WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

คสช.นัดทูต-สื่อนอก7เม.ย. เคลียร์ม.44 'แอมเนสตี้-อียู'แถลงค้าน จี้รีบยกเลิกคำสั่ง 14 ข้อ บิ๊กตู่ฉุนข่าว'ซีเอ็นเอ็น'ขึ้นเชียงใหม่พบโหรดัง ร่วมบูชา'พระพิชิตมาร'

      'บิ๊กตู่'จวก'ซีเอ็นเอ็น'พาดหัวใช้ ม.44 จะประหารสื่อ ยันไม่เคยปิดสื่อ แต่ถ้าเสนอข่าวบิดเบือนต้องเรียกมาคุย รบ.-คสช.นัด 7 เม.ย.แจง

'บิ๊กตู่'ยันระวังใช้อำนาจ

      เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 3 เมษายน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานงานสถาปนาโรงเรียนเสนาธิการทหารบก ครบ 106 ปี และพิธีเปิดอาคารโรงเรียนเสนาธิการทหารบก (แห่งใหม่) ณ อาคารโรงเรียนเสนาธิการทหารบก (แห่งใหม่) กองคลังยุทโธปกรณ์สรรพาวุธ 

     พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเปิดงานว่า วันนี้ต้องเดินหน้าปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ รวมทั้งเรื่องอื่นๆ เพราะปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นมีความซับซ้อน การศึกษาของทหารนั้นเราเน้นความเป็นระเบียบวินัย ทำให้สามารถคิดได้อย่างลึกซึ้งและรู้จักใช้ข้อมูลให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด วันนี้สิ่งที่ตนจำมาใช้เป็นแนวคิดทางการทหารทั้งสิ้น ที่เป็นพื้นฐานให้ผมในการมาใช้ในการทำงาน 

      "สังคมเป็นห่วงว่าอำนาจต่างๆ จะทำให้หลงระเริงในอำนาจ แต่ผมคิดว่ายิ่งมีอำนาจมากยิ่งต้องระวัง ดังนั้นใครที่ให้ความสำคัญกับอำนาจมากนัก ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับเป็นผลประโยชน์และเกี่ยวข้องกับการกระทำกับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ใครที่สนใจแต่มาตราโน้นมาตรานี้ ทำไมไม่สนใจว่าทำอย่างไรที่จะให้คนในชาติสามัคคีกันได้อย่างไร" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ลั่นไม่เกรงใจคนทำปท.เสียหาย 

     พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ต่างประเทศได้ข้อมูลจากเราทุกเรื่อง จากสื่อเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดจำนวนมาก บอกถึงขนาดว่าจะใช้อำนาจประหารชีวิตสื่อ มันอะไรกันนักหนา สื่อมีหน้าที่สองอย่าง เหมือนกลุ่มสิทธิมนุษยชนเองก็ต้องทำหน้าที่สองอย่าง คือ หน้าที่พันธกรณีที่ทำไว้กับต่างชาติไม่ได้ไปคัดค้าน และหน้าที่คือเพื่อชาติของท่าน การทำงานของสื่อ รัฐบาลและตนไม่ได้ขอให้ปกปิด สามารถตรวจสอบได้ทุกอย่าง แต่ต้องให้ความเป็นธรรมก่อน เพราะถ้านำเสนอไปแล้วก็จะผิดไปเลย การกล่าวหาใดๆ ต้องมีหลักฐาน อย่าพูดปากเปล่า วันนี้ประเทศชาติเสียหายเพราะทำงานด้วยปาก 

    "ว่างๆ ต้องถามมิตรประเทศด้วยว่าเขามีสถานการณ์แบบเราหรือไม่ ทั้งใช้อาวุธสงครามและระเบิด เราต้องอธิบายให้เข้าใจ จากวันนี้ผมจะไม่เกรงใจ ตราบใดที่ยังพูดให้กองทัพและประเทศเสียหาย ผมมายืนตรงนี้ต้องรับผิดชอบทุกอย่างอยู่แล้ว" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ซัด"ซีเอ็นเอ็น"พาดหัว"ม.44" 

     พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การเป็นประชาธิปไตยที่ถูกต้อง คือไม่ละเมิดคนอื่นและไม่ทำให้คนอื่นลำบาก เสียชีวิต รัฐบาลมีหน้าที่ดูแลคนไทยทั้งหมด จะเป็นสีไหน พรรคไหน ไม่สนใจ แต่จะดูแลคนทั้ง 60-70 ล้านคน ให้ได้โดยเร็ว เพราะเวลาของเรามีจำกัด เข้ามาเพื่อทำแผนไว้ให้ ต้องช่วยกันสวดมนต์ไหว้พระให้รัฐบาลใหม่ทำให้ได้ การมีกฎหมาย มีรัฐธรรมนูญ 300 กว่ามาตรา ก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น เพราะทุกคนเอารัฐธรรมนูญมาต่อสู้กัน ยิ่งทำก็ยิ่งวุ่นวาย บางประเทศไม่มีรัฐธรรมนูญเพราะมีแล้ววุ่นวาย แต่ทำตามจารีตประเพณี เพราะคนเขามีคุณภาพ มีตรรกะในการคิด มีเหตุผล และรับฟังคนอื่น 

