- Details
- Category: การเมือง
- Published: Thursday, 19 March 2015 11:26
- Hits: 5456
วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 24 ฉบับที่ 8877 ข่าวสดรายวัน
12 สปช.ซํ้ารอยสนช. สภาลูกเมีย ตั้งญาตินั่งเก้าอี้ผู้ช่วย วิปถกด่วน-เชิญออก คสช.โต้ฮิวแมนไรต์ฯ ชี้บิดเบือนศาลทหาร
ไทย-ญี่ปุ่น -นายชิเกะกะซุ ซะโตะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่ออำลาเนื่องจากพ้นหน้าที่ในประเทศไทย ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 18 มี.ค. |
ไม่น้อยหน้าสนช.ก่อนหน้านี้ สปช.ก็มีสภาลูก-สภาเมียเหมือนกันเลย เผย 12 สมาชิกสปช.แต่งตั้งเครือญาติของตัวเองนั่งผู้เชี่ยวชาญ ผู้ช่วยกินเงินภาษีราษฎร 'วันชัย สอนศิริ'ก็เอาด้วยตั้งลูกสาวนั่งผู้ช่วย อ้างขุ่นๆ ให้มาช่วยงานไม่ใช่รับเงินกินเปล่า สุดท้ายวิปถกเครียดสรุปสั่งให้ไปลาออกยกกระบิ ด้านโฆษกคสช.โต้ฮิวแมนไรต์วอตช์ปมนำพลเรือนขึ้นศาลทหาร อ้างใช้จินตนาการใช้ความรู้สึกไปเอง ยันกฎอัยการศึกใช้เพื่อป้องกันคนไม่ดีก่อความรุนแรง เพื่อไทยเตือนเขียนรธน.เปิดช่องคนนอกนั่งนายกฯระวังเจอวิกฤต 'บิ๊กตู่'ส่งหรีดร่วมอาลัยป้าสังเวียนเหยื่อเงินกู้ดอกโหด รัฐบาลมอบ 1 หมื่นช่วยงานศพ
ฉาวสปช.ตั้งเครือญาตินั่งผู้ช่วย
เมื่อวันที่ 18 มี.ค. ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ขอความร่วมมือให้สมาชิกที่มีญาติ บุตร เข้ารับเงินเดือนในตำแหน่งผู้ช่วย ผู้เชี่ยวชาญ ออกจากตำแหน่ง ล่าสุดพบว่า มีสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) จำนวน 12 คน แต่งตั้งเครือญาติเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งเป็นการเปิดเผยของสำนักเลขาธิการสภา ผู้แทนราษฎร พบว่านายกิตติภณ ทุ่งกลาง แต่งตั้งน.ส.ภัสสร ทุ่งกลาง เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน 15,000 บาท นางกูไชหม๊ะวันชาฟีหน๊ะ มนูญทวี แต่งตั้งนาย อาบีดีน มนูญทวี เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน 15,000 บาท
นายจรัส สุทธิกุลบุตร แต่งตั้งนายณรงค์ชัย สุทธิกุลบุตร เป็นผู้ชำนาญการประจำตัว เงินเดือน 20,000 บาท นายเจริญศักดิ์ ศาลากิจ แต่งตั้งนายพิสุทธิ์ ศาลากิจ เป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัว เงินเดือน 20,000 บาท นายทิวา การกระสัง แต่งตั้งนายสกนธ์ การกระสัง เป็นผู้ช่วยดำเนินงาน เงินเดือน 15,000 บาท นายธีรศักดิ์ พานิชวิทย์ แต่งตั้งนายณัฐชนน พานิชวิทย์ เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว เงินเดือน 15,000 บาท
ทนายวันชัยเอาด้วย-ตั้งลูกสาว
พล.อ.อ.มนัส รูปขจร แต่งตั้งนายวัชรเดช รูปขจร เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว เงินเดือน 15,000 บาท นายวันชัย สอนศิริ แต่งตั้งน.ส.ฉัตรทิพย์ สอนศิริ เป็นผู้ชำนาญการประจำตัว เงินเดือน 20,000 บาท นายสยุมพร ลิ่มไทย แต่งตั้งนายอิศร์ ลิ่มไทย เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว 15,000 บาท
นายสุวัช สิงหพันธุ์ แต่งตั้งพ.ต.หญิง ธัญนุช สิงหพันธุ์ เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว 15,000 บาท นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ แต่งตั้งน.ส.พนิดา สอนหลักทรัพย์ เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว 15,000 บาท และนางอุบล หลิมสกุล แต่งตั้งน.ส.พนมดา หลิมสกุล เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว 15,000 บาท
ด้านนายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสปช.เปิดเผยว่า จะนำเรื่องดังกล่าวหารือในที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือวิปสปช. เพื่อหาข้อสรุป เพราะเรื่องนี้เคยให้แนวปฏิบัติไปแล้ว
อ้างช่วยงาน-ไม่รับเงินกินเปล่า
นายอลงกรณ์ พลบุตร เลขานุการวิปสปช. กล่าวก่อนการประชุมวิปสปช.ว่า กรณีนี้ประธาน สปช.เคยให้แนวทางปฏิบัติตั้งแต่เกิดเรื่องกับสนช. ซึ่งสปช.ยินดีเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร แต่ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารประจำสภา ซึ่งมีสำนักงานเลขาธิการสภาและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาร่วมเป็นกรรมการ ซึ่งสปช.ไม่มีขัดข้องเพราะเป็นองค์กรและบุคคลสาธารณะ โดยสมาชิกสปช.ต้องคำนึงถึงอำนาจ หน้าที่ และความรับผิดชอบ ที่จะเป็นผู้นำปฏิรูปตามที่สังคมคาดหวัง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของแต่ละบุคคลด้วย
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ยอมรับว่าเมื่อมีข่าวออกมาเช่นนี้ย่อมกระทบต่อภาพลักษณ์ขององค์กรสปช. แต่ทราบว่าข้อมูลที่เปิดเผยในสื่อบางส่วนมีความคลาดเคลื่อน เนื่องจากสปช.ที่ให้เครือญาติ มาช่วยงานบางคนแจ้งความประสงค์ว่าไม่ขอรับผลตอบแทนหรือเงินเดือน จึงหวังว่าสมาชิก สปช.จะปฏิบัติให้ถูกต้องตามที่ประธานสปช.ให้แนวทางปฏิบัติไว้
ด้านนายวันชัย สอนศิริ สมาชิกสปช. กล่าวว่า ยอมรับว่าได้ตั้งน.ส.ฉัตรทิพย์ซึ่ง เป็นลูกสาวเป็นผู้ชำนาญการประจำตัวนั้น เป็นเรื่องจริง แต่ยืนยันว่าตั้งมาเพื่อทำงาน ไม่ใช่รับเงินกินเปล่า หากวิปสปช.มีมติออกมาอย่างไรก็พร้อมทำตาม
สุดท้ายให้เครือญาติสปช.ลาออก
เมื่อเวลา 15.00 น. นายวันชัยแถลงภายหลังการประชุมว่า พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) ในฐานะตัวแทนคสช.ได้เข้าร่วมประชุมและนำข้อหารือของคสช.มาแจ้ง โดยขอให้สปช.ชี้แจงแนวทางปฏิรูปด้านต่างๆ ให้ชัดเจนถึงเหตุผลทำไมต้องปฏิรูป จะปฏิรูปอย่างไรให้ประชาชนได้ประโยชน์ และจะใช้เวลาดำเนินการเท่าใด ทั้งยังขอให้ประสานการทำงาน กับครม.และคสช.อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การปฏิรูปมีประสิทธิภาพ
โฆษกวิปสปช.กล่าวว่า วิปสปช.ได้เพิ่มวันประชุมเป็น 3 วันต่อสัปดาห์ คือวันจันทร์ วันอังคาร และวันพุธ เพื่อมีเวลามากพอพิจารณาแนวทางการปฏิรูปที่กมธ.ปฏิรูปได้พิจารณาเสร็จแล้วได้ทัน โดยเฉพาะประเด็นปฏิรูปเรื่องสำคัญ อาทิ ด้านบริหารราชการแผ่นดิน ด้านการทุจริตประพฤติมิชอบ การปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เป็นต้น
ส่วนการแต่งตั้งเครือญาติเป็นที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ และผู้ช่วยประจำตัวสมาชิกสปช. โฆษกวิปสปช.กล่าวว่า ที่ประชุมหารือกัน โดยนายเทียนฉายยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาปกปิดข้อมูลในส่วนดังกล่าว เพียงแต่นายเทียนฉายไม่มีอำนาจโดยตรง แต่เป็นอำนาจของข้าราชการโดยคณะกรรมการบริหารข้อมูลข่าวสารของสภา แต่เมื่อเกิดกรณี ดังกล่าวขึ้น ที่ประชุมวิปสปช.มีมติให้นำแนวทางของวิปสนช.ที่แนะนำให้สมาชิกปรับเปลี่ยนตัวที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ และผู้ช่วยที่เป็นเครือญาติออกจากตำแหน่งทันที ส่วนประเด็นดังกล่าวจะมีผลต่อความน่าเชื่อถือในการปฏิรูปประเทศหรือไม่ ตนคิดว่าเป็นคนละเรื่องกัน
ป้ายต้านคสช.โผล่เชียงใหม่
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน โดยพ.ต.ต.เฉลิมพล แก้ววงค์วัน สว.สส.สภ.แม่ปิงเชียงใหม่ ส่ง เจ้าหน้าที่ไปปลดป้ายที่ติดบริเวณสะพานลอยข้ามถนนบริเวณถนนมหิดล ต.ท่าศาลา อ.เมืองเชียงใหม่ ใกล้กับโรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย ป้ายดังกล่าวเขียนด้วยตัวหนังสือสีแดงบนไม้อัด ข้อความว่า "ต่อต้านรัฐประหาร" โดยใช้ลวดเกี่ยวกับป้ายห้อยบริเวณป้ายบอกเส้นทางบนสะพานลอย ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนได้ปลดป้ายออกทันที และตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณใกล้ๆ เพื่อหาตัวผู้ลงมือ โดยผกก.สภ.แม่ปิง ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าเวรในช่วงกลางคืน จนถึงช่วงเช้าที่พบป้ายเป็นการด่วน และสั่งการให้ชุดสืบสวนตรวจสอบกล้องวงจรปิดในละแวกใกล้เคียง
พล.ต.ต.พงษ์สักก์ เชื้อสมบูรณ์ รอง ผบช.ภาค 5 ซึ่งดูแลเกี่ยวกับความมั่นคง เปิดเผยว่า ตนได้รับรายงานแล้ว และสั่งการไปยังจังหวัดเชียงใหม่และตำรวจท้องที่สภ.แม่ปิงเชียงใหม่ ให้ตรวจสอบกล้องวงจรปิด ทั้งที่จุดเกิดเหตุและละแวกใกล้เคียง ให้ตรวจสอบบุคคลหรือรถยนต์ที่ต้องสงสัย ซึ่งคงติดตามตัวได้ไม่ยาก รวมทั้งให้ตำรวจท้องที่เรียกประชุมแต่ละท้องที่ให้เข้มงวดในเรื่องนี้ โดยให้ตั้งด่านสกัดตรวจสอบเข้มในช่วงนี้ให้เข้มขึ้น
บิ๊กโด่งสั่งกกล.รส.ละมุนละม่อม
ที่บก.ทบ. เมื่อเวลา 08.30 น. ในการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก (ศปก.ทบ.) พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ในฐานะผบ.ทบ. กำชับสั่งการดูแลความสงบเรียบร้อยของกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) โดยเฉพาะการเตรียมข้อมูลและแผนการปฏิบัติงานการทำงานให้รวดเร็ว ปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เช่น การทำความเข้าใจกับกลุ่มเคลื่อนไหวต่างๆ ต้องระมัดระวัง เพราะทุกเรื่องมีความอ่อนไหว และทุกกลุ่มมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน จึงต้องเข้าไปทำความเข้าใจ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาพที่มีผลกระทบต่อภาพรวม
