WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินชดเชยเยียวยา ที่ได้รับจากกรมประมงตามโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบเพื่อการจัดการทรัพยากร ประมงทะเลที่ย

Gov 21

ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินชดเชยเยียวยา ที่ได้รับจากกรมประมงตามโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบเพื่อการจัดการทรัพยากร ประมงทะเลที่ยั่งยืน)

          คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินชดเชยเยียวยาที่ได้รับจากกรมประมงตามโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน) ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาต่อไป 

          ข้อเท็จจริงและสาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา

          กค. เสนอว่า

          1. ประเทศไทยได้รับประกาศเตือนใบเหลืองจากสหภาพยุโรปเกี่ยวกับมาตรการในการป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated fishing: IUU) เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2558 ซึ่งหากไม่มีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอาจมีผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าสัตว์น้ำของประเทศไทย 

          2. ต่อมา ได้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย รวม 4 ฉบับ ได้แก่ 

              2.1 คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 10/2558 ลงวันที่ 29 เมษายน 2558

              2.2 คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 24/2558 ลงวันที่ 5 สิงหาคม 2558

              2.3 คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 53/2559 ลงวันที่ 9 กันยายน 2559 

              2.4 คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 22/2560 ลงวันที่ 4 เมษายน 2560 

          เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ส่งผลให้เรือประมงที่ไม่มีทะเบียนเรือและเรือประมงที่มีทะเบียนเรือแต่ไม่มีใบอนุญาตทำการประมง ไม่สามารถทำการประมงต่อไปได้ แต่ยังคงต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาเรือตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา 

          3. ที่ผ่านมากรมประมงได้จัดทำโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบ เพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน ซึ่งแบ่งเป็น 2 ระยะ ดังนี้

              3.1 โครงการนำเรือประมงออกนอกระบบฯ ระยะที่ 1 (ระยะเร่งด่วน) ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2562 มีเรือประมงออกนอกระบบ จำนวน 305 ลำ วงเงิน 764,454,100 บาท และมีเรือประมงไม่ประสงค์รับเงินเยียวยา จำนวน 1 ลำ เป็นเงิน 8,791,500 บาท ยังคงเหลือเรือประมงที่ได้รับสิทธิเยียวยา จำนวน 304 ลำ เป็นเงิน 755,662,600 บาท ซึ่งกรมประมงได้แบ่งจ่ายเงินให้แก่เจ้าของเรือที่ได้รับผลกระทบ ออกเป็น 2 ช่วง ซึ่งไม่ได้หักภาษี ณ ที่จ่าย ดังนี้ 

                   1) ช่วงที่ 1 (ปี 2562) ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็น

                   2) ช่วงที่ 2 (ปี 2563) ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 

 

ปีที่จ่ายเงินชดเชยเยียวยา

เจ้าของเรือที่ได้รับผลกระทบ 

บุคคลธรรมดา 

นิติบุคคล

รวม

จำนวน

(ลำ)

เงินชดเชยเยียวยา (บาท)

จำนวน

(ลำ)

เงินชดเชยเยียวยา (บาท)

จำนวน

(ลำ)

เงินชดเชยเยียวยา (บาท)

2562

(ช่วงที่ 1)

249

464,327,900

3

5,276,000

252

469,603,900

2563

(ช่วงที่ 2)

41

274,256,000

11

11,802,700

52

286,058,700

รวม

290

738,583,900

14

17,078,700

304

755,662,600

 

              3.2 โครงการนำเรือประมงออกนอกระบบฯ ระยะที่ 2 ได้รับอนุมัติจาก คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2565 มีเรือประมงออกนอกระบบ จำนวน 59 ลำ วงเงิน 287,181,800 บาท และมีเรือประมงไม่ประสงค์รับเงินเยียวยา จำนวน 3 ลำ เป็นเงิน 24,552,000 บาท และไม่ได้รับสิทธิการเยียวยา จำนวน 1 ลำ เป็นเงิน 841,400 บาท ดังนั้น ยังคงเหลือเรือประมงที่ได้รับสิทธิการเยียวยา จำนวน 55 ลำ เป็นเงิน 261,788,400 บาท ซึ่งกรมประมงได้จ่ายเงินให้แก่เจ้าของเรือที่ได้รับผลกระทบจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็น โดยแบ่งจ่ายเป็น 2 งวด ซึ่งมีการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 1 ของการจ่ายเงินทั้ง 2 งวด ดังนี้

                    1) งวดที่ 1 (ปี 2565) จ่ายเงินจำนวนร้อยละ 30 ของค่าชดเชย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแยกชิ้นส่วนเรือหรือการทำลายเรือประมง

                    2) งวดที่ 2 (ปี 2566) จ่ายเงินจำนวนร้อยละ 70 ของค่าชดเชย หลังจากเจ้าของเรือประมงได้ดำเนินการแยกชิ้นส่วนหรือทำลายเรือประมงเสร็จเรียบร้อยแล้ว

 

ปีที่จ่ายเงินชดเชยเยียวยา

เจ้าของเรือที่ได้รับผลกระทบ

บุคคลธรรมดา

นิติบุคคล

รวม

จำนวน

(ลำ)

เงินชดเชยเยียวยา (บาท)

