- Details
- Category: การเมือง
- Published: Thursday, 05 March 2015 23:46
- Hits: 3349
วันที่ 05 มีนาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 24 ฉบับที่ 8863 ข่าวสดรายวัน
ปปช.มาแรง-ยื่นขอ ต่ออายุ! อ้างรอรธน.ใหม่ ครบวาระ5คน-ชง'บิ๊กตู่' จี้สปช.โชว์มั่งตั้งลูกเมีย ญาติสนช.ทยอยไขก๊อก ชู'แม่น้ำ 5 สาย'เว้นวรรค มธ.ใช้เฟซ-ตีกรอบ'อจ.'
รับข้อหา - นายอานนท์ นำภา ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เข้าพบพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน เมื่อวันที่ 4 มี.ค. เพื่อรับทราบเพิ่มอีก 5 ข้อหา ตามความผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการร่วมจัดกิจกรรมการเลือกตั้งที่ลัก หน้าหอศิลป์กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา |
ป.ป.ช.ชงนายกฯบิ๊กตู่ขอต่ออายุตัวเองทั้งคณะ 5 คนที่ใกล้หมดวาระ อ้างรัฐธรรมนูญใหม่ยังไม่เสร็จ แถมกรรมการสรรหาก็ยังไม่ชัดเจน 'เทียนฉาย'ไม่รู้สปช. ตั้งลูก-เมียกินเงินหลวงหรือไม่ หลังโดนจี้ ให้สปช.โชว์ตัวทีมผู้ช่วย-ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อ เป็นบรรทัดฐานเดียวกับสนช. เผยเครือญาติ สนช.ทยอยออกแล้ว อดีต38ส.ว.พร้อมชี้แจงสู้คดีปมแก้รัฐธรรมนูญที่มาส.ว.วันนี้ กมธ. ยกร่างฯแย้มอาจเว้นวรรคแม่น้ำ 5 สาย 2 ปีห้ามยุ่งการเมือง กันข้อครหาสืบทอดอำนาจ รองประธาน'พีระศักดิ์'ฉุนขาด ลั่นถ้าห้ามจริงไขก๊อกพ้นสนช. ธรรมศาสตร์ออกกฎตีกรอบ ผู้สมัครอาจารย์ต้องไม่เคยโพสต์ไม่เหมาะสม
'เทียนฉาย'ยันไม่รู้สปช.หึ่ง
จากกรณีที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)เกือบ 50 คนแต่งตั้งลูก เมีย และเครือญาติตัวเองให้มาช่วยงานในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญประจำตัวสนช. อัตราเงินเดือน 24,000 บาท ผู้ชำนาญการประจำตัวสนช. อัตราเงินเดือน 20,000 บาท ผู้ช่วยประจำตัวสนช. อัตราเงินเดือน 15,000 บาท ผู้ช่วย ผู้ดำเนินงานของสนช. อัตราเงินเดือน 15,000 บาท
วันที่ 4 มี.ค. นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ให้สัมภาษณ์ว่า ไม่ทราบว่าในสปช.มีหรือไม่ เพราะตนไม่ต้องเซ็นแต่งตั้ง จะรู้ต่อเมื่อ เป็นข่าว เหมือนกับนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช.ก็รู้เมื่อข่าวออกมาแล้วเหมือนกัน ซึ่งเรื่องนี้สปช.ใช้ระเบียบเดียวกับสนช. แต่ในส่วนของตนไม่ได้ตั้งใครให้มาช่วยงานเลย เพราะถือว่ามาทำงานเพียงระยะสั้นและเจ้าหน้าที่ก็ช่วยงานดีอยู่แล้ว
หนุนใช้บรรทัดฐานวิปสนช.
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากสปช.ตั้งเครือญาติ มาช่วยงานจะแก้ไขอย่างไร เพราะสนช.ให้ ลาออก นายเทียนฉายกล่าวว่าก็ต้องปฏิบัติเหมือนกัน แต่เรื่องนี้ไม่ได้มีข้อห้ามไว้ อยู่ที่ความสำนึกทางจริยธรรม ซึ่งส.ว.ในอดีต ที่ผ่านมามีการตั้งคนใกล้ชิดมาช่วยงาน แต่เขาเรียนจบปริญญาและมีความรู้ด้านกฎหมาย ไม่น่าผิดอะไร เพราะเขาต้องการคนที่ไว้ใจได้ และมีความรู้มาช่วยงาน แต่หากตั้งคนที่ยังเรียนไม่จบถือว่าไม่เหมาะสม
ส่วนกรณีที่คณะกรรมาธิการสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(วิปสนช.) ขอความร่วมมือให้สมาชิกสนช.ปรับลูก เมีย และเครือญาติออกจากตำแหน่งผู้ช่วยมีผล 1 มี.ค.ที่ผ่านมา นายเทียนฉายกล่าวว่า การตั้งเครือญาติเป็นคณะทำงานไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย แต่เป็นความรับผิดชอบส่วนบุคคลที่ต้องคำนึงถึงคุณธรรม จริยธรรม ซึ่งต้องระวังมากขึ้น
"ผมเห็นด้วยกับแนวทางของนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสนช. และเห็นว่าสปช.เอง เบื้องต้นยังไม่ได้ตรวจสอบว่ามีสมาชิกคนใดตั้งเครือญาติเป็นคณะทำงานบ้าง แต่ย้ำว่าสปช.และ สนช.ใช้กติกาเดียวกันมาโดยตลอด ดังนั้น มีความเป็นไปได้ที่จะใช้ ข้อเสนอของวิปสนช.มาเป็นบรรทัดฐาน เดียวกับการตั้งคณะทำงานของสปช." นายเทียนฉายกล่าว
วอนอย่าวิจารณ์เหมาเข่ง
นางทัศนา บุญทอง รองประธานสปช.คนที่ 2 ตอบข้อถามว่าสปช.ควรเปิดรายชื่อผู้ช่วยให้สังคมรับทราบหรือไม่ว่า เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลที่ต้องพิจารณา เชื่อว่าสมาชิกสปช.ทุกคนมีความสำนึกและเป็นผู้ใหญ่ แต่ประเด็นนี้คณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการ สปช.ยังไม่ได้กำหนดวาระที่จะมาพูดคุยกัน เชื่อว่าทุกคนคงเห็นสิ่งที่ปรากฏตามข่าวและสื่อต่างๆ แล้ว คงมีการพูดคุยกันเองว่าจะดำเนินการอย่างไรให้เกิดความเหมาะสม อย่างไรก็ตามเท่าที่ทราบเห็นว่าแม้บางคน จะแต่งตั้งเครือญาติมาช่วยทำงานจริง แต่คนที่มาช่วยทำงานเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ และเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ หากไปวิจารณ์แบบเหมารวมอาจไม่ยุติธรรม เพราะภารกิจของคณะกรรมาธิการสปช.แต่ละด้านค่อนข้างหนัก จึงอยากให้มองที่การทำงานเป็นหลัก
พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ สมาชิกสปช. กล่าวว่า โดยหลักการแล้วการตั้งเครือญาติ เข้ามาเป็นผู้ช่วยในการทำงานไม่ผิด เพราะไม่มีระเบียบ กฎหมาย หรือข้อบังคับอะไรห้ามไว้ ซึ่งจากกระแสข่าวสมาชิกสนช.บางท่านตั้งภรรยาตนเองให้ช่วยงานทั้ง 3 ตำแหน่งนั้น ดูแล้วคิดว่าไม่มีความชอบธรรมก็ไม่น่าจะแต่งตั้งได้ ส่วนสมาชิกสปช.ก็เหมือนกรณีสนช.เช่นกัน เพราะมีบางคนตั้งภรรยา บางคนตั้งบุตร หรือบางคนตั้งเครือญาติเข้ามาช่วยงานด้วย แต่เทียบสัดส่วนแล้ว ไม่ทราบว่ามีจำนวนกี่คน ส่วนตนไม่ได้ตั้งภรรยา บุตร หรือเครือญาติเข้ามาช่วยงานแต่อย่างใด มีเพียงเอานักศึกษาที่สอนเข้ามาช่วยงานเท่านั้น
แนะออกกฎห้าม-ให้ชัดเจน
"จากกรณีดังกล่าวที่เป็นประเด็นขึ้น คิดว่าเนื่องจากไม่มีระเบียบ กฎหมาย หรือข้อบังคับอะไรห้ามไว้ เลยทำให้เป็นเรื่องค่อนข้างคลุมเครือมากว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป คิดว่าถ้าจะระบุให้แน่ชัดก็ต้องร่างกฎระเบียบ ข้อบังคับขึ้นมาเลย ว่าห้ามภรรยา ห้ามบุตร ห้ามเครือญาติ เข้าช่วยงานไปเลย" พล.อ. เอกชัยกล่าว
ด้านนายอลงกรณ์ พลบุตร สมาชิกสปช.กล่าวว่าเรื่องนี้เป็นดุลพินิจของแต่ละบุคคล ถ้าเห็นว่าต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เกิดความเหมาะสมก็ควรดำเนินการ หรือถ้าใครยืนยันว่าคนที่แต่งตั้งให้มาช่วยงานนั้นสามารถทำงานได้จริงๆ ถือเป็นความรับผิดชอบของแต่ละคนที่ต้องชี้แจงต่อสาธารณะเพื่อให้เกิดความเข้าใจ จึงมองว่าประเด็นนี้อาจไม่ต้องถึงขั้นออกกฎหรือข้อบังคับ เพราะแต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีวุฒิภาวะสามารถพิจารณาเองได้ว่าอะไรเหมาะสมหรือไม่ เนื่องจากเรื่องความเหมาะสมและความถูกต้องนั้นสูงกว่า ข้อบังคับ ดังนั้นภาพรวมของสปช.ต้องรักษามาตรฐานและเป็นตัวอย่างที่ดีต่อการปฏิรูป
