- Details
- Category: การเมือง
- Published: Friday, 27 March 2015 13:18
- Hits: 3799
โปรดเกล้าฯ 614 นายพล 'บิ๊กตู่'เล็ง กม.ใหม่แทน'อัยการศึก'เผยคิดอยู่ตั้งนานแล้ว รวบ'พ่อเฌอ'สกัดเดิน ให้ประกัน-ห้ามเคลื่อน รปภ.เข้ม'ครม.หัวหิน'ตั้งด่านพรึ่บ 7 จุด 24 ชม.
'เทียนฉาย'เผยถ่ายทอดสด สปช.ถกรัฐธรรมนูญ เชื่อ กมธ.ยกร่างฯไม่หักด้ามพร้าด้วยเข่า วิป สปช.จัดสรร 79 ชั่วโมง ประสานช่อง 11 ถ่ายทอด
@ 'บิ๊กตู่'แย้มอาจทบทวน'อัยการศึก'
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 26 มีนาคม ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เดินทางกลับจากการเยือนบรูไนดารุสซาลาม อย่างเป็นทางการ โดย พล.อ.ประยุทธ์ทักทายสื่อมวลชนด้วยท่าทียิ้มแย้มแจ่มใสว่า ดีใจที่ได้กลับมาเจอหน้ากัน อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความชัดเจนว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ วันที่ 27-28 มีนาคม จะมีการพิจารณายกเลิกการใช้กฎอัยการศึกเพื่อใช้กฎหมายอื่นแทนหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "ผมคิดอยู่ตั้งนานแล้ว"
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการนำเข้าพิจารณา ใน ครม.เลยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ถ้าดีเมื่อไหร่ก็จะทำ เมื่อถามว่า จะใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวแทนกฎอัยการศึกใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "ไม่รู้สิ คิดอยู่เหมือนกัน" เมื่อถามอีกว่า จะเป็นทางเลือกหนึ่งใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์หันมายิ้มและกล่าวว่า "เราพยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้อย่างสบายใจ" ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดว่ากฎหมายใหม่ที่จะนำมาใช้จะเบาลงหรือมีความเข้มข้นมากขึ้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "เท่าเดิม จะได้รู้ว่าเราใช้กฎหมายแค่ไหน ไม่ได้ใช้ทั้งฉบับ"
รายงานข่าวแจ้งว่า รัฐบาลและ คสช.อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะใช้กฎหมายฉบับใดมาแทนกฎอัยการศึกระหว่างการใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ หรือ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรและมาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว
@ 'บิ๊กป้อม'เล็งร่างกม.ใหม่แทน
ที่อาคารเกษะโกมล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวกรณีนายกฯบอกจะใช้กฎหมายใหม่แทนกฎอัยการศึกว่า "ใช่ อาจจะ ก็คุยกันอยู่" เมื่อถามว่า จะใช้ในลักษณะใด ถ้าไม่ใช้รัฐธรรมนูญ (ชั่วคราว) 2557 มาตรา 44 หรือพิจารณาใช้กฎหมายตัวอื่น พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า คงต้องทำกฎหมายขึ้นมา ที่อยู่ในส่วนของ คสช. ขณะนี้ให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาอยู่ ยืนยันว่าขณะนี้ไม่มีใครเดือดร้อนเพราะกฎอัยการศึก เพราะใช้เพียง 2 กรณีเท่านั้น เรื่องตรวจค้นและสามารถจับกุม เรียกตัว โดยไม่ต้องรอหมายจากศาล อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้ยังมีคนที่ไม่ปรารถนาดีอยู่จำเป็นที่ต้องมีกฎหมายมาดูแล ทั้งนี้ยังไม่กำหนดกรอบเวลาว่ากฎหมายใหม่จะต้องแล้วเสร็จเมื่อไหร่ เพียงแต่จะพยายามทุกอย่างเพื่อลดแรงกดดัน
@ ฮึ่มใช้มาตรา44 กับสื่อก่อน
