ร่างกฎกระทรวงกำหนดฐานะและเงื่อนไขการอยู่ในราชอาณาจักรไทยของผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย ซึ่งไม่ได้สัญชาติไทย พ.ศ. ....
- Details
- Category: มติ ครม.
- Published: Monday, 26 December 2016 23:08
- Hits: 5084
ร่างกฎกระทรวงกำหนดฐานะและเงื่อนไขการอยู่ในราชอาณาจักรไทยของผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย ซึ่งไม่ได้สัญชาติไทย พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดฐานะและเงื่อนไขการอยู่ในราชอาณาจักรไทยของผู้เกิดในราชอาณาจักรไทยซึ่งไม่ได้สัญชาติไทย พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงาน สภาความมั่นคงแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดให้ผู้เกิดในราชอาณาจักรและไม่ได้สัญชาติไทยมีสิทธิการอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเช่นเดียวกับบิดาหรือมารดา เว้นแต่ผู้ที่เกิดจากบิดาและมารดาซึ่งเป็นคนต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย และเด็กกำพร้าซึ่งมีหนังสือรับรองจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
2. กำหนดให้สิทธิการอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรของบิดาและมารดาหรือบิดาหรือมารดาสิ้นสุดลง ให้สิทธิการอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรของผู้เกิดสิ้นสุดไปด้วย เว้นแต่ผู้มีอายุไม่น้อยกว่าสิบแปดปีบริบูรณ์ หรือบรรลุ นิติภาวะด้วยการสมรส ผู้ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศที่บิดาหรือมารดามีหรือเคยมีภูมิลำเนาหรือเคยอาศัยอยู่ ผู้ซึ่งมีผู้ปกครอง สามี ภรรยา หรือบุตรเป็นผู้มีสัญชาติไทย ผู้มีภูมิลำเนาอาศัยอยู่ต่อเนื่องในราชอาณาจักร ผู้ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาหรือเป็นผู้ที่ทำคุณประโยชน์ให้กับสังคมตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
3. กำหนดให้ผู้เกิดในราชอาณาจักรและไม่ได้สัญชาติไทยมีอายุตั้งแต่สิบแปดปีบริบูรณ์ อาจถูก เพิกถอนสิทธิการอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรได้ เมื่อมีการกระทำใด ๆ อันเป็นการกระทบกระเทือนต่อความมั่นคง หรือขัดต่อประโยชน์ของรัฐหรือเป็นการเหยียดหยามประเทศชาติ หรือมีการกระทำใด ๆ อันเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
4. กำหนดให้บุตรของผู้เกิดในราชอาณาจักรไทยมีสิทธิอยู่ในราชอาณาจักรไทยตามกฎกระทรวงนี้ ให้มีสิทธิและหน้าที่เช่นเดียวกับบิดาและมารดาหรือบิดาหรือมารดา แม้ว่าบิดาและมารดาหรือบิดาหรือมารดานั้น จะถึงแก่กรรมแล้ว
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 7 ธันวาคม 2559