มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของ SMEs (มาตรการพี่ช่วยน้อง) และมาตรการภาษี เพื่อส่งเสริมการลงทุนในชนบท
- Details
- Category: มติ ครม.
- Published: Sunday, 07 August 2016 19:52
- Hits: 5639
มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของ SMEs (มาตรการพี่ช่วยน้อง) และมาตรการภาษี เพื่อส่งเสริมการลงทุนในชนบท
เรื่อง มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของ SMEs (มาตรการพี่ช่วยน้อง) และมาตรการภาษี เพื่อส่งเสริมการลงทุนในชนบท (ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฏากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของ SMEs (มาตรการพี่ช่วยน้อง) และมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในชนบท
2. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฏากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของเรื่อง
กค. รายงานว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ของประเทศเป็นผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ก่อให้เกิดการจ้างแรงงานในระบบเศรษฐกิจเป็นจำนวนมาก แต่ SMEs กลับเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ค่อนข้างน้อย เนื่องจาก SMEs ยังขาดการพัฒนาศักยภาพในการแข่งขัน ซึ่งสอดคล้องกับรายงานสถานการณ์ SMEs ในปี 2558 ที่ระบุว่าทักษะและความสามารถของผู้ประกอบการ SMEs การเข้าถึงข้อมูลและเครือข่ายธุรกิจ และขาดการสนับสนุนทางการเงินเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขยายธุรกิจ SMEs ดังนั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ SMEs จึงเห็นควรมีมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของ SMEs (มาตรการพี่ช่วยน้อง) และมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในชนบท ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
1. มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของ SMEs (มาตรการพี่ช่วยน้อง)
1.1 กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยที่มีสินทรัพย์ถาวรเกิน 200 ล้านบาท และการจ้างงานเกิน 200 คน สามารถนำรายจ่ายที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจ เพื่อเพิ่มขีดความสามาถในการแข่งขันให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยที่มีสินทรัพย์ถาวรไม่เกิน 200 ล้านบาท และการจ้างแรงงานไม่เกิน 200 คน มาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ 2 เท่าของรายจ่ายที่ได้มีการจ่ายจริง แต่เมื่อรวมกับ
(1) รายจ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษาตามโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้ความเห็นชอบและ
(2) รายจ่ายที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายการจัดสร้างและการบำรุงรักษาสนามเด็กเล่น สวนสาธารณะหรือสนามกีฬาของเอกชนที่เปิดให้ประชาชนใช้เป็นการทั่วไป โดยไม่เก็บค่าบริการใด ๆ หรือสนามเด็กเล่น สวนสาธารณะ หรือสนามกีฬาของทางราชการแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิ ก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์ และรายจ่ายเพื่อการศึกษาหรือเพื่อการกีฬาตามมาตรการ 65 ตรี
(3) แห่งประมวลรัษฎากร เป็นระยะเวลา 3 รอบระยะเวลาบัญชี
1.2 ลักษณะโครงการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(1) การถ่ายทอดความรู้ ได้แก่ การบริหาร การตลาด การบัญชี เป็นต้น
(2) การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรม
(3) การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มกำไร
(4) การส่งเสริมการตลาด
(5) จ่ายค่าธรรมเนียม ค้ำประกันสินเชื่อแทนผู้ประกอบการที่ได้รับการค้ำประกันสินเชื่อจากบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
1.3 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยจะต้องไม่ถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม และไม่มีอำนาจควบคุมหรือกำกับดูแลการดำเนินงานและบริหารงานของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้จ่ายไปเพื่อสนับสนุนการดำเนินกิจการ
1.4 ค่าใช้จ่ายในโครงการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจตามข้อ 1.2 จะต้องได้รับการรับรองจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และกรณีการจ่ายค่าธรรมเนียมค้ำประกันต้องมีหลักฐานการชำระเงินที่ระบุชื่อบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้จ่ายเงิน และชื่อผู้ประกอบการได้รับการค้ำประกันสินเชื่อจากบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
1.5 สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2559 แต่ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2561
ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
2. มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในชนบท
2.1 กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยสามารถนำรายจ่ายที่จ่ายไปในโครงการที่ท้องถิ่นมีความต้องการจะพัฒนาในเชิงเศรษฐกิจและสังคมสำหรับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาและปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวในชนบท เป็นระยะเวลา 3 รอบระยะเวลาบัญชี มาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้ 2 เท่าของรายจ่ายที่ได้มีการจ่ายจริง แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษาตามโครงการที่ ศธ. ให้ความเห็นชอบ และรายจ่ายที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายการจัดสร้างและการบำรุงรักษา สนามเด็กเล่น สวนสาธารณะ หรือสนามกีฬาของเอกชนที่เปิดให้ประชาชนใช้เป็นการทั่วไป โดยไม่เก็บค่าบริการใดๆ หรือสนามเด็กเล่น สวนสาธารณะ หรือสนามกีฬาของทางราชการแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์ และรายจ่ายเพื่อการศึกษาหรือเพื่อการกีฬาตามมาตรา 65 ตรี (3) แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด
2.2 การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่
(1) ไฟฟ้า
(2) ประปา
(3) ถนน ทางพิเศษ หรือสัมปทาน
(4) โทรคมนาคม หรือโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
(5) พลังงานทางเลือก
(6) ระบบบริหารจัดการน้ำ หรือการชลประทาน
(7) ระบบป้องกันภัยธรรมชาติ ซึ่งรวมถึงระบบเตือนภัยและระบบจัดการเพื่อลดความรุนแรงของภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นด้วย
(8) ระบบจัดการของเสีย
(9) โครงการที่มี (1) – (8) ประกอบกัน
ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าวจะต้องสอดคล้องกับระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจัดทำแผนพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2548
2.3 พัฒนาและปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยว ตามแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ได้แก่
(1) อุทยานแห่งชาติ
(2) โบราณสถาน
(3) แหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่อยู่ในการกำกับดูแลของส่วนราชการ หรือองค์การของรัฐ
2.4 โครงการดังกล่าวต้องได้รับการรับรองโดยส่วนราชการหรือองค์การของรัฐ
2.5 ต้องโอนกรรมสิทธิ์ในโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาและปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวให้กับส่วนราชการ หรือองค์การของรัฐ โดยไม่มีค่าตอบแทน
2.6 สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2559 แต่ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2561
ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
มาตรการทั้ง 2 มาตรการเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้แก่อุตสาหกรรมไทยก่อให้เกิดการจ้างงาน และการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจ ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาและปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวในชนบท ส่งผลให้ชนบทได้รับการพัฒนามีความเจริญเติบโตในด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืนและต่อเนื่อง โดยไม่ต้องรองบประมาณจากภาครัฐ และยังจะสอดคล้องกับความต้องการสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกของท้องถิ่นในชนบทอย่างแท้จริง ซึ่งการดำเนินการตามมาตรการภาษีทั้ง 2 มาตรการในครั้งนี้ คาดว่าจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้มาตรการละประมาณ 5,000 ล้านบาทต่อปี
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 2 สิงหาคม 2559