ต่อมาที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตรให้สัมภาษณ์อีกครั้งถึงความเป็นไปได้ในการใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวแทนการใช้กฎอัยการศึกว่า "ใช้ได้ แต่คุณจะรับผิดชอบได้หรือไม่ ใช้ได้หมดเพราะมาตรา 44 สามารถใช้ได้กับทุกเรื่อง และมันเหมาะสมหรือไม่" เมื่อถามว่า ระหว่างกฎหมาย 2 ฉบับนี้ใช้อย่างไหนดีกว่ากัน พล.อ.ประวิตรกล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า "ยังไม่ได้ใช้เลย แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าอย่างไหนดีกว่ากัน มาตรา 44 ยังไม่ได้ใช้เลย แต่จะใช้กับคุณนี่แหละ" เมื่อถามว่า สถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ถือว่าการใช้กฎอัยการศึกดีที่สุดใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า "ตอนนี้คิดว่าถ้าเราใช้มาตรา 44 เราใช้ 2 ข้อเอง ไม่ได้ใช้มากเลย ก็เห็นอยู่แล้ว คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องจะเดือดร้อนไหม ก็ไม่เดือดร้อน แต่เดือดร้อนเฉพาะคนที่ทำผิดเท่านั้น ฉะนั้นคนไม่ทำผิดเขาไม่เดือดร้อน สมมุติว่าเราจะจับใครก็ต้องไปขอหมายศาล กว่าจะดำเนินการเขาก็หนีไปไหนต่อไหนแล้ว ถ้าแบบนี้เราก็สามารถดำเนินการได้"
@ ปัดเอกชนเรียกร้องยกเลิก
เมื่อถามว่า ภาคเอกชนเรียกร้องให้ยกเลิกกฎอัยการศึกหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่มีเลย นักธุรกิจที่มาพบในวันนี้ไม่มีใครขอร้องให้ยกเลิกกฎอัยการศึกเลย ส่วนในการประชุม ครม.สัญจรในวันที่ 27 มีนาคม ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ไม่มีการพูดคุยในเรื่องของการยกเลิกกฎอัยการศึกจะไปคุยทำไม มีเรื่องอื่นคุยตั้งเยอะ เพราะการใช้กฎอัยการศึกเกิดขึ้นมาหลายเดือนแล้ว ที่อยากจะเปลี่ยนมาเป็นกฎหมายอื่นเพราะว่าทางสหประชาชาติบอกว่าลองไปคิดดูว่าจะทำได้หรือไม่ แต่ก็เห็นใจ ว่าบ้านเมืองอยู่ในขั้นวิกฤตอย่างนี้ ที่ต้องแก้ไขปัญหา ต้องใช้กฎหมายที่พิเศษ เมื่อถามว่า ฝ่ายกฎหมายเสนอหรือไม่ว่ามีกฎหมายอะไรบ้าง พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า มีการเสนอแนะ แต่กำลังคิดกันอยู่ ยังไม่สามารถเปิดเผยได้
@ หลุดด่า'ไอ้ห่า'หลังถูกซัก
เมื่อถามว่า ใช้กฎอัยการศึกมาแล้วเกือบ 1 ปี ดูเหมือนว่ายังมีปัญหาอยู่ พล.อ.ประวิตร กล่าวอย่างมีอารมณ์และเสียงดังขึ้นว่า "แล้วคุณคิดว่ามีไหมล่ะ มีไหม คุณคิดว่ามีไหม คุณก็เห็นอยู่ว่าสถานการณ์เป็นแบบนี้ แล้วมันมีไหมล่ะ คุณก็ตอบไม่ได้" เมื่อผู้สื่อข่าวตอบว่า คิดได้หลายอย่าง พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า "คุณคิดว่ากี่อย่าง คุณบอกมาซิว่ามีกี่อย่าง" ผู้สื่อข่าวกล่าวว่า อาจจะมีประชาชนมองว่า ผู้ก่อการทำเอง พล.อ.ประวิตรชี้หน้าและถามว่า "ใครทำเอง คุณจับให้ได้สิ คุณพูดอย่างนี้ไอ้ห่า พูดได้ไงว่ะ พูดได้ไงว่าใครทำเอง พูดมาว่าใครทำเอง คิดก็ไม่ได้ ผมเป็นคนรักษากฎหมาย ไปทำเองบ้าอะไร พูดอย่างนี้เสียหาย"
ต่อมานางยุวดี ธัญสิริ ผู้สื่อข่าวอาวุโสกล่าวว่า บางทีสื่อก็อยากจะซักรายละเอียด ขอให้ใจเย็นๆ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า "ซักอย่างนี้ได้ยังไง ซักแบบนี้ไม่ได้ครับพี่ มันเสียหายเพราะผมเป็นผู้รักษากฎหมาย แล้วผมจะไปทำแบบนั้นได้อย่างไร" เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าสถานการณ์ตอนนี้เบาลงหรือหนักขึ้น พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า สถานการณ์เบาลง จึงสงบแบบนี้ เพราะตนดูแลทั้งหมด ถ้าไม่ดูแลจะจับคนที่ก่อเหตุได้หรือ เพราะมีคนเฝ้าหมดอยู่ทุกที่
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวยังมาไม่ถึงตน จึงไม่สามารถตอบได้ว่ารัฐบาลจะยังใช้กฎอัยการศึกต่อไปหรือหากฎหมายใหม่มาแทน และไม่กล้าตอบด้วยว่ามาตรา 44 รัฐธรรมนูญชั่วคราวจะใช้ได้หรือไม่ ไม่กล้าตอบเพราะกลัวผิด จึงขอดูการบ้านก่อน เพราะยังไม่เห็นโจทย์ อาจมีคนอื่นดูก่อนแล้วค่อยมาที่ตน
@ 'ปู'ขอพท.อย่าทิ้งประชาชน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงค่ำวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา ที่วัดอุดมรังษี เขตหนองแขม ระหว่างพรรคเพื่อไทยเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรม นายแสวง ฤกษ์จรัล อดีต ส.ส.กทม. พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน ภายในงานมีแกนนำพรรค อดีตรัฐมนตรี อดีต ส.ส.มาร่วมงานอย่างคับคั่ง อาทิ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรค ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งกลุ่มอดีต ส.ส.กทม. เข้าร่วม