      "ขณะนี้เราไม่มีปัญหากับประเทศอื่น ทุกประเทศยังมาพบทุกวัน ไม่ว่าจะยังมีกฎอัยการศึกหรือการประกาศใช้มาตรา 44 ก็ตาม แต่เวลาที่เขาแสดงความเห็น เขาไม่ได้พูดที่นี่ ที่สำคัญมีการล็อบบี้การเคลื่อนไหว ต่อต้านรัฐบาลโดยใช้คำว่าประชาธิปไตยมาบีบ มีการใช้คำว่าบังคับขู่เข็นใช้กฎอัยการศึก อย่างวันนี้อ่านข่าวพาดหัวของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นที่ระบุว่าใช้อำนาจเต็มตามมาตรา 44 จะสั่งประหารนักข่าว อยากให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร และจะให้สัมภาษณ์น้อยที่สุด ถ้ายังไม่มีการปรับปรุงตัว หากคนเหล่านั้นยังมาปรามาส ผมก็จะพูดให้หมดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทุกคนต่างมีแผลเหมือนกัน" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ฮึ่มสื่อเขียนไม่ดีเรียกมาคุย

      "ที่ผ่านมาผมบอกกับต่างประเทศเสมอว่าขอเวลาให้คนไทย จะทำให้ทุกองค์กร ทุกหน่วยงาน แต่พอเริ่มทำก็มีปัญหา เพราะเขาไม่รู้ เห็นเพียงว่าบ้านเมืองเราสวยงาม แต่ไม่รู้ว่าบ้านเราเป็นโพรง ตอนนี้เรากำลังเติมอิฐเติมทรายแต่ก็มีคนเอาน้ำมาราดตอนที่ยังไม่แห้ง คนพวกนี้ไม่ควรอยู่ในแผ่นดินอีกต่อไป ผมทนไม่ได้ที่จะให้ทำลายประเทศต่อไป วันนี้ผมพูดไม่เกรงใจใคร ในเมื่อไม่เกรงใจผม ผมก็ไม่เกรงใจเพราะผมทำประเทศผม ดังนั้นคนที่ต่อต้านลองลงไปดูมีเบื้องหลังทั้งนั้น ผมไม่เคยละเมิดใคร และตั้งแต่ประกาศใช้กฎอัยการศึกหรือมาตรา 44 ก็ไม่มีคนตายสักคน ยกเว้นพวกที่ต่อสู้กับเจ้าหน้าที่" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

     นายกฯกล่าวว่า ส่วนสื่อก็ไม่เคยปิดสักเล่มหนึ่ง ต่อไปนี้ขอให้เขียนให้ดี ถ้าเขียนไม่ดีก็จำเป็นต้องเรียกมาพูดคุย เพราะไม่เคยกลัวใครอยู่แล้ว พอพูดไปแล้วก็มีอารมณ์นิดหน่อย เพราะวิจารณ์ตนเยอะมาก มาถามเรื่องเศรษฐกิจตนคนเดียวจะรู้ทุกเรื่องไม่ได้ แต่ตนนี่รู้มากกว่าคนเศรษฐกิจอีก วันนี้คนที่ทำเศรษฐกิจเขาไม่ได้ปกป้องอะไร ถามว่าวันนี้อะไรแพงขึ้นในรัฐบาลทหาร ถ้าบอกมะนาวแพง เดี๋ยวไปรับที่บ้าน ถ้าอยากกินมะนาวเยอะๆ วันละสัก 20 ลูก หรือจะเอาไปปลูกก็ใส่กระถางไป นี่เรียกว่าพูดเปรียบเทียบให้ฟังว่าทุกคนต้องช่วยตัวเองได้ ไม่ใช่ตื่นมาก็เป็นพยาธิปากขอ 

ติงร่างรธน.อย่าใช้จินตนาการ

     พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ที่เขาเรียกว่าประชาธิปไตย ให้ได้รับความพึงพอใจ แต่จะเอาประชาธิปไตยมาแบ่งพวกกันไม่ได้ เพราะเมื่อแบ่งแล้วต้องแก้ปัญหาให้ได้ การต่อต้านเป็นเรื่องธรรมดาในประชาธิปไตย แต่เมื่อต่อต้านแล้วรัฐบาลต้องแก้ให้ได้ แต่จะมาชุมนุมยืดเยื้อ 6-10 เดือน ขอประกาศไว้เลยจะเกิดในสมัยตนไม่ได้