รายงานข่าวแจ้งว่า ผบ.ทบ.ระบุว่า กรณีการจัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ควรทำความเข้าใจและขอความร่วมมือ หากกลุ่มดังกล่าวยังยืนยันจัดกิจกรรมต่อเนื่อง ก็เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่หน้างานจะดูแลการจัดกิจกรรมให้อยู่ในขอบเขตกฎหมาย หากสร้างความเดือดร้อน หรือมีนัยแอบแฝงเพื่อให้เจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรง ต้องใช้ความรอบคอบและระมัดระวัง ทั้งนี้ ผบ.ทบ.ขอให้เจ้าหน้าที่ของ กกล.รส. ใช้ความอดทน ความละมุนละม่อม ในการปฏิบัติหน้าที่
ต่อต้าน - เจ้าหน้าที่ปลดป้าย "ต่อต้านรัฐประหาร" ที่มีผู้นำไปติดไว้บนสะพานลอย คนข้าม ใกล้กับโรงเรียนมงฟอร์ต ถ.มหิดล ต.ท่าศาลา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ก่อนออกติดตามตัวมาดำเนินคดี เมื่อวันที่ 18 มี.ค. |
บิ๊กป๊อกออกรับแทนบิ๊กตู่ขู่เล่น
เมื่อเวลา 13.00 น. ที่กระทรวงมหาดไทย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์กรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ขู่จะล้มร่างรัฐธรรมนูญหากเถียงกันมากว่า นายกฯ ขู่ไปอย่างนั้น ใครก็อยากเห็นประเทศชาติเดินหน้า ไม่อยากให้มีข้อขัดแย้ง เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งให้ได้ แต่ไม่ใช่ว่าพอใจหรือไม่พอใจก็มาสร้างสถานการณ์ ลอบวางระเบิด คนที่ทำรู้ว่าเศรษฐกิจขณะนี้เดินได้ส่วนหนึ่งมาจากภาคการท่องเที่ยว เลยสร้างเรื่องเหมือนแกล้งและลงโทษคนทั้งประเทศ เมื่อจับได้ก็ต้องดำเนินคดีกันไป
เมื่อถามว่า ขณะนี้เริ่มมีกลุ่มมวลชนออกมาเคลื่อนไหว พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า ไม่เป็นไร เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ละคนก็มีปัญหาไม่เหมือนกัน ซึ่งการเคลื่อนไหวแต่ละเรื่องตนไม่ขอพูด สิ่งสำคัญคือ คสช.ต้องทำให้เกิดความสงบเรียบร้อย เพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้าได้ โดยมีหน่วยงานที่รับผิดชอบจะดูแลแต่ละพื้นที่ ขณะที่กระทรวงต้องชี้แจงในเชิงสร้างสรรค์ โดยให้ผู้ว่าฯ นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ได้รับทราบว่าต้องปฏิบัติอย่างไร
ยอมรับปรับลดกฎอัยการศึก
เมื่อถามถึงนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.เตรียมเสนอให้ยกเลิกกฎอัยการศึก ช่วงเดือน มิ.ย. หรือส.ค.นี้ พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า เท่าที่ฟังนายกฯ ดูเหมือนพยายามหาเครื่องมือที่จะนำมาใช้แทนในส่วนนี้อยู่ เรามีกฎอัยการศึกเพื่อเป็นเกราะป้องกันและดูแลความสงบเรียบร้อยเท่านั้น ไม่ได้ออกมาตรการหรือไม่ได้ประกาศพื้นที่เคอร์ฟิว ใช้เพียงบางส่วนนิดหน่อย เชื่อว่านายกฯ อาจจะหากฎหมายเล็กๆ ออกมารองรับให้เจ้าหน้าที่ใช้แทนเมื่อถึงเวลา
"นายกฯ ให้สัมภาษณ์แล้วว่าถ้าสงบก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าวุ่นวายอยู่ ท่านคงไม่ยอมแน่ ยืนยันว่าที่ใช้เพราะยังมีเหตุป่วนวุ่นวายเกิดขึ้นอยู่ แต่เข้าใจว่านายกฯ ให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาอยู่ ซึ่งผมเข้าใจว่าแค่ไม่มีคำว่ากฎอัยการศึก ทุกคนคงพอใจ" รมว.มหาดไทยกล่าว
โฆษกคสช.โต้ฮิวแมนไรต์วอตช์
ที่บก.ทบ. พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก และโฆษกคสช. กล่าวถึงนายแบรด อดัมส์ ผอ.ประจำภูมิภาคเอเชียของฮิวแมนไรต์วอตช์ แถลงการณ์ผ่านเว็บไซต์ ให้รัฐบาลยุติการจับกุมและดำเนินคดีกับผู้ที่เห็นต่างว่า อาจเข้าใจคลาดเคลื่อน ภาครัฐไม่ได้จ้องจับผู้เห็นต่าง ซึ่งการบังคับใช้กฎหมาย ภาครัฐจะทำเท่าที่จำเป็นต่อผู้ที่ทำผิดกฎหมายเท่านั้น ตนไม่อยากให้มีการบิดเบือน สังคมจะสงบสุขได้ คนต้องเคารพกฎกติกา ภาครัฐเข้าใจผู้เห็นต่าง ไม่ได้มองเป็นศัตรูหรือฝ่ายตรงข้าม
พ.อ.วินธัย กล่าวว่า ยืนยันว่าภาครัฐจัดระบบช่องทางให้คนเห็นต่างได้แสดงออกหลายวิธี ทำไมไม่พูดถึงเลยโดยเฉพาะการเปิดเวทีรับฟังความเห็นหลายพันจุดทั่วประเทศ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ จะมีรูปแบบที่เป็นระบบ มีผลตอบสนองตามความต้องการไม่มากก็น้อย ถ้ามองจากภายนอกเราต้องศึกษาให้ลึกและรอบด้าน ไม่ควรให้ความเห็นล้อตามกระแสด้วยมุมมองเชิงอคติ เชื่อว่าหลายประเทศรู้มากขึ้นถึงบริบทความแตกต่างของไทย โดยเฉพาะในไทยยังมีความพยายามเคลื่อนไหวแอบแฝงซ่อนเร้นความต้องการที่แท้จริง เพื่อหลอกล่อให้เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อหยิบไปขยายผลโจมตี
ซัดบิดเบือน-แค่หยุดคนไม่ดี
โฆษกคสช. กล่าวว่า ข้อเรียกร้องให้เลิกใช้ศาลทหารดำเนินคดีกับพลเรือนนั้น ยืนยันว่าเท่าที่จำเป็นมีเพียง 2-3 ฐานความผิดเท่านั้น แบ่งเป็นคดีที่ไม่รุนแรง เรื่องคดีห้ามชุมนุมตามประกาศคสช. เพราะทำให้คนละเมิดสิทธิ์กันรุนแรงจนเกิดการสูญเสีย นี่คือข้อแตกต่างชัดเจนของไทยกับประเทศอื่น ส่วนคดีรุนแรงจะเกี่ยวกับความมั่นคง หรือคดีการใช้ความรุนแรง และคดีความไม่สงบในช่วงที่ผ่านมา เหล่านี้จะถูกระบุให้อยู่ในอำนาจของศาลทหาร ซึ่งเคยประกาศให้สังคมรับทราบอย่างเปิดเผย
พ.อ.วินธัย กล่าวว่า ดังนั้น อย่าบิดเบือนในลักษณะเหมารวม เงื่อนไขดังกล่าวถูกเสริมเพิ่มเข้ามาตามความจำเป็นที่สอดรับกับสถานการณ์ในภาวะไม่ปกติ เพื่อให้การแก้ปัญหามีประสิทธิภาพ หยุดยั้งคนไม่ดีไปละเมิดสิทธิ์ผู้อื่นด้วยการใช้ความรุนแรง และเชื่อว่าเป็นการบริหารบ้านเมืองในช่วงไม่ปกติที่ไม่ต่างจากสากลทั่วไป
ใช้ความรู้สึกจินตนาการศาลทหาร
พ.อ.วินธัยกล่าวต่อว่า การพิจารณาคดีของศาลทหารที่ผ่านมา อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานตามกระบวนการยุติธรรม ส่วนผลการพิจารณาคดีไม่เคยปรากฏพบข้อกังขาใดๆ น่าจะเป็นเพียงมุมมองเดิมๆ ที่ล้าสมัย ไม่เข้าใจกระบวนการยุติธรรมของศาลทหาร ที่สำคัญยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่าการพิจารณาคดีจากศาลทหารจะไม่มีความยุติธรรม นอกจากใช้ความรู้สึกจินตนาการไปเอง จึงควรศึกษาดูวิธีดำเนินการของศาลทหารก่อน ไม่ใช่ให้ข้อมูลโดยไม่มีข้อเท็จจริง ทำให้สังคมสับสน อาจถูกมองว่าก้าวล่วงด้านสิทธิความเชื่อมั่นต่อการทำหน้าที่ของศาลทหารได้
"การกล่าวหาว่าไทยยังละเมิดสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองของประชาชนอย่างไม่หยุดหย่อน เป็นเพียงความรู้สึกมุมมองส่วนบุคคล มั่นใจผลลัพธ์ที่เห็นเชิงประจักษ์ ยังไม่พบการละเมิดสิทธิ์ของประชาชนโดยรัฐ ส่วนใหญ่เป็นเพียงข้ออ้างที่ถูกหยิบยกให้เกิดประเด็นให้สังคมสนใจตามกระแสเท่านั้น" โฆษก คสช.กล่าว
ไพบูลย์แจงอำนาจกก.ปรองดอง
ที่รัฐสภา นายไพบูลย์ นิติตะวัน กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ เปิดเผยว่า ขณะนี้มีการพิจารณารายละเอียดแต่ละมาตราครบถ้วนแล้ว เหลือเพียงประเด็นเดียวที่แขวนอยู่คือ สัดส่วนสตรี คาดว่าภายในวันที่ 31 มี.ค.นี้จะหาข้อสรุปได้ โดยไม่ต้องลงมติ และไม่คิดว่าจะเกิดความขัดแย้งในกมธ.เหมือนที่ผ่านมา ส่วนเสียงสะท้อนเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญถือว่าเป็นเรื่องปกติ กมธ.ยกร่างฯ คุยกันเสมอว่าจะยกร่างด้วยหลักการเพิ่มอำนาจให้ประชาชน มีอำนาจอย่างแท้จริงอย่างเป็นรูปธรรม จึงทำให้เกิดผลกระทบกับผู้ซึ่งเคยมีอำนาจไม่สามารถใช้อำนาจในส่วนนี้ เช่น กรณีพรรคการเมืองคัดค้านว่าทำให้พรรคอ่อนแอ แต่ไม่พูดว่าพรรคอ่อนแอ แต่ประชาชนเข้มแข็งขึ้น
เมื่อถามว่าในภาค 4 บททั่วไปที่บัญญัติว่าเนื้อหาในภาคนี้ก่อให้เกิดหน้าที่แก่ ครม. ฝ่ายนิติบัญญัติ ศาล และองค์กรของรัฐทุกหน่วยงาน ทำให้เนื้อหา และองค์กรที่จะเกิดขึ้นตามภาค 4 มีอำนาจเสมือนรัฏฐาธิปัตย์ เพราะอยู่เหนืออำนาจอธิปไตย 3 ฝ่าย นายไพบูลย์กล่าวว่า กมธ.ยกร่างฯไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น แต่การตั้งข้อสังเกตถึงอำนาจของคณะกรรมการปรองดองแห่งชาติ ที่ให้ร่างพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษได้
"เจตนาของเราคือให้คู่ขัดแย้งที่คุยกันไม่ได้ มาคุยกันโดยมีคนกลางไกล่เกลี่ย เหมือนระบบอนุญาโตตุลาการ ไม่ได้คิดถึงขั้นให้อำนาจคณะกรรมการปรองดองฯ อยู่เหนืออำนาจอื่น เช่น การเสนอพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษได้ เพื่อให้มีผลในทางปฏิบัติ คลี่คลายความขัดแย้งได้เลย ไม่ไปติดขัดที่ขั้นตอนของฝ่ายการเมืองที่มีอำนาจขณะนั้น ซึ่งอาจเป็นคู่ขัดแย้งก็ได้ ทั้งนี้ จะนำประเด็นเหล่านี้ไปอภิปรายในที่ประชุมเมื่อมีการทบทวนร่างรัฐธรรมนูญหลังจาก ครม. คสช.และ สปช.เสนอคำแปรญัตติมาแล้ว" นายไพบูลย์กล่าว
กลับลำหนุนกม.นิรโทษกรรม