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ อดีต ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า นส.ยิ่งลักษณ์ได้ทักทายกับกลุ่มอดีต ส.ส.กทม. ขอให้อดีต ส.ส.กทม. เข้าหาประชาชนเยอะๆ เพราะช่วงนี้ประชาชนไม่มีที่พึ่ง ไม่รู้จะเข้าหาใคร เรื่องไหนที่พอช่วยได้ประสานงานได้ก็ขอให้ช่วยประชาชนเมื่อถามว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์มีทีท่าเครียดต่อเรื่องคดีรับจำนำข้าวหรือไม่ นายจิรายุกล่าวว่า เรื่องเครียดไม่เครียดก็ไม่รู้ แต่ขอใช้คำว่าดูมีสมาธิมาก ยังทักทายกับญาติผู้เสียชีวิตและทุกคนอย่างปกติ
@ 'เต้น'ไม่เคืองถูก'บิ๊กตู่'ด่า
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. กล่าวในรายการ เข้าใจตรงกันนะ ผ่าน PEACE TV กรณี พล.อ.ประยุทธ์ ด่าว่าโง่ เฮงซวยเนื่องจากวิเคราะห์สถานการณ์ระเบิดที่ศาลอาญา ว่า ถ้าเป็นช่วงตรุษจีนคงนึกว่าอวยพร เพราะมีคำว่าเฮง แต่ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงตรุษจีนคงไม่ใช่คำอวยพรเท่าไร แต่ไม่มีปัญหา ไม่ได้โกรธ หรือแค้นเคือง พล.อ.ประยุทธ์ เพราะถือว่าเมื่อตนวิจารณ์ผู้คนได้ ก็มีสิทธิที่จะต้องรับการวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนได้ พล.อ.ประยุทธ์จะใช้ถ้อยคำท่าทีดุเดือด ก็รับได้เพราะถือว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง เป็นผู้มีอำนาจ เมื่อประกาศความคิดเห็นต่อผู้อื่น และมีความคิดเห็นของผู้อื่นส่งต่อก็ต้องยืดอกรับอย่างสง่างาม ยืนยันว่าไม่ได้ฟันธงว่าเหตุระเบิดที่เกิดมาใครทำกันแน่ แต่สงสัยและคิดว่ารัฐควรมีหน้าที่คลี่คลายความสงสัยนี้ เข้าใจว่านายกฯ คงมีอารมณ์ เจอนักข่าวยิงคำถามรัว
@ กมธ.ยกร่างฯถกรวม2องค์กร
ที่รัฐสภา ในการประชุม กมธ.ยกร่างฯ โดยมีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธาน กมธ.ยกร่างฯ ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม มีวาระพิจารณาบทบัญญัติรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราและบันทึกเจตนารมณ์ เป็นวันที่ 14 โดยเป็นการพิจารณาต่อเนื่องในส่วนสุดท้ายของร่างรัฐธรรมนูญคือบทเฉพาะกาล เริ่มตั้งแต่มาตรา 311 จนกระทั่งถึงมาตรา 315 โดยประเด็นที่น่าสนใจ คือ มาตรา 311 มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการควบรวมองค์กรผู้ตรวจการแผ่นดินและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นผู้ตรวจการแผ่นดินและพิทักษ์สิทธิมนุษยชนนั้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและลดความซ้ำซ้อน
ทาง กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญได้มีการตั้งข้อสังเกตว่าหากมีการควบรวมทั้งสององค์กรเป็นหนึ่งองค์กรแล้วบุคคลใดจะเป็นผู้ทำหน้าที่ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินและพิทักษ์สิทธิมนุษยชน ทางกรรมการสิทธิฯที่ทำหน้าที่อยู่ในปัจจุบันก็จะครบวาระ กระบวนการสรรหาจะเป็นอย่างไร ซึ่งทางฝ่ายเลขานุการฯได้ชี้แจงว่า ช่วงวันที่ 24 มิถุนายนกรรมการสิทธิฯครบวาระการทำหน้าที่เป็นช่วงที่รัฐธรรมนูญยังไม่มีผลบังคับใช้ ดังนั้นคงต้องใช้กระบวนการสรรหาตามประกาศ คสช. ส่วนกรณีตำแหน่งประธานองค์กรคงต้องรอดูรายละเอียดในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินและพิทักษ์สิทธิมนุษยชน
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้สั่งปิดการประชุมในเวลา 14.15 น. โดยงดการประชุมในวันที่ 27 มีนาคม และนัดประชุมอีกครั้งในวันที่ 30 มีนาคม - 2 เมษายน
@ วงกมธ.ปฏิรูปชงเปิด6ปม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการประชุมเชิงปฏิบัติการของ กมธ.ปฏิรูปการเมือง สปช. ระหว่างวันที่ 26- 27 มีนาคม ที่พัทยา จ.ชลบุรี ทาง กมธ.ปฏิรูปการเมือง ได้วางกรอบการพิจารณาทั้งสิ้น 6 กรอบ ได้แก่ 1.ว่าด้วยรัฐสภา ที่จะประกอบด้วย ที่มา ส.ส. การได้มาซึ่ง ส.ว. อำนาจการทำงาน 2.ว่าด้วยคณะรัฐมนตรี 3.ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐมนตรีและรัฐสภา 4.ว่าด้วยพรรคการเมือง 5.ว่าด้วยระบบการเลือกตั้ง และ 6.ว่าด้วยเรื่องอื่นๆ เช่น องค์กรตามรัฐธรรมนูญซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ สมัชชาคุณธรรม สมัชชาพลเมือง เป็นต้น
