- Details
- Category: การเมือง
- Published: Wednesday, 18 March 2015 11:08
- Hits: 5569
น้องแหวนโผล่-ทบ.คุม 7 วัน ข้อหาเพียบ โยงบึ้มศาล-ก่อการร้ายด้วยโชว์ตัวบช.น. ส่งเรือนจำ จำคุก 5 เดือน 2 มือระเบิด ค้นวัดป่าสระบุรี-ยึดอาวุธ พัวพันแดง-สึกเจ้าอาวาส ฟ้องบุญทรง 3.5 หมื่นล้าน
'บิ๊กตู่'เผยใช้อัยการศึกน้อยลง แจงพูดเรื่องตัดเสื้อแค่แหย่สหรัฐ อัยการหอบหลักฐาน 205 ลังฟ้อง'บุญทรง-พวก'เรียกค่าเสียหาย 3.5 หมื่น ล. ทหารรับคุมตัวพยาบาลพยานคดี 6 ศพวัดปทุมฯ
@ 'บิ๊กตู่'ปั่นจักรยานบ่นเหนื่อยใจ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 17 มีนาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล ก่อนประชุม ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและปลัดประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นำคณะผู้จัดงาน "บางกอก ไบค์ ไทยแลนด์ ชาลเลนจ์ 2015 อิน ชะอำ ครั้งที่ 1" เข้าพบ เพื่อประชาสัมพันธ์การแข่งขันจักรยานทางไกลชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จัดในวันที่ 5 เมษายน ที่อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร จ.เพชรบุรี คณะผู้จัดงานได้มอบเสื้อที่ผู้ร่วมการแข่งขันจะได้รับ เพื่อเป็นที่ระลึกแก่ พล.อ.ประยุทธ์
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขอให้ส่งเสริมและสนับสนุนการออกกำลังกาย ซึ่งรัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทั้งนี้จักรยานสำหรับแข่งประเภทต่างๆ นั้น ขณะนี้ประเทศไทยก็สามารถผลิตเองได้บ้างแล้ว ราคาถูกกว่าจักรยานที่ประกอบจากต่างประเทศ เช่น จักรยานจากอิตาลี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ให้ความสนใจสอบถามถึงจักรยานที่นำมาโชว์ ยี่ห้อวิลเลีย (wilier) น้ำหนัก 6.8 กิโลกรัม ราคา 3 แสนบาท พร้อมทดลองปั่นจักรยานอยู่กับที่ แล้วหยอกล้อกับสื่อมวลชนว่า "ปั่นได้นิดเดียวก็เหนื่อย แต่เหนื่อยใจมากกว่า"
@ ยิ้มแจกโดนัทข้าวหอมมะลินักข่าว
จากนั้นนายสมศักดิ์ จังตระกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด นำคณะเข้าพบ พร้อมนำสินค้าโอท็อปและผลิตภัณฑ์จากแป้งข้าวหอมมะลิที่จะนำไปจัดงานโรดโชว์มาจัดแสดง เพื่อประชาสัมพันธ์การเปิดตลาดสินค้าของ จ.ร้อยเอ็ด สู่สากล พล.อ.ประยุทธ์เยี่ยมชมสินค้าโอท็อป คุยกับผู้ผลิตจาก จ.ร้อยเอ็ด พร้อมชิมโดนัทข้าวหอมมะลิ พร้อมสอบถามผู้ผลิตว่าวัตถุดิบเพียงพอหรือไม่ และจะต้องขยายตลาดเพิ่มเติมหรือไม่ จะติดปัญหาหรือมีลิขสิทธิ์หรือไม่ ผู้ผลิตระบุว่ามีปัญหาขั้นตอนการผลิตแป้งข้าวหอมมะลิ ทาง พล.อ.ประยุทธ์มอบหมายให้นายอำนวย ปะติเส รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับไปดูแล
จากนั้นชมผ้าไหมและกระเป๋า พร้อมระบุว่าอยากให้ขยายไปยังตลาดต่างประเทศด้วย ถ้าขายคนไทยและต่างประเทศด้วยก็จะดี ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์สวมเสื้อผ้าฝ้ายร้อยเอ็ด "ผ้าฝ้ายผ้าบุญ" สีม่วงอมชมพู ซึ่งเป็นสีประจำจังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งนายสมศักดิ์เป็นผู้จัดหาและตัดให้ราคาประมาณ 1,000 บาท เมื่อสวมใส่แล้วจะไม่ร้อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะขึ้นไปเป็นประธานการประชุม ครม. นำขนมโดนัทข้าวหอมมะลิมาแจกให้ผู้สื่อข่าว พร้อมชูขนมโดนัทรูปหัวใจขึ้นมาโชว์ พร้อมกล่าวว่า "หัวใจนี้มอบให้คนไทยทุกคน" พร้อมยิ้มให้ ขอให้ทุกฝ่ายช่วยส่งเสริมผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาไทย ล้วนแต่มีคุณภาพ
@ แจงใช้อัยการศึกน้อยลงแล้ว
พล.อ.ประยุทธ์แถลงหลังการประชุม ครม.ถึงการใช้กฎอัยการศึกว่าลดการใช้ลงมาเยอะแล้ว การดำเนินคดีที่ผ่านมาในช่วงแรกๆ ตอนนี้ได้สั่งการให้การดำเนินคดีใช้กฎหมายปกติ แม้ว่าจะใช้กำลังในลักษณะของการเข้าสืบสวนสอบสวน จับกุมทันที แต่เวลาส่งศาลจะให้ส่งไปดำเนินคดีในศาลปกติ จะใช้ศาลทหารน้อยที่สุด เว้นแต่คดีที่ร้ายแรง