นายไพบูลย์ กล่าวว่า หากเห็นว่าอำนาจของคณะกรรมการปรองดองฯ กว้างเกินไปก็ทบทวนได้ รวมถึงที่มีการบัญญัติระบุอำนาจให้รวบรวมข้อเท็จจริง และทำรายงานความขัดแย้ง การละเมิดกฎหมาย การละเมิดสิทธิมนุษยชน และผู้ที่เกี่ยวข้องที่เป็นผู้กระทำ ทั้งนี้การเปิดเผยชื่อผู้ที่เกี่ยวข้องหรือข้อมูลอื่นใดที่ทำให้ทราบได้ว่าเป็นผู้ใดไม่ได้ เว้นแต่จะเปิดเผยตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่กฎหมายบัญญัตินั้น กมธ.ยกร่างฯมีเจตนาแค่ต้องการคุ้มครองผู้ให้ข้อมูลเท่านั้น ไม่ใช่ปิดบังความจริงจากผลที่รวบรวมข้อเท็จจริงได้ สิ่งเหล่านี้สามารถดูเนื้อหาให้ละเอียดรอบคอบอีกครั้งได้
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ตนเห็นด้วยที่จะนิรโทษกรรมให้ประชาชนที่มาชุมนุมแล้วทำผิดคดีอาญา ซึ่งปัจจุบันมีผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ กรณีบุกเอ็นบีที 80 กว่าคน และคดีอื่นๆ รวมกว่า 400 คน ส่วนนปช.มีเกือบพันคน และผู้ชุมนุมกปปส.ที่ถูกดำเนินคดีอาญาก็มีเป็นร้อย ซึ่งคนเหล่านี้เข้าข่ายนิรโทษกรรมให้ได้ เว้นคดีอาญาที่ทำให้ถึงแก่ชีวิต เผา ทุจริต หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ สิ่งเหล่านี้นิรโทษกรรมไม่ได้
"แม้แต่คดีก่อการร้าย ผมคิดว่าอยู่ในข่ายนิรโทษกรรมได้ เพราะพันธมิตรฯก็โดน กปปส.ก็โดนข้อหากบฏ หากจะดำเนินการต้องทำให้กับทุกฝ่าย โดยคณะกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง ที่นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นประธาน จะทำข้อเสนอแนะไปที่รัฐบาลปัจจุบันหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการเรื่องการอำนวยความยุติธรรมในประเด็นเหล่านี้ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้มีคณะกรรมการปรองดองฯตามรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นก่อน เว้นแต่จะทำไม่เสร็จ" นายไพบูลย์กล่าว
กมธ.ยกร่างฯ จ่อเดินสายแจงสื่อ
ด้านนายมานิจ สุขสมจิตร รองประธานกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ คนที่ 2 เปิดเผยว่า วันที่ 28 มี.ค. กมธ.ยกร่างฯจะจัดสัมมนารับฟังความเห็นพร้อมแลกเปลี่ยนความเห็นของสื่อมวลชนทุกสาขา รวมถึงบุคลากรที่เกี่ยวข้องในวงการสื่อมวลชน อาทิ คอลัมนิสต์ นักจัดรายการ ทั้งสถานีโทรทัศน์ สถานีวิทยุ วิทยุชุมชนทั้งในพื้นที่กทม. และต่างจังหวัด ประมาณ 200 คน ที่ห้องประชุมหมายเลข 213-216 อาคารรัฐสภา 2 เพื่อชี้แจงและทำความเข้าใจในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสาระสำคัญในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่มีเจตนารมณ์หลัก คือ พลเมืองเป็นใหญ่, การเมืองใสสะอาดและสมดุล, หนุนสังคมที่เป็นธรรม และนำชาติสู่สันติสุข โดยมีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธาน กมธ.ยกร่างฯ ตนและกมธ.ยกร่างฯจะเข้าร่วมด้วย
นายมานิจกล่าวว่า จากนั้น กมธ.ยกร่างฯจะนำความเห็นที่ได้ไปพิจารณาทบทวนและปรับปรุงตัวบทของร่างรัฐธรรมนูญต่อไป ขณะนี้กมธ.ยกร่างฯได้เดินสายพบสื่อทุกประเภทในพื้นที่กทม. เพื่อสร้างความเข้าใจต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
นพ.ณรงค์โต้ไม่สนองรมต.
เมื่อเวลา 14.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.) นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) และที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิด้านการวิจัยและพัฒนางานด้านสุขภาพแห่งชาติ ประจำสำนักนายกฯ เข้าให้ข้อมูลต่อคณะกรรมการป.ป.ท. กรณีมีการร้องเรียนให้สอบข้อเท็จจริงสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ในเรื่องการบริหารจัดการงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือกองทุน 30 บาทรักษาทุกโรค(บัตรทอง)
นพ.ณรงค์ เปิดเผยว่า ป.ป.ท.แจ้งว่าช่วยมาให้ข้อมูลสปสช. ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เคยพูดไปแล้ว อาทิ การจัดสรรงบกองทุนหลักประกันสุขภาพฯ ส่วนที่นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รมว.สาธารณสุข ให้เหตุผลปลัดสธ. ไม่สนองนโยบายการทำงานนั้น นพ.ณรงค์กล่าวว่าไม่ขอตอบโต้ ไปพิจารณาเนื้องาน ที่ผ่านมาดีกว่า เรื่องไม่สนองตอบนโยบาย ขอให้ดูที่นโยบายการทำงาน ส่วนกรณีตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบนั้น ยินดีให้ตรวจสอบ
"ขณะนี้ยังไม่เห็นหนังสือให้ชี้แจง หรือรายละเอียดการไม่สนองตอบนโยบายว่ามีอะไรบ้าง แต่เชื่อว่าอาจอยู่ระหว่างการดำเนินการ ซึ่งหนังสือน่าจะส่งตรงมาที่สำนักงานคณะกรรมการก.พ. ที่ผมนั่งทำงานอยู่" ปลัดสธ.กล่าว
หมอรพ.ยังแต่งดำค้านเด้งปลัดสธ.
พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ ที่ปรึกษาสมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์โรงพยาบาลทั่วไป(สพศท.) หนึ่งในประชาคมสาธารณสุข และแพทย์ ร.พ.สุรินทร์ กล่าวว่าร.พ.และบุคลากรสาธารณสุขในภูมิภาคยังคงแสดงออกเชิงสัญลักษณ์แต่งดำ ยืนยันไม่กระทบต่อการให้บริการประชาชน ส่วนตนได้ทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ทหารแล้ว ยังคงปฏิบัติหน้าที่ได้เหมือนเดิม รวมถึงการเดินทางออกนอกพื้นที่
เมื่อถามถึงการยื่นหนังสือต่อนายกฯ ยังมีกำหนดการเรียกร้องตามเดิมหรือไม่ พญ.ประชุมพรกล่าวว่า เบื้องต้นหารือกับประชาคมสาธารณสุข อาจจะยังไม่ยื่นหนังสือ เนื่องจากสถานการณ์มาถึงจุดที่นายกฯตัดสินใจตั้งคณะกรรมการตรวจสอบสปสช.ด้วย แสดงว่านายกฯให้ความสำคัญเรื่องนี้ เพราะตั้งสอบทั้ง 2 ฝ่าย เหลือเพียงว่าผลสอบจะเป็นอย่างไร ซึ่งชาวสาธารณสุขหวังว่าระบบจะดีขึ้น และขอให้เปิดเผยรายชื่อคณะกรรมการ สอบสปสช.ด้วย
นพ.ธานินทร์ ศรีวราภรณ์สกุล ประธานชมรมโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป (รพศ./รพท.) หนึ่งในประชาคมสาธารณสุข และผอ.ร.พ.พระนครศรีอยุธยากล่าวว่า ประชาคมหารือและเห็นว่า การยื่นหนังสือให้นายกฯ ถูกนำไปขยายความว่าต่อต้านรัฐบาล แต่ความจริงประชาคมอยากแสดงถึงความต้องการต่อระบบสาธารณสุข ไม่ได้สร้างปัญหาให้รัฐบาล จากนี้ชาวประชาคมยังยืนยันขอแสดงออกในพื้นที่คือร.พ.ของตนเอง ส่วนใหญ่จะแต่งชุดดำ
พท.เตือนรธน.เปิดช่องคนนอก
วันเดียวกัน นายชูศักดิ์ ศิรินิล หัวหน้าคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการตั้งองค์กรพิเศษขึ้นมาชี้ขาดว่าสถานการณ์ใดควรให้มีนายกฯคนนอกกรณีวิกฤตว่า เขาคงต้องการให้เกิดความชัดเจนตามข้อเสนอของบางฝ่ายเท่านั้น ซึ่งตนไม่เห็นด้วยที่จะมีนายกฯพิเศษ แม้จะเขียนรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน แต่เชื่อว่ายังตะเกียกตะกายตีความกันให้ไปเป็นอย่างอื่น ตีความให้มันเพี้ยนจากกฎหมายที่บัญญัติไว้ รัฐธรรมนูญฉบับที่แล้วไม่เปิดช่อง ก็ยังพยายามตีความกันมาก ถ้าไปเปิดช่องก็คงไปกันใหญ่
"ผมไม่เห็นด้วยที่จะเขียนเปิดทางให้คนนอกมาเป็นนายกฯ มันถอยหลังกลับไปก่อนปี 2540 ประเด็นนี้ทำให้เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เราจะเขียนรัฐธรรมนูญย้อนกลับไปให้ซ้ำรอยเดิม ประกอบกับการลดจำนวนส.ส.เขต เพิ่มบัญชีรายชื่อ เปิดให้กลุ่มต่างๆ เข้าสู่การเมือง ไม่ต้องสังกัดพรรค เปิดโอกาสให้มีรัฐบาลที่มาจากหลายกลุ่ม ท้ายสุดโอกาสที่จะมีนายกฯคนนอกสูงมาก การตั้งองค์กรอะไรมาก็ไร้ประโยชน์" นายชูศักดิ์กล่าว และว่าหากตั้งองค์กรนี้จริง ถามว่าคนที่เข้ามาทำหน้าที่จะมาจากไหน มาตรานี้จึงต้องทบทวน อย่าเปิดให้มีนายกฯคนนอก
ไม่หวั่นเอาผิด'ปู'ทัวร์นกขมิ้น
นายชูศักดิ์กล่าวถึงกกต.เตรียมประชุมสำนวนคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งส.ส.ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ และพวก กรณีลงพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสาน โดยใช้ทรัพยากรของรัฐและเจ้าหน้าที่รัฐไปหาเสียงระหว่างที่มีพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 ก.พ.2557 ว่าพรรคเพื่อไทยเคยชี้แจงไปแล้วว่าอดีตนายกฯไม่ได้มีเจตนาไปหาเสียง สภาพการเมืองขณะนั้นทราบดีว่าเป็นอย่างไร ไปไหนก็ไม่ได้ สถานที่ราชการก็โดนยึด
นายชูศักดิ์ กล่าวว่า เวลาไปต่างจังหวัดเราก็ไม่ได้บอกส.ส.ให้เอาประชาชนมารับ ส่วนใหญ่เขามากันเอง แถมกำชับด้วยว่าห้ามขึ้นป้ายหาเสียงเด็ดขาด เพราะอดีตนายกฯรู้ข้อกฎหมายดีว่าควรทำอย่างไร เจตนาไม่ได้ทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง ที่สำคัญอย่าลืมว่าการเลือกตั้งเป็นโมฆะไปแล้ว และรัฐธรรมนูญที่เป็นเหตุของการเลือกตั้งก็หมดไปแล้ว จะเอาผิดอะไรอีก ทั้งนี้ ไม่รู้สึกกังวล แต่หากมีการดำเนินคดี ต้องไปดูว่าเพราะอะไรถึงตีความขนาดนี้
มะเร็งคร่า'แสวง ฤกษ์จรัล'
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายแสวง ฤกษ์จรัล อดีตส.ส.กทม. พรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชน (พปช.) ถึงแก่กรรมแล้วด้วยโรคมะเร็งปอด ในวัย 64 ปี ที่โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ กรุงเทพฯ โดยในวันที่ 19 มี.ค. เวลา 13.00 น. จะทำการเคลื่อนศพ และเวลา 16.00 น. จะทำพิธีรดน้ำศพที่วัดอุดมรังสี และจะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 28 มี.ค. เวลา 16.00 น.