      "อย่ามาทำให้ประเทศเดือดร้อน อย่ามาใช้คำว่าประชาธิปไตยตอนนี้ เพราะให้อยู่แล้ว วันหน้าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปคือการเลือกตั้ง มีรัฐธรรมนูญ ก็ทำตามโรดแมปไม่เคยเลื่อน ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่าเมื่อไรที่มีรัฐธรรมนูญประมาณเดือนกันยายน ถ้ามันออกได้ แต่ตอนนี้ก็แทบฆ่ากันตายอยู่แล้ว ส่วนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องเน้นเรื่องการปฏิรูปและธรรมาภิบาล ไม่ใช่ใช้แต่จินตนาการเท่านั้น อะไรที่เคยเป็นปัญหาในอดีตต้องแก้ได้ อะไรดีๆ ในรัฐธรรมนูญปี 2540-2550 เอามาใส่และต้องแก้ไขได้ ที่ผ่านมาเขียนมาไม่เคยได้ใช้เพราะบังคับตัวเองกันไม่ได้" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

อัดขรก.กล่าวหาทหารไม่รู้เรื่อง

    พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เสียดายโอกาส การเป็นศูนย์กลางอาเซียน แต่ไม่เคยทำได้ ตนจะทำให้ได้ ไม่ได้ลอกใคร แต่ปัญหาคือทำจริงหรือเปล่า ไม่ใช่แค่ทำรายงาน 3-4 แผ่นว่าทำไปและจบ อะไรที่ต้องตรวจสอบ จะสั่งให้ตรวจทั้งหมด ผิดคือผิด อย่าบอกว่าไม่รู้ไม่ทราบ ทำผิดกฎหมายก็ต้องผิด เงินที่มันผิดกฎหมายก็คือผิดกฎหมาย จะมาบอกว่าคืนแล้วจบไป มันไม่ใช่ 

    "ส่วนข้าราชการสั่งการไปบางครั้งก็สับสน บางคนชอบก็ดีไป ตั้งใจทำงาน ส่วนใครที่ไม่ชอบ บอกเป็นรัฐบาลทหารไม่รู้เรื่องอะไร แต่พอไล่เรียงรายละเอียดไปๆ มาๆ ทหารรู้เรื่องกว่าคุณอีก รู้ว่าจะทำอย่างไรให้เกิดผล ไม่ใช่เอาแต่ในตำรา" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลัง พล.อ.ประยุทธ์พูดจบ ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์สื่อ โดยกล่าวกับผู้สื่อข่าวสั้นๆ ว่า "ไม่ได้โกรธหรอกนะ" 

      ต่อมาที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์งดให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนตามที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะให้สัมภาษณ์น้อยลง เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงปัญหาการขาดทุนของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) พล.อ.ประยุทธ์กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า "ให้กระทรวงคมนาคมเป็นผู้ตอบ" แต่ก่อนจะเดินขึ้นไปยังห้องทำงานบนตึกไทยคู่ฟ้า

ผู้สื่อข่าวถามว่าไม่รู้สึกอึดอัดหรือที่ไม่ให้สัมภาษณ์กับนักข่าว พล.อ.ประยุทธ์ยกกำปั้นทุบไปที่อกพร้อมกล่าวว่า "ทนไม่ได้หรอก เก็บความรักไว้ในหัวใจ จะได้เข้าใจกัน"

"บิ๊กตู่"ย้ำรบ.ไม่มีขัดแย้งกัน

     ต่อมา ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวภายหลังมอบนโยบายการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ว่า ยืนยันว่ารัฐบาลนี้ไม่มีผลประโยชน์ และเชื่อมั่นในรัฐมนตรีทุกคน พวกท่านไม่ต้องการอะไร และยืนยันว่าภายในรัฐบาลไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน จะทะเลาะได้อย่างไร พี่เขาเลี้ยงตนมาตั้งแต่เด็ก วันนี้ปล่อยให้ตนพูด แต่ก่อนตนพูดได้ไหม ตอนนี้ทำงานไม่มีการแบ่งรุ่น เพราะมองแต่ผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ส่วนที่อ้างตามกระทรวงต่างๆ ว่าบริษัทนั้นเป็นของนายกฯ ยืนยันว่าไม่รู้จักใครสักคนจะไปอ้างแบบนี้ไม่ได้ 

      "วันนี้สิ่งที่เราทำคือต้องหารายได้ให้ประเทศก่อน มีคนกล่าวหาว่ารัฐบาลนี้ไม่มีเงินแล้วจึงมาต้องมาเก็บภาษีรีดเลือดกับปู แต่รัฐบาลนี้ไม่มีปู จะปูไหนก็ไม่รู้" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

"บิ๊กป้อม"ย้ำไม่ยุ่งเสรีภาพสื่อ 

      ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ 4 องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน คือ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สภาการหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย แถลงการณ์ถึงคำสั่งหัวหน้า คสช.ตามมาตรา 44 ในข้อที่ 5 ที่ระบุว่า ให้อำนาจเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยมีอำนาจออกคำสั่งห้ามการเสนอข่าว จำหน่าย หรือแพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์หรือสิ่งอื่นใดว่ากระทบต่อสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชนยิ่งกว่ากฎอัยการศึก ว่า ไม่กระทบ จะกระทบตรงไหน การเสนอข่าวของสื่อมวลชนก็ยังเป็นไปโดยปกติ ไม่ยุ่ง ถ้านำเสนอไม่บิดเบือน กรณีที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับสื่อนั้นคือการนำเสนอที่จะก่อให้เกิดความแตกแยก