เลขาฯวุฒิชี้คุณสมบัติครบ
นางนรรัตน์ พิมเสน เลขาธิการวุฒิสภา ในฐานะปฏิบัติหน้าที่เลขานุการสนช.กล่าวว่า หลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งบุคคลเพื่อปฏิบัติงานให้แก่สมาชิกสนช. เป็นระเบียบที่ใช้มานานแล้ว โดยเทียบเคียงมาจากหลักเกณฑ์ของส.ส.และส.ว. มีการไปตกลงหลักเกณฑ์เรื่องคุณสมบัติและค่าตอบแทนกับกระทรวงการคลัง เพื่อขอคนมาช่วยงาน ซึ่งคุณสมบัติของผู้ที่มาช่วยงานนั้น ได้ตรวจสอบว่ามีคุณสมบัติถูกต้องตามหลักเกณฑ์ทุกอย่าง เพราะในบางกรณีสนช.ก็ต้องการใช้คนที่ไว้ใจได้มาช่วยงาน
นางนรรัตน์ กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นว่าปัญหาการแต่งตั้งเครือญาติมาช่วยงานที่เกิดขึ้น คงต้องดูเป็นรายกรณีๆ ไป ไม่ควรไปเหมารวมสนช.ทั้งหมด หลังจากเกิดปัญหาขึ้นมามีสนช.บางคน เช่น สนช.ในพื้นที่เสี่ยงภัยมาปรึกษาว่า ทำไมต้องมาจำกัดสิทธิในการแต่งตั้งคนมาช่วยงาน หากมาจำกัดสิทธิเช่นนี้จะเกิดปัญหาในการทำงาน เช่น การหาข้อมูลในพื้นที่ หรือใครจะมาช่วยขับรถ เพราะต้องหาคนที่ไว้วางใจได้มาช่วยงานจริงๆ ทั้งนี้หากจะมีการแก้ไขหลักเกณฑ์การแต่งตั้งคนมาช่วยงานดังกล่าว ทางประธานสนช.สามารถทำ รายละเอียดสั่งการมาได้
ด้านนายไพบูลย์ นิติตะวัน คณะกรรมา ธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ(กมธ.ยกร่างฯ) กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นว่าเรื่องใดที่สังคมคลางแคลงใจว่าไม่ควรทำก็ควรยกเลิก ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรและไม่ควร ไปฝืน เพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน หากสังคมหรือคนส่วนใหญ่เห็นว่าไม่ดี ไม่เหมาะสมก็ควรหยุดอย่าฝืนดันทุรัง
เผยเครือญาติทยอยออกแล้ว
พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม สมาชิก สนช. กล่าวถึงกรณีที่วิปสนช.ขอความร่วมมือให้สมาชิก สนช.ปรับลูก เมีย และเครือญาติออกจากตำแหน่งผู้ช่วยมีผล 1 มี.ค.ที่ผ่านมาว่า ในส่วนของตนได้นำบุตรชายและน้องชาย มาช่วยงาน ซึ่งในส่วนบุตรชายได้ลาออกจากตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญประจำตัวไปแล้วตั้งแต่ วันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา ส่วนน้องชายที่มาดำรงตำแหน่งผู้ช่วยประจำตัวสนช. แม้ขณะนี้จะใช้งานอยู่ ก็จะให้ไปลาออกเช่นกัน เพื่อให้สังคมเกิดความสบายใจ แม้จะไม่ใช่มติวิปสนช. เป็นแค่การขอความร่วมมือ แต่พร้อมแสดงสปิริต เพื่อให้เกิดความโปร่งใส จะได้เป็นแบบอย่างที่ดี
"เท่าที่คุยกับสนช.หลายคน เมื่อมีข่าวออกมาทุกคนเกิดความไม่สบายใจ เพราะทุกคน มีเจตนาดีในการเข้ามาทำงานเพื่อบ้านเมือง ขณะนี้สนช.หลายคนได้ให้เครือญาติไป ลาออกจากตำแหน่งแล้ว ก่อนที่วิปสนช.จะขอความร่วมมือมาเสียอีก รวมไปถึงสปช. ที่มีการตั้งเครือญาติมาช่วยงาน ก็สั่งให้ไปลาออกแล้วเช่นกัน" พล.อ.สมเจตน์กล่าว
'สมเจตน์'ไม่ขอแก้ตัว
พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า แม้การแต่งตั้งเครือญาติมาช่วยงานจะทำได้ตามกฎหมาย แต่เมื่อสังคมเกิดความไม่สบายใจ เห็นว่าไม่มีความเหมาะสม เราก็พร้อมแก้ไข ไม่ขอแก้ตัว ส่วนเหตุผลที่นำบุตรชายและน้องชายมาช่วยงานนั้น ไม่ขอพูดถึง เพราะพูดไปจะหาว่าแก้ตัว ตนมีเหตุผลแน่นอน แต่ไม่ขอชี้แจง เพราะไม่รู้ว่าพูดไปแล้วจะเป็นผลดีหรือยิ่งเป็นผลเสียหนักยิ่งขึ้น มีการนำไปขยายผลต่อไปอีก จึงไม่ขอแก้ตัว แต่ขอแก้ไขดีกว่า
ส่วนที่นายตวง อันทะไชย สมาชิก สนช.ระบุว่า กรณีดังกล่าวเป็นกระบวนการทำลายสนช.นั้น พล.อ.สมเจตน์กล่าวว่าไม่ทราบว่า มีเรื่องนี้จริงหรือไม่ แต่สนช.เข้ามาดำรงตำแหน่ง โดยไม่เป็นที่ยอมรับ ซึ่งเป็นจุดอ่อนอยู่แล้ว พอเกิดเรื่องขึ้นก็ต้องถูกนำไปขยายความอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามขอขอบคุณสังคมที่เห็นว่า การแต่งตั้งเครือญาติมาช่วยงานเป็นเรื่องไม่เหมาะสม แม้กฎหมายจะไม่ห้ามไว้ ถือว่าสังคมเดินมาถูกทางแล้ว อยากให้สังคมทำแบบนี้ตลอดไป เพื่อช่วยกันตรวจสอบนักการเมืองที่จะเข้ามา
'สิงห์ศึก'บ่นเสียดายลูกชาย
ส่วนพล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร สมาชิกสนช. กล่าวว่า แม้วิปสนช.จะไม่มีมติบังคับให้เครือญาติของสนช.ที่มาช่วยงานต้องลาออกจากตำแหน่ง แต่พร้อมให้ความร่วมมือโดยให้บุตรชายของตนลาออกจากตำแหน่งผู้ชำนาญการประจำตัวสนช. แม้จะไม่ได้ทำผิดอะไร แต่เพื่อความสบายใจของสังคมและสร้างเป็นบรรทัดฐานใหม่ในสังคม
"การที่ผมนำลูกชายมาช่วยงานถือว่า เป็นประโยชน์ ช่วยงานผมได้มาก เพราะลูกชายจบจากต่างประเทศ เคยเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อย และเป็นวิศวกรโรงงาน สามารถมาช่วยงานผมที่เป็นประธานคณะกรรมาธิการพาณิชย์และอุตสาหกรรมได้เป็นอย่างดี ช่วยค้นหาข้อมูลต่างๆได้มาก แต่ถ้าสังคม ไม่ยอมรับก็ยินดีให้ออก แต่รู้สึกเสียดาย น่าจะพิจารณาเป็นกรณีๆ ไป ถ้าเป็นคนมีประสบการณ์การทำงาน มีความรู้ ความสามารถควรทำหน้าที่ได้ แต่ถ้าไปใช้ตำแหน่งหน้าที่ในการสร้างอิทธิพลก็ต้องลงโทษ แต่มั่นใจว่า สนช.ทุกคนเป็นผู้ใหญ่ คงไม่กล้าเสี่ยงเอาเกียรติยศไปทำอะไรเสียหาย" พล.อ. สิงห์ศึกกล่าว
พท.แขวะมาตรฐานคนดีสิ้นสุด
ด้านนายสมคิด เชื้อคง อดีต ส.ส. อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย(พท.) กล่าวถึงกรณีวิปสนช.ขอความร่วมมือให้สมาชิก สนช.ปรับลูก เมีย และเครือญาติออกจากตำแหน่งผู้ช่วยว่า ถือเป็นเรื่องดีแม้ความรู้สึกจะช้าไปหน่อย ต้องรอให้สังคมออกมากดดันถึงจะยอมแก้ไข ซึ่งตนไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น สนช.ไม่ควรมีผู้ช่วย ไม่เหมือน กับส.ส.ที่ต้องมีผู้ช่วยเพราะมีพื้นที่ที่ต้องดูแลประชาชน อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ สนช.คงต้องระมัดระวังเรื่องการทำงาน เพราะสร้างมาตรฐานว่าเป็นคนดีไว้เสียเยอะ เวลาเกิดปัญหาขึ้น ทุกอย่างเลยพุ่งเข้าไปที่ตัวเองเยอะเช่นกัน
"ยืนยันว่า สนช. สปช.ไม่จำเป็นต้องมี ผู้ช่วย ที่น่าเกลียดสุดๆ เห็นจะเป็นการตั้งลูกที่ยังเรียนไม่จบเข้ามากินตำแหน่ง แบบนี้ไม่ไหวจริงๆ พวกคุณชี้หน้านักการเมืองและกลุ่มที่อยู่ตรงข้ามว่าไม่ดี ตอนนี้มาตรฐานคนดี ของพวกท่านสิ้นสุดแล้ว อย่าแยกคนอื่นว่า ไม่ดี จะดีหรือเลวขึ้นอยู่ที่การกระทำ และ อย่าพูดว่าที่หลายฝ่ายวิพากษ์เพราะหวังจะ ลดความน่าเชื่อถือของ สนช.เพราะเป็นคน ละเรื่องกัน" นายสมคิด กล่าว
จี้'เทียนฉาย'เปิดโผผช.สปช.
นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หลังจากปรากฏเป็นข่าวว่าสมาชิก สนช.เกือบค่อนสภาแต่งตั้งคนในครอบครัว เข้ามาเป็นผู้ช่วยกันนั้น ตนมองว่าเป็นเรื่องผิดระเบียบและประมวลจริยธรรม บางคนถึงกับตั้งภรรยาของตัวเองควบหลายตำแหน่ง สนช.เหล่านี้ควรแสดงความรับผิดชอบโดยการลาออกจากตำแหน่ง ในส่วนของสปช.ก็ควรจะเปิดเผยรายชื่อของผู้ช่วยออกมาด้วย เพื่อให้สังคม ได้รับทราบ เพราะอาจมีพฤติกรรมเดียวกับ สนช. ดังนั้นขอให้นายเทียนฉาย เป็นผู้เปิดเผยข้อมูลด้วยตัวเอง เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องลับ อีกทั้งประชาชนจะได้รับรู้ว่าเงินภาษีของพวกเขา ที่เอาไปจ่ายให้กลุ่มคนเหล่านี้ใช้ถูกต้องตรงตามวัตถุประสงค์ ที่สำคัญเพื่อให้เป็นบรรทัดฐานเดียวกันกับ สนช.ด้วย
นายอำนวย คลังผา อดีต ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เรื่องนี้ขึ้นกับดุลพินิจของ สนช.ว่าจะรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร ยืนยันว่า สนช.รวมทั้ง สปช.ไม่จำเป็นต้องมีผู้ช่วย เพราะพวกท่านแค่กลั่นกรองกฎหมาย ไม่ต้องลงพื้นที่พบปะประชาชนเหมือนกับ ส.ส. อะไรควร อะไรไม่ควร พวกท่านเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว อย่าให้ต้องเตือนกันบ่อยๆ ผมไม่อยากให้ถึงขั้นต้องเปิดชื่อออกมาว่าใครเอาลูกเมียมาเป็นผู้ช่วยกันบ้าง ผิดถูกตัวเราย่อมรู้ดีที่สุด เมื่อรู้ว่าผิดก็แก้ไข เรื่องจะได้จบ
ศรีสุวรรณ บี้สอบสภาลูกเมีย
นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า เป็นเรื่องน่ายินดีที่วิปสนช.ให้สมาชิก สนช.ปรับลูก เมีย และเครือญาติออกจากตำแหน่งผู้ช่วย แต่ไม่ควรจบเพียงเท่านี้ สนช.ควรใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสแก้ไขกฎระเบียบเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เช่น ส.ส. และ ส.ว. แต่งตั้งเครือญาติเข้ามาทำหน้าที่ดังกล่าวในอนาคต ส่วนที่ตนยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ให้ตรวจสอบจริยธรรมสนช.นั้น ป.ป.ช.จะต้องดำเนินการไต่สวนต่อไป เพราะถือว่าความผิดสำเร็จแล้ว
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ยืนยันว่าป.ป.ช.มีกฎหมายรองรับในการทำหน้าที่ ตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2550 และ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2554 มาตรา 19 ที่กำหนดให้ป.ป.ช.มีหน้าที่กํากับดูแลคุณธรรมและจริยธรรมของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง จึงไม่ทราบว่าที่เลขาธิการป.ป.ช.ระบุว่า ไม่มีบทบัญญัติให้ตรวจสอบตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญประจำตัวสนช.นั้น เป็นเพราะไม่ได้อ่านกฎหมายของตัวเองอย่างละเอียดหรือไม่ ส่วนที่ระบุให้ไปยื่นกับผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อสอบจริยธรรมนั้น มองว่าผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีดาบ หรือมาตรการที่จะดำเนินการเอาผิด ทำได้แค่เพียงสรุปรายงานเสนอไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
ป.ป.ช.ถกด่วนมีอำนาจหรือไม่
ส่วนนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานป.ป.ช. กล่าวว่า เมื่อมีผู้มาร้องเรียน ทางป.ป.ช.ก็รับเรื่องไว้เพื่อมาพิจารณาว่าอยู่ในอำนาจหน้าที่ของป.ป.ช.หรือไม่ แต่การร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องจริยธรรม หากมาร้องที่ป.ป.ช.คงจะร้องไม่ค่อยตรงนัก เพราะเรื่องจริยธรรมต้องไปร้องที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน และผู้ตรวจการฯจะพิจารณาตามมาตรา 270 หากผู้ตรวจการฯสอบแล้วพบว่าผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามมาตรา 270 จึงจะส่งเรื่อง มาให้ป.ป.ช.ไต่สวนต่อไป ผู้สื่อข่าวถามว่า ป.ป.ช.ไม่กลัวถูกวิจารณ์ว่าไม่รับเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวโยงถึงสนช.หรือ นายปานเทพกล่าวว่า ก็ต้องให้ป.ป.ช.พิจารณาข้อกฎหมายก่อนว่า เรื่องที่ร้องมานั้นเข้ากับกฎหมายป.ป.ช.หรือไม่ หากไม่เข้ากฎหมายป.ป.ช. ก็ต้องให้เรื่องตกไป แต่ถ้าเข้าก็สอบต่อ
รายงานข่าวจากป.ป.ช. เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงานป.ป.ช.ได้รับเรื่องร้องเรียนดังกล่าวบรรจุเข้าสู่วาระการพิจารณาเร่งด่วนแล้ว โดยในการประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.วันที่ 5 มี.ค. นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการป.ป.ช.เตรียมรายงานเรื่องดังกล่าวให้ที่ประชุมทราบ และเพื่อพิจารณาว่า ข้อร้องเรียนทั้งหมดเข้าองค์ประกอบการพิจารณาของป.ป.ช.ตามกฎหมายหรือไม่ โดยเฉพาะที่นายศรีสุวรรณได้ย้ำถึงมาตรา 19 ตามกฎหมายป.ป.ช.เรื่องการปฏิบัติผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือไม่ แสวงหาประโยชน์ให้ตัวเองหรือไม่ ปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน หรือผิดร้ายแรงในเรื่องคุณธรรมจริยธรรมหรือไม่ หากที่ประชุมพิจารณาแล้วสามารถรับไว้ไต่สวนได้ก็จะแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาแสวงหาข้อเท็จจริงต่อไป
ผู้ตรวจการฯโดดรับลูก
พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ ผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า การสอบเรื่องจริยธรรมกรณีสนช.ตั้งเครือญาติให้ช่วยงานนั้น ถ้าเป็นการสอบเกี่ยวกับคุณธรรม จริยธรรมสามารถร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินได้ แต่หากเป็นการสอบสวนทางวินัยหรือความผิดโดยมิชอบต้องไปร้องต่อ ป.ป.ช.เพราะ ป.ป.ช.ดูแลเรื่องการประพฤติมิชอบต่อตำแหน่งหน้าที่ ซึ่งเรื่อง ดังกล่าวจำเป็นต้องดูเป็นกรณีไปว่าต้องการ ให้ตรวจสอบแบบไหน ต้องดูที่รายละเอียด เพราะแต่ละกรณีไม่เหมือนกัน ทั้งยังต้องดูคุณสมบัติของผู้ที่ถูกแต่งตั้งมาพิจารณาด้วย ถ้าจำไม่ผิดบางตำแหน่งบอกว่าถ้าจบปริญญาตรี ต้องมีประสบการณ์ 1 ปีบ้าง 3 ปีบ้าง แต่ของบางคนบอกว่ายังเรียนหนังสืออยู่ก็ต้องดูกัน ไม่สามารถไปเหมารวมหมด หากมีการร้องเรื่องดังกล่าวมา คิดว่าทุกหน่วยงานที่รับเรื่องจะต้องตั้งคณะทำงานขึ้นมาสอบเป็นละกรณีไป
เมื่อถามว่า คิดว่าเรื่องนี้กระทบความรู้สึกของประชาชนหรือไม่ พล.อ.วิทวัสกล่าวว่า ถ้าเคลียร์ได้ก็จะดี แต่เขาบอกว่าไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี หรือประธาน สนช.ต่างบอกว่าไม่ผิดกฎหมาย แต่โดยส่วนตัวยังไม่ทราบข้อมูลแท้จริง เพราะทราบข่าวจากทางสื่อเท่านั้น
อดีต 38 ส.ว.พร้อมชี้แจงสู้คดี
นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง อดีตส.ว.อุทัยธานี กล่าวถึงการชี้แจงตอบข้อซักถามต่อสนช. ในคดีถอดถอนอดีต 38 ส.ว.กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องที่มา ส.ว.โดยไม่ชอบ ใน วันที่ 5 มี.ค. ว่า ทุกคนพร้อมชี้แจงตอบข้อ ซักถาม คาดว่า ผู้ชี้แจงคงเป็นชุดเดิมที่เข้าชี้แจงในวันแถลงเปิดคดีคือ นายกฤช อาทิตย์แก้ว อดีตส.ว.กำแพงแพชร นายวิทยา อินาลา อดีตส.ว.นครพนม นายดิเรก ถึงฝั่ง อดีตส.ว.นนทบุรี และตน และยังได้รับมอบหมายจาก พล.ต. กลชัย สุวรรณบูรณ์ สมาชิกสนช. และเป็น 1 ใน 38 ส.ว.ให้พวกตนเข้าชี้แจงแทนด้วย ขณะที่พล.ต.กลชัย จะไม่เข้าร่วมประชุมดำเนินกระบวนการถอดถอน ถึงแม้จะไม่มีการห้ามในข้อบังคับการประชุมก็ตาม
"ไม่รู้สึกกังวลและเชื่อว่าจะได้รับความเป็นธรรม เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความชั่ว แต่เป็นข้อกล่าวหาที่ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าผิดในความเข้าใจของคนเหล่านั้น ทั้งนี้ได้รับข่าวว่าอาจเลื่อนวันแถลงปิดคดีด้วยวาจาจากเดิมวันที่ 12 มี.ค.ไปเป็นวันอื่น จึงอยากให้สนช.กำหนดวันที่ชัดเจนและแจ้งล่วงหน้าให้อดีต 38 ส.ว.รับทราบ เพราะทุกคนต้องเคลียร์งานประจำของตัวเองเพื่อเตรียมแถลงปิดคดี" นายสิงห์ชัยกล่าว
สนช.เตรียม 19 คำถามลุย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมาธิการ ซักถามได้รวบรวมและสรุปประเด็นคำถาม จากสนช.รวม 19 คำถาม โดยถามป.ป.ช.13 ข้อ และถามอดีต 38 ส.ว. 6 ข้อ เป็นการถาม ภาพรวม ไม่ได้เจาะจงใครคนใดคนหนึ่ง
สำหรับ แนวคำถามจะมีลักษณะใกล้เคียงกับกรณีถอดถอนนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร กับ นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา โดยจะมุ่งถาม ป.ป.ช.ในประเด็นข้อกฎหมายเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ถูกยกเลิกไปแล้ว รวมถึงการนำข้อกฎหมายใดมาเป็นฐานในการเอาผิดในกรณีดังกล่าว เป็นต้น ขณะที่ข้อซักถามที่จะมุ่งถามอดีต 38 ส.ว.นั้น จะเน้นเนื้อหาที่อยู่ในสำนวนชี้มูลของ ป.ป.ช.เป็นหลัก ไม่ว่าเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ว. รอบที่ 2 หรือไม่ ตลอดจนประเด็นเรื่องร่างรัฐธรรมนูญที่ลงมติให้ความเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญที่เข้าชื่อเสนอแก้กฎหมาย เป็นร่างกฎหมายคนละฉบับกัน
'เจษฎ์'แย้มยืดอายุสนช.-สปช.
นายเจษฎ์ โทณะวณิก กมธ.ยกร่างฯให้สัมภาษณ์ว่า บทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญที่จะพิจารณาลงรายมาตรา คงมีไม่เกิน 20 มาตรา จะแบ่งเป็นเรื่องๆ คือ สิ่งที่เคยเป็นมาในห้วงก่อนการรัฐประหาร 22 พ.ค.2557 ที่มีการใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 กระทั่งถึงห้วงที่มีการทำรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และเชื่อมต่อจนถึงการทำหน้าที่ของ สนช. สปช.รวมถึงแม่น้ำ 5 สายในห้วงที่มีการใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 โดยมีส่วนสำคัญที่ระบุถึงการบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำลังยกร่างให้เป็นรูปธรรม
นายเจษฎ์ กล่าวว่า อีกทั้งยังมีสิ่งที่ต้องดำเนินการต่อเพื่อให้กลไกเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด และสิ่งที่ยังไม่สามารถทำได้แล้วเสร็จ เช่น การตั้งองค์กรใหม่พร้อมออกกฎหมายรองรับตามรัฐธรรมนูญโดยจะกำหนดระยะเวลาที่ต้องทำให้แล้วเสร็จ ไม่เช่นนั้นจะมีปัญหาทางกฎหมายอย่างรัฐธรรมนูญปี 2550 โดยเฉพาะกลไกต่อยอดการทำงานของแม่น้ำ 5 สาย เพื่อไม่ให้สูญเปล่า เพราะต้องยอมรับสถานะของทั้ง สนช. สปช. จะต้องมีความเชื่อมต่อในการทำหน้าที่ต่อ หลัง จากรัฐธรรมนูญใหม่มีผลบังคับใช้จนถึงช่วง การเลือกตั้งใหม่ จนได้ส.ส. และส.ว. โดยในระหว่างนั้นบางองค์กรต้องทำงานต่อจนได้สมาชิกรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญกำหนด
อาจตัดสิทธิ์แม่น้ำ 5 สาย 2 ปี
นายเจษฎ์กล่าวอีกว่า ใน กมธ.ยกร่างฯบางคนมีความเห็นจะกำหนดตัดสิทธิทางการเมืองของคสช. แต่ต้องดูที่ความเหมาะสม ส่วนตัวมองว่ามีความเป็นไปได้และเป็นเรื่องที่ดี หากจะตัด คสช. ออกไป เพราะจะไม่มีการต่ออำนาจอีก เพื่อความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายรวมถึงแม่น้ำทั้ง 5 สาย ควรกำหนดระยะเวลาเว้นวรรคให้ชัดว่า ไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยวการเมือง เพราะเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญนี้โดยตรง เพื่อไม่ให้ถูกครหาว่า ร่างมาเพื่อสืบทอดอำนาจ อย่างน้อยควรเว้นวรรค 2 ปี เหมือนกับ กมธ.ยกร่างฯ ที่ขณะนี้กำหนดไว้ชัดเจนแล้วว่า หากต้องพ้นตำแหน่งไปไม่เกิน 2 ปี ไม่สามารถเข้ามาเกี่ยวกับการเมืองได้ ซึ่งจะหารือเรื่องเหล่านี้ในการลงรายมาตราวันที่ 5-6 มี.ค.นี้ในที่ประชุม กมธ.ยกร่าง
นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสนช. กล่าวถึงกรณีที่นายเจษฎ์ ระบุว่า กมธ.ยกร่างฯอาจตัดสิทธิ์การเมืองแม่น้ำ 5 สาย 2 ปีแก้ปัญหาสืบทอดอำนาจ ว่า ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เป็นไปไม่ได้ หากจะมีการตัดสิทธิ์กัน ก็ต้องบอกข้อกำหนดนี้มาก่อน ตนจะได้ไม่เข้ามาเป็นสนช.ซึ่งตำแหน่งสนช.เป็นตำแหน่งชั่วคราวเข้ามาทำหน้าที่ส.ส.-ส.ว.ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำกฎกติการัฐธรรมนูญไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการร่างรัฐธรรมนูญ เหมือนกมธ.ยกร่างฯ จึงเห็นว่าไม่ควรไปตัดสิทธิ์สนช.