สำหรับนายแสวง เป็นอดีตส.ส.กทม.พรรคพลังธรรม พรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชน และเคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารมต.ประจำสำนักนายกฯ นายวราเทพ รัตนากร สมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
'บิ๊กตู่'ช่วย1หมื่นศพป้าสังเวียน
วันที่ 18 มี.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อคืนวันที่ 17 มี.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบให้ผู้แทนรัฐบาลนำพวงหรีดไปมอบให้กับครอบครัวของนางสังเวียน รักษาเพ็ชร์ หรือป้าสังเวียน เพื่อแสดงความเสียใจต่อการจากไปของนางสังเวียน ที่ใช้น้ำมันราดและจุดไฟเผาตัวเอง เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากปัญหาหนี้สินนอกระบบ ถือเป็นอุทาหรณ์ที่คนไทยทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้นซ้ำอีก
รองโฆษกรัฐบาลกล่าวว่า กรณีนางสังเวียนเป็นความสูญเสียและเป็นกรณีศึกษาที่เตือนใจทุกคน เชื่อว่าหากประชาชนยึดถือหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จะหลีกเลี่ยงภาวะหนี้สินรุมเร้าได้ ภาครัฐจะต้องป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก โดยพ.ร.บ.การทวงถามหนี้พ.ศ. 2558 ซึ่งประกาศบังคับใช้แล้ว เพื่อควบคุมเจ้าหนี้-คุ้มครองลูกหนี้ ไม่ให้เกิดกรณีรุนแรงเช่นที่เกิดเคยในอดีต ผู้กระทำผิดจะถูกระวางโทษทางอาญา ทั้งปรับ และจำคุกอย่างหนัก
"เราอยากให้กรณีป้าสังเวียนเป็นอุทาหรณ์ รัฐบาลหวังให้เป็นการสูญเสียครั้งสุดท้าย และจะติดตามบังคับใช้พ.ร.บ.การติดตามทวงหนี้ให้เกิดความมั่นใจว่าจะช่วยสร้างเป็นความธรรมกับลูกหนี้ ไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงดังที่ผ่านมาได้" พล.ต.สรรเสริญกล่าว
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมต.ประจำสำนักนายกฯ และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี(สปน.) กล่าวว่า เย็นวันนี้ตนพร้อมที่ปรึกษารมต.ประจำสำนักนายกฯ รองปลัดสปน. และข้าราชการในสังกัดสปน.จะเดินทางไปจ.ลพบุรี เพื่อเป็นเจ้าภาพในพิธีสวดพระอภิธรรมศพนางสังเวียน ที่วัดถลุงเหล็กน้อย ต.ถลุงเหล็กน้อย อ.โคกสำโรง เพื่อแสดงความเสียใจกับญาติ พร้อมมอบเงินช่วยเหลือครอบครัวของนางสังเวียน 10,000 บาท นอกจากนั้นข้าราชการสปน.ส่วนหนึ่งได้รวบรวมเงินมอบให้เป็นกำลังใจแก่ครอบครัวของนางสังเวียนด้วย
นายอำนวย คลังผา อดีตส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีนางสังเวียนว่า ไม่อยากให้เรื่องนี้เงียบหาย อยากให้กระทรวงมหาดไทยเร่งสำรวจหนี้นอกและในระบบ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ยากไร้ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพจัดสำรวจ ที่อำเภอให้ประชาชนมาแจ้งหนี้นอกและในระบบ และสำรวจนายทุนที่เรียกดอกเบี้ยเกินกำหนดเพื่อหาทางแก้ไข อย่าให้เรื่องนี้หายไป
"กรณีของนางสังเวียนน่าเสียใจที่สุด เสียคนๆ หนึ่งไปจากเรื่องหนี้สิ้น อยากให้เป็นบรรทัดฐานของหนี้นอกระบบ ให้มีหลักเมตตาธรรมกันด้วย ไม่อยากให้มีรายที่สองเกิดขึ้นในประเทศอีก" นายอำนวยกล่าว
ไก่อูแจงภาษีกวดวิชา-ชี้ฟุ่มเฟือย
เมื่อวันที่ 18 มี.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในที่ประชุมครม.วันที่ 17 มี.ค.ได้รับทราบข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ในการจัดเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชา ซึ่งมีลักษณะประกอบธุรกิจที่แสวงหากำไรอย่างชัดเจน มีงานวิจัยพบว่าโรงเรียนกวดวิชาเหล่านี้มีกำไรสูงถึงร้อยละ 40 ซึ่งเป็นกำไรที่มากกว่าปกติ แต่ที่ผ่านมาได้รับการยกเว้นไม่เสียภาษี ป.ป.ช.จึงสนับสนุนให้เกิดความเป็นธรรมในระบบภาษี และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพบริหารจัดการการศึกษาทั้งระบบอย่างยั่งยืน
พล.ต.สรรเสริญ กล่าวว่า ป.ป.ช.ยังชี้ว่าโรงเรียนกวดวิชาส่วนใหญ่เก็บค่าเรียนตามความนิยมหรือชื่อเสียงของสถาบันนั้นๆ และไม่ได้อิงอัตราตามเพดานที่กฎหมายกำหนดไว้ รวมทั้งวัตถุประสงค์ที่ภาครัฐเคยยกเว้นภาษีเงินได้ เพื่อให้โรงเรียนกวดวิชาช่วยส่งเสริมและสนับสนุนผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษา แต่ปัจจุบันโรงเรียนกวดวิชาส่วนใหญ่มิได้ให้ผลประโยชน์แก่ผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษา เนื่องจากเก็บค่าเรียนในอัตราสูง หรือเอกสารการเรียน เช่น ซีดีที่บันทึกการสอน หนังสือ และคู่มือของโรงเรียนมักสงวนลิขสิทธิ์ไว้ หากทำซ้ำโดยไม่ได้รับอนุญาตต้องถูกฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมาย
"มาตรการจัดเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชาถือเจตนาที่ดี มุ่งยกระดับและสร้างความเป็นธรรมให้ทุกฝ่าย ภาครัฐไม่ได้มุ่งเน้นแสวงหารายได้ แต่ต้องการพัฒนาระบบการศึกษาให้เด็กไทยเข้าถึงการเรียนระดับชั้นมัธยมและอุดมศึกษาอย่างมีคุณภาพ มาตรฐาน ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการจะผู้ขับเคลื่อนต่อไป" พล.ต.สรรเสริญกล่าว
พล.ต.สรรเสริญกล่าวว่า ครม.มีมติวันที่ 10 มี.ค. 2558 เห็นชอบให้กระทรวงการคลังจัดเก็บภาษีเงินได้โรงเรียนกวดวิชา คาดว่าจะมีรายได้จากการจัดเก็บ 1,200 ล้านบาทต่อปี โดยเห็นว่าร.ร.กวดวิชามิใช่การศึกษาหลัก แต่เป็นทางเลือก หรือการศึกษาส่วนเกินที่เพิ่มเติม เปรียบเสมือนสินค้าฟุ่มเฟือยที่มิใช่สิ่งจำเป็น แต่เป็นความพึงพอใจของผู้ใช้บริการแต่ละคน
พล.ต.สรรเสริญ กล่าวว่า รัฐจะมุ่งเน้นยกระดับการจัดการศึกษาในระบบหลักเป็นสำคัญ จึงมอบให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดปรับปรุงคุณภาพมาตรฐานสถานศึกษาในระบบให้ทัดเทียมกัน เพื่อให้นักเรียนเข้าถึงบริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ลดแรงจูงใจและความจำเป็นในการกวดวิชาเพิ่มเติม ในปี 2557 มีโรงเรียนกวดวิชาที่ได้รับอนุญาตจัดตั้งตามกฎหมาย 2,379 แห่ง มีนักเรียน 535,695 คน แบ่งเป็นโรงเรียนกวดวิชาในพื้นที่กรุงเทพฯ 549 แห่ง มีนักเรียน 209,350 คน และในส่วนภูมิภาค 1,830 แห่ง มีนักเรียน 326,345 คน
สปช.ชงยกระดับ'ดะโต๊ะ'เท่าขรก.
