(ร่าง) บันทึกความร่วมมือว่าด้วยกลไกเครดิตร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น
- Details
- Category: มติ ครม.
- Published: Wednesday, 19 June 2024 19:54
- Hits: 8348
(ร่าง) บันทึกความร่วมมือว่าด้วยกลไกเครดิตร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ (ร่าง) บันทึกความร่วมมือว่าด้วยกลไกเครดิตร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น [(ร่าง) บันทึกความร่วมมือฯ] พร้อมเอกสารแนบ ข้อ Attachment 1-3 และมอบหมายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทน เป็นผู้แทนฝ่ายไทยลงนามใน (ร่าง) บันทึกความร่วมมือฯ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ
สาระสำคัญ
1. (ร่าง) บันทึกความร่วมมือว่าด้วยกลไกเครดิตร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น [(ร่าง) บันทึกความร่วมมือฯ] เป็นการปรับปรุงความร่วมมือทวิภาคี Joint Crediting Mechanism (LCM) กับประเทศญี่ปุ่น (ความร่วมมือทวิภาคีฯ) ที่คณะรัฐมนตรีเคยเห็นชอบเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2558 โดยยังคงมีสาระสำคัญเช่นเดิม คือเป็นการจัดตั้งกลไก Joint Crediting Mechanism (JCM) เพื่อส่งเสริมให้ประเทศญี่ปุ่นสนับสนุนเงินลงทุนและเทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้กับโครงการต่างๆ (เช่น การปรับปรุงระบบการผลิต การกำจัดของเสีย การเพิ่มประสิทธิภาพ การใช้พลังงาน) ที่ดำเนินการโดยภาครัฐหรือเอกชนของประเทศไทยเพื่อแลกกับการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตจากการดำเนินโครงการให้กับประเทศญี่ปุ่น [ปริมาณการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตจะขึ้นอยู่กับข้อตกลงของแต่ละโครงการ เช่น อาจกำหนดให้แบ่งปันคาร์บอนเครดิตให้กับฝ่ายญี่ปุ่นในสัดส่วนเดียวกับสัดส่วนเงินสนับสนุนจากฝ่ายญี่ปุ่นต่อเงินลงทุนของโครงการ (เช่น สนับสนุนเงินร้อยละ 30 เพื่อดำเนินโครงการ จะได้รับถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตร้อยละ 30 ของปริมาณคาร์บอนเครดิตที่ลดลงจากการดำเนินโครงการ)1] ทั้งนี้ (ร่าง) บันทึกความร่วมมือฯ ไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่มีกำหนดเวลาสิ้นสุด โดยรัฐบาลฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจยุติ (ร่าง) บันทึกความร่วมมือฯ และแจ้งให้อีกฝ่ายทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 6 เดือน2
2. ส่วนเอกสารแนบ ข้อ Attachment 1-3 เป็นส่วนหนึ่งของ (ร่าง) บันทึกความร่วมมือฯ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
เอกสารแนบ (Attachment) |
สาระสำคัญ |
|
Attachment 1 คือ กฎเกณฑ์ของการดำเนินงานกลไกเครดิตร่วมภายใต้ Premium T-VER [สำหรับโครงการใหม่ที่เริ่มดำเนินการภายหลัง (ร่าง) บันทึกความร่วมมือฯ มีผลใช้บังคับ] |
เป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการร่วม ผู้ตรวจประเมินโครงการ การพัฒนาระเบียบวิธีลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะใช้คำนวณปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินกิจกรรมโครงการ การรับรองผู้ตรวจประเมินโครงการซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบความใช้ได้ของเอกสารข้อเสนอโครงการที่จะนำไปใช้ขอขึ้นทะเบียนโครงการ และทวนสอบความถูกต้องของปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินกิจกรรมโครงการ และขั้นตอนในการพัฒนาโครงการ |
|
Attachment 2 คือ กฎเกณฑ์ของ JCM สำหรับโครงการที่ดำเนินการอยู่แล้ว [สำหรับโครงการเดิมตามความร่วมมือทวิภาคีฯ ฉบับเดิม] |
||
Attachment 3 ระเบียบวิธีปฏิบัติของคณะกรรมการร่วม สำหรับกลไกเครดิตร่วม |