    "เหมือนเดิม บอกไม่ยุ่ง ก็ไม่ยุ่ง คุณก็มัวแต่เขียนอยู่ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ก็มโนเอาทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องจริงเลย" พล.อ.ประวิตรกล่าว

     เมื่อถามว่า รัฐบาลและ คสช.ต้องทำความเข้าใจการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนต่างประเทศด้วยหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า "นี่บ้านเมืองของเรา เราต้องการอยู่อย่างเป็นสุข เวลาบ้านเมืองลุกเป็นไฟ ฆ่ากันตาย ถามว่าต่างชาติมาช่วยอะไรได้หรือไม่"

"ไก่อู"เชื่อต่างชาติคลายกังวล 

     พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การประกาศใช้มาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว ได้รับเสียงตอบรับในเชิงบวกจากภายในประเทศ ทั้งด้านการท่องเที่ยว การค้าการลงทุน และภาคอุตสาหกรรม สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลพยายามผ่อนคลายมาตรการลงไปตามลำดับ

    พล.ต.สรรเสริญ กล่าวว่า สำหรับเสียงสะท้อนจากหน่วยงาน องค์กรระหว่างประเทศ ที่แสดงความวิตกกังวลว่ามาตรา 44 จะเป็นการให้อำนาจ คสช.มากนั้น ขอเรียนว่าหากอ่านเฉพาะบทบัญญัติโดยกว้างของมาตรา 44 อาจทำให้รู้สึกเช่นนั้นได้ แต่หากอ่านรายละเอียดของคำสั่ง 14 ข้อ เชื่อว่าจะผ่อนคลายความกังวลลงได้ เพราะเขียนถึงขอบเขตการใช้อำนาจที่ชัดเจน รวมทั้งผ่อนคลายหลายประการ เช่นจากเดิมคดีที่เกี่ยวกับความมั่นคงจะขึ้นเพียงศาลเดียว แต่มาตรา 44 ให้ขึ้น 3 ศาล อยากย้ำว่า เจตนารมณ์ของรัฐบาลคือใช้มาตรา 44 อย่างสร้างสรรค์ บนพื้นฐานของคุณธรรม 

"ดอน"เตรียมแจง"ทูต-องค์กรตปท."

     ที่ทำเนียบรัฐบาล นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมช.การต่างประเทศ กล่าวถึงท่าทีของต่างประเทศที่มีต่อไทยหลังประกาศคำสั่งหัวหน้า คสช.ตามมาตรา 44 ว่า เรื่องนี้คนยังไม่เข้าใจ จริงๆ แล้วมาตรา 44 นั้นอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวมานานแล้ว เป็นมาตราที่สนับสนุนการปฏิรูปแห่งชาติและส่งเสริมความมั่นคงของประเทศ ซึ่งกฎหมายความมั่นคงนั้นทุกประเทศก็มี ไม่ได้เป็นเรื่องแปลก ทำไมมาตราที่จะส่งเสริมการปฏิรูปประเทศไทยจึงเป็นสิ่งแปลกปลอมไปได้ 

     นายดอนกล่าวว่า ส่วนการชี้แจงกับต่างชาตินั้นยังไม่ได้หารือกันอย่างเป็นทางการ แต่พูดคุยกันบ้างแล้ว และเชื่อว่าต่างชาติจะรับฟังเราว่ามาตรา 44 นี้เป็นมาตราที่สนับสนุนการปฏิรูปประเทศ และส่งเสริมด้านความมั่นคง เราสามารถอธิบายอย่างชัดเจนจนให้เข้าใจได้ว่ามาตรา 44 ไม่ใช่ปัญหา ส่วนการชี้แจงกับทูตต่างชาติรวมถึงองค์กรระหว่างประเทศ จะพูดคุยกันหลังจากนี้ ที่ผ่านมาที่ยังไม่ได้ชี้แจงเนื่องจากมีปัญหายุ่งอยู่หลายเรื่อง และผู้คนก็ตีความมาตรานี้ไปต่างๆ นานา

ชี้บางประเทศอยากนวดง่ายๆ 

    เมื่อถามถึงกรณีที่ต่างชาติมีความคลางแคลงใจการใช้อำนาจตามมาตรา 44 นายดอนกล่าวว่า ไม่มี จริงๆ เขาอยู่กับบ้านเรามานาน ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ท่าทีเขาอาจรู้สึกลำบากใจ แต่นานไปพอจะรับทราบว่าประเทศไทยมีเสถียรภาพ ทุกชาติที่เข้ามาไม่เคยมีใครบ่นเลย เขาออกมาเดินช้อปปิ้งตามท้องถนนหรือทานอาหาร ไปที่ไหนก็ไม่มีใครบ่นว่าสถานการณ์ขณะนี้แปลกปลอม หรือรู้สึกน่าสะพรึงกลัว แต่กลับรู้สึกตรงกันข้าม ไหนล่ะกฎอัยการศึก เพราะตามตำราเรียนของเขากฎอัยการศึกมันต้องมีรถถังอยู่ตามหัวมุมถนน พร้อมทหารยืนประจำการ แต่เมื่อมาประเทศไทยกลับเป็นคนละเรื่อง ต่างชาติไม่ได้ติดใจอะไร