วันที่ 18 มี.ค. ที่รัฐสภา นายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกคณะอนุกมธ.ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในชั้นศาล ในกมธ.ปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม สปช. แถลงผลการประชุมว่า ที่ประชุมเห็นว่าควรกำหนดอายุการเข้าสู่ตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษาที่ 25 ปี และเกษียณ 70 ปี เนื่องจากการฝึกอบรมผู้ช่วยผู้พิพากษา และผู้พิพากษาใช้เวลาหลายปี ทำให้ผู้พิพากษาที่ออกไปปฏิบัติหน้าที่ครั้งแรก มีอายุโดยเฉลี่ยมากกว่า 30 ปี ส่วนระยะเวลาการอบรมผู้ช่วยผู้พิพากษาควรอยู่ที่ 1 ปี และดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาประจำศาล 3 ปี
นายสิทธิศักดิ์ กล่าวว่า นอกจากนั้นยังเห็นควรให้ตั้งคณะทำงานร่างกฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์การโยกย้ายแต่งตั้งผู้พิพากษาในศาลชำนาญพิเศษต่างๆ เพื่อให้ผู้พิพากษามีความชำนาญเฉพาะด้าน ปฏิบัติหน้าที่ในศาลชำนาญพิเศษได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งส่งเสริมให้มีการศึกษาฝึกอบรมอย่างต่อเนื่องด้วย
นายสิทธิศักดิ์ กล่าวว่า ที่ประชุมยังเห็นควรให้เปิดทำการศาลแขวงในพื้นที่ห่างไกลเพิ่มขึ้น และให้ทำหน้าที่เป็นสาขาของศาลจังหวัด เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลเข้าถึงความยุติธรรมได้โดยเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด ทั้งนี้ ยังปรับปรุงสถานะของดะโต๊ะ ที่มีหน้าที่พิจารณาคดีของชาวมุสลิมใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในคดีครอบครัว มรดก ให้ทัดเทียมกับข้าราชการตุลาการ เช่น ยกระดับวุฒิการศึกษา ฝึกอบรมก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่ ค่าตอบแทนที่ไม่แตกต่างจากข้าราชการตุลาการ อาจให้มีการอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายอิสลามได้ด้วย และขยายอายุงานออกไปจาก 60 ปี
โฆษกอนุกมธ.กล่าวอีกว่า ที่ประชุมเห็นว่าควรให้โอนกรมบังคับคดี กรมคุมประพฤติ และกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน มาสังกัดในสำนักงานศาลยุติธรรม เนื่องจากการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล ดำเนินการในกรอบของฝ่ายตุลาการ จะต้องมีอิสระ ปราศจากการแทรกแซง การให้หน่วยงานซึ่งทำหน้าที่บังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของฝ่ายตุลาการไปสังกัดฝ่ายบริหาร สุ่มเสี่ยงจะถูกแทรกแซง โดยอาศัยอำนาจบังคับบัญชาในการบริหารงานบุคคล หรือออกระเบียบของฝ่ายบริหาร ทั้งนี้ ภารกิจบางอย่างของหน่วยงานเหล่านี้จำเป็นต้องดำเนินการเพื่อความเป็นอิสระ มิเช่นนั้นจะมีผลกระทบต่อการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล
แฉ 12 สปช.เลียนสนช. ตั้งลูกเมีย มติวิปไล่ไขก๊อกทันที กินเงินเดือนกุนซือ-ผช. แจ้งเพิ่ม'แหวน'ผิด 112 '4 มือบึ้ม'ร้องโดนซ้อม ฮิวแมนฯจี้เลิก'ขังลับ'ปูลุ้นศาลฎีกาฯชี้วันนี้
ศาลฎีกาฯชี้รับฟ้อง'ปู'หรือไม่วันนี้ มติวิป สปช.ให้เครือญาติลาออกจากกุนซือ หลังตรวจพบ 12 สปช.จ้างเป็นผู้ช่วย-ที่ปรึกษา ฮิวแมนไรต์สวอตช์จี้ทหารเลิกคุมขังลับ กสม.เล็งสอบซ้อมมือบึ้มศาลอาญา ทนายร้องสอบ'แหวน'ใหม่
@ "บิ๊กป๊อก"รับหาทางออกอัยการศึก
เมื่อวันที่ 18 มีนาคม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ขู่หากถกเถียงกันมากจะล้มร่างรัฐธรรมนูญและตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาร่างใหม่ว่า นายกฯขู่ไปอย่างนั้นแหละ ใครก็อยากเห็นประเทศชาติเดินหน้า อย่ามีข้อขัดแย้งเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งให้ได้ แต่ไม่ใช่ว่าพอใจหรือไม่พอใจอะไรก็มาสร้างสถานการณ์ มีการลอบวางระเบิด คนที่ทำรู้ว่าเศรษฐกิจขณะนี้เดินได้ส่วนหนึ่งมาจากภาคการท่องเที่ยว เลยสร้างเรื่องเหมือนแกล้งและลงโทษคนทั้งประเทศ เมื่อจับได้ก็ต้องดำเนินคดีกันไป ส่วนกรณีขณะนี้เริ่มมีกลุ่มมวลชนออกมาเคลื่อนไหว พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า ไม่เป็นไร เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ละคนก็มีปัญหาไม่เหมือนกัน สิ่งสำคัญ คสช.ต้องทำให้เกิดความสงบเรียบร้อย เพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้าได้ ทั้งนี้ ทางกระทรวงต้องชี้แจงในเชิงสร้างสรรค์ให้ผู้ว่าฯ นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ได้รับทราบว่าต้องปฏิบัติอย่างไร
ส่วนกรณีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. เตรียมเสนอให้ยกเลิกกฎอัยการศึกช่วงเดือนมิถุนายนหรือสิงหาคมนี้ พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า เท่าที่ฟังนายกฯ ดูเหมือนว่าพยายามหาเครื่องมือจะนำมาใช้แทนอยู่ อาจจะหากฎหมายเล็กๆ ออกมารองรับให้เจ้าหน้าที่ใช้แทนเมื่อถึงเวลา นายกฯให้สัมภาษณ์ไปแล้วว่า ถ้าสงบก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าวุ่นวายอยู่นายกฯคงไม่ยอมแน่ ที่ใช้เพราะยังมีเหตุป่วนวุ่นวายเกิดขึ้นอยู่
@ "วินธัย"โต้ฮิวแมนไรต์สวอตช์
พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก และโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่ฮิวแมนไรต์สวอตช์ได้เผยแพร่แถลงการณ์ผ่านเว็บไซต์ ถึงการดำเนินคดีฐานละเมิดกฎอัยการศึก ห้ามการประกอบกิจกรรมทางการเมือง และห้ามการรวมกลุ่มเกิน 5 คน กับ 4 นักกิจกรรม ประกอบด้วย นายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ นายอานนท์ นำภา นายวรรณเกียรติ ชูสุวรรณ และนายสิริวิชญ์ เสรีวิวัฒน์ โดยทั้ง 4 คน ถูกดำเนินคดีในศาลทหาร จำเลยจะไม่มีสิทธิอุทธรณ์ใดๆ ต่อคำพิพากษาของศาลทหารและรัฐบาลต้องยุติการจับกุมดำเนินคดีกับบรรดาผู้ที่เห็นต่างว่า เป็นการเข้าใจคลาดเคลื่อน ภาครัฐไม่ได้จ้องจับผู้เห็นต่างอย่างแน่นอน จะดำเนินการบังคับใช้กฎหมายเท่าที่จำเป็นต่อผู้ที่ทำผิดกฎหมายเท่านั้น ไม่อยากให้มีการนำไปบิดเบือน เพราะสังคมจะสงบสุขได้คนในสังคมต้องเคารพกฎกติกา ส่วนภาครัฐเข้าใจผู้เห็นต่างมาตลอดไม่ได้มองเป็นศัตรูหรือฝ่ายตรงข้าม
"ยืนยันว่ามีจัดระบบช่องทางสำหรับให้คนเห็นต่างได้แสดงออกให้หลากหลาย ทำไมไม่พยายามจะพูดถึงเลย โดยเฉพาะมีเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจำนวนหลายพันจุดทั่วประเทศ ผลลัพธ์ที่ได้จากตรงนี้จะมีรูปแบบที่เป็นระบบ จะมีผลตอบสนองไปตามความต้องการไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน มองจากภายนอกอาจต้องศึกษาให้ลึกและรอบด้าน ที่สำคัญไม่ควรให้ความเห็นล้อตามกระแสด้วยมุมมองเชิงอคติ เชื่อว่าหลายประเทศรู้มากขึ้นแล้วถึงบริบทความแตกต่างของประเทศไทย" พ.อ.วินธัยกล่าว และว่า ยังคงมีความพยายามจะเคลื่อนไหวลักษณะแอบแฝงซ่อนเร้นความต้องการแท้จริง เพื่อหลอกล่อให้เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใด จะสามารถหยิบไปเป็นประเด็นขยายผลกดดันโจมตี
@ แจงปมพลเรือนขึ้นศาลทหาร
พ.อ.วินธัยกล่าวว่า สำหรับข้อเรียกร้องให้เลิกใช้ศาลทหารในการดำเนินคดีกับพลเรือนนั้น ยืนยันว่าเท่าที่จำเป็นมีเพียงเฉพาะ 2-3 ฐานความผิดเท่านั้น แบ่งเป็นคดีไม่รุนแรงคือเรื่องคดีการห้ามชุมนุมตามประกาศ คสช. เพราะการชุมนุมที่ผ่านมาเป็นสาเหตุหลักทำให้คนละเมิดสิทธิกันอย่างรุนแรงจนถึงขั้นมีการสูญเสียจำนวนมาก คือข้อแตกต่างชัดเจนของไทยกับประเทศอื่นๆ ส่วนคดีรุนแรงจะเป็นคดีเกี่ยวกับความมั่นคงหรือคดีการใช้ความรุนแรง และคดีที่เกี่ยวข้องความไม่สงบในช่วงที่ผ่านมา ถึงจะถูกระบุให้อยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลทหารเท่านั้น ที่ผ่านมาเคยมีแจ้งไว้เป็นประกาศเพื่อให้สังคมได้รับทราบอย่างเปิดเผย ขอร้องว่าอย่าบิดเบือนในลักษณะเหมารวม เงื่อนไขดังกล่าวถูกเสริมเพิ่มเติมเข้ามาตามความจำเป็นจริงที่สอดรับกับสถานการณ์บ้านเมืองอยู่ในภาวะที่ไม่ปกติ เพื่อให้การแก้ปัญหามีประสิทธิภาพ สามารถหยุดยั้งการละเมิดสิทธิผู้อื่นด้วยการใช้ความรุนแรงได้ เชื่อว่าเป็นการบริหารบ้านเมืองในช่วงไม่ปกติไม่ต่างจากสากลทั่วไป
@ จวกใช้จินตนาการชี้ปมละเมิด
พ.อ.วินธัยกล่าวว่า สำหรับความกังวลในเรื่องความยุติธรรม ความเป็นกลาง และความเป็นอิสระในการพิจารณาคดีนั้น ประวัติการพิจารณาคดีของศาลทหารในอดีตที่ผ่านมาก็อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานตามกระบวนการยุติธรรม สำหรับผลการพิจารณาคดีก็ไม่เคยปรากฏพบข้อกังขาใดๆ น่าจะเป็นเพียงมุมมองเดิมๆ ล้าสมัย และไม่เข้าใจระบบกระบวนการยุติธรรมของศาลทหาร ที่สำคัญยังไม่ได้มีข้อพิสูจน์อะไรในเชิงจับต้องได้ว่าการพิจารณาคดีจากศาลทหารจะไม่มีความยุติธรรม นอกจากจะใช้ความรู้สึกจินตนาการไปเอง โดยไม่มีเหตุผลรูปธรรม หากมีโอกาสควรมาศึกษาสังเกตการณ์ดูวิธีการดำเนินการของศาลทหารก่อน ไม่ใช่ให้ข้อมูลไปโดยไม่มีข้อเท็จจริงจนทำให้สังคมสับสน และอาจถูกมองว่าเหมือนไปก้าวล่วงทางด้านสิทธิความเชื่อมั่นต่อการทำหน้าที่ของศาลทหารได้
"ที่กล่าวว่าไทยยังคงละเมิดสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองของประชาชนต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน เป็นเพียงความรู้สึกด้วยมุมมองส่วนบุคคล ขอให้มั่นใจผลลัพธ์ที่เห็นเชิงประจักษ์ เพราะยังไม่พบการละเมิดสิทธิของประชาชนโดยรัฐอย่างแน่นอน ส่วนใหญ่เป็นเพียงข้ออ้าง มักถูกหยิบยกมากล่าวเพียงให้เกิดประเด็นให้สังคมสนใจตามกระแสเท่านั้น" พ.อ.วินธัยกล่าว
@ คสช.ปัดซ้อมผู้ต้องหาคดีบึ้ม
พ.อ.วินธัยกล่าวถึงกรณีจับกุมผู้ต้องหาคดีวางแผนวางระเบิดศาลอาญา โดยทางกลุ่มนักกฎหมายอาสาเพื่อสิทธิมนุษยชน (กนส.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ต้องหา 4 ราย ทำนองมีการซ้อมทรมานเพื่อให้ได้ข้อมูลจากผู้ต้องหาว่า น่าจะเป็นเพียงคำกล่าวอ้าง ไม่มีหลักฐานข้อพิสูจน์ และข้อสังเกตระยะหลังจะมีร้องในลักษณะนี้ทุกครั้งไป เหมือนกับร้องไว้ก่อน กังวลไว้ก่อนตามสิทธิ ถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสม เพราะบางครั้งการให้ข้อมูลบิดเบือนหรือเป็นเท็จออกไป เกรงว่าจะมีผลกับผู้ต้องหาในอนาคตเมื่อถึงขั้นตอนการพิจารณาคดี ถ้ากรณีศาลจะพิจารณาลดหย่อนอัตราโทษให้ ดังนั้นขอให้มั่นใจว่าไม่มีเหตุผลที่เจ้าหน้าที่จะต้องไปบังคับขู่เข็ญอะไร และไม่มีมาตรการบังคับอย่างแน่นนอน ทุกอย่างจะอยู่ในวิถีแนวทางที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น การให้ข้อมูลในชั้นนี้จะเป็นเพียงองค์ประกอบส่วนหนึ่ง ยังไม่ใช่ข้อผูกมัดหลักในการฟ้องเอาผิดทางคดี เพราะขั้นตอนฟ้องเอาผิดจะอยู่ในขั้นตอนต่อไปกับทางตำรวจ
@ ยันจนท.ปฏิบัติตามกรอบกม.