นอกจากนั้นยังมีประเด็นย่อย อาทิ นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ประธาน กมธ.เสนอให้ ส.ส.เลือกนายกฯ โดยไม่กำหนดว่าบุคคลที่จะได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกฯ ต้องมาจาก ส.ส., การเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม เพื่อไม่ให้รัฐบาลเข้มแข็งเกินไป เป็นต้น นายชาลี เจริญสุข กมธ.ปฏิรูปการเมือง เสนอการแบ่งพื้นที่เลือกตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อที่นำ จ.เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ไปรวมกับกลุ่มภาคใต้ เป็นต้น
@ 'เทียนฉาย'ชี้ไทยป่วยรุนแรง
ที่โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการ และคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง "คุณธรรมสร้างคนสร้างชาติ" ในระหว่างการสัมมนาสมัชชาคุณธรรมประเทศไทย รวมพลังขับเคลื่อนสังคมคุณธรรม สู่การปฏิรูปประเทศไทย ตอนหนึ่งว่า ปัญหาใหญ่สุดขณะนี้คือการทุจริต ประพฤติมิชอบ สังคมไทยที่กำลังเผชิญกับปัญหามากมายจนกล่าวได้ว่าเมืองไทยป่วย ก่อนวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 อาการป่วยรุนแรงมาก คนไทยหงุดหงิด ขาดเหตุผล ปากไว มือไว ทำร้ายใครก็ได้ ป่วยจนไม่รู้ผิดชอบชั่วดี บ่อยครั้งมีการวิกลจริตทำอะไรที่คนไม่คิดว่าจะทำได้ เหมือนคนติดเชื้อที่มาจากโรคระบาด อาการเหล่านี้หนักหนารุนแรงมาก
"บางกรณีก็หูตึง ไม่ได้ยินคำเตือนของคนอื่น บางคนตามัว มองไม่เห็นว่าคนในครอบครัวไปทำอะไรเลวๆ ไว้บ้าง บางคนเป็นใบ้พูดไม่ออก พูดไม่ได้ เตือนลูกเมียตัวเองก็ไม่ได้ ตาบอด หูหนวก เป็นใบ้ทั้งแผ่นดิน การป่วยรุนแรงมากขึ้น ตอนนี้เชื้อหลบรอที่จะระบาด มันรอเมื่อไหร่ยาสิ้นฤทธิ์มันจะแสดงอาการ การเจ็บป่วยคราวนี้อาจมีแผลเป็นบ้าง "แต่ต้องยอมที่จะรักษาโรคนี้ให้หมดไป ไม่งั้นไม่จบ" นายเทียนฉายกล่าว และว่า อาการเจ็บป่วยมีพื้นฐานมาจากการขาดคุณธรรม สมัชชาคุณธรรมเชื่อในยา 3 ตัวว่า จะช่วยแก้อาการป่วยของแผ่นดินได้ คือ ความดี ซื่อตรงซื่อสัตย์ และความรับผิดชอบ
@ เผยถ่ายทอดสดถกร่างรธน.
นายเทียนฉายให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกของ สปช. ระหว่างวันที่ 20-26 เมษายนว่า ในช่วงบ่ายวันที่ 26 มีนาคม ที่ประชุมวิป สปช.จะประชุมกำหนดกรอบการพิจารณารัฐธรรมนูญ ภายใต้กรอบเวลาที่กำหนดไว้ 70 ชั่วโมง การพิจารณาจะมีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับการประชุมสภา แต่สิ่งที่ห่วงคือหากไม่มีการกำหนดกรอบแนวคิดในการพิจารณาอาจขาดความต่อเนื่องในการอภิปรายในประเด็นเดียวกัน เชื่อว่า กมธ.ยกร่างฯจะรับฟังความเห็นของสมาชิก เมื่อผู้เสนอด้วยเหตุผล ผู้รับฟังจะรับฟังด้วยเหตุผล กมธ.ยกร่างฯไม่เคยหักด้ามพร้าด้วยเข่า พยายามอธิบายด้วยเหตุผล ส่วนตัวเชื่อว่าร่างที่ทำอยู่ยังไม่ใช่ร่างที่สรุปสุดท้าย ยังมีโอกาสปรุงแต่งแก้ไขได้จนกว่าจะถึงวันที่ 17 เมษายนนี้ เมื่อถามว่า ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญดูเหมือนมีความแข็งกร้าว นายเทียนฉายกล่าวว่า "คิดว่าประธานแข็ง แต่ไม่ได้กร้าว เชื่อว่าสุดท้ายความเห็นของประธานและกรรมาธิการที่ออกมาเป็นร่างรัฐธรรมนูญ จะเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ"
เมื่อถามว่า ที่ผ่านมาเคยพูดว่าจะยอมตายถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่เป็นประชาธิปไตย นายเทียนฉายกล่าวว่า สิ่งใดที่ทำให้ร่างรัฐธรรมนูญมีตำหนิที่ประชาชนรับไม่ได้เลย
ถึงเวลานั้น สปช.คงจะจบหน้าที่ตัวเอง สปช.คงไม่สามารถปล่อยรัฐธรรมนูญที่มีตำหนิออกไปได้
