่ปุ่นเข้าใจไทย
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีหารือกับเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เพื่อขอความร่วมมือส่งตัวผู้ต้องหาคดีอาญามาตรา 112 ที่หลบหนีไปยังประเทศญี่ปุ่นกลับไทยว่า หลังจากการหารือคงเหมือนกับการคุยกับประเทศฝรั่งเศสที่ได้รับทราบตามข้อเรียกร้องของทางการไทย จากนั้นทูตญี่ปุ่นจะส่งเรื่องไปยังรัฐบาลญี่ปุ่น ส่วนทางการญี่ปุ่นให้ความหวังไทยหรือไม่นั้น ตนไม่ทราบ เพราะว่าผู้ต้องหาส่วนใหญ่ต่างใช้กฎหมายผู้ลี้ภัยคุ้มครอง
"แต่ยืนยันว่าเป็นฐานความผิดที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง การที่ผู้ต้องหาอ้างว่าลี้ภัยเป็นเพราะการเมือง ไม่เป็นความจริง ซึ่งได้ชี้แจงให้ทูตญี่ปุ่นรับทราบ โดยทูตญี่ปุ่นมีความเข้าใจในเรื่องนี้แล้ว และจะเสนอต่อรัฐบาลญี่ปุ่นต่อไป" พล.อ.ไพบูลย์กล่าว
@ 'บิ๊กโด่ง'ปัดสั่งห้ามพท.ไปนอก
พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึงกรณีที่อดีตรัฐมนตรีและแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) ถูกห้ามเดินทางไปต่างประเทศว่า ไม่ได้ห้ามอะไร และยังไม่เห็นว่ามีการขออนุญาตเพื่อไปร่วมงานวันเกิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่อย่างใด หากขอไปขอให้เป็นกิจที่มีเหตุมีผล ถ้าไปแล้วไม่ส่งผลกระทบหรือสร้างความเสียหายก็ไม่ได้ห้ามอะไร
เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวออกมาว่าทหารห้ามไม่ให้แกนนำพรรคเพื่อไทยไปต่างประเทศ พล.อ.อุดมเดชกล่าวว่า ถ้าไปแล้วส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือไปร่วมกันคิดในทางไม่เรียบร้อยคงให้ไปไม่ได้ แต่ถ้าไปติดต่อธุรกิจ เยี่ยมบุตร ฯลฯ ไม่เคยห้าม ซึ่งจะดูเหตุผลในการเดินทาง ทั้งนี้ ทหารก็พยายามให้โอกาสทุกคน ซึ่งแต่ละคนก็ควรรู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร เช่น ที่ไปประชุมประเทศนั้นประเทศนี้เพื่อให้รัฐบาลเดินไม่ได้ ก็ไม่ควรไป ส่วนใหญ่ทหารให้ความร่วมมือเต็มที่เพราะอยากให้เกิดความปรองดอง แต่จำเป็นต้องดู ก็ขอให้ประเทศมีความสงบเรียบร้อย มีรัฐธรรมนูญ และมีการเลือกตั้งก่อน
เมื่อถามว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ขออนุญาตทาง คสช.ไปต่างประเทศหรือไม่ พล.อ.อุดมเดชกล่าวว่า ถ้ามีใครก็ตามที่ศาลไม่อนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศ ก็ไปไม่ได้ หรือถ้ามีรายชื่อที่ถูกควบคุมอยู่แม้ไม่ติดคำสั่งศาลให้ไปไม่ได้ ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ได้ขออนุญาต คสช.ไปต่างประเทศแต่อย่างใด
@ 'ปึ้ง'โอดถูกเบรกบินพบ'แม้ว'
แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย (พท.) เปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณพักผ่อนอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งมีอดีต ส.ส.เพื่อไทยบางส่วนเดินทางไปพบและอวยพรวันเกิด พ.ต.ท.ทักษิณล่วงหน้า ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณมีกำหนดจะเดินทางต่อไปที่เมืองดูไบประมาณวันที่ 23 กรกฎาคม โดยอาจจะจัดเลี้ยงวันเกิดวันที่ 26 กรกฎาคม ด้วยการร่วมรับประทานอาหารกับคนใกล้ชิดเท่านั้น โดยอาจมีอดีตรัฐมนตรีอดีต ส.ส.ของพรรค พท.บางส่วนเดินทางไปรวมอวยพรวันเกิด อย่างไรก็ตาม สำหรับการเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณที่ต่างประเทศนั้น อดีตรัฐมนตรี อดีต ส.ส.ของพรรค พท.ที่ถูก คสช.เชิญไปรายงานตัว ส่วนใหญ่จะไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศ จะมีเพียงอดีตรัฐมนตรีและอดีต ส.ส.ที่ไม่ได้ถูกเชิญตัวเท่านั้นที่เดินทางไปต่างประเทศได้