'พีระศักดิ์'ค้าน-ขู่ไขก๊อก
"หากจะมีการห้ามเล่นการเมืองจริงๆ ขอให้รีบบอกมาเลย ผมจะได้ลาออกจากสนช. อีกทั้งการร่างรัฐธรรมนูญในเรื่องที่มาส.ว. ให้มาจากการสรรหาทั้งหมด ผมก็ไม่เห็นด้วย ซึ่งอย่างเดิมที่ให้มีส.ว.มาจากการเลือกตั้งจังหวัดละคน ผสมกับส.ว.สรรหานั้น คิดว่าเป็นแนวทางที่ดี แต่ควรเน้นการสรรหาให้หลากหลายกว่าเดิม อย่างนี้น่าจะไปได้ดี เพราะอย่างน้อยประชาชนในแต่ละจังหวัดจะมีที่พึ่งเพิ่มขึ้น ไม่ใช่มีที่พึ่งเป็นส.ส.อย่างเดียว แต่หากตัดส.ว.เลือกตั้งออกไป ก็เหมือนตัดที่พึ่งประชาชนไปด้วย"นายพีระศักดิ์กล่าว
ด้านนายไพบูลย์ นิติตะวัน กมธ.ยกร่างฯ กล่าวถึงกรณีที่ นางทิชา ณ นคร อดีตกมธ.ยกร่างฯแถลงสาเหตุการลาออกจากตำแหน่งเพราะหมดศรัทธาที่จะสื่อสารต่อกมธ.ยกร่างฯเสียงข้างมากในประเด็นสัดส่วนเพศตรงข้ามในส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ และในสภาท้องถิ่นไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ว่า ถือเป็นเรื่องดี และเป็นการพูดออกมาจากใจ แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อการทำหน้าที่ของกมธ.ยกร่างฯ ต่อจากนี้ เพราะแต่ละคนมีเอกสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็น และมีมุมมองเป็นของ ตัวเองซึ่งถือเป็นเรื่องปกติและเป็นการทำหน้าที่ด้วยความสุจริตอยู่แล้ว
หนุนสัดส่วนสตรีแค่ท้องถิ่น
ผู้สื่อข่าวถามว่า เกรงหรือไม่ว่าจากนี้ไปกมธ.ยกร่างฯ จะถูกจับตาเรื่องสิทธิสตรีเป็นพิเศษ นายไพบูลย์กล่าวว่า ในส่วนของกมธ.ยกร่างฯที่เห็นต่างจากนางทิชา เรื่องการกำหนดสัดส่วนสตรี 1 ใน 3 เข้าไปเป็นผู้บริหารท้องถิ่น ก็มีเหตุผลของตัวเอง ซึ่งต้องรับฟังด้วย สำหรับตนนั้นเห็นด้วยกับนางทิชา ในประเด็นเรี่องท้องถิ่นตั้งแต่ต้น เนื่องจาก เห็นว่าท้องถิ่นมีความใกล้ชิดกับประชาชน หากมีสัดส่วนของสตรีเข้าไปจะเป็นประโยชน์ แต่ไม่เห็นด้วยหากจะกำหนดสัดส่วนเพศ ในการทำหน้าที่ระดับชาติ
"ยืนยันว่า กมธ.ยกร่างฯรับฟังความเห็นของทุกฝ่าย ซึ่งบทบัญญัติส่วนใหญ่ที่ยกร่างไปแล้วนั้น มาจากข้อเสนอและการรับฟังความเห็น ของสปช. และเชื่อว่านายกอบศักดิ์ ภูตระกูล สปช. และกมธ.ยกร่างฯคนใหม่ จะเข้ามาทำงานได้ ไม่น่ามีปัญหาอะไร" นายไพบูลย์กล่าว
ตัวแทน'มาร์ค'เทือก'มาแน่
นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานป.ป.ช. กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีการส่งหนังสือแจ้งข้อกล่าวหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กรณีสลายการชุมนุมช่วงปี 2553 ว่าล่าสุดนายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการป.ป.ช.ได้รายงานว่า สำนักงานป.ป.ช.ได้รับการประสานงานจากนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพแล้วว่าในวันที่ 10 มี.ค.นี้ ช่วงเช้านายอภิสิทธิ์จะมอบหมายให้ ผู้แทนมารับหนังสือบันทึกแจ้งข้อกล่าวหา ส่วนช่วงบ่ายนายสุเทพได้มอบผู้แทนมารับหนังสือบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาเช่นเดียวกัน
นานปานเทพ กล่าวว่า เมื่อรับหนังสือดังกล่าวไปให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ลงนามแล้วต้องมาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน ซึ่งสามารถมาแก้ข้อกล่าวหาหรืออ้างพยานหลักฐานใดๆ ได้ โดยป.ป.ช.จะพิจารณาว่าตามที่กล่าวอ้างนั้นมีความเกี่ยวข้องกับสำนวนหรือไม่ และจะอนุญาตให้อ้างพยานได้แค่ไหน ขอมาได้จำนวนไม่จำกัด แต่ป.ป.ช.ต้องพิจารณาดู เหมือนกับกรณีจำนำข้าวของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยขออ้างพยานหลายคนแต่ป.ป.ช.ก็ต้องพิจารณาว่าให้ได้กี่คน
ป.ป.ช.จ่อสรุปเยียวยาเสื้อแดง
ส่วนความคืบหน้าในการไต่สวนข้อเท็จจริง คดีกล่าวหาคณะรัฐมนตรี(ครม.) ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการจ่ายเงินเยียวยาแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง(ตั้งแต่ปลายปี 2548-พ.ค.2553) รอบแรกจำนวน 524 ราย วงเงินรวม 577 ล้านบาท นายปานเทพกล่าวว่าคดีนี้ป.ป.ช.ตั้งอนุกรรมการไต่สวนแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนข้อเท็จจริงครม.ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่าจ่ายเงินเยียวยาถูกต้องตามหลักกฎหมายหรือไม่ เบื้องต้น เจ้าหน้าที่รายงานว่าดำเนินการสืบสวนพยานครบหมดแล้ว คาดว่าภายในเดือนมี.ค.นี้ จะเสนอเรื่องให้อนุกรรมการที่มีนายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช.เป็นประธาน เพื่อพิจารณาว่าจะแจ้ง ข้อกล่าวหาหรือไม่
"ป.ป.ช.กำลังตรวจสอบเรื่องนี้อยู่ โดยจะดูว่าการจ่ายเงินเยียวยาดังกล่าวมีการจ่ายเงินแค่กลุ่มการเมืองใดการเมืองหนึ่ง และไม่ได้จ่ายอีกกลุ่มหนึ่งหรือไม่" นายปานเทพกล่าว เมื่อถามว่าในคดีนี้มีผู้ถูกกล่าวหาทั้งครม.เลยใช่หรือไม่ นายปานเทพกล่าวว่าใช่
เด็กเพื่อไทยวอนจ่ายทุกกลุ่ม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ถูกกล่าวหาในคดี นี้ประกอบไปด้วย ครม.ชุดที่ 1 และชุดที่ 2 ที่มีน.ส.ยิ่งลักษณ์ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงาน ตามข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(ปคอป.) และนายปกรณ์ พันธุ อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
นายวรชัย เหมะ อดีตส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในสถานการณ์ขณะนั้นผู้เสียชีวิตคือกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ซึ่งรัฐบาลดำเนินการเยียวยาเป็นไปตามระเบียบข้อกฎหมายที่รองรับ ไม่เห็นว่าจะเป็นการเยียวยาฝ่ายเดียว ไม่รู้ว่าป.ป.ช.ไปเอาข้อมูลมา จากไหน แต่วันนี้รัฐบาลเตรียมเยียวยาให้กับ ผู้ชุมนุมกลุ่มคณะกรรมการประชาชน เพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) ซึ่งตนไม่ขัดข้อง แต่อยากเรียกร้องไปถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้หยิบเรื่องการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม ไม่ว่าจะเป็นสีไหน กลุ่มใด ทั้งกปปส. นปช. แม้แต่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจ ที่เสียชีวิตและบาดเจ็บให้ครบทุกกลุ่มด้วย
กฎมธ.ไม่รับอาจารย์โพสต์ก้าวร้าว
เมื่อวันที่ 4 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Somkit Lertpaithoon ลงวันที่ 3 มี.ค. เพื่อแจกแจงรายละเอียดการประชุมกรรมการบริหารมธ. กรณีการคัดเลือกบุคคลเข้าเป็นอาจารย์มธ.ว่า "เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ที่ประชุมกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยซึ่งประกอบด้วยคณบดีทุกคณะ ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ โดยได้นำพฤติกรรมของบุคคลที่แสดงออกทางโซเชียลมีเดีย มาใช้ประกอบการพิจารณาบุคคลที่จะเป็นอาจารย์ธรรมศาสตร์ด้วย วิธีการเช่นนี้องค์กร หลายองค์กรทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศต่างก็นำมาใช้กัน"
ต่อมานายสมคิดให้สัมภาษณ์ถึงมติที่ประชุมกรรมการบริหารมธ.ว่า ต้องทำความเข้าใจให้ตรงกัน ว่าการโพสต์ข้อความดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนที่มีการเผยแพร่รายละเอียดเกี่ยวกับการพิจารณาคัดเลือกบุคคลมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยนั้น เนื่องจากในการประชุมกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา มีการหารือถึงการพิจารณาคัดเลือกรับอาจารย์ ซึ่งที่ประชุมได้หยิบยกข้อมูลการโพสต์แสดงความคิดเห็นส่วนบุคคลมาประกอบด้วย เนื่องจากพบว่ามีผู้สมัครบางคนได้โพสต์ข้อความที่รุนแรงและก้าวร้าว ดังนั้นการพิจารณารับอาจารย์มธ.ต่อไปนี้ จึงจำเป็นต้องตรวจสอบข้อมูลต่างๆ โดยเฉพาะการโพสต์ข้อความของผู้สมัครประกอบด้วย ว่ามีการโพสต์ถ้อยคำที่รุนแรง ก้าวร้าว ลามกหรือไม่
"ถึงกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยจะมีมติให้ตรวจสอบประเด็นเหล่านี้ประกอบการพิจารณาคัดเลือกบุคคลเข้ามาเป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัย แต่ยืนยันว่าการพิจารณาจะดูถึงพฤติกรรมความเหมาะสมของคนที่จะมาเป็นอาจารย์เท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการที่ผู้สมัครมีความเห็นเรื่องการเมืองไปทางเหลืองหรือทางแดง ซึ่งการพิจารณาจากการโพสต์ข้อความผ่านสังคมออนไลน์นี้ ที่ผ่านมาก็มีองค์กรเอกชนของไทยนำมาใช้ประกอบการพิจารณารับคนเข้าทำงานบ้างแล้ว" นายสมคิดกล่าว
ชงต่ออายุป.ป.ช.-อ้างรธน.ไม่ชัด
เมื่อวันที่ 4 มี.ค. รายงานข่าว เปิดเผยถึงกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)เสนอต่ออายุตัวเองว่า เรื่องดังกล่าวเป็นแนวคิดที่มีการหยิบยกขึ้นมาหารือร่วมกันระหว่างพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)กับป.ป.ช. เมื่อช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากในปี 2558 นี้กรรมการป.ป.ช.จะพ้นวาระถึง 5 คน คือ นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานป.ป.ช.เนื่องจากมีอายุครบ 70 ปีในเดือนพ.ค.นี้ ส่วนนายวิชา มหาคุณ นายวิชัย วิวิตเสวี นายประสาท พงษ์ศิวาภัย และนายภักดี โพธิศิริ กรรมการป.ป.ช.ครบวาระการดำรงตำแหน่ง 9 ปี ในเดือนก.ย.นี้
ขณะที่งานในภารกิจของคณะกรรมการชุดนี้ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของบ้านเมืองยังค้างเรื่องสำคัญหลายเรื่องที่ต้องการความต่อเนื่องในการขับเคลื่อนต่อไป อาทิ เรื่องคดีความ เรื่องแก้กฎหมายป.ป.ช.ให้สอดคล้องกับสนธิสัญญาสหประชาชาติ และการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ฉบับล่าสุดถึงปี 2560 นอกจากนี้ในยุทธศาสตร์ประเทศยังได้กำหนดนโยบายเพื่อให้ดัชนีชี้วัดความโปร่งใสของประเทศไทยได้รับการ จัดอันดับที่ดีขึ้น จึงต้องผลักดันไปตามยุทธศาสตร์
ที่สำคัญในขณะนี้รัฐธรรมนูญยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องกรรมการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการป.ป.ช. ซึ่งในรัฐธรรมนูญเดิมกำหนดว่า กรรมการสรรหาต้องประกอบด้วย ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้นช่วงรอยต่อเช่นนี้จึงมีความคิดว่าถ้ายังทำงานขับเคลื่อนไปได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ จนกว่าจะมีรัฐธรรมนูญใหม่ คือประมาณ 1 ปี จากนั้นกรรมการที่หมดวาระการดำรงตำแหน่งก็หมดวาระไป ก่อนจะมีการดำเนินการสรรหาเข้า มาใหม่ ส่วนกรรมการป.ป.ช.อีก 4 คนคือ นายปรีชา เลิศกมลมาศ พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง นายณรงค์ รัฐอมฤต น.ส.สุภา ปิยะจิตติ ยังคงดำรงตำแหน่งตามวาระไปตามปกติ อย่างไรก็ตามแนวทางดังกล่าวในเรื่องนี้ยังไม่มีความชัดเจนใดๆ จากทางคสช.