พ.อ.วินธัยกล่าวว่า สำหรับความกังวลต่อการควบคุมตัวบุคคลโดยปราศจากสิทธิในการแจ้งญาติ การเข้าถึงทนายความ รวมถึงการไม่เปิดเผยสถานที่ในการควบคุมตัว ทำให้ขาดความโปร่งใส จึงมีความสุ่มเสี่ยงใช้อำนาจโดยอำเภอใจในการซ้อมทรมานนั้น ขอให้ความมั่นใจว่าการเข้าแสดงตัวหรือการให้เหตุผลในการเชิญตัวนั้น เป็นไปโดยเปิดเผยและบริสุทธิ์ใจ แต่ในส่วนของญาติและเพื่อนนั้น บางกรณีเจ้าหน้าที่อาจทำได้เท่าที่จำเป็น เพื่อผลสำเร็จสูงสุดของภารกิจ และการรักษาความสงบเรียบร้อย การปฏิบัติในขั้นตอนนี้จะเน้นการขอความร่วมมือในการให้ข้อมูลเป็นหลัก เพื่อการขยายผลการสืบสวนไปสู่ผู้อื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทุกขั้นตอนการปฏิบัติมีบันทึกยืนยันการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตลอดเวลา เพื่อใช้เป็นเครื่องยืนยันความโปร่งใส เป็นธรรม อย่างเหมาะสม เจ้าหน้าที่จะไม่ปฏิบัติต่อผู้ที่ถูกเชิญตัวมาในลักษณะของผู้ที่ทำความผิดอย่างแน่นอนในขั้นตอนนี้ ประกอบกับยังไม่มีการตั้งข้อกล่าวหาในชั้นนี้ จึงอาจจะยังไม่อยู่ในขั้นตอนต้องใช้ทนายความ อยากให้ กนส.พิจารณาองค์ประกอบการทำงานของเจ้าหน้าที่อย่างเป็นธรรม สังคมได้ตั้งข้อสังเกตเชิงสับสนในระยะหลังว่า ทำไมบางองค์กรเหมือนให้ความสำคัญลำเอียงด้วยการตั้งสมมุติฐานโน้มเอียงไปทางฝ่ายคนทำผิดกฎหมายมากกว่า ทั้งที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐพยายามทำทุกอย่างภายใต้กรอบกฎหมายและกติกาสังคมอย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะในฐานะผู้ประกอบอาชีพด้านกฎหมาย น่าจะสนับสนุนหรือให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ พยายามใช้หลักกฎหมายในการทำงานมากกว่าการแสดงความไม่ไว้วางใจหรือชี้นำให้เกิดความสับสน
@ กสม.เล็งสอบซ้อมมือบึ้มศาล
นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวว่า ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้ติดต่อมายัง กสม. เพื่อยื่นเรื่องร้องเรียนให้ตรวจสอบกรณีศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ต้องหาเกิดเหตุการณ์ระเบิดหน้าศาลอาญา 4 ราย ได้แก่ นายสรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน นายชาญวิทย์ จริยานุกูล นายนรพัฒน์ เหลือผล และนายวิชัย อยู่สุข ถูกจับกุมตัวตามกฎอัยการศึก ระหว่างวันที่ 9-15 มีนาคม ที่ผ่านมา ว่ามีการซ้อมทรมานผู้ต้องหาทั้ง 4 รายโดยการชกต่อย การกระทืบบริเวณศีรษะ ทรวงอก หลัง และข่มขู่ว่าจะทำร้าย เพื่อให้ได้ซึ่งข้อมูลจากผู้ต้องหาดังกล่าว นอกจากนี้ผู้ต้องหาบางรายยังโดนชอร์ตด้วยไฟฟ้า และยังคงปรากฏร่องรอยดังกล่าวบริเวณผิวหนังระหว่างการควบคุมตัวตามกฎอัยการศึก หลังจากมีการยื่นร้องเรียนแล้วทาง กสม.จะเข้าไปตรวจสอบในเรื่องดังกล่าว ส่วนจะต้องเชิญใครมาให้ข้อมูลบ้างนั้นต้องรอดูการยื่นร้องเรียนก่อน
@ ฮิวแมนฯจี้ทหารยุติคุมขังลับ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ของกลุ่มฮิวแมนไรต์สวอตช์ องค์กรสิทธิมนุษยชน ในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ได้เผยแพร่แถลงการณ์เกี่ยวกับการที่ทหารควบคุมตัว น.ส.ณัฏฐธิดา มีวังปลา หรือแหวน พยาบาลอาสาสมัครและพยานคดี 6 ศพ วัดปทุมวนาราม โดยระบุว่า การที่ทหารจับกุมตัว น.ส.ณัฏฐธิดาพยานในคดีการก่อเหตุของทหารนั้นทำให้เกิดความห่วงกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับการดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับการเมือง อีกทั้งการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยไว้โดยไม่ให้มีการติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกเป็นเวลา 7 วัน ยิ่งทำให้เกิดความเสี่ยงจะมีการทรมานหรือทารุณกรรมต่อผู้ต้องสงสัย
นายแบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการของฮิวแมนไรต์สวอตช์ ประจำภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่า การจับและควบคุมตัว น.ส.ณัฏฐธิดาไว้อย่างลับๆ โดยทหารไทยควรจะยุติได้แล้ว การควบคุมตัวพยานในคดีของทหารเอาไว้โดยไม่ให้ติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกเป็นเวลา 7 วัน เป็นการใช้อำนาจอย่างบิดเบือนอย่างน่าวิตก เกิดขึ้นจนเป็นเรื่องปกติภายใต้กฎอัยการศึก
นอกจากนี้ ฮิวแมนไรต์สวอตช์ยังย้ำถึงความห่วงกังวลเกี่ยวกับการที่ทหารได้กักขังบุคคลเอาไว้อย่างลับๆ นับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ควบคุมตัวนักการเมือง นักเคลื่อนไหว ผู้สื่อข่าว และบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าให้การสนับสนุนอดีตรัฐบาล รวมทั้งบุคคลที่ดูหมิ่นสถาบันหรือเกี่ยวข้องกับการประท้วงต่อต้านการรัฐประหารเอาไว้จำนวนหลายร้อยคน ทหารอ้างว่าไม่จำเป็นต้องมีหมายจับเนื่องจากประเทศยังอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก บุคคลเหล่านี้ถูกควบคุมตัวไว้โดยไม่ให้ติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกในสถานที่คุมขังอย่างไม่เป็นทางการ เช่น ค่ายทหาร เป็นต้น ทหารได้สอบปากคำผู้ถูกควบคุม โดยไม่จัดหาทนายความหรือผู้ดูแลเพื่อไม่ให้ถูกกระทำทารุณกรรม และ คสช.ยังคงไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ที่ถูกคุมขังอยู่ในที่คุมขังลับเหล่านี้
นายอดัมส์กล่าวว่า รัฐบาลทหารของไทยใช้สถานที่คุมขังลับๆ ของทหาร ถือเป็นปัญหาร้ายแรงมาก อาจจะนำไปสู่ความวิบัติหากผู้ถูกคุมขังเสียชีวิตระหว่างการถูกควบคุมตัว ทหารควรจะหยุดการกระทำนี้ในทันที
@ 12สปช.ตั้งญาตินั่ง"ผช.-ที่ปรึกษา"
ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ขอความร่วมมือให้สมาชิกที่ตั้งเครือญาติ ลูกเมียเข้ารับเงินเดือนในตำแหน่งผู้ช่วย ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ชำนาญการประจำ สนช.ออกจากตำแหน่ง ล่าสุดพบว่ามีสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) จำนวน 12 คนได้แต่งตั้งเครือญาติเข้ารับตำแหน่งเช่นกัน โดยสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยเรื่องนี้ว่านายกิตติภณ ทุ่งกลาง แต่งตั้ง น.ส.ภัสสร ทุ่งกลาง เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน 15,000 บาท นางกูไชหม๊ะ วันชาฟีหน๊ะ มนูญทวี แต่งตั้งนายอาบีดีน มนูญทวี เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน 15,000 บาท นายจรัส สุทธิกุลบุตร แต่งตั้งนายณรงค์ชัย สุทธิกุลบุตร เป็นผู้ชำนาญการประจำตัว รับเงินเดือน 20,000 บาท นายเจริญศักดิ์ ศาลากิจ แต่งตั้งนายพิสุทธิ์ ศาลากิจ เป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัว รับเงินเดือน 20,000 บาท นายทิวา การกระสัง แต่งตั้งนายสกนธ์ การกระสัง เป็นผู้ช่วยดำเนินงาน รับเงินเดือน 15,000 บาท นายธีรศักดิ์ พานิชวิทย์ แต่งตั้งนายณัฐชนน พานิชวิทย์ เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน 15,000 บาท