@ วิปสปช.ให้ถ่ายทอดทางช่อง11
นายวันชัย สอนศิริ โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการ สปช. (วิป สปช.) แถลงข่าวภายหลังการประชุมว่า ได้มีการหารือถึงแนวทางการอภิปรายร่างรัฐธรรมนูญของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ในระหว่างวันที่ 20-26 เมษายน โดยการอภิปรายในวันที่ 20 เมษายน จะเริ่มตั้งแต่เวลา 09.00-21.00 น. ยกเว้น
วันที่ 23 เมษายน ที่จะเริ่มประชุมเวลา 14.00-21.00 น. รวมเวลาการอภิปราย 79 ชั่วโมง โดยมีการแบ่งเวลาอภิปรายดังนี้ 1.กมธ.ยกร่างฯจะใช้เวลาประมาณ 15 ชั่วโมง วันแรกจะเป็นการเสนอภาพรวมร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ 2 ชั่วโมง เวลาในการชี้แจง 1 ชั่วโมง และวันต่อๆ ไปชี้แจงวันละ 2 ชั่วโมง ขณะที่ สปช.จะใช้อภิปรายทั้งหมด 64 ชั่วโมง แยกเป็น กมธ.สามัญประจำสภา 18 คณะ โดยส่งตัวแทนอภิปรายคณะละ 5 คน ใช้เวลาคณะละ 2 ชั่วโมง รวม 36 ชั่วโมง
ขณะที่สมาชิก สปช.ที่เหลือ โดยตัด กมธ.จะเหลือผู้อภิปราย 137 คน ภายในระยะเวลา 28 ชั่วโมง หรือเฉลี่ยคนละ 12 นาที ทั้งนี้ การลำดับอภิปรายของ กมธ.สามัญประจำสภา 18 คณะ และอีก 137 คน จะใช้วิธีจับสลาก และที่ประชุมยังเห็นชอบให้มีการถ่ายทอดสดผ่านสถานีโทรทัศน์รัฐสภา และยังอยู่ระหว่างประสานถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีกรมประชาสัมพันธ์ ช่อง 11 ตลอด 7 วัน ขณะที่สถานีช่องอื่นก็สามารถร่วมถ่ายทอดสดได้
@ 28พรรคเล็กยื่นค้านร่างรธน.
นายสุรทิน พิจารณ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่ ในฐานะประธานกลุ่มสหพรรคการเมืองประชาธิปไตย ประกอบด้วย 28 พรรคการเมือง ยื่นหนังสือผ่านนายอมร วาณิชวิวัฒน์ ประธานอนุกรรมาธิการปฏิรูประบบพรรคการเมืองที่รัฐสภา เรียกร้องใน 4 ประเด็น ดังนี้ 1.ไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญที่นายกรัฐมนตรีไม่ต้องเป็น ส.ส. 2.สนับสนุนให้ ส.ว.ต้องมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น 3.ให้พรรคการเมืองเป็นสถาบันการเมืองที่แท้จริง โดยต่อต้านกลุ่มการเมือง และ 4.สนับสนุนให้ประชาชนมีสิทธิเข้าถึงการเลือกตั้งทุกรูปแบบ รวมถึงองค์กรอิสระ
@ 'บิ๊กต๊อก'ชี้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนยาก
พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลถึงการเร่งรัดติดตามตัวผู้หลบหนีคดีความมั่นคงไปในต่างประเทศ รวมทั้งคดีที่เกี่ยวข้องกับทางการเมือง ว่า หากพูดถึงคดีทางการเมืองกับการนำผู้ร้ายกลับมาดำเนินคดีในประเทศ ไม่สามารถปฏิบัติได้ในเรื่องสิทธิและกฎหมาย ยกตัวอย่าง หากต้องการยื่นขอลี้ภัยทางการเมืองในประเทศญี่ปุ่น กฎหมายให้รับได้ทันทีโดยไม่ต้องตรวจสอบ จากนั้น 1 เดือนจึงมาดู เป็นต้น ฉะนั้นหากนำกฎหมายความมั่นคงและการเมืองไปโยงกัน ตอบได้เลยว่าไม่มีทางเอาตัวคืนมาได้ วันนี้มีสองอย่าง คือ เรื่องนั้นๆ มีความเกี่ยวข้องกับคดีทางการเมืองหรือไม่ ต้องแยกให้ออกก่อน และหากเข้าข่ายผิดกฎหมายอาญา มาตรา 112 ต้องระบุว่าไม่ใช่คดีทางการเมือง ต้องทำให้ชัดเจนเมื่อแยกแล้วพบว่าไม่เกี่ยวกับคดีทางการเมือง แต่เป็นคดีอื่นที่ไม่ใช่การเมือง เช่น ก่อการร้าย การประสานจะไม่ใช่เรื่องยากเพราะทุกประเทศมีกฎหมายและมีความเชื่อมโยงทางกฎหมายกันอยู่แล้ว
พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า ยอมรับว่าการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน เป็นเรื่องยากที่จะนำตัวกลับคืนมาและชี้แจงให้เขารู้ว่าทำไมประเทศไทยต้องมีกฎหมายอาญา มาตรา 112 และคนที่เรากล่าวถึงว่าผิดมาตรา 112 ไม่ใช่ผิดทางการเมืองตามที่ไปแอบอ้างเพื่อจะอยู่ในประเทศนั้นๆ โดยกระทรวงการต่างประเทศต้องสรุปหลักฐานส่งไปให้ต่างประเทศนั้นๆ ตรงนี้ที่ยังมีข้อบกพร่องเพราะกระทรวงการต่างประเทศไม่มีข้อมูลตรงนี้ จึงต้องดำเนินการแก้ไขอยู่
@ รวบ'พ่อน้องเฌอ'กลางดึก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 00.31 น.