ปปช.อ้างหัวเลี้ยวหัวต่อ ขอต่ออายุ ทั้ง'ปานเทพ-วิชา-ภักดี'รวม'ประสาท-วิชัย'ด้วย 'ศรีสุวรรณ'ใช้กม.ข้อมูล จี้กมธ.-สปช.เปิดชื่อผช. หวั่นเกิด'สภาลูกเมีย'อีก เทียนฉายชี้ขัดจริยธรรม
แฉ สนช.-สปช.แห่ถอนชื่อ'ลูก-เมีย-ญาติ'ตั้งช่วยงาน ป.ป.ช.นัดถกด่วน 5 มี.ค.ปม สนช.ตั้งเครือญาติ 'สมเจตน์'ให้'ลูก-น้องชาย'ไขก๊อกปัดตอบเหตุผลแต่งตั้ง 'สิงห์ศึก'ให้ลูกลาออกด้วย 'เทียนฉาย'ชี้ กม.ไม่ห้ามแต่อยู่ที่สำนึกทางจริยธรรม
@ เทียนฉายชี้ตั้งญาติอยู่ที่สำนึก
นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ชี้ว่าการแต่งตั้งบุตร ภรรยา ญาติ พี่น้องเป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัว ผู้ชำนาญการประจำตัว ผู้ช่วยดำเนินงาน และที่ปรึกษาฯ ทั้งของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และ สชป. อยู่ที่สำนึกทางจริยธรรม หลังมีกระแสข่าว สนช.แต่งตั้งบุตร ภรรยา ญาติ พี่น้องเข้ามาเป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัว ผู้ชำนาญการประจำตัว ผู้ช่วยดำเนินงาน และที่ปรึกษา โดยให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าวเมื่อวันที่ 4 มีนาคมว่า ไม่ทราบว่าใน สปช.มีหรือไม่ เพราะตนไม่ต้องเซ็นแต่งตั้งจะรู้ก็ต่อเมื่อเป็นข่าว เหมือนกับนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. รู้เมื่อข่าวออกมาแล้วเหมือนกัน แต่ สปช.ใช้ระเบียบเดียวกันกับ สนช.ทั้งนี้ ในส่วนของตนไม่ได้ตั้งใครให้มาช่วยงานเลย เพราะถือว่ามาทำงานเพียงระยะสั้นและเจ้าหน้าที่ก็ช่วยงานดีอยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากพบว่า สปช.ตั้งเครือญาติมาช่วยงานจะแก้ไขอย่างไร เพราะ สนช.ให้ลาออก นายเทียนฉายกล่าวว่า ต้องปฏิบัติเหมือนกัน ไม่ได้มีข้อห้ามไว้ แต่อยู่ที่ความสำนึกทางจริยธรรม ซึ่ง ส.ว.ในอดีตที่ผ่านมาก็ตั้งคนใกล้ชิดมาช่วยงาน แต่เขาก็เรียนจบปริญญาและมีความรู้ทางด้านกฎหมาย ซึ่งก็ไม่น่าจะผิดอะไร เพราะเขาต้องการคนที่ไว้ใจได้ มีความรู้มาช่วยงาน แต่หากตั้งคนที่ยังเรียนไม่จบก็ถือว่าไม่เหมาะสม
@ ชี้"สปช."ไม่ควรตั้งเครือญาติ
นายไพบูลย์ นิติตะวัน สปช. และกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกรณีที่กระแสสังคมได้วิจารณ์ความไม่เหมาะสมที่ สนช. แต่งตั้งบุตร ภรรยา ญาติ พี่น้อง เป็นผู้ช่วยในตำแหน่งต่างๆ จน สนช.ต้องสั่งยกเลิกเพื่อลดกระแสกดดัน ว่าที่สังคมคลางแคลงใจว่าไม่ควรทำก็ควรยกเลิก ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร ไม่ควรไปฝืน เพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน หากสังคมหรือคนส่วนใหญ่เห็นว่าไม่ดี ไม่เหมาะสมควรหยุดอย่าฝืนดันทุรัง
เมื่อถามว่า นายเทียนฉายออกมาระบุว่า ทาง สปช.ก็ต้องปฏิบัติเช่นเดียวกับ สนช.หากพบว่ามีการแต่งตั้งเครือญาติเข้ามา แม้ไม่มีข้อห้ามแต่อยู่ที่จิตสำนึก หากพบต้องลาออก นายไพบูลย์กล่าวว่า "เห็นด้วย และสำหรับผมก็ไม่ได้นำเครือญาติเข้ามารับตำแหน่งแต่อย่างใด"
@ "ทัศนา"เชื่อสปช.เป็นผู้ใหญ่
นางทัศนา บุญทอง รองประธาน สปช. คนที่ 2 กล่าวถึงกรณี สนช.แต่งตั้งเครือญาติช่วยงาน ว่า วิป สปช.ยังไม่ได้กำหนดวาระที่จะมาพูดคุยกัน แต่เชื่อว่าทุกคนคงเห็นสิ่งที่ปรากฏตามข่าวและสื่อต่างๆ แล้วและคงคุยกันเองว่าจะดำเนินการอย่างไรให้เกิดความเหมาะสม ในข้อเท็จจริงเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลที่ต้องพิจารณา เชื่อว่า สปช.ทุกคนมีความสำนึกและเป็นผู้ใหญ่ อีกทั้งเท่าที่ทราบเห็นว่าแม้บางคนจะแต่งตั้งเครือญาติมาช่วยทำงานจริง แต่คนที่มาช่วยทำงานเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถและเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ หากไปวิจารณ์แบบเหมารวมก็อาจ ไม่ยุติธรรม เพราะภารกิจของ กมธ.สปช.แต่ละด้านค่อนข้างหนัก จึงเชื่อว่า สปช.จะสามารถใช้ประโยชน์ต่อการทำงานได้จากคนเหล่านั้น
"กรณีที่แต่งตั้งมาแล้วไม่ได้มาช่วยงานเป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งคงดูไม่ดี ดังนั้น สิ่งสำคัญจึงอยากให้มองที่การทำงานเป็นหลัก" นางทัศนากล่าว
นายอลงกรณ์ พลบุตร เลขานุการ วิป สปช. กล่าวว่า เป็นดุลพินิจของแต่ละบุคคล ถ้าเห็นว่าต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เกิดความเหมาะสมก็ควรดำเนินการ หรือถ้าใครยืนยันว่าคนที่แต่งตั้งให้มาช่วยงานนั้นสามารถทำงานได้จริงๆ ถือเป็นความรับผิดชอบของแต่ละคนที่ต้องชี้แจงต่อสาธารณะเพื่อให้เกิดความเข้าใจ จึงมองว่าประเด็นนี้ อาจไม่ต้องถึงขั้นออกกฎหรือข้อบังคับ เพราะแต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีวุฒิภาวะสามารถพิจารณาเองได้ว่าอะไรเหมาะสมหรือไม่ ภาพรวมของ สปช.ต้องรักษามาตรฐานและเป็นตัวอย่างที่ดีต่อการปฏิรูป
@ "เอกชัย"ปูดมีสปช.ตั้งเมีย-ลูก
พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ สปช.ด้านอื่นๆ กล่าวว่า หลักการแล้วการตั้งเครือญาติเข้ามาเป็นผู้ช่วยในการทำงานนั้นก็ไม่ผิด เพราะไม่มีระเบียบ กฎหมาย หรือข้อบังคับอะไรห้ามไว้ ซึ่งจากกระแสข่าว สนช.บางคนตั้งภรรยาตนเองให้ช่วยงานทั้ง 3 ตำแหน่งนั้น ตนดูแล้วคิดว่าไม่มีความชอบธรรมก็ไม่น่าจะแต่งตั้งได้ "สปช.ก็เหมือนกรณี สนช.เช่นกัน เพราะมีบางคนตั้งภรรยา บางคนตั้งบุตรตนเอง หรือบางคนตั้งเครือญาติเข้ามาช่วยงานด้วย แต่เทียบสัดส่วนแล้ว ไม่ทราบว่ามีจำนวนกี่คน ส่วนผมไม่ได้ตั้งภรรยา บุตร หรือเครือญาติเข้ามาช่วยงานแต่อย่างใด มีเพียงเอานักศึกษาที่สอนเข้ามาช่วยงานเพียงเท่านั้น" พล.อ.เอกชัยกล่าว และว่า จากกรณีที่เป็นประเด็นขึ้นคิดว่าไม่มีระเบียบ กฎหมาย หรือข้อบังคับอะไรห้ามไว้ เลยทำให้เป็นเรื่องคลุมเครือมากๆ ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ซึ่งคิดดูว่าถ้าจะระบุให้แน่ชัดก็ต้องร่างกฎระเบียบ ข้อบังคับขึ้นมาเลยว่า ห้ามภรรยา ห้ามบุตร ห้ามเครือญาติ เข้าช่วยงานไปเลย
@ "นาวิน"แจงงบไม่พอตั้งดร.