"อยากให้สบายใจ เราลดระดับทุกอย่าง ถ้ามันสงบเรียบร้อย ผมลดระดับให้ได้ กำลังหามาตรการอื่นๆ อยู่ ส่วนกรณีของ น.ส.ณัฏฐธิดา มีวังปลา ทหารได้นำตัวส่งให้กับตำรวจแล้ว ซึ่งเกี่ยวพันกับคดีวางระเบิดด้วย คือต้องฟังสองทางทั้งทางเจ้าหน้าที่ ฟังสื่อ และฟังผู้ที่มาร้องเรียนด้วย" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว และว่า คดีวัดปทุมวนารามก็ติดตามแล้วกัน ซึ่งทางตำรวจกำลังสอบอยู่ เขามีหลักฐานอะไรเพิ่มเติม เดี๋ยวคงค่อยๆ ปล่อย ทุกเรื่องถ้ามันแรงๆ ออกมาโอเคมันดูดี แต่มันทำให้สับสนอลหม่านไปหมด ค่อยๆ ปล่อยไป นี่เป็นขั้นตอนการดำเนินการของเรา ซึ่งนโยบายของรัฐบาลไม่ต้องการให้บ้านเมืองเกิดความไม่สงบ ฉะนั้นอยากให้ทุกคนช่วยกัน" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
@ อัดนักการเมืองไม่ต้องย้ำบ่อย
"รัฐบาลขับเคลื่อนทุกอัน เร่งทุกอัน เดี๋ยวจะสร้างการรับรู้ให้มากขึ้น ฝากสื่อช่วยกัน เรากำลังมีวิกฤตอยู่ ทำไมไม่ทำวิกฤตให้เป็นโอกาส สร้างความเป็นหนึ่งเดียวของประชาชน นักการเมืองหรือใครที่ไม่เห็นด้วยหรือไม่อยากทำ ก็ปล่อยเขาไป ผมไม่สนใจ ผมสนใจคนที่ลำบาก สนใจอนาคตของประเทศ เพราะผมไม่ได้มาจากการเมือง ผมรู้ดี ไม่ต้องมาย้ำบ่อยๆ นักการเมืองมาบอกอย่างนู้นอย่างนี้ ก็ผมมาแบบนี้ เป็นคนตัดสินใจเข้ามา ท่านไม่ได้เป็นคนมาเชิญผมนะ ผมเข้ามาเพราะ
ท่านแก้ปัญหาไม่ได้ เข้ามาแก้ปัญหาที่ท่านหมักหมมไว้ ผมต้องตอบแบบนี้ เกรงใจกันมากมันก็ลำบากนะ แล้วท่านก็มาลงที่ผมหมด ถ้ามันดีทำไมผมจะต้องมารื้อให้ปวดหัวแบบนี้ โดนว่าทุกวัน รู้ไปทั้งหมด เห็นพูดคนนู้นคนนี้ อดีตรัฐมนตรีพูด ก็มายืนตรงนี้เช่นเดียวกับท่าน" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในฐานะหัวหน้า คสช. การเชิญตัวบุคคลเข้าไปพูดคุยจะออกประกาศหรือเชิญเป็นการภายใน พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่ๆ บางทีเป็นการเรียกไปคุย ไม่ได้เป็นการเชิญตัว เพียงเรียกไปคุยแต่ไม่ได้ไปจับกุมอะไรทั้งสิ้น ถ้าประกาศก็จะตื่นตระหนกกันไปหมด ก็ไม่อยากให้ประกาศ แต่จะเชิญมาแล้วปล่อยกลับไป ซึ่งเขาก็เข้าใจและให้ความร่วมมือ การเรียกไปคุยแต่ละครั้งทางกองทัพรู้หมด ต้องเป็นการสั่งการจากกองทัพ กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยเขาคุมทั้งหมด ไปถามแม่ทัพภาคที่ 1 ตนถามกลับไปมีหมด เพียงแต่เชิญมาบ้าง คุยกันบ้าง พอเจอกันคุยไปคุยมาปรากฏว่าเกี่ยวข้องมีหลักฐาน แบบนั้นก็ส่งดำเนินคดีแบบกรณีของหนูแหวนแขนอ่อนอะไรนั่น ไปสู้คดีต่อไป
"ยืนยันว่า ไม่มีการทำร้าย ยิ่งเป็นผู้หญิงยิ่งไม่อยากทำ ทหารใจร้ายขนาดนั้นเชียวหรือ ถ้าใจร้ายคงไม่อยู่กันถึงวันนี้มั้ง ก็ทนๆ กันไป ให้เวลาทำงานหน่อย" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
@ เผยพูดเรื่องเสื้อแค่แหย่มะกัน
เมื่อถามว่าจะไปร่วมประชุมสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่สหรัฐอเมริกาเดือนกันยายนหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ยูเอ็นเชิญให้เดินทางไปร่วมด้วย ต้องไป อเมริกาไม่เคยห้ามเป็นทางการ เขาเคยพูดไว้ อันนี้เดี๋ยวไม่เข้าใจเอาตนไปรบอีก
"วันนั้นที่ไปประชุมเห็นทางสหรัฐนั่งอยู่เต็มก็เลยแหย่เขาเล่น ว่ายูห้ามไอไปใช่ไหม เขาก็หัวเราะแหะๆ แล้วท่านมาค้าขายกับผม ผมเคยห้ามหรือไม่ เขาก็หัวเราะ ท่านตัดเสื้ออย่างนี้ได้ไหม เขาก็แฮปปี้หมด เขาก็รู้เขาอยู่ แล้วสื่อมาเขียนให้เป็นประเด็นใหญ่โต ศักดิ์ศรีเกียรติยศของเรามีอยู่แล้ว ทุกคนก็ให้เกียรติเรา ถ้าไม่ให้เกียรติเขาคงไม่มาหรอก จริงๆ แล้วเขาเป็นแต่เพียงว่าต้องตรวจสอบหน่อย อะไรหน่อย เขาไม่ได้ถือว่าห้ามร้อยเปอร์เซ็นต์ วันนั้นที่ผมพูดเพียงแหย่เขา บางคนบอกว่าผมเป็นนายกฯไม่ควรพูดแบบนั้น ต่อไปผมจะพูดแบบหน้างอทุกเรื่องอย่างเป็นทางการจะชอบหรือไม่ อันนี้ปกติ ผมเป็นปุถุชน ไม่มีอะไรปิดบังท่าน ผมไม่ต้องสร้างภาพลักษณ์ตัวเองให้เป็นคนสุภาพ มีมาด เยอะแยะ ไม่จำเป็น" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