เป็นการกำหนดองค์ประกอบ อำนาจหน้าที่และกฎกติกาของคณะกรรมการร่วม โดยกำหนดให้คณะกรรมการร่วมประกอบด้วย ผู้แทนจากรัฐบาลญี่ปุ่น รัฐบาลไทย และบุคคลอื่นที่ได้รับการแต่งตั้งจากแต่ละฝ่าย รวมจำนวนฝ่ายละไม่เกิน 10 คน |
3. ประโยชน์ที่จะได้รับ กลไกเครดิตร่วม (JCM) ซึ่งเริ่มดำเนินงานนับแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2558 ทำให้ผู้พัฒนาโครงการในประเทศไทยได้รับการสนับสนุนเงินลงทุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นเพื่อใช้ในการก่อสร้าง จัดซื้อ ติดตั้งเครื่องจักร อุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำที่ทันสมัย หรือรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จำนวน 2,855 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 31 เมื่อเทียบกับมูลค่าการลงทุนรวม 9,084 ล้านบาท และยังทำให้เกิดการจ้างงานและการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศไทย โดยประเทศไทยต้องถ่ายโอนผลการลดก๊าซเรือนกระจกหรือคาร์บอนเครดิตที่เกิดจากโครงการ ร้อยละ 50 ให้กับฝ่ายญี่ปุ่นเป็นการตอบแทน คณะกรรมการร่วม (Joint Committee) ฝ่ายไทยจึงได้กำหนดแนวปฏิบัติสำหรับการพัฒนาโครงการใหม่ภายหลังการลงนามบันทึกความ ร่วมมือฯ ฉบับปรับแก้ไข เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศ ดังนี้
1) คัดเลือกโครงการที่มีคุณลักษณะครบถ้วนตามข้อกำหนดของแนวทางและกลไกการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิต3 และผู้พัฒนาโครงการต้องได้รับการสนับสนุนเงินลงทุนหรือการถ่ายทอดเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ และกำหนดให้แบ่งปันคาร์บอนเครดิตให้กับฝ่ายญี่ปุ่นในสัดส่วนเดียวกับสัดส่วนเงินสนับสนุนจากฝ่ายญี่ปุ่นต่อเงินลงทุนของโครงการ4 ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศไทยสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มมากขึ้น และปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยหลังจากปรับบัญชีก๊าซเรือนกระจกแล้วมีค่าลดลง
2) กำหนดให้ผู้พัฒนาโครงการต้องขอขึ้นทะเบียนโครงการและขอรับรองปริมาณคาร์บอนเครดิตที่เกิดจากโครงการตามมาตรฐานขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) แทนการขอขึ้นทะเบียนและขอรับรองคาร์บอนเครดิตตามมาตรฐานของญี่ปุ่น ซึ่งจะทำให้การกำกับดูแลโครงการลดก๊าซเรือนกระจกที่จะมีการถ่ายโอนผลการลดก๊าซเรือนกระจกให้กับประเทศอื่นเป็นไปอย่างมีเอกภาพ
_________________________________
1เป็นไปตามความเห็นของที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ [(รองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ) เป็นประธาน] ในการประชุม ครั้งที่ 4/2566 เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2566
2เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างความร่วมมือทวิภาคี Joint Crediting Mechanism (JCM) กับประเทศญี่ปุ่น (ฉบับเดิม) และ (ร่าง) บันทึกความร่วมมือฯ ที่เสนอในครั้งนี้
3เป็นโครงการที่งทุนในด้านเทคโนโลยีที่ประเทศไทยไม่สามารถดำเนินการได้เอง เช่น โครงการเกี่ยวกับการดักจับและการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage: CCS) ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำ ส่วนโครงการประเภท Solar Rooftops ที่ประเทศไทยดำเนินการได้เองจะไม่ได้รับการพิจารณา
4เช่น หากฝ่ายญี่ปุ่นให้การสนับสนุนเงินลงทุนร้อยละ 30 ในการดำเนินโครงการ ให้แบ่งปันคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการรับรองร้อยละ 30 ให้กับฝ่ายญี่ปุ่น
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ (รองนายกรัฐมนตรี) 18 มิถุนายน 2567
6558