      เมื่อถามว่า เหมือนต่างชาติจะมีปฏิกิริยาทุกครั้งที่รัฐบาลหรือ คสช. มีการเปลี่ยนแปลง นายดอนกล่าวว่า "บางทีบางประเทศก็ต้องการคนนวดง่ายๆ แล้วเราเป็นประเทศที่พอพูดอะไรมา ก็พยายามทำให้ดีขึ้น พยายามตอบสนอง ซึ่งการตอบสนองของเรา มันก็น่าตื่นเต้นสำหรับเขา ก็ได้ผล จะดีดสีตีเป่า เราก็จะเต้นตาม"

7 เม.ย.แจงม.44ทูต-สื่อนอก

   ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศจะแถลงข่าวเพื่อให้ข้อมูลและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการยกเลิกกฎอัยการศึก และคําสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 เรื่อง การรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ ในวันที่ 7 เมษายน เวลา 13.00 น. ที่กระทรวงการต่างประเทศ โดยมอบหมาย พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค และ พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก เป็นผู้แทนจาก คสช. และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ เป็นผู้แทนรัฐบาล พร้อมผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกันให้ข้อมูลและข้อเท็จจริงแก่ผู้แทนต่างประเทศ พร้อมชี้แจงข้อสงสัยจากสื่อมวลชนต่างประเทศด้วย 

    "ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศจะเชิญผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูต ในประเทศไทย ผู้แทนหน่วยงานและองค์การระหว่างประเทศ พร้อมสื่อมวลชนต่างประเทศ เข้าร่วมรับฟัง" ร.อ.นพ.ยงยุทธกล่าว

      นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงได้แปลคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 3/2558 พร้อมรายละเอียดคำชี้แจงของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ส่งไปยังสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ไทยทั่วโลกเพื่อประกอบ

แอมเนสตี้ี้"เปรียบ'ม.44'ม่านบัง

    นายริชาร์ด เบนเน็ตต์ ผู้อำนวยการภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก แอมเนสตี้ิอินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวถึงการประกาศยกเลิกกฎอัยการศึก และออกคำสั่งตามมาตรา 44 แทน ว่า ควรเป็นเรื่องน่ายินดี แต่กลับเป็นการกระทำเพื่อมอบอำนาจให้ตนเองและเจ้าหน้าที่ทหารอย่างกว้างขวางเพื่อละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็น และการชุมนุมอย่างสงบอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นประชาคมนานาชาติต้องไม่ถูกหลอกโดยการกระทำที่ขาดความจริงใจ เพื่อรักษาอำนาจของกองทัพ

     นายริชาร์ด กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความพยายามที่จะคลุมม่านเพื่อปิดบังความตั้งใจที่จะใช้กำลังทหารปราบปรามผู้มีความเห็นต่างจากรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในคำสั่งใหม่ดังกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ให้อำนาจตนเองในการแต่งตั้งข้าราชการทหารเป็นเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย จะมีอำนาจในทางปฏิบัติทั้งหมดเช่นเดียวกับที่ได้รับตามกฎอัยการศึก รวมถึงการเอาผิดทางอาญาอย่างหนักกับกรณีการรวมตัวทางการเมือง แม้จะเป็นการรวมตัวโดยสงบของบุคคล 5 คนขึ้นไปด้วย 

เรียกร้องยกเลิกคำสั่ง'ม.44'

    นายริชาร์ด กล่าวว่า อำนาจตามคำสั่งใหม่นี้ยังให้อำนาจควบคุมตัวบุคคลโดยไม่ต้องมีหมายจับ ไม่ต้องตั้งข้อหา และไม่ได้รับการไต่สวนจากศาล โดยให้คุมตัวไปไว้ในสถานที่ที่ไม่เป็นทางการได้นานถึง 7 วัน จากนั้นยังกำหนดเงื่อนไขการปล่อยตัวได้ ให้อำนาจค้นอาคารบ้านเรือนโดยไม่ต้องมีหมายค้น รวมถึงการให้อำนาจห้ามเผยแพร่สิ่งพิมพ์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นข้อความจากทวิตเตอร์จนถึงหนังสือ กรณีที่ถูกพิจารณาว่าอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเกิดความเข้าใจผิดจนกระทบต่อความมั่นคงของชาติหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน 

    "รวมทั้งยังคงการไต่สวนพลเรือนในศาลทหารต่อไป สำหรับกรณีความผิดเรื่องความมั่นคง รวมทั้งคดีที่เกี่ยวข้องกับการแสดงออกอย่างสันติ ดังนั้น ทางแอมเนสตี้ิอินเตอร์เนชั่นแนลจึงเรียกร้องให้ยกเลิกคำสั่งใหม่นี้ และให้ฟื้นฟูหลักนิติธรรมและการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนตามรัฐธรรมนูญซึ่งถูกบั่นทอนลงอย่างมากหลังการทำรัฐประหารในปี 2557" นายริชาร์ดกล่าว