วันที่ 26 มีนาคม แฟนเพจ "พลเมืองโต้กลับ Resistant Citizen" มีการโพสต์ภาพและข้อความว่า "ด่วน!! นายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ หรือพ่อน้องเฌอ โดนเจ้าหน้าที่จับกุมตัวไปยัง สน.ชนะสงคราม ขณะกำลังจอดรถในวัดเพื่อเข้าบ้าน" จากการตรวจสอบทราบว่า ในช่วงเวลา 00.30 น. ของวันที่ 26 มีนาคม หลังจากที่นายพันธ์ศักดิ์กำลังนำรถยนต์ไปจอดในวัดละหาร อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน พ.ต.ท.ทวีวงศ์ ดิษฐแย้ม สารวัตรกองกำกับการสืบสวน 4 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจนครบาล ได้แสดงตัวเพื่อขอควบคุมตัวนายพันธ์ศักดิ์ และแสดงหมายจับศาลทหารออกเมื่อวันที่ 17 มีนาคม จากการที่นายพันธ์ศักดิ์ทำกิจกรรม "พลเมืองรุกเดิน" เมื่อวันที่ 15 มีนาคม โดยเจ้าหน้าที่นำตัวจาก อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ไปที่ สน.ชนะสงคราม โดยไปถึงในเวลา 01.00 น.
@ 'ศรีวราห์'คุมสอบเอง
เวลา 01.10 น. มีการเชิญนายอานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชน และ 1 ใน 4 ผู้ต้องหา ฝืนประกาศ คสช. กิจกรรม "เลือกตั้งที่(รัก)ลัก" ออกจากห้องสอบสวนและมีการปฏิเสธไม่ให้ทนายความอยู่ระหว่างการทำบันทึกจับกุม ทั้งนี้ นายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ หรือพ่อน้องเฌอ หนึ่งในผู้เริ่มต้นออกเดินในกิจกรรมพลเมืองรุกเดิน ของกลุ่มพลเมืองโต้กลับ ได้ถูกเจ้าหน้าที่จับกุม ก่อนที่จะออกเดินเท้าไปยังศาลทหารเพื่อเข้าให้การเพิ่มเติมในวันศุกร์ที่ 27 มีนาคม
ต่อมาเวลา 01.30 น. พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา ผบก.สส.บช.น. ได้เดินทางมาร่วมสอบปากคำนายพันธ์ศักดิ์ ด้วยตนเองโดยใช้เวลาประมาณ 40 นาที จากนั้นเวลา 02.20 น. ทนายความสามารถเข้าไปในห้องสอบสวนได้
จากนั้นเวลา 09.30 น. ที่กรมพระธรรมนูญ ศาลทหารกรุงเทพ พนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม ได้นำตัวนายพันธ์ศักดิ์ส่งศาลทหารเพื่อขออำนาจฝากขัง ต่อมาเวลา 13.20 น. เจ้าหน้าที่จากกรมราชทัณฑ์ได้นำตัวขึ้นรถไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดย นายอานนท์กล่าวว่า ศาลได้สั่งฝากขังนายพันธ์ศักดิ์ เป็นเวลา 12 วัน โดยทางทนายได้ยื่นเรื่องขอประกันตัวพร้อมวางเงินสดจำนวน 5 เเสนบาท
@ นักศึกษา-ประชาชนให้กำลังใจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอานนท์ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวเนื้อหาระบุถึงการถอนเงินจากบัญชีที่ระดมทุนเพื่อประกันตัวตนเองพร้อมสมาชิกกลุ่มพลเมืองโต้กลับ มาใช้ประกันตัวนายพันธ์ศักดิ์ถึง 500,000 บาท จากจำนวน 800,000 บาทโดยประมาณ ทำให้เหลือเงินไม่ถึง 300,000 บาทจึงขอรับบริจาคเงินเพิ่มเติมเพื่อใช้ประกันตัวตนเองและสมาชิกกลุ่ม
ต่อมาเวลา 13.30 น. กลุ่มนักศึกษาจากศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย ประมาณ 3-4 คน เดินทางมาถึงบริเวณแนวรั้วเจ้าหน้าที่ จากนั้นร่อนเครื่องบินกระดาษมีข้อความสั้นๆ เขียนด้วยลายมือ อาทิ 'หยุดนำพลเรือนขึ้นศาลทหาร' 'หยุดคุกคามประชาชน' และ 'หยุดจองจำทางความคิด' เป็นต้น เข้าไปบนถนนหน้าศาลพระธรรมนูญ พร้อมชูสามนิ้ว นอกจากนี้ประชาชนส่วนหนึ่งได้แสดงออกผ่านโซเชียลมีเดีย อาทิ ถ่ายภาพตนเองถือกระดาษที่เขียนข้อความว่า "FREE พันธ์ศักดิ์" โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว รวมถึงมีผู้แต่งบทกวีให้กำลังใจด้วย
@ ศาลให้ประกันแบบมีเงื่อนไข
ต่อมาเมื่อเวลา 14.30 น. ศาลทหารมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวโดยเรียกหลักทรัพย์เป็นเงินสด 70,000 บาท โดย น.ส.ภาวิณี ชุมศรี ในฐานะทนายความ เปิดเผยว่า ศาลได้กำหนดเงื่อนไขประกอบการอนุญาตประกันตัว โดยมีเงื่อนไข 2 ข้อคือ 1.ห้ามผู้ต้องหากระทำการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการยั่วยุ ปลุกปั่น ชักชวน ปลุกระดม ไม่ว่าด้วยวิธีการใดๆ เพื่อให้มีการชุมนุมอันจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง หรือก่อให้เกิดภยันตรายใดๆ อันกระทบต่อความเสียหายหรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกระทำการใดๆ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน เละ 2.ห้ามผู้ต้องหาเดินทางออกจากราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล โดยอัยการศาลทหารได้นัดมารายงานตัวอีกครั้งในวันที่ 3 เมษายนนี้