@ ลั่นไปตปท.มาดดีไม่เล่นกะใคร
เมื่อถามว่ากลายเป็นว่าคำแหย่กลับตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองบางคน พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ช่างเขาสิ ไม่สนใจอยู่แล้ว เขาทำอะไรได้ดีกว่าหรือเปล่าล่ะ นักการเมืองคนไหน วันนี้สื่อไล่บี้ถามก็ตอบสู้ทุกวัน เพราะจริงใจและไม่จำเป็นต้องระมัดระวัง
"เวลาผมไปต่างประเทศ เห็นไปพูดเล่นกับใครหรือไม่ มาดผมก็ดีเหมือนกันนะ เท่ไหม เหนื่อยเหมือนกันนะทำท่าเท่ๆ ผมอยากพูดแบบสบายๆ คนไทยต้องพูดกันภาษาไทย แต่เวลาต่างชาติ ผมรักษามาดของประเทศไทย นั่นแหละผมก็ทำหน้าที่ของผม หรือท่านอยากได้แบบนั้นก็ไม่รู้ ก็ไปรอรัฐบาลหน้า" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
เมื่อถามว่า มั่นใจทุกครั้งที่เดินทางไปต่างประเทศ โดยไม่กลัวจะถูกถามเรื่องที่มาของนายกฯและสถานการณ์ในบ้านเมือง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เวลาไปต่างประเทศก็ตอบ กับเลขาฯยูเอ็นก็ตอบ และอธิบายว่าเป็นอย่างไร ด้วยเหตุด้วยผล ซึ่งเขาก็บอกว่าให้เร็วๆ แล้วกัน ให้ลดแรงกดดันหน่อย กำลังแก้อยู่ทั้งหมด ขอเวลากับเขา ซึ่งก็โอเค ไม่ต้องกลัว ทำเพื่อคนไทยกลัวทำไม
@ พรเพชรป้องคสช.ใช้อำนาจน้อย
ที่รัฐสภา นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวหลังการเปิดสัมมนาพิทักษ์ชาติและสถาบันของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษามาตรการพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ว่า สนช.ตระหนักดีว่ามีหน้าที่คุ้มครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พระมหากษัตริย์แม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมืองแต่มีอิทธิพลต่อชีวิตและจิตใจของคนไทย ก่อนที่ คสช.จะเข้ามาได้มีการละเมิดสถาบันทั้งทางโซเชียลมีเดียและทางตรง คสช.จึงต้องใช้ยาแรงดำเนินการอย่างเด็ดขาดด้วยการใช้กฎหมายที่เข้มแข็งคือกฎอัยการศึก โดยให้คดีที่ละเมิดสถาบันต้องขึ้นสู่ศาลทหาร จากการประเมินพบว่าเป็นมาตรการที่ได้ผลเพราะคดีเหล่านี้ลดน้อยลง แต่เมื่อใช้ไปนานได้มีเสียงท้วงติงว่าคดีที่ขึ้นศาลทหารได้กระทบกับสิทธิ เสรีภาพของประชาชน
"ในฐานะที่เกี่ยวข้องกับ คสช.ขอชี้แจงว่า ผมได้พิจารณาตั้งแต่ต้นแล้วเห็นว่าในอดีตคณะยึดอำนาจใช้อำนาจกว้างขวางมากกว่านี้ ในฐานะนักกฎหมายได้คำนึงถึงหลักนิติธรรม โดยมองถึงจุดที่สร้างสมดุล เมื่อเหตุการณ์รุนแรงก็ใช้ยาแรงเพื่อให้สิ่งที่เป็นภัยร้ายนั้นหมดไป ถ้าภัยร้ายเบาลงเราก็เสนอมาตรการที่เบาลง ผมคิดอยู่ทุกวันแต่ยังบอกไม่ได้" นายพรเพชรกล่าว
@ แนะตั้งองค์กรชี้ขาดนายกฯคนนอก
นายพรเพชร กล่าวถึงร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกว่า ได้รับรายงานร่างรัฐธรรมนูญแล้ว ยกเว้นแต่บทเฉพาะกาล มีประเด็นที่ต้องศึกษากรณีระบบเลือกตั้งแบบเยอรมันที่ยังสงสัยในวิธีการ ซึ่งมีทีมงานจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมศึกษาเรื่องนี้ รวมถึงการรวมผู้ตรวจการแผ่นดินและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเข้าด้วยกัน เพราะเห็นว่าไม่น่าจะเป็นปัญหาในการทำงานหากรวมเข้าด้วยกัน
"ในส่วนที่กำหนดให้นายกรัฐมนตรีมาจากคนนอกมีความจำเป็นในช่วงบ้านเมืองเกิดวิกฤต แม้ที่ผ่านมาสังคมไทยจะระบุมาตลอดว่านายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส. แต่ต้องระบุให้ชัดเจนว่าองค์กรใดจะมาชี้ขาดว่าเหตุการณ์ใดที่จะเรียกว่าบ้านเมืองถึงทางตัน"นายพรเพชรกล่าว
@ กมธ.หวั่นถูกถล่มปมถอดนายกฯ