จำนวน

(ลำ)

เงินชดเชยเยียวยา (บาท)

จำนวน

(ลำ)

เงินชดเชยเยียวยา (บาท)

2565 (งวดที่ 1)

49

67,103,790

6

11,432,730

55

78,536,520

2566 (งวดที่ 2)

156,575,510

26,676,370

183,251,880

รวม

49

223,679,300

6

38,109,100

55

261,788,400

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย

49

2,236,793

6

381,091

55

2,617,884

ได้รับสุทธิ

49

221,442,507

6

37,728,009

55

259,170,516

 

                   ทั้งนี้ สำหรับการชดเชยเยียวยาจากโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบตามข้อ 3.1 และข้อ 3.2 กำหนดให้เจ้าของเรือต้องเป็นผู้ดำเนินการแยกชิ้นส่วนหรือทำลายเรือประมง จึงจะได้รับเงินชดเชยเยียวยาจากโครงการดังกล่าว

          4. กค. พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อเป็นการช่วยบรรเทาภาระภาษีให้เจ้าของเรือประมง ในการมีทุนในการประกอบอาชีพอื่น และบรรเทาหนี้สินอันเกิดจากค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาเรือ อันเนื่องมาจากการเข้าร่วมโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบเพื่อจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน จึงเห็นควรยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลแล้วแต่กรณี ให้แก่เจ้าของเรือประมงที่ได้รับเงินชดเชยเยียวยาจากกรมประมงในโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน ระยะที่ 1 (ระยะเร่งด่วน) และระยะที่ 2 โดยหากได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล เจ้าของเรือประมงสามารถขอคืนภาษีอากรและภาษีหัก ณ ที่จ่าย ที่ถูกหักไว้มากกว่ามูลค่าภาษีที่ตนเองมีหน้าที่ต้องจ่ายจริงภายใน 3 ปีนับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นรายการภาษี1 กค. จึงได้ดำเนินการยกร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มาด้วยแล้ว มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้

 

ประเด็น

 

รายละเอียด

1. ผู้ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี

 

บุคคลธรรมดา

บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล

2. สิทธิประโยชน์ทางภาษี

 

ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการชดเชยเยียวยาจากกรมประมง เนื่องจากการเข้าร่วมโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน ระยะที่ 1 (ระยะเร่งด่วน) (ช่วงปี 2562 - 2563) และระยะที่ 2 (ช่วงปี 2565-2566) (บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นเจ้าของเรือประมงไม่ต้องนำเงินชดเชยเยียวยาดังกล่าว มายื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีตอนสิ้นปีภาษี)2

3. วันบังคับใช้

 

วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

 

          5. กค. ได้จัดทำประมาณการการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว ดังนี้ 

              5.1 กรมสรรพากรคาดว่าจะทำให้ภาครัฐสูญเสียรายได้ภาษีรวมประมาณ 58.6 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประมาณ 48.1 ล้านบาท และภาษีเงินได้นิติบุคคลประมาณ 10.5 ล้านบาท

              5.2 กรมสรรพากรต้องคืนภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ประมาณ 2.6 ล้านบาท ซึ่งกรมสรรพากรสามารถดำเนินการได้ 

              ทั้งนี้ เพื่อให้เจ้าของเรือประมงที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายได้รับการบรรเทาภาระภาษี และเจ้าของเรือประมงที่ได้รับเงินชดเชยเยียวยาสามารถนำเงินชดเชยเยียวยาดังกล่าวเต็มจำนวนไปใช้เป็นทุนในการประกอบอาชีพอื่น รวมทั้งบรรเทาภาระหนี้สินอันเกิดจากค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาเรือ

________________________ 

1 การกำหนดเวลาขอคืนภาษี ตามมาตรา 27 ตรี การขอคืนภาษีอากรและภาษีที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่ายและนำส่งแล้วเป็นจำนวนเงินเกินกว่าที่ควรต้องเสียภาษี หรือที่ไม่มีหน้าที่ต้องเสีย ให้ผู้มีสิทธิขอคืนยื่นคำร้องขอคืนภายใน 3 ปีนับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นรายการภาษีตามที่กฎหมายกำหนด

2 หากไม่มีการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเจ้าของเรือประมง เงินชดเชยที่กรมประมงจ่ายให้แก่เจ้าของเรือประมงจะเป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร และมีจำนวนรวมทั้งสิ้นตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป จึงต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 1 ของยอดเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 50(4) และหากไม่มีการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่นิติบุคคลเจ้าของเรือประมง เงินชดเชยที่กรมประมงจ่ายให้แก่เจ้าของเรือประมงจะเป็นรายได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร จึงต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 1 ของยอดเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 69 ทวิ

 

(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน (นายกรัฐมนตรี) 11 มิถุนายน 2567

 

 

6369

Click Donate Support Web 

SME720x100 2024

Banner GPF720x100 PX

CKPower 720x100

EXIM One 720x90 C JMTL 720x100

QIC 720x100

TOA 720x100

วิริยะ 720x100

AXA 720 x100

aia 720 x100

BKI 720 x 100

kbank 720x100 66

ธกส 720x100PTG 720x100

ใจฟู720x100px

AXA 720 x100 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!