พล.อ.อ.มนัส รูปขจร แต่งตั้งนายวัชรเดช รูปขจร เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน 15,000 บาท นายวันชัย สอนศิริ แต่งตั้ง น.ส.ฉัตรทิพย์ สอนศิริ เป็นผู้ชำนาญการประจำตัว รับเงินเดือน 20,000 บาท นายสยุมพร ลิ่มไทย แต่งตั้งนายอิศร์ ลิ่มไทย เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน 15,000 บาท นายสุวัช สิงหพันธุ์ แต่งตั้ง พ.ต.หญิง ธัญนุช สิงหพันธุ์ เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน 15,000 บาท นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ แต่งตั้ง น.ส.พนิดา สอนหลักทรัพย์ เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน 15,000 บาท และนางอุบล หลิมสกุล แต่งตั้ง น.ส.พนมดา หลิมสกุล เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน 15,000 บาท
@ "เทียนฉาย"โยนวิปถกแนวทางแก้
นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช.กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวได้มีการหารือในที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือวิป สปช. เพื่อหาข้อสรุปในเรื่องดังกล่าว เพราะเคยให้แนวปฏิบัติไปแล้ว
นายอลงกรณ์ พลบุตร เลขานุการวิป สปช.กล่าวว่า กรณีนี้ประธาน สปช.เคยให้แนวทางปฏิบัตินโยบายไว้แล้วตั้งแต่เกิดเรื่องกับ สนช. สปช.ก็ยินดีจะเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร แต่ก็ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารประจำสภา มีสำนักงานเลขาธิการสภาและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาร่วมเป็นกรรมการ สปช.ไม่มีขัดข้อง เพราะเป็นองค์กรและบุคคลสาธารณะ สมาชิก สปช.ต้องคำนึงถึงอำนาจ หน้าที่ และความรับผิดชอบ จะเป็นผู้นำการปฏิรูปตามที่สังคมตั้งความคาดหวัง เรื่องดังกล่าวขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของแต่ละบุคคลด้วย ยอมรับว่าเมื่อมีข่าวออกมาเช่นนี้ย่อมกระทบต่อภาพลักษณ์ขององค์กร สปช.ในภาพรวม
นายวันชัย สอนศิริ สมาชิก สปช. กล่าวว่า การตั้ง น.ส.ฉัตรทิพย์ บุตรสาวเป็นผู้ชำนาญการประจำตัว รับเงินเดือน 20,000 บาทนั้นเป็นเรื่องจริง ตนเองไม่ถนัดภาษาอังกฤษในการอ่านเอกสารการปฏิรูป แต่บุตรสาวมีความสามารถเลยตั้งมาช่วยงาน ยืนยันว่าตั้งมาเพื่อทำงาน ไม่ใช่รับเงินกินเปล่า หากวิป สปช.มีมติออกมาเป็นอย่างไรก็พร้อมทำตาม
@ มติวิปสปช.สั่งเครือญาติลาออก
ต่อมาวิป สปช.ได้ประชุมหาทางออกในเรื่องนี้ โดยนายวันชัย สอนศิริ โฆษกวิป สปช.แถลงผลการประชุมว่า ที่ประชุมวิป สปช.ได้หารือกัน โดยนายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช. ยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาจะปกปิดข้อมูล เพียงแต่นายเทียนฉายไม่ได้มีอำนาจโดยตรง แต่เป็นอำนาจของข้าราชการ โดยคณะกรรมการบริหารข้อมูลข่าวสารของสภาผู้แทนราษฎร เมื่อเกิดกรณีดังกล่าวขึ้น ที่ประชุมวิป สปช.ก็มีมติให้นำแนวทางของวิป สปช.แนะนำให้สมาชิกมีการปรับเปลี่ยนตัวที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ และผู้ช่วยที่เป็นเครือญาติออกจากตำแหน่งทันที เพื่อสนองความต้องการของสังคมที่มีความเคลือบแคลงการแต่งตั้ง ส่วนประเด็นดังกล่าวจะมีผลต่อความน่าเชื่อถือในการปฏิรูปประเทศหรือไม่ คิดว่าเป็นคนละเรื่องกัน
นายวันชัยกล่าวว่า สำหรับการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ นายกรัฐมนตรีได้สั่งให้ ครม.ร่วมศึกษาร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ด้วย โดยมอบให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายเป็นหัวหน้าทีมเพื่อการศึกษา ส่วนการประสานการทำงานร่วมกันของแม่น้ำ 5 สาย อยากให้ส่งตัวแทนที่เกี่ยวข้องต่อการปฏิรูปด้านนั้นๆ เข้ามาชี้แจง เพื่อให้การปฏิรูปมีประสิทธิภาพและไม่มีความขัดแย้ง นอกจากนี้ วิป สปช.ได้เพิ่มกำหนดการนัดประชุมเป็น 3 วันต่อสัปดาห์คือ วันจันทร์ วันอังคาร และวันพุธ
@ "บิ๊กโด่ง"แนะกกล.รส.รอบคอบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก (ศปก.ทบ.) พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นประธาน ได้กำชับเรื่องการติดตาม สั่งการดูแลความสงบเรียบร้อยของกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ได้เน้นย้ำให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทั้งในและนอกเครื่องแบบที่ดูแลความสงบเรียบร้อย ให้สอดส่องดูแลอย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้เกิดเหตุร้าย หรือมีผู้ไม่หวังดีก่อความไม่สงบในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยเจ้าหน้าที่ทั้งหมดต้องทำงานประสานสอดคล้องกันเพื่อไม่ให้เกิดช่องโหว่ให้กลุ่มผู้ไม่หวังดีก่อเหตุได้ ในที่ประชุม ยังได้รายงานเกี่ยวกับการจับกุมอาวุธสงครามที่วัดป่าสีวลี จ.สระบุรี รวมถึงกรณีของการจับกุม น.ส.ณัฏฐธิดา มีวังปลา หรือแหวน พยานปากเอกคดี 6 ศพ วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งข้อกล่าวหาร่วมกันก่อการร้าย กรณีที่เกิดความไม่ชัดเจนเรื่องการจับกุมในช่วงแรก เพราะคดีความมั่นคงมีคณะทำงานของเจ้าหน้าที่หลายส่วน บางครั้งต้องดำเนินการไปตามหน้างาน เพื่อไม่ให้ข่าวรั่ว แต่ในระดับผู้บังคับบัญชาได้รับทราบร่วมกัน
@ ทหารส่งทีมบึ้มให้บช.น.สอบ
สำหรับความคืบหน้าเหตุคนร้ายปาระเบิดอาร์จีดี-5 ใส่ลานจอดรถศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อวันที่ 7 มีนาคม โดยจับกุมนายมหาหิน ขุนทอง คนขี่รถจักรยานยนต์ นายยุทธนา เย็นภิญโญ คนปาระเบิด น.ส.ณัฏฐ์พัชร์ อ่อนมิ่ง ภรรยานายมหาหิน และ น.ส.ธัชพรรณ ปกครอง ภรรยานายยุทธนา ร่วมกันประชุมวางแผนจัดเตรียมอาวุธก่อเหตุ และไปขออำนาจทหารฝากขัง ต่อมาขยายผลออกหมายจับนายสรรเสริญ หรือสัน ศรีอุ่นเรือน อายุ 63 ปี นายวิชัย หรือตั้ม อยู่สุข อายุ 49 ปี และนายณเรศ อินทรโสภา อายุ 32 ปี เจ้าของร้านนมสดใน จ.ขอนแก่น ทำหน้าที่จัดสถานที่ประชุมวางแผน รับเงินค่าจ้าง 20,000 บาท จากนางสุภาพร มิตรอารักษ์ หรือเดียร์ อายุ 49 ปี ผู้จ้างวานทางไลน์ นายวิระศักดิ์ โตวังจร อายุ 43 ปี หรือ ใหญ่ พัทยา ผู้จัดหาอาวุธ นายชาญวิทย์ จริยานุกูล อายุ 61 ปี นายนรภัทร เหลือผล หรือบาส ผู้เข้าร่วมประชุม นายมนูญ ชัยชนะ หรือเอนก ซานฟราน ผู้ต้องหาความผิดตามมาตรา 112 ฐานหมิ่นเบื้องสูง เหตุเกิดที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. นางวาสนา บุษดี ผู้รับคำสั่งจากนางสุภาพรให้โอนเงินค่าจ้าง 10,000 บาท ให้กลุ่มผู้ต้องหาที่ลงมือก่อเหตุ นายเจษฎาพงษ์ วัฒนพรชัยศิริ อายุ 44 ปี ผู้ร่วมประชุมวางแผน นายวสุ เอี่ยมละออ ผู้รับโอนเงิน นายสุรพล เอี่ยมสุวรรณ และ น.ส.ณัฏฐธิดามีวังปลา หรือแหวน พยาบาลอาสาสมัคร พยานปากเอกคดี 6 ศพ วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร หลังพบหลักฐานการโอนเงิน
ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทหารจากกองพันทหารราบ มณฑลทหารบกที่ 11 (พัน.ร.มทบ.11) โดย พ.อ.วิจารณ์ จดแตง ผอ.กฎหมายผู้อำนวยการ กอ.รมน. หัวหน้าส่วนปฏิบัติการคณะทำงานกฎหมายส่วนรักษาความสงบ คสช. ควบคุมตัวนายเจษฎาพงษ์ วัฒนพรชัยสิริ อายุ 44 ปี และนางสุภาพร มิตรอารักษ์ หรือเดียร์ อายุ 49 ปี ผู้ต้องหามาที่ บช.น. เพื่อรอ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. พร้อมคณะพนักงานสอบสวนนำตัวไปส่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.)