ที่รัฐสภา ในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีนายมานิจ สุขสมจิตร รองประธาน กมธ.ยกร่างฯทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณาวาระทบทวนบทบัญญัติและบันทึกเจตนารมณ์ ส่วนใหญ่ยังคงหลักการเดิม แต่มีบางมาตราที่คณะ กมธ.ยกร่างฯอภิปรายเพื่อให้เพิ่มเจตนารมณ์เพื่อให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น อาทิ ในมาตรา 166 ที่ว่าด้วย ส.ส.จำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร มีสิทธิเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี หากมีมติไม่ไว้วางใจเกินครึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมด ให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งและสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง
ทั้งนี้ กมธ.ยกร่างฯเสนอให้ใส่เจตนารมณ์ให้ชัดเจนว่าเหตุใดต้องยุบสภาด้วย โดยระบุเหตุผลว่าการที่ต้องยุบสภาเพื่อให้ ส.ส.ใช้ช่องทางอื่นในการยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรีเนื่องจากส่งผลต่อเสถียรภาพของสภาและไม่ต้องการให้มีการยื่นพร่ำเพรื่อ อย่างไรก็ตามมี กมธ.ยกร่างฯบางคนยังคงเป็นห่วงในมาตราดังกล่าว ให้เหตุผลว่า เป็นไปได้ยากมากที่จะถอดถอนนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง ในกรณีนี้เหมือนกับการจับตัวเองถ่วงน้ำใครจะทำ ซึ่งขณะนี้ไม่สามารถเปลี่ยนหลักการได้ เหลือเพียงทำอย่างไรไม่ให้ สปช.ถล่มหากต้องเสนอร่างแรกให้พิจารณา
@ เพิ่มเจตนารมณ์นายกฯคนนอก
จากนั้นได้เข้าสู่การพิจารณาบทบัญญัติ หมวด 5 คณะรัฐมนตรี มาตรา 171 มีสาระสำคัญ คือ พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งและรัฐมนตรีอีกไม่เกินสามสิบห้าคน มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน วาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะติดต่อกันเกิน 2 วาระไม่ได้ ซึ่งเป็นการนำบทบัญญัติมาตรา 171 ของรัฐธรรมนูญ 2550 มาปรับแก้แต่มีการตัดข้อความในวรรคสอง คือ "นายกรัฐมนตรีต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร" ทิ้งไป โดยมีเจตนารมณ์เพื่อเปิดกว้างให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ใช้สิทธิเลือกผู้ที่เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ มาตราดังกล่าวมี กมธ.ยกร่างฯ ส่วนหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่าเขียนเปิดกว้างให้นายกรัฐมนตรีไม่ต้องมาจาก ส.ส. ซึ่งแตกต่างไปจากรัฐธรรมนูญเดิม ดังนั้นการเขียนเจตนารมณ์ก็ควรชี้แจงเหตุและผลให้ชัดเจนเพื่อให้ประชาชนและบุคคลที่ได้อ่านรัฐธรรมนูญได้มีความเข้าใจในมาตรานี้ว่ากรณีนี้กำหนดให้ ส.ส.เลือกนายกรัฐมนตรีที่เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองที่มีคะแนนเสียงข้างมากในสภาเป็นหลัก ยกเว้นกรณีเกิดเหตุการณ์จำเป็นหรือสถานการณ์พิเศษก็เปิดกว้างให้ ส.ส.สามารถเลือกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีได้
ขณะที่ กมธ.ยกร่างฯส่วนหนึ่งแสดงความเห็นว่า ขณะนี้กำลังอยู่ในกระบวนการพิจารณาทบทวนและบันทึกเจตนารมณ์ ซึ่งประเด็นดังกล่าวสังคมให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นในช่วง 60 วันสุดท้ายของการปรับแก้ก็มีโอกาสเปลี่ยนแปลงหรือไม่เปลี่ยนแปลงก็ได้
สำหรับการพิจารณาทบทวนบทบัญญัติรายมาตราและบันทึกเจตนารมณ์ในวันที่ 7 สามารถพิจารณาไปได้ทั้งสิ้น 12 มาตรา ทำให้ประธานในที่ประชุมสั่งปิดประชุมในเวลา 16.30 น. และนัดประชุมอีกครั้งวันที่ 18 มีนาคม
@ 'บิ๊กโชย'อัดน.ศ.บิดเบือนประเด็น
พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (ผบ.กกล.รส.) กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มศูนย์กลางนักศึกษาเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย (ศนปท.) เคลื่อนไหวไม่ให้พลเมืองขึ้นศาลทหารว่า ต้องทำความเข้าใจว่าพลเรือน หรือไม่พลเรือนหรือไม่ ตนคิดว่าไม่ใช่ แต่เป็นการปฏิบัติไปตามกฎหมาย เพราะว่าประกาศ คสช. ฉบับที่ 37 เรื่อง ความผิดที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลทหาร กับประกาศ คสช.ฉบับที่ 38 เรื่อง คดีที่ประกอบด้วยการกระทำหลายอย่างเกี่ยวโยงกันให้อยู่ในอำนาจของศาลทหาร ซึ่งระบุชัดเจนว่าใครผิดเงื่อนไขจะต้องขึ้นศาลอะไร อีกทั้งตามประกาศบอกว่าศาลมีหน้าที่พิจารณาคดีตามปกติ ยกเว้นคดีอะไรที่ให้มาขึ้นศาลทหาร ไม่เกี่ยวว่าเป็นพลเรือนไม่ใช่พลเรือน
"ผมคิดว่าเป็นความพยายามบิดประเด็น ใช่หรือไม่ ถ้าทำผิดกฎหมายข้อหานี้ก็ต้องไปขึ้นศาลนี้ เหมือนเราไปขึ้นศาลแพ่ง ไปขึ้นศาลอาญา เขาก็มีกฎหมาย จะไปฟ้องศาลไหน แต่ไปบิดประเด็นว่าพลเรือนขึ้นศาลทหาร ถ้าพูดอย่างนี้มันเสียหาย สร้างความสับสนให้สังคม" พล.ท.กัมปนาทกล่าว และว่า ส่วนที่นักศึกษาออกมาเดินขบวนกดดัน คิดว่าก็เป็นความพยายามบิดเบือนอีกนั่นแหละ แต่ก็เข้าใจเด็ก พยายามสร้างความเข้าใจ น้องๆ ทุกคนก็เป็นอนาคตของชาติ ดังนั้น ก็ต้องคิดในสิ่งที่ถูกต้อง ต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับเขาไป
เมื่อถามว่า จะสร้างความเข้าใจร่วมกันกับกลุ่มนักศึกษาหรือไม่ พล.ท.กัมปนาทกล่าวว่า "ไม่เรียก โอเคนะครับ"
@ ทหารคุม'น้องแหวน-พวก'ส่งตร.
ความคืบหน้าเหตุคนร้ายปาระเบิดอาร์จีดี-5 ใส่ลานจอดรถศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อวันที่ 7 มีนาคม โดยจับกุมนายมหาหิน ขุนทอง คนขี่รถจักรยานยนต์ นายยุทธนา เย็นภิญโญ ทำหน้าที่ปาระเบิด น.ส.ณัฏฐ์พัชร์ อ่อนมิ่ง ภรรยานายมหาหิน และ น.ส.ธัชพรรณ ปกครอง ภรรยานายยุทธนา ที่ร่วมกันประชุมวางแผนจัดเตรียมอาวุธก่อเหตุ และไปขออำนาจทหารฝากขัง ต่อมาขยายผลออกหมายจับนายสรรเสริญ หรือสัน ศรีอุ่นเรือน อายุ 63 ปี นายวิชัย หรือตั้ม อยู่สุข อายุ 49 ปี และนายณเรศ อินทรโสภา อายุ 32 ปี เจ้าของร้านนมสดใน จ.ขอนแก่น ทำหน้าที่จัดสถานที่ในการประชุมวางแผน รับเงินค่าจ้าง 20,000 บาท จากนางสุภาพร มิตรอารักษ์ หรือเดียร์ อายุ 49 ปี ผู้จ้างวานทางไลน์ นายวิระศักดิ์ โตวังจร อายุ 43 ปี หรือ "ใหญ่ พัทยา" ผู้จัดหาอาวุธ และนายชาญวิทย์ จริยานุกูล อายุ 61 ปี ล่าสุด ศาลอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีก 4 ราย คือนายนรภัทร เหลือผล หรือบาส ผู้เข้าร่วมประชุม นายมนูญ ชัยชนะ หรือเอนก ซานฟราน ผู้ต้องหาความผิดตามมาตรา 112 ฐานหมิ่นเบื้องสูง เหตุเกิดที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 49/2557 นางวาสนา บุษดี ผู้รับคำสั่งจากนางสุภาพรให้โอนเงินค่าจ้าง 10,000 บาท ให้กลุ่มผู้ต้องหาที่ลงมือก่อเหตุ และนายเจษฎาพงษ์ วัฒนพรชัยศิริ อายุ 44 ปี ผู้ร่วมประชุมวางแผน รวมผู้ต้องหาทั้งสิ้น 14 คนนั้น
เมื่อเวลา 09.30 น. วันเดียวกัน ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รถตู้ทหารกองพันทหารราบ มณฑลทหารบกที่ 11 (พัน.ร.มทบ.11) พร้อมตำรวจอรินทราช 5 นาย คุมตัวนางวาสนา นายณเรศ และ น.ส.ณัฏฐธิดา มีวังปลา หรือน้องแหวน พยาบาลอาสาสมัคร พยานปากเอกคดี 6 ศพ วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร มาสอบปากคำ โดยไม่มีนางสุภาพรแต่อย่างใด เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ยังอยู่ระหว่างถูกควบคุมตัวเพื่อสอบปากคำของคณะพนักงานสอบสวน บช.น. ที่ห้องประชุมปารุสกวัน 2 บช.น. ทั้งนี้ ระหว่างเจ้าหน้าที่คุมตัวไปสอบปากคำนั้น น.ส.ณัฏฐธิดาได้ชู 3 นิ้วด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้นายวิญญัติ ชาติมนตรี กลุ่มนักกฎหมายอาสาเพื่อสิทธิมนุษยชน (กนส.) โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า น.ส.ณัฏฐธิดาถูกนายทหารในเครื่องแบบ 2 ราย ควบคุมตัวไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 มีนาคม