พล.ท.นาวิน ดำริกาญจน์ กมธ.ยกร่างฯ ในฐานะ สปช. กล่าวถึงกระแสข่าวการตั้งเครือญาติมาเป็นผู้ช่วย ว่า เป็นสิทธิส่วนบุคคล ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ได้ลอกเรื่องการตั้งที่ปรึกษามาจาก ส.ส.และ ส.ว.เพื่อมานั่งดูงานโดยต้องการคนที่ไว้ใจได้ มีความสามารถมาช่วย
"ที่มีกระแสข่าวนี้ต้องมาคิด ถามว่าระดับดอกเตอร์จะทิ้งงานหรือการสอนเฉลี่ยชั่วโมงละ 5,000 บาท มาช่วยงานตกชั่วโมงละ 100 บาทหรือไม่ ใครจะทำให้ ดังนั้นคำตอบของคำถามคือ ค่าจ้างไม่สามารถจ้างคนดี มีความสามารถมาได้ เพราะฉะนั้นคนที่จ้างมานั้น จึงต้องเป็นคนสนิท มีความเกรงใจ เสียสละเพื่อชาติ เงินที่ได้ก็เป็นเพียงสินน้ำใจ เพราะอย่างไรจำนวนเงินดังกล่าวก็ไม่สามารถทำให้ใครตั้งตัวได้" พล.ท.นาวินกล่าว
พล.ท.นาวินกล่าวว่า ในทางเดียวกันเชื่อว่าส่วนน้อยอาจจะไม่เข้าใจในมุมมองนี้ อย่างไรก็ตามคนที่เข้ามาทำตรงนี้ต้องไว้ใจได้คุยได้ เพราะบางครั้งบางเรื่องยังไม่มีการเผยแพร่หรือตกผลึก ถ้าคุยแล้วปากโป้งจะสร้างปัญหา หากมองในเชิงลบการตั้งที่ปรึกษาไม่มีการปิดกั้น แต่มีน้อยมากที่จะเสนอภรรยาเข้ามาแบบไร้สาระหรือลูกที่ยังเรียนไม่จบ เพราะส่วนใหญ่คงไม่มีใครนำศักดิ์ศรี การทำงานเพื่อชาติ มาทำเช่นนี้
@ ชี้ปมตั้ง"เครือญาติ"ระเบียบเดิม
นางนรรัตน์ พิมเสน เลขาธิการวุฒิสภา ในฐานะปฏิบัติหน้าที่เลขานุการ สนช. กล่าวว่า หลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งบุคคลเพื่อปฏิบัติงานให้แก่ สนช. เป็นระเบียบที่ใช้มานานแล้ว เทียบเคียงมาจากหลักเกณฑ์ของส.ส.และ ส.ว. โดยไปตกลงหลักเกณฑ์เรื่องคุณสมบัติและค่าตอบแทนกับกระทรวงการคลัง เพื่อขอคนมาช่วยงาน ซึ่งคุณสมบัติของผู้ที่มาช่วยงานนั้น ได้ตรวจสอบว่ามีคุณสมบัติถูกต้องตามหลักเกณฑ์ทุกอย่าง เพราะในบางกรณี สนช.ต้องการใช้คนที่ไว้ใจได้มาช่วยงาน ส่วนตัวเห็นว่าปัญหาการแต่งตั้งเครือญาติมาช่วยงานที่เกิดขึ้นคงต้องดูเป็นรายกรณีไป ไม่ควรไปเหมารวม สนช.ทั้งหมด
"หลังจากเกิดปัญหาขึ้นมามี สนช.บางคน เช่น สนช.ในพื้นที่เสี่ยงภัยมาปรึกษาว่า ทำไมต้องมาจำกัดสิทธิในการแต่งตั้งคนมาช่วยงาน หากมาจำกัดสิทธิเช่นนี้ จะเกิดปัญหาในการทำงาน เช่น การหาข้อมูลในพื้นที่ หรือใครจะมาช่วยขับรถ เพราะต้องหาคนที่ไว้วางใจได้มาช่วยงานจริงๆ ทั้งนี้ หากจะแก้ไขหลักเกณฑ์การแต่งตั้งคนมาช่วยงานดังกล่าว ทางประธาน สนช.สามารถทำรายละเอียดสั่งการมาได้" นางนรรัตน์กล่าว
@ ทนงศักดิ์รับตั้งลูกสาวช่วยงาน
นายเชื้อ ฮั่นจินดา สปช.ด้านการปกครองท้องถิ่น เปิดเผยว่า ไม่เห็นด้วยหากปิดข้อมูลลับของ สปช. กรณีการแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญประจำตัว ผู้ชำนาญการ และผู้ช่วยดำเนินงานจากบุคคลใกล้ชิดในครอบครัว เช่น บุตรและภรรยา เพราะโดยส่วนตัวมีความบริสุทธิ์ใจในการทำหน้าที่ พร้อมเปิดเผยรายชื่อบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งทั้งหมด รวมทั้งรายรับรายจ่ายและการเสียภาษีในอดีต เนื่องจากการปฏิรูปการเมืองให้มีคุณภาพ ผู้เข้ามาดำเนินการปฏิรูปควรต้องมีคุณสมบัติสำคัญจากความโปร่งใสตรวจสอบได้ ไม่ทำสิ่งที่ขัดแย้งกับหลักจริยธรรมที่ส่งผลกระทบกับความน่าเชื่อถือ
นายทนงศักดิ์ ทวีทอง สปช.ด้านการปกครองท้องถิ่น และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า พร้อมเปิดเผยรายชื่อทีมงานทั้งหมดที่มีการแต่งตั้งที่ได้รับค่าตอบแทน และยอมรับว่าได้แต่งตั้งบุตรสาวเข้ามาทำหน้าที่ โดยให้ทิ้งงานประจำเพื่อเข้ามาทำหน้าที่ผู้ช่วยค้นหาข้อมูลในระบบสารสนเทศ การนัดหมายคิวประชุมคณะกรรมาธิการ ซึ่งต้องเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ และต้องมาทำงานจริง
นายยุทธพร อิสระชัย คณบดีรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวว่า ได้เสนอตัวเพื่อเข้ามาทำหน้าที่ สปช.ด้านปกครองท้องถิ่น แต่ไม่ได้รับการคัดเลือก ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัว สปช.ภูเก็ต ในฐานะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ถือเป็นโควต้าของผู้ที่พลาดจากการแต่งตั้งเป็น สปช. ทั้งนี้ตนเห็นว่าทั้ง สปช.และ สนช.ที่มาจากวิธีพิเศษ ต้องมีความโปร่งใสมากกว่านักการเมืองในอดีต
@ สมเจตน์ให้"ลูก-น้อง"ไขก๊อก
พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม สนช. กล่าวถึงกรณีที่วิป สนช.ขอความร่วมมือให้ สนช.ที่แต่งตั้งเครือญาติมาช่วยงานลาออกจากตำแหน่งว่า ตนได้นำบุตรชายและน้องชายมาช่วยงาน ซึ่งในส่วนบุตรชายได้ลาออกจากตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญประจำตัวไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ส่วนน้องชายที่มาดำรงตำแหน่งผู้ช่วยประจำตัว สนช. แม้ขณะนี้จะใช้งานอยู่ จะให้ไปลาออกเช่นกัน เพื่อให้สังคมเกิดความสบายใจ แม้จะไม่ใช่มติวิป สนช. เป็นแค่การขอความร่วมมือ แต่พร้อมแสดงสปิริตให้ความร่วมมือ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส จะได้เป็นแบบอย่างที่ดี เท่าที่คุยกับ สนช.หลายคน เมื่อมีข่าวออกมาทุกคนก็เกิดความไม่สบายใจ เพราะทุกคนมีเจตนาดีในการเข้ามาทำงานเพื่อบ้านเมือง
@ เผย"สนช.-สปช."แห่ถอนชื่อญาติ
"ขณะนี้ สนช.หลายคนได้ให้เครือญาติไปลาออกจากตำแหน่งแล้ว ก่อนที่วิป สนช.จะขอความร่วมมือมาเสียอีก รวมไปถึง สปช.ที่มีการตั้งเครือญาติมาช่วยงาน ก็สั่งให้ไปลาออกแล้วเช่นกัน แม้การแต่งตั้งเครือญาติมาช่วยงานจะทำได้ตามกฎหมาย แต่เมื่อสังคมเกิดความไม่สบายใจ เห็นว่าไม่เหมาะสม พร้อมแก้ไข ไม่ขอแก้ตัว" พล.อ.สมเจตน์กล่าว และว่า ส่วนเหตุผลที่นำบุตรชายและน้องชายมาช่วยงานนั้นไม่ขอพูดถึง เพราะพูดไปจะหาว่าแก้ตัว แต่มีเหตุผลแน่นอน ไม่ขอชี้แจง เพราะไม่รู้ว่าพูดไปแล้วจะเป็นผลดีหรือยิ่งเป็นผลเสียหนักยิ่งขึ้น ก็จะมีการนำไปขยายผลต่อไปอีก พูดไปจะหาว่าแก้ตัว จึงขอแก้ไขดีกว่า
พล.อ.สมเจตน์กล่าวถึงที่นายตวง อันทะไชย สนช.ระบุว่า กรณีดังกล่าวเป็นกระบวนการทำลาย สนช.นั้น ไม่ทราบว่ามีเรื่องนี้จริงหรือไม่ แต่ สนช.เข้ามาดำรงตำแหน่งโดยไม่เป็นที่ยอมรับ ซึ่งเป็นจุดอ่อนอยู่แล้ว พอเกิดเรื่องขึ้นต้องถูกนำไปขยายความอยู่แล้ว
"ขอขอบคุณสังคมที่เห็นว่าการแต่งตั้งเครือญาติมาช่วยงานเป็นเรื่องไม่เหมาะสม แม้กฎหมายจะไม่ห้ามไว้ ถือว่าสังคมเดินมาถูกทางแล้ว อยากให้สังคมทำแบบนี้ตลอดไป เพื่อช่วยกันตรวจสอบนักการเมืองที่จะเข้ามา" พล.อ.สมเจตน์กล่าว
@ "สิงห์ศึก"ให้ลูกชายลาออก
พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร สนช. กล่าวกรณีที่มีรายชื่อเป็น 1 ใน สนช.ที่ตั้งลูกชายเป็นผู้ช่วยว่า แม้วิป สนช.จะไม่มีมติบังคับให้เครือญาติของ สนช.ต้องลาออกจากตำแหน่งที่มาช่วยงาน แต่พร้อมให้ความร่วมมือโดยให้บุตรชายลาออกจากตำแหน่งผู้ชำนาญการประจำตัว สนช. แม้จะไม่ได้ทำผิดอะไร แต่เพื่อความสบายใจของสังคมและสร้างเป็นบรรทัดฐานใหม่ในสังคม
"ที่นำลูกชายมาช่วยงานถือว่าเป็นประโยชน์ ช่วยงานได้มาก เพราะลูกชายจบจากต่างประเทศ เคยเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อยและเป็นวิศวกรโรงงาน สามารถมาช่วยงานผมที่เป็นประธานคณะกรรมาธิการพาณิชย์และอุตสาหกรรมได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าสังคมไม่ยอมรับก็ยินดีให้ออก แต่รู้สึกเสียดาย น่าจะพิจารณาเป็นกรณีไป ถ้าเป็นคนมีประสบการณ์การทำงาน มีความรู้ความสามารถก็ควรทำหน้าที่ได้ แต่ถ้าไปใช้ตำแหน่งหน้าที่ในการสร้างอิทธิพลก็ต้องลงโทษ แต่มั่นใจว่า สนช.ทุกคนเป็นผู้ใหญ่ คงไม่กล้าเสี่ยงเอาเกียรติยศไปทำอะไรเสียหาย" พล.อ.สิงห์ศึกกล่าว
@ สปช.ก็ใช่ย่อย-ตั้งญาติ5คนก็มี
รายงานข่าวจากรัฐสภาแจ้งว่า สปช.ไม่มีการเปิดเผยคำสั่งแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญประจำตัว ผู้ชำนาญการประจำตัว และผู้ช่วยดำเนินงานของ สปช. ลงในเว็บไซต์ของสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ที่ทำหน้าที่เลขาฯ สปช. อย่างที่ สนช.ได้มีการเปิดเผยในเว็บไซต์สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ที่ทำหน้าที่เลขาฯ สนช. ก่อนหน้านี้แต่อย่างใด ทำให้การเข้าถึงรายชื่อเพื่อตรวจสอบว่า สปช.ได้ตั้งเครือญาติเข้ามาทำหน้าที่ลักษณะเดียวกับ สนช.หรือไม่ เป็นไปได้ยาก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สปช.หลายคนทั้งที่เป็นข้าราชการบำนาญและเอ็นจีโอดัง แต่งตั้งเครือญาติ-สามีในตำแหน่งต่างๆ เช่นเดียวกับ สนช. โดยบางคนตั้งญาติทั้งหมดถึง 5 คน
@ เผยข้อบังคับห้ามทับซ้อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เคยระบุว่าให้ สปช.แต่งตั้งคณะทำงาน โดยให้คัดเลือกจากผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าสรรหาเป็น สปช. กว่า 7 พันคน แต่อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏว่า สปช.ได้ตั้งบุคคลดังกล่าวตามที่นายกฯได้ระบุแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามข้อบังคับประมวลจริยธรรมสมาชิกวุฒิสภาและกรรมาธิการ ข้อ 25 ระบุว่า สมาชิกและกรรมาธิการพึงระมัดระวังการปฏิบัติงานหรือปฏิบัติหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญประจำตัว ผู้ปฏิบัติงาน ที่ปรึกษา ผู้ชำนาญการ นักวิชาการ และเลขานุการ มิให้กระทำการใดๆ อันเป็นที่เสื่อมเสียแก่สมาชิกกรรมาธิการและวุฒิสภา ข้อ 26 ระบุว่า สมาชิกและกรรมาธิการจักต้องละเว้นจากการแสวงหาผลประโยชน์ โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ และไม่กระทำการเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อน จะต้องดูแลให้คู่สมรสและบุตรปฏิบัติตามเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ข้อบังคับดังกล่าวบังคับใช้กับ สนช.