"อียู"กังวลม.44แทนอัยการศึก

      ขณะที่สหภาพยุโรป (อียู) ก็ออกแถลงการณ์ต่อเรื่องดังกล่าว โดยโฆษกของนางเฟเดริกา โมเกรินี ผู้แทนระดับสูงของสหภาพยุโรปและรองประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ระบุว่าสหภาพยุโรปเรียกร้องอย่างต่อเนื่องให้ประเทศไทยยกเลิกกฎอัยการศึกและกลับเข้าสู่กระบวนการทางประชาธิปไตย การนำคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 3/2558 ตามมาตรา 44 มาใช้แทนที่กฎอัยการศึก ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยคืบหน้าเข้าสู่การมีรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยที่สามารถตรวจสอบได้ 

แถลงการณ์ยังระบุว่า ศาลทหารนั้นไม่ควรถูกนำมาใช้ในการพิจารณาคดีกับพลเรือน ในฐานะมิตรและหุ้นส่วนของประเทศไทย สหภาพยุโรปขอย้ำว่า หลักนิติธรรมและการปกป้องและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ควรเป็นฐานในกระบวนการฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยอย่างเต็มรูปแบบในประเทศไทย

"เอกชัย"ชี้ม.44กระทบคนไม่หวังดี

พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายความมั่นคงรายงานว่ามี 5 กลุ่มที่จะป่วนสถานการณ์ หลังเลิกกฎอัยการศึกจึงต้องใช้มาตรา 44 เป็นเครื่องมือรองรับ ว่าทางการข่าวก็น่าจะมีข้อมูลส่วนนี้อยู่แล้ว เพราะตั้งแต่ที่มีการรัฐประหารก็พบว่ามีกลุ่มต่างๆ พยายามต่อต้าน รวมทั้งอาจมีรายงานการโยกย้ายถ่ายเงินของกลุ่มธุรกิจที่อาจไปสนับสนุนกลุ่มการเมือง ที่รัฐบาลออกมาระบุเช่นนี้เหมือนเป็นการปรามไม่ให้กลุ่มดังกล่าวก่อเหตุความวุ่นวาย ดังนั้น การใช้มาตรา 44 เหมือนเอามาใช้เฉพาะประเด็น เฉพาะกลุ่มที่ไม่หวังดี ซึ่งมาตรา 44 จะทำให้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่มีความรวดเร็วทั้งการจับกุมหรือยึดทรัพย์ แต่มีผลเฉพาะคนที่ไม่หวังดีเท่านั้น

"ตอนใช้กฎอัยการศึก ทั้งคนดีและคนไม่ดีต่างได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า เพราะเป็นกฎที่ควบคุมทุกตารางนิ้ว แต่มาตรา 44 คือใช้เฉพาะคนที่ไม่หวังดี เรียกได้ว่าคนดีอยู่สบาย คนร้ายอยู่ลำบาก การที่มาตรา 44 กำหนดรายละเอียด 14 ข้อ น่าจะช่วยทำให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น อย่างไรก็ตามการใช้มาตรา 44 อาจไปกระทบหรือละเมิดสิทธิของคนทั่วไป ต้องขึ้นอยู่กับคุณธรรม จริยธรรมของผู้มีอำนาจว่าหากใช้มาตรา 44 อย่างมีสติก็ไม่น่าจะมีปัญหากับคนทั่วไป" พล.อ.เอกชัยกล่าว

"อ๋อย"ค้านพลเรือนขึ้นศาลทหาร

นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณีที่องค์กรระหว่างประเทศหลายองค์กรไม่เห็นด้วยกับการประกาศใช้มาตรา 44 ว่านานาชาติต่างทราบดีว่าเนื้อหาตาม ม.44 ไม่แตกต่างจากกฎอัยการศึก และอาจมีผลเสียมากกว่า เพราะการใช้อำนาจตาม ม.44 มีความเบ็ดเสร็จ 

"แม้จะพยายามอธิบายว่าตั้งใจใช้มาตรา 44 เพื่อการปรองดอง ปฏิรูปประเทศหรือแก้ปัญหาอื่นๆ ก็เป็นปัญหาของการบริหาร ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์สามารถสั่งการได้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้ ส่วนที่คนของรัฐบาลชี้แจงว่าการใช้มาตรา 44 เพื่อป้องกันคน 5 กลุ่มสร้างสถานการณ์นั้น ผมมองว่ายิ่งไม่มีความจำเป็น ขณะนี้เราไม่ได้มีศึกสงคราม มีแต่คนในประเทศ ดังนั้น ใช้เพียงกฎหมายปกติได้อยู่แล้ว ส่วนที่ให้ดำเนินคดีถึง 3 ศาลนั้น ผู้ที่ต้องขึ้นศาลทหารจะเป็นคดีความมั่นคง ดังนั้น พลเรือนที่ถูกดำเนินคดีปกติ ไม่มีความจำเป็นที่ต้องขึ้นศาลทหารเลย และยังไม่มีคำอธิบายว่าเหตุใดศาลยุติธรรมปกติถึงทำหน้าที่เหล่านี้ไม่ได้ สถานการณ์บ้านเมืองไม่สงบอย่างไรหรือ" นายจาตุรนต์กล่าว 

"บวรศักดิ์"รับฟัง"บิ๊กตู่"ติงรธน.