@ ตร.ขอศาลออกหมายจับเพิ่มอีก1
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พนักงานสอบสวน บช.น.ได้ขออนุมัติหมายจับศาลทหารเพิ่มเติมอีก 1 ราย คือ นายวสุ เอี่ยมลออ ผู้รับโอนเงิน ทำให้ขณะนี้มีหมายจับเกี่ยวข้องกับคดีทั้งหมด 15 หมาย จับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด 11 ราย ยังคงเหลือ นายมนูญ ชัยชนะ หรือเอนก ซานฟราน ผู้ต้องหาความผิดตามมาตรา 112 ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และฝ่าฝืนคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 49/2557 นายเจษฎาพงษ์ วัฒนพรชัยสิริ อายุ 44 ปี ผู้ร่วมประชุมวางแผน นายวิระศักดิ์ โตวังจร หรือใหญ่ พัทยา ผู้นำอาวุธมาให้กลุ่มผู้ต้องหาก่อเหตุ ที่ยังหลบหนี ส่วนนายวสุ ยังไม่ทราบถูกจับกุมตัวหรือยังหลังออกหมายจับตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 มีนาคม
@ แจ้งข้อหา'แหวน'ร่วมก่อการร้าย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะพนักงานสอบสวนนำผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย แยกสอบปากคำ พร้อมทั้งให้แพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจมาตรวจร่างกายผู้ต้องหาเพื่อยันยันว่า ไม่ได้มีการทำร้ายผู้ต้องหา ทั้งนี้ ผู้ต้องหาทั้งหมดยืนยันว่าจะไม่ขอแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน พร้อมทั้งให้ทางทนายความร่วมฟังการสอบสวน ในการสอบปากคำ น.ส.ณัฏฐธิดา พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. ได้นำรูปภาพกลุ่มบุคคล โดยมี นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และอดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายสุนัย จุลพงศธร อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ถ่ายรูปร่วมกับนายมนูญ ชัยชนะ หรือเอนก ซานฟราน ให้ น.ส.ณัฏฐธิดาดูเพื่อสอบถามว่าบุคคลดังกล่าวเกี่ยวข้องกับนายเอนก ซานฟราน ด้วยหรือไม่
จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมด พนักงานสอบสวนแจ้งความดำเนินคดีนายณเรศข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน มีเครื่องกระสุนปืนและยุทธภัณฑ์ทางทหารที่นายทะเบียนไม่สามารถอนุญาตให้ได้ มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต น.ส.วาสนา แจ้งข้อหา ร่วมกันก่อการร้าย ร่วมกันเป็นอั้งยี่ ร่วมกันจ้างวานใช้ และ น.ส.ณัฏฐธิดา ข้อหา ร่วมกันก่อการร้าย ร่วมกันเป็นอั้งยี่ และร่วมกันใช้จ้างวานให้บุคคลอื่นกระทำความผิดฐานพยายามฆ่า น.ส.ณัฏฐธิดาให้การภาคเสธ ยอมรับว่าโอนเงินจริง แต่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีปาระเบิด
@ ตร.แฉรับจ้างบึ้มจุดละ1หมื่นบ.
ต่อมาเวลา 13.30 น. พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) พล.ต.ท.ศรีวราห์ และ พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 (ผบก.น.6) ร่วมแถลงผลการสอบสวนผู้ต้องหา
พล.ต.ต.ชยพลกล่าวว่า คดีปาระเบิดศาลอาญา จากการรวบรวมพยานหลักฐานกลุ่มคนร้ายมีขั้นตอนการดำเนินการ 2 ครั้ง ครั้งแรกจ้างวานเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ กลุ่มบุคคลที่จ้างวานเป็นชุดเดียวกัน คือ นายมนูญ ชัยชนะ หรือเอนก ซานฟราน กลุ่มองค์กรภาคีเพื่อสิทธิมนุษยชน โอนเงินล็อตแรก โดยประสานรู้จักกับ นางสุภาพร หรือเดียร์ พบการโอนเงินให้นายวสุ เอี่ยมละออ 50,000 บาท นายวสุโอนเงินให้นางวาสนา เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ จำนวน 47,000 บาท มี น.ส.ณัฏฐธิดาที่รู้จักกันสามารถหาบุคคลที่จะลงมือลอบวางระเบิด คือ นายสุรพล เอี่ยมสุวรรณ