@ พท.ขู่เปิดชื่อเครือญาติสนช.
นายอำนวย คลังผา อดีต ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี สนช.ตั้งครอบครัวและเครือญาติเป็นคณะทำงานว่า ขึ้นกับดุลพินิจของ สนช.ว่าจะรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร ยืนยันว่า สนช.รวมทั้ง สปช.ไม่จำเป็นต้องมีผู้ช่วย เพราะแค่กลั่นกรองกฎหมาย ไม่ต้องลงพื้นที่พบปะประชาชนเหมือนกับ ส.ส.
"เคยพูดแล้วว่าตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ช่วย ควรต้องจบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านกฎหมาย ซึ่งในฐานะอดีต ส.ส.ได้ผู้ช่วยลักษณะนี้ เข้ามาช่วยกลั่นกรองกฎหมาย และช่วยลงพื้นที่รับฟังปัญหาข้อเรียกร้องและดูแลประชาชนอีกทางด้วย อะไรควร อะไรไม่ควร พวกท่านเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว อย่าให้ต้องเตือนกันบ่อยๆ ไม่อยากให้ถึงขั้นต้องเปิดชื่อออกมาว่าใครเอาลูกเมียมาเป็นผู้ช่วยกันบ้าง ผิดถูกตัวเราย่อมรู้ดีที่สุด เมื่อรู้ว่าผิดก็แก้ไข เรื่องจะได้จบ" นายอำนวยกล่าว
@ แขวะมาตรฐานคนดีสิ้นสุด
นายสมคิด เชื้อคง อดีต ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องดีที่ สนช.ให้เครือญาติลาออก แม้ความรู้สึกจะช้าไปหน่อย ต้องรอให้สังคมออกมากดดันถึงจะยอมแก้ไข ทั้งนี้ ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น สนช.ไม่ควรมีผู้ช่วยตั้งแต่แรก ไม่เหมือนกับ ส.ส.ที่ต้องมีผู้ช่วยเพราะเรามีพื้นที่ที่ต้องดูแลประชาชน
"หลังจากนี้ สนช.คงต้องระมัดระวังเรื่องการทำงาน เพราะสร้างมาตรฐานว่าเป็นคนดีไว้เสียเยอะ เวลาเกิดปัญหาขึ้น ทุกอย่างเลยพุ่งเข้าไปที่ตัวเองเยอะเช่นกัน ผมยืนยันว่า สนช.รวมทั้ง สปช.ไม่จำเป็นต้องมีผู้ช่วย ที่น่าเกลียดสุดสุดเห็นจะเป็นการตั้งลูกที่ยังเรียนไม่จบเข้ามากินตำแหน่ง แบบนี้ก็ไม่ไหวจริงๆ พวกคุณชี้หน้านักการเมืองและกลุ่มที่อยู่ตรงข้ามว่าไม่ดี แต่ตอนนี้มาตรฐานคนดีของพวกท่านสิ้นสุดแล้ว อย่าแยกคนอื่นว่าไม่ดี จะดีหรือเลวก็ขึ้นอยู่ที่การกระทำ" นายสมคิดกล่าว
@ "ศรีสุวรณ"จี้สนช.แก้ระเบียบ
นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิป สนช.) มีมติให้ สนช.ปรับบุคคลใกล้ชิดและเครือญาติมาช่วยงานในตำแหน่งประจำตัว ผู้ชำนาญการ และผู้ช่วยดำเนินงานออกทั้งหมด มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ไม่ควรจบเพียงเท่านี้ สนช.ควรใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสแก้ไขกฎระเบียบเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เช่น ส.ส.และ ส.ว. แต่งตั้งเครือญาติเข้ามาทำหน้าที่ดังกล่าวในอนาคต
@ ชี้ปปช.เอาผิด"สนช.-ญาติ"ได้
นายศรีสุวรรณกล่าวถึงกรณียื่นเรื่องต่อคณะกรรมป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบ ว่า ป.ป.ช.จะต้องดำเนินการไต่สวนต่อไป เพราะถือว่าความผิดสำเร็จแล้ว ขอยืนยันว่า ป.ป.ช.มีกฎหมายรองรับในการทำหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2550 และฉบับที่ 2 พ.ศ.2554 มาตรา 19 ที่กำหนดให้ ป.ป.ช.มีหน้าที่กํากับดูแลคุณธรรมและจริยธรรมของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง จึงไม่ทราบว่าที่เลขาธิการ ป.ป.ช.ระบุว่าไม่มีบทบัญญัติให้ตรวจสอบตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญประจำตัว สนช.นั้น เป็นเพราะไม่ได้อ่านกฎหมายของตัวเองอย่างละเอียดหรือไม่
"ส่วนที่ระบุให้ผมไปยื่นกับผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อสอบจริยธรรมนั้น มองว่าผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีดาบ หรือมาตรการที่จะดำเนินการเอาผิด ทำได้แค่เพียงสรุปรายงานเสนอไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น" นายศรีสุวรรณกล่าว
@ ลุยตรวจสอบ"สปช.กมธ.ยกร่าง"
นายศรีสุวรรณ กล่าวถึงการตรวจสอบ สปช.แต่งตั้งเครือญาตินั่งตำแหน่งเลขานุการ ผู้ชำนาญการ และผู้ช่วยดำเนินงาน ว่า ต้องใช้สิทธิตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารเพื่อขอข้อมูลจากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา เนื่องจากเบื้องต้นยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลส่วนนี้ แต่เชื่อว่า สปช.คงซ้ำรอยเดิมกับ สนช.เอาเครือญาติเข้ามากินตำแหน่งเงินเดือนตรงนี้ ยังรวมถึง กมธ.ยกร่างฯด้วยคงต้องดูทั้งหมด
"หากตรวจพบว่า สปช.และ กมธ.ยกร่างกระทำเช่นนี้ด้วย ผมจะนำเรื่องไปร้องต่อ ป.ป.ช.เช่นเดิม ขอยืนยันว่า ป.ป.ช.มีอำนาจตรวจสอบ" นายศรีสุวรรณกล่าว
@ ปปช.เล็งยกมาตรา100เทียบ
นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช. กล่าวถึงการตรวจสอบกรณี สนช.ตั้งเครือญาติ ว่า เมื่อมีผู้มาร้องเรียนทาง ป.ป.ช.รับเรื่องไว้เพื่อมาพิจารณาว่าอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช.หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต เนื่องจาก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 100 ไม่ได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับตำแหน่งที่มีการร้องมา คือตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและคู่สมรส ผู้บริหารท้องถิ่นและรองผู้บริหารท้องถิ่น แต่ไม่มีกำหนดตำแหน่ง สนช.ไว้ ต้องพิจารณาก่อนว่าจะเข้าข่ายกฎหมาย ป.ป.ช.หรือไม่ ก็ต้องดูก่อน
"การร้องเรียนที่เกี่ยวกับเรื่องจริยธรรม หากมาร้องที่ ป.ป.ช.คงจะร้องไม่ค่อยตรงนัก เพราะเรื่องจริยธรรมต้องไปร้องที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน และผู้ตรวจการจะพิจารณาตามมาตรา 270 และหากผู้ตรวจการสอบแล้วพบว่าผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามมาตรา 270 จึงจะส่งเรื่องมาให้ ป.ป.ช.ไต่สวนต่อไป" นายปานเทพกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าไม่กลัวถูกวิจารณ์หรือว่าไม่ยอมรับเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวโยงถึง สนช. นายปานเทพกล่าวว่า ต้องให้ ป.ป.ช.พิจารณาข้อกฎหมายก่อนว่า เรื่องที่ร้องมาเข้ากับกฎหมาย ป.ป.ช.หรือไม่ หากไม่เข้ากฎหมาย ป.ป.ช.ต้องให้เรื่องตกไป แต่ถ้าเข้าก็สอบต่อ แต่ตามหลักแล้วต้องดูที่มาตรา 100 ที่กำหนดเฉพาะตำแหน่งสำคัญๆ เท่านั้น
@ ปปช.ถกด่วนปมสนช.ตั้งลูก-เมีย
รายงานข่าวจาก ป.ป.ช.เปิดเผยว่า จากกรณีที่นายศรีสุวรรณยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการ ป.ป.ช.ขอให้ไต่สวน สนช.กว่า 50 คน กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายและขัดแย้งต่อจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างร้ายแรง กรณีแต่งตั้งเครือญาติเป็นผู้เชี่ยวชาญ ผู้ชำนาญการ และผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว สนช. ถือเป็นการดำเนินการหรือมีพฤติกรรมเข้าข่ายมีผลประโยชน์ทับซ้อน โดยขอให้ไต่สวนนายพรเพชร ประธาน สนช. ในฐานะใช้อำนาจออกประกาศคุณสมบัติผู้เชี่ยวชาญ ผู้ชำนาญการ และผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัวสมาชิก สนช. และนางนรรัตน์ พิมเสน เลขาธิการ สนช.ในฐานะผู้ลงนามแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญ ผู้ชำนาญการ และผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัวสมาชิก สนช.นั้น
ทางสำนักงาน ป.ป.ช.ได้รับเรื่องร้องเรียนดังกล่าวบรรจุเข้าสู่วาระการพิจารณาเร่งด่วนแล้ว โดยในการประชุม ป.ป.ช.ในวันที่ 5 มีนาคม นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช.เตรียมรายงานเรื่องดังกล่าวให้ที่ประชุมทราบ และเพื่อพิจารณาว่า ป.ป.ช.มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาในประเด็นที่ร้องมาใดบ้าง โดยเฉพาะที่นายศรีสุวรรณย้ำถึงมาตรา 19 พ.ร.บ.ป.ป.ช. เรื่องการปฏิบัติผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือไม่ แสวงหาประโยชน์ให้ตัวเองหรือไม่ ปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน หรือผิดร้ายแรงในเรื่องคุณธรรมจริยธรรมหรือไม่ หากที่ประชุมพิจารณาแล้วสามารถรับไว้ไต่สวนได้ก็จะดำเนินการแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาแสวงหาข้อเท็จจริง