ที่โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ เชียงใหม่ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ ให้สัมภาษณ์ว่า ไม่รู้สึกกดดันที่ พล.อ.ประยุทธ์ทักท้วงและขอให้ปรับการยกร่างรัฐธรรมนูญว่าให้มีเนื้อหาธรรมดา โดยนำบทบัญญัติจากรัฐธรรมนูญปี 2540 และปี 2550 มาพิจารณาประกอบ ถือว่านายกฯให้ความเห็นได้เพราะเป็นผู้ที่มีความสำคัญ 

นายบวรศักดิ์กล่าวว่า มองว่าข้อทักท้วงของ พล.อ.ประยุทธ์นั้นไม่ใช่เป็นข้อวิจารณ์หรือความห่วงใยธรรมดา เพราะนายกฯถือเป็นผู้รักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ดังนั้นควรรับฟัง ขณะเดียวกันการรับฟังความเห็นของภาคประชาชน กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญต้องรับฟังเช่นเดียวกัน เนื่องจากรัฐธรรมนูญไม่ใช่ของ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ 36 คน แต่เป็นของประชาชนทั้ง 65 ล้านคน การรับฟังความเห็นของประชาชนทาง กมธ.ยกร่างฯจะนำไปพิจารณาเพื่อประกอบการแก้ไขปรับปรุงร่างรัฐธรรมนูญในช่วง 60 วัน คือนับตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคมนี้

ส.ส.ไม่จบป.ตรี-ชี้เรียนสูงชั่วมาก

ต่อมาคณะอนุกรรมาธิการการมีส่วนร่วมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ใน กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ร่วมกับสถาบันพระปกเกล้า และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน จัดเวทีสัมมนาเรื่อง "การเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจ และรับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อร่างรัฐธรรมนูญ" มีประชาชนและเครือข่ายองค์กรต่างๆ ใน จ.เชียงใหม่ร่วมรับฟัง โดยไม่มีกลุ่มต่อต้านแต่อย่างใด แต่ก่อนเริ่มเวทีสัมมนา มีเครือข่ายองค์กรชุมชนเพื่อการปฏิรูปภาคเหนือ 15 จังหวัดภาคเหนือ ยื่นข้อเรียกร้องให้รัฐบาลกระจายอำนาจให้แก่ท้องถิ่น สามารถบริหารจัดการตนเองได้อย่างแท้จริง

จากนั้นนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธาน กมธ.ยกร่างฯ กล่าวเปิดการสัมมนาว่า ที่เลือกสัมมนาครั้งแรกที่ จ.เชียงใหม่เพราะเป็นจังหวัดที่สำคัญทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง โดยร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้สิทธิประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น ทั้งการตรวจสอบผ่านสมัชชาคุณธรรมที่สามารถทำประชามติถอดถอนนักการเมืองได้ ผลักดันกฎหมายได้ แม้มีการยุบสภาร่างกฎหมายของประชาชนจะไม่ตกไปด้วย รวมทั้งยังกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็น ส.ส.ไม่ต้องจบปริญญาตรี เพราะที่ผ่านมาคนที่เรียนสูงจะชั่วมาก ดังนั้นชาวบ้านอย่าพึ่งไปไว้ใจพวกที่จบปริญญาตรี ปริญญาโท แต่ให้คำนึงถึงความดีของบุคคลแทน 

"เอนก"หวังรบ.ผสมลดขัดแย้ง

จากนั้น นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ กมธ.ยกร่างฯ กล่าวว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ทำเพื่อให้การเมืองใสสะอาด ให้ประชาชนมีอำนาจมากขึ้น ที่ผ่านมาเราได้ยินนักการเมืองวิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะร่างรัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนเพื่อนักการเมืองหรือพรรคการเมือง แต่เขียนเพื่อประชาชน 

นายเอนกกล่าวว่า สิ่งที่ประชาชนต้องการอย่างหนึ่งคือความปรองดองสามัคคีของคนในชาติ กว่า 8 ปีที่ประเทศเรามีปัญหาจากการชุมนุม แต่ความปรองดองไม่ได้ทำให้เกิดได้ง่าย แต่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีกลไกที่พยายามให้เกิดขึ้นให้ได้ อย่างระบบการเลือกตั้งที่จะให้เป็นรัฐบาลผสม สองฝ่ายที่เคยเป็นคู่ขัดแย้งกันต้องพยายามลบความขัดแย้งนั้น หรือทำให้อยู่ในระบบสันติวิธีให้ได้ ระบบการเลือกตั้งที่ผ่านมา ส.ส.มักจะเหมาภาค แต่ระบบสัดส่วนผสมใหม่จะทำให้เกิดความสมดุลกัน ได้ ส.ส.จากคะแนนนิยมของประชาชนจริงๆ ประเทศก็จะไม่ถูกแบ่งพรรคแบ่งขั้วอีกต่อไป คนจะหันหน้าเข้าหากันมากขึ้น 

เสธ.อู้แจงกลั่นกรองก่อนเลือกส.ว. 

พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษก กมธ.ยกร่างฯ กล่าวว่า ถ้าเรามีนักการเมืองที่มีจรรยาบรรณอย่างเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น หรือในยุโรป ประเทศเราก็คงไม่มีปัญหาแบบนี้ ระบบที่ กมธ.ยกร่างฯออกแบบล่าสุด ตกลงที่จะให้มี ส.ส. 2 ประเภท คือแบบเขตและบัญชีรายชื่อ เป็นระบบสัดส่วนผสม ที่เราพยายามสร้างความสมดุลให้กับคะแนนที่ประชาชนเลือกเข้ามาจริงๆ ที่คนบอกว่าเป็นระบบเยอรมัน วันนี้เหลือเพียงน้อยนิด เพราะเรานำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบ้านเรา ไม่ได้ลอกมาทั้งดุ้น

พล.อ.เลิศรัตน์กล่าวว่า ส่วนการเลือก ส.ว. ก็รับฟังเสียงที่ส่วนใหญ่อยากให้มีการเลือกตั้งจากประชาชนทั้ง 77 จังหวัด ปรับแก้ จากนั้นก็โดนโจมตีทันที โดยเฉพาะสื่อมวลชนที่อยู่แต่ในออฟฟิศที่ไม่เข้าใจ เปรียบเหมือนไม่เคยเห็นพระจันทร์เต็มดวง ทั้งนี้ จากสถิติการเลือกตั้ง ส.ว.เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2557 มีผู้สมัคร ส.ว.จำนวนน้อยมาก มีเพียงไม่กี่จังหวัดที่มีผู้สมัครเกิน 10 คน ส่วนใหญ่สมัครจังหวัดละคน ดังนั้นรัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงออกแบบเพื่อให้เหมาะสม โดยให้มีกรรมการกลั่นกรองเพื่อตรวจคุณสมบัติของผู้สมัครใน 10 กลุ่มวิชาชีพ ก่อนให้ประชาชนเลือกตั้งให้ได้ ส.ว.จังหวัดละ 1 คน หากจังหวัดไหนผู้สมัครไม่ครบ 10 คน เราก็ไม่ไปกลั่นกรอง แต่หากจังหวัดไหนมีผู้สมัครเกิน เราก็ช่วยกลั่นกรองให้ประชาชนเลือกง่ายๆ ไม่ได้กลั่นกรองทั้งหมด

เผย"บิ๊กตู่"บูชาพระพิชิตมาร

นายวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ ประธานมูลนิธิข่วงพระเจ้าล้านนา หรือโหรวารินทร์ กล่าวถึงการเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ จ.เชียงใหม่ของ พล.อ.ประยุทธ์และคณะ อาทิ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในวันที่ 5 เมษายนนี้ ว่านายกฯจะมามาข่วงเฮือนผญาปัญญาปู่จาพระเจ้าล้านนา ตนไม่ได้เตรียมพระพุทธรูปให้นายกฯ เนื่องจากนายกฯมีพระพุทธรูปมากอยู่แล้ว แต่มูลนิธิเตรียมของที่ระลึกซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ล้านนา โดยนายกฯจะนำคณะมอบพานดอกไม้บูชาพระพิชิตมาร (พระประธานปฐมบทข่วงพระเจ้าล้านนา) พร้อมห่มผ้าพระธาตุและผูกข้อมือรับขวัญ ปักตุงธงชัย ก่อเจดีย์ทราย

"นายกฯไม่เคยโทรมาปรึกษาปัญหาบ้านเมืองอะไร ผมเคยพบท่านนานแล้ว และดวงของท่านคือหน้าที่นายกฯ ผมรู้ว่าต้องเป็นนายกฯที่ชื่อประยุทธ์เท่านั้นที่จะแก้ปัญหาบ้านเมืองได้ คนคนนี้จะมาขจัดสีเสื้อ ผมรู้ดีเพราะผมรู้จักท่านมาร่วม 20 ปีแล้ว ผมบอกนายกฯว่าท่านไม่มีดวงเรื่องความทะเยอทะยาน เพราะฉะนั้นคนชื่อประยุทธ์เท่านั้นที่จะแก้ไขปัญหาบ้านเมืองได้ และตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์เข้ามาดวงเมืองก็ดีขึ้น ไม่ว่าใครจะมากลั่นแกล้งอย่างไรก็ทำไม่ได้ เพราะนายกฯคนนี้มีบารมี" นายวารินทร์กล่าว และว่า นายกฯและคณะมาครั้งนี้ไม่ได้มาทำพิธีต่อชะตาอะไรเป็นพิเศษ เนื่องจากสามคนนี้ดวงดีอยู่แล้ว

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!