"สอบสวนนายสุรพลให้การว่า มีความสามารถที่จะทำการวางระเบิดได้ 5 จุด โดยตกลงเงินจุดละ 10,000 บาท ได้แก่ กรมทหารราบที่ 11 สวนลุมพินี ทางลงรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีจตุจักร ศาลอาญา และลานจอดรถโรงแรมสยามเคมปินสกี้ จึงมีการโอนเงินเข้ามาในระบบ จากนั้น ให้ผู้ลงมือกระทำความผิด 15,000 บาท เป็นการให้เงินล่วงหน้าก่อน หลังรับเงินไปแล้วไม่สามารถลงมือกระทำความผิดได้จะด้วยสาเหตุใดก็ตาม ความผิดในฐานผู้ใช้จ้างวาน เรื่องการก่อการร้าย ถือเป็นความผิดสำเร็จในครั้งแรก" พล.ต.ต.ชยพลกล่าว
@ ย้ำ'เอนก ซานฟราน'จ้างวาน
พล.ต.ต.ชยพลกล่าวว่า ครั้งที่สองมีการดำเนินการเช่นเดียวกัน ผู้ใช้จ้างวานเป็นกลุ่มบุคคลชุดแรกไม่ว่าจะเป็น นายเอนก ซานฟราน นางสุภาพร นางวาสนา จึงมีการเปลี่ยนตัวละครและผู้ลงมือกระทำความผิดใหม่ เนื่องจากใช้นายสุรพลไม่ประสบผลสำเร็จ จากนั้นประสานไปทางนายวิระศักดิ์ให้ดำเนินการจัดหาลูกระเบิดขว้างและอาวุธปืน นำไปให้นายมหาหินและนายยุทธนาลงมือกระทำความผิดได้ 1 จุด ที่ศาลอาญา เมื่อวันที่ 7 มีนาคม จะเห็นว่าทั้ง 2 ครั้ง กลุ่มผู้ใช้จ้างวานซึ่งเป็นนายทุนที่อยู่ต่างประเทศดำเนินการเป็นขบวนการ มีการวางแผน ใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่พี่น้องประชาชน
"รวมทั้งจะระเบิดทั่วประเทศ 100 จุด ทหารและตำรวจดำเนินการสืบสวนจับกุมดังกล่าว น.ส.ณัฏฐธิดาอยู่ในเรื่องของการโอนเงินเข้าไป ซึ่ง น.ส.ณัฏฐธิดารู้จักกับนายสุรพล จากนั้นก็แนะนำนายสุรพลให้รู้จักกับคนในกลุ่ม" พล.ต.ต.ชยพลกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า น.ส.ณัฏฐธิดารู้จักกับคนกลุ่มนี้ได้อย่างไรเนื่องจากเป็นพยาบาล ผบก.น.6 กล่าวว่า รู้จักทางเฟซบุ๊ก เมื่อถามว่า น.ส.ณัฏฐธิดาเป็นกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือไม่ ผบก.น.6 กล่าวว่า ไม่ทราบว่ากลุ่มไหน
พล.ต.ท.ศรีวราห์กล่าวว่า น.ส.ณัฏฐธิดารู้จักกับนางสุภาพร จากนั้นมีการส่งเฟซบุ๊กให้รู้จักกับนายเอนก ซานฟราน และมีการถ่ายรูปกับกลุ่มบุคคล มีหลักฐานตามภาพถ่าย วินิจฉัยไม่ออกเหมือนกันว่าเป็นสีไหน แต่ก็ยืนยันตามภาพและเอกสาร เมื่อถามว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับสีเสื้อหรือไม่ พล.ต.ท.ศรีวราห์กล่าวว่า เอกสารบอกชัดเจน ส่วนตัวการมีมากกว่านายเอนก หรือออกหมายจับใครเพิ่มเติมอยู่ระหว่างการสอบสวน
@ ประสานตร.สากลจับ'เอนก'
พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวถึงการติดตามจับกุมนายเอนก ซานฟราน ว่ากรณีการขอหมายแดง ทางตำรวจฝ่ายกองการต่างประเทศกำลังประสานกับตำรวจสากลหรืออินเตอร์โพล ให้ช่วยแจ้งที่มาที่ไปของคนร้าย เมื่อมีหมายจับจะดำเนินการส่งเป็นหมายจับไปยังสำนักงานใหญ่ของอินเตอร์โพลที่ประเทศฝรั่งเศส ส่วนประเทศที่นายเอนกหลบซ่อนอยู่ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ดูจากชื่อน่าจะรู้ ยืนยันว่าจะดำเนินการอย่างเต็มที่ ซึ่งข้อหาร้ายแรงในเรื่องความผิดฐานก่อการร้าย มีความผิดอยู่ในฐานความผิดของอินเตอร์โพลด้วย เพราะจากที่เคยประสานไป ตำรวจต่างประเทศได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เพราะหมายจับเป็นข้อหาก่อการร้าย ศาลในต่างประเทศและประเทศไทยถือว่าเป็นข้อหาที่ร้ายแรงมาก จึงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 18 มีนาคม เวลา 09.00 น. ทหารจะนำตัวนางสุภาพร หรือเดียร์ ผู้จ้างวาน นายวสุ เอี่ยมละออ ทำหน้าที่โอนเงิน นายสุรพล ผู้รับเงินที่จะก่อเหตุวางระเบิดก่อเหตุครั้งแรก แต่รับเงินมาแล้วไม่ได้ลงมือก่อเหตุ ส่งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
@ ศาลรับฝากขัง-ไม่ให้ประกัน
เวลา 16.30 น. ที่ศาลทหาร พนักงานสอบสวนนำผู้ต้องหา ประกอบด้วย น.ส.ณัฏฐธิดา นายณเรษ อินทร์โสภา น.ส.วาสนา บุตรดี มาฝากขังต่อศาลหทาร ทางคณะตุลาการศาลทหารกรุงเทพได้ออกนั่งบัลลังก์พิจารณาอ่านคำร้องที่เจ้าหน้าที่พนักงานสอบสวนยื่นขอฝากขังผู้ต้องหาทั้ง 3 คน พร้อมรับฝากขังผลัดแรก 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 17-28 มีนาคม