@ "ผู้ตรวจ"รับลูกสอบจริยธรรม
พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ ผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า การสอบเรื่องจริยธรรมกรณี สนช.ตั้งเครือญาติดำรงตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญประจำตัวและมีเงินเดือนประจำนั้น ถ้าเป็นการสอบเกี่ยวกับคุณธรรม จริยธรรม สามารถร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินได้ แต่หากเป็นการสอบสวนทางวินัยหรือความผิดโดยมิชอบ ต้องไปร้องต่อ ป.ป.ช. เพราะ ป.ป.ช.ดูแลเรื่องการประพฤติมิชอบต่อตำแหน่งหน้าที่ ซึ่งต้องดูเป็นกรณีไปว่าต้องการให้ตรวจสอบแบบไหน
"ต้องดูที่รายละเอียดเพราะแต่ละกรณีไม่เหมือนกัน ทั้งยังต้องดูคุณสมบัติของผู้ที่ถูกแต่งตั้งมาพิจารณาด้วย ถ้าจำไม่ผิดบางตำแหน่งบอกว่าถ้าจบปริญญาตรี ต้องมีประสบการณ์ 1 ปีบ้าง 3 ปีบ้าง แต่ของบางคนบอกว่ายังเรียนหนังสืออยู่ ก็ต้องดูกัน ไม่สามารถไปเหมารวมหมด" พล.อ.วิทวัสกล่าว และว่า หากร้องเรื่องดังกล่าวมา คิดว่าทุกหน่วยงานที่รับเรื่องจะต้องตั้งคณะทำงานขึ้นมาสอบเป็นกรณี
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในฐานะผู้ตรวจคิดว่ากระทบความรู้สึกของประชาชนหรือไม่ พล.อ.วิทวัสกล่าวว่า ถ้าเคลียร์ได้จะดี แต่เขาบอกว่าไม่ได้ผิดกฎหมาย ซึ่งไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี หรือประธาน สนช. ต่างบอกว่าไม่ผิดกฎหมาย แต่โดยส่วนตัวยังไม่ทราบข้อมูลแท้จริง เพราะทราบข่าวจากทางสื่อเท่านั้น
@ เร่งสอบจ่ายเงินเยียวยา"แดง"
นายปานเทพกล่าวถึงความคืบหน้าในการไต่สวนข้อเท็จจริง คดีกล่าวหาคณะรัฐมนตรีในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการจ่ายเงินเยียวยาแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง (ตั้งแต่ปลายปี"48-พฤษภาคม"53) รอบแรกจำนวน 524 ราย วงเงินรวม 577 ล้านบาท ว่า ป.ป.ช.ตั้งอนุกรรมการไต่สวนแล้ว อยู่ระหว่างการไต่สวนข้อเท็จจริงคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่าจ่ายเงินเยียวยาถูกต้องตามหลักกฎหมายหรือไม่ มีการจ่ายเงินแค่กลุ่มการเมืองใดการเมืองหนึ่ง และไม่ได้จ่ายอีกกลุ่มหนึ่งหรือไม่
"เบื้องต้นเจ้าหน้าที่รายงานว่าดำเนินการสืบสวนพยานครบหมดแล้ว คาดว่าภายในเดือนมีนาคมจะเสนอเรื่องให้อนุกรรมการที่มีนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธาน เพื่อพิจารณาว่าจะแจ้งข้อกล่าวหาหรือไม่" นายปานเทพกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ประกอบไปด้วย ครม.ชุดที่ 1 และ ครม.ชุดที่ 2 ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงาน ตามข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.) และนายปกรณ์ พันธุ อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
@ 10 มี.ค."มาร์ค-สุเทพ"รับข้อหา
นายปานเทพ กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีการส่งหนังสือแจ้งข้อกล่าวหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กรณีสลายการชุมนุมช่วงปี"53 ว่า นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช.รายงานว่า ได้รับการประสานงานจากนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพแล้วว่าในวันที่ 10 มีนาคมนี้ ช่วงเช้านายอภิสิทธิ์จะมอบหมายให้ผู้แทนมารับหนังสือบันทึกแจ้งข้อกล่าวหา ช่วงบ่ายนายสุเทพมอบผู้แทนมารับหนังสือบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาเช่นเดียวกัน
"เมื่อรับหนังสือดังกล่าวไปให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ลงนามแล้วก็ต้องมาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน ซึ่งสามารถมาแก้ข้อกล่าวหาหรืออ้างพยานหลักฐานใดๆ ได้ โดยทาง ป.ป.ช.จะพิจารณาว่าตามที่กล่าวอ้างนั้นมีความเกี่ยวข้องกับสำนวนหรือไม่ และจะอนุญาตให้อ้างพยานได้แค่ไหน ขอมาได้จำนวนไม่จำกัด แต่ ป.ป.ช.ต้องพิจารณาดู เหมือนกับกรณีจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่เคยขออ้างพยานหลายคน แต่ ป.ป.ช.พิจารณาว่าให้ได้กี่คน" นายปานเทพกล่าว
@ ยันกมธ.หนุน"เพศชาย-หญิง"
นายคำนูณ สิทธิสมาน (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ ในฐานะโฆษก กมธ.ยกร่างฯ กล่าวถึงกรณีนางทิชา ณ นคร อดีต กมธ.ยกร่างฯ และอดีต สปช. แถลงลาออกจากตำแหน่ง เพราะหมดหวังต่อ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากในการเพิ่มพื้นที่ทางการเมืองให้กับเพศหญิง ว่า กมธ.ยกร่างฯ ทุกคนเคารพในการตัดสินใจ คิดว่าไม่น่าจะกระทบอะไรมากนักต่อการร่างรัฐธรรมนูญ ประกอบกับทาง สปช.ได้คัดเลือกนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล
สปช.ด้านเศรษฐกิจมาแทนแล้ว ถือว่าเป็นบุคคลที่มีความเหมาะสม มีความรู้ มีความสามารถ อีกทั้งจะได้เอาประสบการณ์ของนายกอบศักดิ์มาสนับสนุนในประเด็นทางเศรษฐกิจอีกด้วย "ประเด็นสัดส่วนของเพศตรงข้ามที่ยังถก อภิปรายค้างอยู่นั้น ทาง กมธ.ยกร่างฯกำลังพิจารณากันอยู่ คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะยังพอมีเวลา ขอย้ำว่าคณะ กมธ.ยกร่างฯ ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย สนับสนุนในหลักการข้างต้นแน่นอนที่จะถูกบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ" นายคำนูณกล่าว
นายคำนูณ กล่าวถึงถ้อยแถลงที่นางทิชา ระบุว่าให้ กมธ.ยกร่างฯ ควรฟังลมฟ้าอากาศข้างนอกบ้าง แทนที่จะทำงานเหมือนอยู่ในห้องแล็บทางวิทยาศาสตร์ คิดว่าก็เป็นสิทธิในการแสดงความคิดเห็นของนางทิชา แต่ กมธ.ยกร่างฯทุกคนก็เคารพ อย่างไรก็ตามกรรมาธิการฯไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ขลุกอยู่แต่ในห้องแล็บเพียงอย่างเดียว แต่ยังมี กมธ.ยกร่างฯ หลายคนมีประสบการณ์ทางด้านภาคประชาชนภาคประชาสังคมมาอย่างยาวนาน เช่น นายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ และนางสุภัทรา นาคะผิว ซึ่งในส่วนตรงนี้เองเปรียบเสมือนเอาเสียงสะท้อนของประชาชนไปบรรจุในรัฐธรรมนูญ
@ เจษฎ์ชี้บทเฉพาะกาลไม่เกิน20ม.
นายเจษฎ์ โทณวณิก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ในฐานะอนุกรรมาธิการร่างบทเฉพาะกาล กล่าวว่า บทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญที่จะพิจารณาลงรายมาตรา คงมีไม่เกิน 20 มาตรา จะแบ่งเป็นเรื่องๆ คือ สิ่งที่เคยเป็นมาในห้วงก่อนการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ที่ใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 กระทั่งถึงห้วงที่มีการทำรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และเชื่อมต่อจนถึงการทำหน้าที่ของ สนช. สปช. รวมถึงแม่น้ำ 5 สาย ในห้วงที่มีการใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 โดยส่วนสำคัญที่ระบุถึงการบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำลังยกร่างให้เป็นรูปธรรม
"เนื่องจากยังมีสิ่งที่ต้องดำเนินการต่อเพื่อให้กลไกเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด รวมถึงสิ่งที่ยังไม่สามารถทำได้แล้วเสร็จ เช่น การตั้งองค์กรใหม่พร้อมออกกฎหมายรองรับตามรัฐธรรมนูญโดยจะกำหนดระยะเวลาที่ต้องทำให้แล้วเสร็จ ไม่เช่นนั้นจะมีปัญหาทางกฎหมายอย่างรัฐธรรมนูญปี 2550 โดยเฉพาะกลไกต่อยอดการทำงานของแม่น้ำ 5 สาย เพื่อไม่ให้สูญเปล่า เพราะต้องยอมรับสถานะของทั้ง สนช. สปช. จะต้องเชื่อมต่อในการทำหน้าที่ต่อ หลังจากที่รัฐธรรมนูญใหม่มีผลบังคับใช้จนถึงช่วงการเลือกตั้งใหม่ จนได้ ส.ส. และ ส.ว. ระหว่างนั้นบางองค์กรต้องทำงานต่อจนได้สมาชิกรัฐสภาตามรัฐธรรมนู