"สำหรับคดีความของกลุ่มพลเมืองโต้กลับทั้ง 4 คน ได้เเก่ นายสิรวิชญ์ เสรีภิวัฒน์ น.ศ.คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ นายอานนท์ นำภา ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนฯ นายพันธ์ศักดิ์ เเละนายวรรณเกียรติ ชูสุวรรณ คนขับเเท็กซี่ ซึ่งถูกแจ้งข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งของ คสช. ก่อนหน้านี้ ทางอัยการได้นัดรายงานตัวในวันที่ 27 มีนาคม ทั้งนี้ นายสิรวิชญ์ได้ทำเรื่องขอเลื่อนรายงานตัวเนื่องจากต้องเดินทางไปทัศนศึกษาในช่วงเวลาดังกล่าว อัยการได้อนุญาตเเละนัดให้มารายงานตัวอีกครั้งในวันที่ 22 เมษายน" น.ส.ภาวิณีกล่าว
ต่อมาเวลา 19.35 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพันธ์ศักดิ์เดินออกมาจากเรือนจำด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม โดยมีกลุ่มนักศึกษาและประชาชนบางส่วนรอรับ ทั้งนี้ นายพันธ์ศักดิ์กล่าวว่า หมายจับที่เกิดขึ้นมีไว้เพื่อยับยั้งไม่ให้เดินโดยเฉพาะ ก่อนหน้านี้ได้มีความตั้งใจไว้ว่าจะไม่เซ็นรับเงื่อนไขในการปล่อยตัวใดๆ ทั้งสิ้น แต่เนื่องจากในครั้งนี้ได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ว่าจะพาภรรยาไปเที่ยวสงกรานต์ที่ภาคเหนือ จึงต้องยอมผิดคำพูด เพราะเห็นภรรยาสำคัญที่สุด
@ เล็งหมายจับอีก3บึ้มศาล
พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงความคืบหน้าคดีคนร้ายลอบปาระเบิดศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ว่า ตำรวจเตรียมขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาในคดีนี้เพิ่มอีก 2-3 คน ซึ่งเป็นระดับผู้ประสานงานและฝ่ายสนับสนุน หลังผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้ก่อนหน้านี้ให้การซัดทอด รวมถึงพบหลักฐานทางการเงิน และข้อมูลทางโทรศัพท์ เจ้าหน้าที่จะต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม เนื่องจากหลักฐานที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอต่อการออกหมายจับ
@ 'พระสุเทพ'หิ้วเอกสารแจงป.ป.ช.
เมื่อเวลา 13.30 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จ.นนทบุรี พระสุเทพ
ปภากโร หรือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะอดีต ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) พร้อมทีมทนายความ เดินทางมาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหากรณีการสั่งสลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ปี 2553 ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภายหลังการเข้าชี้แจงเป็นเวลา 2 ชั่วโมง พระสุเทพให้สัมภาษณ์ว่าได้นำเอกสารคำแก้ข้อกล่าวหาจำนวน 155 หน้า ประกอบด้วยข้อเท็จจริงและภาพประกอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นมาชี้แจงให้ ป.ป.ช.เข้าใจว่า เหตุการณ์ขณะนั้นเหมือนสถานการณ์สงคราม มีคนร้ายใช้อาวุธสงครามมาฆ่าประชาชน ตำรวจ ทหาร กลางเมือง เป็นสถานการณ์วิกฤตรุนแรงและฉุกเฉิน รัฐบาลจึงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ตั้งให้ตนเป็น ผอ.ศอฉ. ใช้อำนาจแทนนายกรัฐมนตรี ส่วนที่เมื่อมีผู้เสียชีวิตแต่เหตุใดจึงไม่มีการปรับแผนการนั้น ยืนยันว่าได้มีการปรับแผนตามสถานการณ์ แต่ไม่สามารถยกเลิกได้ เพราะถ้าเลิกเท่ากับยกเมืองให้โจร ตนมีหน้าที่รักษาความสงบ หวังว่าคงจะเข้าใจ
@ รับออกคำสั่งเองไม่เกี่ยว'มาร์ค'