ต่อมาเวลา 18.00 น. นายวิญญัติกล่าวว่า ยื่นคัดค้านการฝากขังพร้อมทั้งยื่นหลักทรัพย์เป็นเงิน 1 ล้านบาท ขอประกัน น.ส.ณัฏฐธิดา 6 แสนบาท และ น.ส.วาสนา 4 แสนเพราะเห็นว่าบุคคลทั้งสองอยู่ห่างไกลจากข้อกล่าวหาของพนักงานสอบสวน ส่วนของ น.ส.ณัฏฐธิดา ถูกลากไปเกี่ยวโยงกับการโอนเงิน เพราะเจ้าตัวไปยืมเงินจำนวนหนึ่งกับบุคคลที่กระทำความผิด ซึ่งรู้จักกันก่อนหน้านี้ สำหรับ น.ส.วาสนาให้บุคคลที่ไม่รู้จักยืมบัญชีธนาคารไปใช้ โดยที่ไม่รู้วัตถุประสงค์
ต่อมาศาลได้พิเคราะแล้วเห็นว่าคดีมีความร้ายแรง และเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี และเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน ศาลจึงพิจารณาไม่อนุญาตให้ประกันตัว
@ วิญญัติโพสต์ถูกกีดกันเป็นทนาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวิญญัติโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หลังจากยื่นขอเป็นทนายให้กับ น.ส.ณัฏฐธิดา แต่ได้รับการปฏิเสธว่า นับจากนี้ไปประชาชนจะอยู่ยากขึ้นหากรัฐหรือข้าราชการของรัฐยังใช้อำนาจแบบตามอำเภอใจ ภายใต้กฎอัยการศึก เป็นทนายมา 17 ปี ทำคดีมามากกว่า 1,000 เรื่อง เจอตำรวจมาหลายร้อยหลายพันนาย ยังไม่เท่าวันนี้ ทีมทนายมาทำหน้าที่ตามคำร้องขอผู้ต้องหาและปักใจที่จะให้เราเป็นทนายเพราะอยู่ในอาการหวาดกลัว ร้องไห้ กลับถูกนายตำรวจเชิญตัวออก โดยขู่ว่าจะดำเนินคดีกับทีมทนาย สุดยอดจริงๆ ข้าราชการไทย
"สืบเนื่องจากเมื่อเวลา 13.00 น. ประสานทางโฆษก คสช. ยื่นหนังสือถึงหัวหน้า คสช. เพื่อให้ตรวจสอบ สืบสวน สอบสวนการคุมตัวและหายตัวไปของ น.ส.ณัฏฐธิดา จากนั้น บช.น.ได้ยืนการแถลงข่าวพร้อมแผนผัง กล่าวหา น.ส.ณัฏฐธิดาว่าร่วมก่อการร้าย จากเหตุระเบิดหน้าศาลอาญาเมื่อหลายวันก่อน แต่พอเจอหน้า น.ส.ณัฏฐธิดา ร้องไห้และหวาดกลัวอย่างมาก ร้องขอให้ตนเป็นทนาย แต่กลับถูกกีดกันว่าผู้ต้องหาไม่ให้เป็นทนายและมีทนายความจากสภาทนายมาแล้ว" นายวิญญัติระบุ และว่า ระหว่างขอชี้แจงในฐานะทนายความกับตำรวจ ก็มีคำสั่งทันทีว่าให้คอมมานโดนำทีมเราออกไปจาก บช.น.
ไม่เช่นนั้นจะดำเนินคดี มาทราบอีกทีว่ามีบางคนจะเอาผมไปปรับทัศนคติ จนกระทั่งการสอบสวนเสร็จสิ้นโดยไม่มีทีมทนายร่วมเข้าฟังการสอบสวน 20 นาที
นายวิญญัติระบุอีกว่า น้องแหวนได้โทรศัพท์มาเพื่อขอให้เราเข้าเป็นทนายโดยด่วน จึงเดินทางกลับมาอีกครั้งเจอหน่วยคอมมานโด และนายตำรวจห้ามมิให้เข้า สุดท้ายก็นำตัวน้องแหวนไปฝากขังยังศาลทหารกรุงเทพ
@ บิ๊กโชยรับคุมตัว'แหวน'จริง
พล.ท.กัมปนาทกล่าวถึงกรณีที่มีนายทหารกรมพระธรรมนูญไปควบคุมตัว น.ส.ณัฏฐธิดาหรือน้องแหวนว่า ทุกเรื่องทาง พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก เน้นย้ำโดยตลอด การดำเนินการใดๆ ต้องยึดหลักกฎหมาย พร้อมทั้งใช้ตำรวจดำเนินการ ส่วนกรณี น.ส.ณัฏฐธิดาเป็นเรื่องการทำงานของชุดดำเนินคดีจากเหตุการณ์ปาระเบิดที่ศาลอาญา เมื่อดำเนินคดี ก็ต้องเชิญคนที่เกี่ยวข้อง ผู้ที่ต้องสงสัย หรือผู้ที่คนร้ายพาดพิงไปมาเพื่อพูดคุย ถ้าใครไม่เกี่ยวข้องก็ปล่อยตัวไป ถ้าใครเกี่ยวข้องมีหลักฐานชัดเจนส่งดำเนินคดี ขอศาลออกหมายจับต่อไป เพราะฉะนั้นเราจะไม่ดำเนินการใดๆ ที่นอกเหนือกฎหมายทั้งสิ้น
เมื่อถามว่า ถ้าหน่วยทหารใดไปเชิญตัวผู้ต้องสงสัยต้องเปิดเผยให้ชัดเจน พล.ท.กัมปนาทกล่าวว่า ถ้าทุกหน่วยเข้าไปในพื้นที่ กกล.รส.ต้องแจ้งให้รับทราบว่าได้เข้ามาทำงานในพื้นที่ เป็นหลักปฏิบัติโดยทั่วไป ยกเว้นกรณีที่เกรงว่าผู้ที่ต้องสงสัยยังไม่ใช่ผู้ถูกกล่าวหา บางทีเป็นเรื่องลับมาก ต้องดำเนินการไป แต่สุดท้ายก็ต้องแจ้งมาที่ กกล.รส.รับทราบ ขอยืนยันว่าหลีกเลี่ยงอย่างเต็มที่ที่จะไม่ใช้กฎอัยการศึก