ทั้งนี้ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับในคดีนี้มีทั้งหมด 17 ราย ยังอยู่ในความควบคุมของทหาร 2 รายคือ นายวสุ เอี่ยมละออ และนายสุรพล เอี่ยมสุวรรณ สำหรับผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีอยู่คือ นายมนูญ ชัยชนะ หรือ เอนก ซานฟราน และนายวิระศักดิ์ โตวังจร หรือใหญ่ พัทยา ส่วนนายธราเทพ มิตรอารักษ์ ลูกชายนางสุภาพร และนายวิทย์ ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง ที่ปรากฏในผังเครือข่ายการกระทำความผิด ยังไม่มีการออกหมายจับแต่อย่างใด เนื่องจากยังไม่พบข้อมูลการโอนเงินที่แน่ชัด และไม่ทราบชื่อจริงนามสกุลจริงของนายวิทย์ อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลระบุด้วยว่า นายวสุเป็นลูกชายของอดีตรอง ผบก.คนหนึ่ง และเคยเป็นผู้สื่อข่าวโทรทัศน์ดาวเทียมช่องเอเชียอัพเดท ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น 24 ทีวี
@ ผบ.ตร.ร่วมสอบผู้ต้องหาทีมบึ้ม
ต่อมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) นำกำลังคุมตัว นางสุภาพร มิตรอารักษ์ หรือเดียร์ และนายเจษฎาพงษ์ วัฒนพรชัยศิริ หรือเจต ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหารในคดีร่วมกันก่อการร้าย อั้งยี่ ซ่องโจร ในคดีร่วมกันขว้างระเบิดใส่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ส่งมอบให้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) สอบปากคำ ก่อนควบคุมตัวนำฝากขังศาลทหารต่อไป
ต่อมา พล.ต.อ.สมยศ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.ศรีวราห์ พล.ต.ต.จิตติ รอดบางยาง รอง ผบช.น. ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน และ พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 (ผบก.น.6) ร่วมแถลงข่าว พล.ต.ต.ชยพลกล่าวว่า ทหารนำตัวนางสุภาพร และนายเจษฎาพงษ์ ครบกำหนดควบคุมตัวตามกฎอัยการศึกส่งมอบให้พนักงานสอบสวนแล้ว หลังจากส่งมอบผู้ต้องหาในขบวนการคนอื่นๆ ให้แล้วก่อนหน้านี้ 11 คน รวมวันนี้เป็น 13 คน ยังมีผู้ต้องหาตามหมายจับอยู่ในการควบคุมของทหาร 2 ราย คือ นายวสุ เอี่ยมละออ มีหมายจับข้อหาร่วมกันก่อการร้าย และนายสุรพล เอี่ยมสุวรรณ และยังหลบหนีอีก 2 ราย คือ นายมนูญ ชัยชนะ หรือเอนก ซานฟราน ผู้บงการและผู้จ้างวาน และนายวิระศักดิ์ โตวังจร หรือใหญ่ พัทยา ผู้ร่วมวางแผนและจัดหาระเบิด
@ เผยร่วมวางแผนก่อเหตุสองครั้ง
พล.ต.ต.ชยพลกล่าวว่า การก่อเหตุระเบิดของขบวนการนี้แบ่งเป็น 2 ครั้ง ครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ 2558 ในท้องที่ สน.โชคชัย พบว่านายมนูญติดต่อทางไลน์และโซเชียลมีเดียกับนางสุภาพร ให้ติดต่อว่าจ้างหาคนก่อเหตุวางระเบิด 5 จุดใน กทม. ประกอบด้วย ศาลอาญา สวนลุมพินี สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินจตุจักร กรมทหารราบ 11 รอ. และลานจอดโรงแรมสยามเคมปินสกี้ พบการโอนเงิน 50,000 บาท ผ่านทางนายวสุ ส่งต่อให้นางวาสนา บุษดี และติดต่อ น.ส.ณัฏฐธิดา มีวังปลา หรือแหวน หาคนทำงาน จากนั้น น.ส.ณัฏฐธิดาติดต่อนายสุรพลที่อ้างว่าตัวเองมีความรู้ด้านการประกอบระเบิดจากต่างประเทศ ให้รับงานวางระเบิดทั้ง 5 จุด แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใดนายสุรพลยกเลิกภารกิจ จึงมีการวางแผนใหม่อีกครั้ง เป็นครั้งที่ 2 ในเดือนมีนาคม คราวนี้นางสุภาพรได้เปลี่ยนไปติดต่อผ่านนายวิชัย อยู่สุข หรือตั้ม และนายนรภัทร เหลือผล หรือบาส ก่อนติดต่อว่าจ้างนายวิระศักดิ์ รับงาน ว่าจ้างนายมหาหิน และนายยุทธนารับงานก่อเหตุที่ศาลอาญา กระทั่งถูกจับกุมได้ สรุปแล้วนายมนูญพยายามก่อเหตุรุนแรงใน กทม.ถึง 2 ครั้ง โดยติดต่อผ่านเครือข่ายนางสุภาพร ที่แยกชุดทำงานออกเป็น 2 สาย
@ อ้างร่วมมืออุดมการณ์เดียวกัน
"นางสุภาพร หรือเดียร์ จัดว่าเป็นกลุ่มทุน หัวใจสำคัญในประเทศไทย มีนายเอนก ซานฟราน เป็นกลุ่มทุนสำคัญต่างประเทศ สนับสนุนทางการเงินจากต่างประเทศ พบมีการโอนเงินให้กัน ครั้งแรกโอนให้ 50,000 บาท ก่อนจะให้ลงมือ ส่วนครั้งที่ 2 โอนผ่านบัญชีนายธราเทพ มิตรอารักษ์ ลูกชายนางเดียร์ 50,000 บาท เพื่อให้นำไปเยียวยาครอบครัวของคนที่ถูกจับ เหตุที่นางสุภาพรไม่ให้โอนเงินเข้าบัญชีตัวเอง อ้างว่าไม่มีบัญชีธนาคาร มีเพียงบัญชีของอดีตสามีหย่าร้างไปแล้ว อีกทั้งสามียังมีคดีติดตัวอีกด้วย จึงเกรงว่าจะไม่ได้รับเงินก้อนนั้น ส่วนเหตุจูงใจนั้น นางสุภาพรให้การว่า นายเอนกรับปากว่าจะเลี้ยงดูบุตรชาย 2 คนของตนเอง และหากดำเนินการตามสั่งแล้วเสร็จ จะพาไปทำงานเก็บองุ่นที่ประเทศออสเตรเลีย เหตุผลหลักที่ร่วมมือกันก่อเหตุ เพราะมีอุดมการณ์การเมืองสอดคล้องกัน นายเอนกนั้นอยู่ต่างประเทศมีอุดมการณ์ต่อต้านรัฐบาลปัจจุบัน และต่อต้านสถาบันฯ การติดต่อของกลุ่มนี้ใช้ช่องทางไลน์ และโซเชียลมีเดียต่างๆ บางคนไม่รู้จักกัน ไม่เคยพบกันด้วยซ้ำ เพียงแต่ติดตามกันทางโซเชียลมีเดียด้วยมีอุดมการณ์ แนวคิดสอดคล้องกัน" พล.ต.ต.ชยพลกล่าว
@ แจงผู้ต้องหาซัดทอด"แหวน"
พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า นางสุภาพรมีประวัติเป็นระดับแกนนำในกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง ไม่อยากระบุชัดเจนว่ากลุ่มไหน เป็นความขัดแย้งในอดีต นางสุภาพรเป็นแกนนำระดับสำคัญมีบทบาทและได้รับการยอมรับพอสมควร ที่ผ่านมาหน่วยความมั่นคงเคยขึ้นบัญชีมีข้อมูลอยู่ เพียงแต่ตอนนั้นยังไม่มีหลักฐานหรือสิ่งบ่งชี้ว่ากระทำความผิด ขณะที่ผู้ต้องหาบางคนในกลุ่มนี้ เช่น นายมนูญมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 112 ฐานหมิ่นสถาบันฯแต่หลบหนีอยู่ต่างประเทศ ไม่ขอพูดถึงความขัดแย้งในอดีต แต่ยืนยันตำรวจและทหารดำเนินคดีตามกฎหมายและพยานหลักฐานที่ปรากฏ ตำรวจไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับกลุ่มใด ทั้งหมดเกิดจากคำให้การของผู้ต้องหาทั้งสิ้น
"เหตุจูงใจ นอกจากค่าจ้างแล้วกลุ่มผู้ต้องหา ยังมีอุดมการณ์แนวคิดทางการเมืองที่เหมือนกัน การก่อเหตุแต่ละครั้งมีเหตุผลหลายอย่าง ทั้งอุดมการณ์ที่ตรงกัน ถูกหลอก ถูกชักจูง และเงินค่าจ้าง" ผบ.ตร.กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีโยงถึง น.ส.ณัฏฐธิดา หรือแหวน พยานสำคัญในคดี 6 ศพ เจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้ต้องหา อาจถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นความบังเอิญเกินไปหรือไม่ ผบ.ตร.กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามพยานหลักฐาน คำให้การผู้ต้องหา ตัวของ น.ส.ณัฏฐธิดานั้น ตำรวจไม่เคยเอาเข้ามาเกี่ยวข้อง และไม่สามารถนำมาเกี่ยวโดยไม่มีคำให้การของผู้เกี่ยวข้องซัดทอดกล่าวถึง เมื่อนางสุภาพรให้การว่าติดต่อผ่าน น.ส.ณัฏฐธิดาไปถึงนายสุรพล ชื่อของ น.ส.ณัฏฐธิดาจึงปรากฏในสำนวนการสอบสวน และเมื่อเป็นสิ่งผิดกฎหมาย พนักงานสอบสวนจึงต้องดำเนินการตามกระบวนการ ส่วนจะบังเอิญพอเหมาะพอดีเกินไปหรือไม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถกะเกณฑ์กำหนดได้ ยืนยันว่าพนักงานสอบสวนทำตามพยานหลักฐาน และหากซัดทอดไปถึงใครที่มากกว่านี้พนักงานสอบสวนก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอน
@ เล็งประสานมะกันส่งตัว"เอนก"
พล.ต.อ.สมยศกล่าวถึงความพยายามก่อเหตุของผู้ต้องหาครั้งแรก สอดคล้องกับการเกิดเหตุที่หน้าห้างสยามพารากอน เป็นฝีมือกลุ่มเดียวกันหรือไม่นั้น กลุ่มที่พยายามก่อเหตุรุนแรงเป็นกลุ่มเดียวกัน บางครั้งทำสำเร็จ บางครั้งไม่สำเร็จ ด้วยเหตุผลหลายอย่าง เป็นไปได้ว่าอาจบงการโดยกลุ่มนี้ใช้ทำงานอีกสายหนึ่ง เห็นได้จากกรณีนี้ แบ่งชุดทำงานเป็น 2 กลุ่ม แต่จ้างวานโดยนายเอนกเพียงคนเดียว ไม่ทราบว่าเหตุที่สยามพารากอนจะเป็นนายเอนกไปจ้างอีกกลุ่มหรือไม่ จนกว่าจะจับกุมแล้วสอบสวนขยายผลว่าเหตุที่พารากอนใครก่อเหตุ ส่วนการขอตัวนายมนูญ หรือเอนก เป็นผู้ร้ายข้ามแดน ในอดีตเคยพยายามขอตัวนายเอนกจากสหรัฐอเมริกาแล้ว ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แต่สหรัฐไม่มีความผิดข้อหาดังกล่าวในสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่ขณะนี้นายเอนกมีหมายจับในข้อหาก่อการร้าย ไทยและสหรัฐมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนร่วมกัน จากนี้พนักงานสอบสวนจะดำเนินการตามขั้นตอนส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป โดยติดต่อผ่านอัยการให้ตรวจสำนวน ก่อนส่งกลับกองการต่างประเทศ ส่งต่อกระทรวงการต่างประเทศ มีหน้าที่นำเข้าสู่กระบวนการขอตัวส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป ไทยกับสหรัฐมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
@ แจ้งข้อหา"แหวน"หมิ่นเบื้องสูง
ที่กองบังคับการปราบปราม พ.อ.วิจารณ์ จดแตง ผู้อำนวยการส่วนกฎหมายและมนุษย์ชน กอ.รมน. และคณะทำงานของ คสช.รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ยุทธวัฒน์ กล่ำกล่อมจิตร์ พนักงานสอบสวน