พระสุเทพกล่าวว่า ในส่วนการให้สอบพยานเพิ่มเติมนั้น จะไม่ขออ้างใครเป็นพยานเพิ่มเติมเพราะทุกคำสั่งที่สั่งการไป เป็นผู้ลงนามเพียงคนเดียว และคำสั่งที่สั่งการไปมีรายละเอียดชัดเจน ยืนยันว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่เกี่ยวข้อง เวลาออกคำสั่งก็ไม่เคยไปบอกให้นายอภิสิทธิ์ทราบ โดยนายอภิสิทธิ์เพียงแค่ให้นโยบายว่า ไม่ให้มีการใช้กำลังสลายการชุมนุม พร้อมรับผิดชอบคนเดียวในทุกคำสั่ง ซึ่ง ป.ป.ช.แจ้งว่าหลังจากที่ได้อ่านคำแก้ข้อกล่าวหาของตนทั้ง 155 หน้าแล้ว จะเรียกมาให้ถ้อยคำอีกครั้งในวันที่ 21 เมษายน เมื่อถามว่า ป.ป.ช.ระบุว่า มีผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ชุมนุมเสียชีวิต และคำสั่งของศาลเรื่องการไต่สวนชันสูตรพลิกศพก็ยืนยันว่า ผู้เสียชีวิตบางส่วนโดนกระสุนปืนจากฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐเสียชีวิต พระสุเทพกล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น ถนนฝั่งที่ทหารอยู่ ไม่ได้มีทหารเพียงฝ่ายเดียว มีคนร้ายอยู่ด้วย มีกองกำลังเข้ามาโจมตี เพราะคนร้ายมีอาวุธปืน เช่น เอ็ม 16 ทราโว ที่แย่งไปจากทหารเช่นกัน เมื่อถามว่า มั่นใจว่าสามารถชี้แจงได้ใช่ไหม พระสุเทพกล่าวว่า ไม่มีใครรู้ แต่ยืนยันว่า ไม่หนีไปไหนแน่นอน หาก ป.ป.ช.ส่งเรื่องไปให้ สนช.ถอดถอน ก็พร้อมไปชี้แจงต่อสภา
@ โผทหารกลางปี614ตำแหน่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 18.00 น. มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องให้นายทหารรับราชการ โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้นายทหารรับราชการสนองพระเดชพระคุณ จำนวน 350 ตำแหน่ง ประกาศเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2558 โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ สำหรับการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ไม่มีตำแหน่งหลักเปลี่ยนนอกจากหมุนเวียนตามวงรอบ ทั้งนี้ สำหรับบัญชีรายชื่อปรับย้ายนายทหารกลางปี ในส่วนของกองทัพได้ปรับย้ายนายทหารจากบูรพาพยัคฆ์เข้ามาลงตำแหน่งสำคัญในการคุมกำลังหน่วยหลักทั้ง กองทัพภาคที่ 1 กองทัพภาคที่ 2 ที่ดูแลภาคอีสาน และกองทัพภาคที่ 3 ภาคเหนือ เพื่อดูแลฐานเสียงในห้วงที่จะมีการเลือกตั้งกลางปี โดยส่วนใหญ่นายทหารที่ใกล้ชิด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผบ.ทบ.และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม จะได้ดีเข้าสู่ตำแหน่งสำคัญในกองทัพบก
อาทิ น.อ.เชี่ยวชาญ รุดดิษฐ์ น้องชาย พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะ กกล.รส. ขยับขึ้น พล.อ.ต.ในตำแหน่ง ผทค.สป. ขณะที่กองบัญชาการกองทัพไทย พล.ร.อ.ธนะรัตน์ อุบล เสธ.ทร. โดนเด้งข้ามห้วยเป็น รอ. เสธ.ทหาร ถือเป็นการปรับย้ายจากไลน์ 5 ฉลาม ทร. สาเหตุจาก พล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผบ.ทร. เห็นว่าทำงานไม่ตอบสนองนโยบาย หลังจากทำงานในตำแหน่งในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
สำหรับกองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.อุดมเดชได้ขยับ พล.ท.พิสิทธ์ สิทธิสาร รอง เสธ.ทบ. เป็น ผทค.พิเศษ ทบ. ที่ฮือฮาคือได้ขยับหน่วยกำลังรบที่ใช้ทำรัฐประหาร อาทิ พล.ต.กู้เกียรติ ศรีนาคา ผบ.พล.ร. 2 รอ. น้องรักของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร เป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 เนื่องจากเป็นลูกหม้อบูรพาพยัคฆ์ และส่ง พล.ต.ศรีศักดิ์ พูนประสิทธิ์ ผทค.ทบ. ไปนั่ง ผบ.พล.ร. 2 รอ. และ พล.ต.ประวิตร ฉายะบุตร ขยับนั่ง ผบ.มทบ.12 ถือเป็นนายทหารสายบูรพาพยัคฆ์ ส่วน พล.ต.สิงห์ทอง หมีทอง ผบ.มทบ.11 ขยับไปเป็น ผบ.มทบ.14 พล.ต.จีระพันธ์ มาลีแก้ว ฝสธ.ประจำ ผบ. เป็น ผบ.มทบ.11
นอกจากนี้ พล.ต.ประวิทย์ หูแก้ว รองแม่ทัพน้อยที่ 2 ขยับขึ้นเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 2 พล.ต.บรรเจิด ฉาวปูนทอง พล.ม.1 เป็นรองแม่ทัพภาคที่ 3 พ.อ.อุทัย ชัยชนะ ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง ผบ.พล.ร.7 ขณะที่ พ.อ.กษิดิศ หลักกรด เป็น ผบ.พล.ม.1 พล.ต.นพวงศ์ สุรวิชัย รองแม่ทัพภาคที่ 4 เป็น แม่ทัพน้อยที่ 4 (พล.ท.) พล.ต.มณี จันทร์ทิพย์ ผบ.พล.ร.15 ขยับ