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ขอเดินทางไปดูไบในวันที่ 24-28 กรกฎาคม แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับอนุญาต ถึงตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วที่จะเดินทางไปช่วงเวลาดังกล่าว ตั้งใจไปอวยพรวันเกิดอดีตนายกฯทักษิณ กินข้าวกันนิดหน่อย ไม่ได้มีอะไรมากมายเลย ก็ไม่เข้าใจว่าทำไม คสช.ไม่อนุญาต ทั้งที่ตนไม่ได้ทำผิดอะไร ไม่ได้เป็นโจรผู้ร้ายที่มีคดีติดตัว โดยหลักการแล้วการเดินทางไปไหนมาไหน เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ต้องทำได้
"ผมไม่เข้าใจเหมือนว่าจะกีดกันทำไม ทำอย่างนี้ต่างชาติที่ไหนจะให้ความเชื่อมั่นประเทศไทย ขอให้ทำให้ดีแล้ว คิดให้หนักว่าอะไรควรทำ ไม่ควรทำ ผมเป็นอดีต รมว.ต่างประเทศ ไม่เคยทำผิด ยังโดนขนาดนี้ งงอยู่เหมือนกันว่าเป็นไปได้อย่างไร ส่วนคนอื่นๆ นั้นไม่ทราบว่ามีคารขออนุญาตไปหรือไม่ เพราะส่วนตัวเดินทางไปไหนมาไหนคนเดียว" นายสุรพงษ์กล่าว
@ ปลื้มโพสต์โชว์ผลงานพ่อ 15 อย่าง
เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล หรือหม่อมปลื้ม บุตรชาย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก ระบุว่า "อย่าวิจารณ์งานของรองนายกฯปรีดิยาธรอย่างมักง่าย ผลงานหม่อมอุ๋ยมีเพียบ ถ้าหัดศึกษา 1.ตั้งศูนย์รวมข้อมูลดาต้าเซ็นเตอร์ใหม่ 2.ผลักดันการประมูลคลื่นความถี่ทั้งหมด (4G) 3.ปิดกั้นโอกาสล็อบบี้ของภาคเอกชนรายใหญ่ 4.เริ่มโครงการ National Broadband 5.ประสานความร่วมมือต่างประเทศในฐานะพลเรือน
6.ปรับโครงสร้างหนี้เกษตร 9 เเสนล้านบาท 7.ยกระดับราคายางขึ้นมาถึง 60 บาท/กก. 8.เจรจาจีน/ญี่ปุ่นลงทุนโครงการรถไฟ 9.พ.ร.บ./สัมปทานปิโตรเลียม/โรงไฟฟ้าเพิ่มเติม 10.ทำ MOU ตั้งคลังแอลเอ็นจีลอยน้ำกับพม่า 11.ออกใบอนุญาตลงทุนเปิดโรงงาน (ร.ง.) 12.ริเริ่ม-ก่อตั้ง-คุมร่างกฎหมายกระทรวงดิจิตอล 10+3 ฉบับ 13.ผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางพลังงานเเสงอาทิตย์ AEC 14.เปิดศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านการลงทุน (OSS) 15.จัดทำเเละผลักดันกฎหมายเก็บภาษีที่ดินเเละภาษีมรดก
ม.ล.ณัฏฐกรณ์ระบุว่า "นักวิชาการเเละสื่อที่คิดว่าตนเองเเน่ กรุณาอย่าวิเคราะห์ข่าวเศรษฐกิจอย่างมั่วๆ เเละไม่เข้าใจถึงการทำงานภายในของภาครัฐ ทำเป็นไม่รู้ว่าผู้ที่เป็นกระดูกสันหลังที่ทำงานที่เเท้จริงของรัฐบาลนี้คือคุณชายปรีดิยาธร บรรดานักวิจารณ์หลายคนเพียงกล้าที่จะเเค่วิจารณ์ทีมเศรษฐกิจเพราะง่ายเเละสะดวก หากเก่งจริงไม่วิจารณ์รัฐมนตรีสายทหารหรือนายกฯบ้างครับ หรือกลัวโดนเรียกตัว
หม่อมอุ๋ยคือ 'Easy Target' สำหรับคนที่ต้องการให้ตัวเองดูดีตอนนี้ โยนบาปทุกเรื่องให้ทั้งๆ ที่รู้อยู่เเก่ใจว่าตัวเลขส่งออกหรือ GDP ตอนนี้มันเเย่ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนโยบายรัฐในระยะสั้นสักเท่าไหร่ กลับไปอ่านเเต่ละเรื่องที่หม่อมอุ๋ยรับมืออยู่ในขณะนี้ที่สรุปไว้ ยังมีอีกเยอะที่ผมยังไม่ได้เขียนถึง ยังรับฟังกระเเสการด่าฟรีจากผู้ที่ไม่รู้เรื่อง ไม่ได้เคยมีผลงาน เเต่ไม่กล้าด่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยตรงเเล้วหันมาระบายกับหม่อมอุ๋ยเเทน ยิ่งฟังยิ่งสะท้อนถึงความ Ignorant ของคนที่คล้อยไปตาม Propaganda ของการสมคบคิดระหว่างคอลัมนิสต์บางคน+หนังสือพิมพ์บางฉบับ+นักการเมืองบางคนที่หวังมากเเละไม่เคยเข็ด+เเละผู้มีบารมีบางชุด"