ผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน ครั้งที่ 2/2567
- Details
- Category: มติ ครม.
- Published: Wednesday, 10 April 2024 12:01
- Hits: 6905
ผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน ครั้งที่ 2/2567
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอดังนี้
1. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส ยกเว้นอำเภอยี่งอ อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอแว้ง และอำเภอสุคิริน จังหวัดปัตตานี ยกเว้นอำเภอยะหริ่ง อำเภอปะนาเระ อำเภอมายอ อำเภอไม้แก่น อำเภอทุ่งยางแดง อำเภอกะพ้อ และอำเภอแม่ลาน และจังหวัดยะลา ยกเว้นอำเภอเบตง อำเภอรามัน อำเภอกาบัง และอำเภอกรงปินัง ออกไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2567 ถึงวันที่ 19 กรกฎาคม 2567 ซึ่งเป็นการขยายระยะเวลาครั้งที่ 76 พร้อมทั้งร่างประกาศฯ รวม 2 ฉบับ ดังนี้
1.1 ร่างประกาศ เรื่อง การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส ยกเว้นอำเภอยี่งอ อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอแว้งและอำเภอสุคิริน จังหวัดปัตตานี ยกเว้นอำเภอยะหริ่ง อำเภอปะนาเระ อำเภอมายอ อำเภอไม้แก่น อำเภอทุ่งยางแดง อำเภอกะพ้อ และอำเภอแม่ลาน และจังหวัดยะลา ยกเว้นอำเภอเบตง อำเภอรามัน อำเภอกาบัง และอำเภอกรงปินัง
1.2 ร่างประกาศ เรื่อง การให้ประกาศที่คณะรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ
2. รับทราบร่างประกาศ เรื่อง การให้ประกาศและคำสั่งที่นายกรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ
ข้อเท็จจริงและสาระสำคัญของเรื่อง
สมช. เสนอว่า
1. รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2548 เพื่อใช้มาตรการต่างๆ ที่บัญญัติไว้ในพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เข้าดำเนินการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินทั้งของรัฐและประชาชนภายในเขตพื้นที่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง โดยได้มีการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่ดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องทุก 3 เดือน จนถึงปัจจุบัน เป็นคราวที่ 75
2. สมช. ได้จัดการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งที่ 2/2567 เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2567 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
2.1 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 (กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า) ได้สรุปผลการปฏิบัติงานตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ เพื่อประกอบการพิจารณาขยายประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ครั้งที่ 76 สรุปได้ดังนี้
(1) สถานการณ์การก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) ในห้วงระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 22 มีนาคม 2567 ซึ่งเป็นห้วงที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ครั้งที่ 75 ปรากฏการก่อเหตุรุนแรง 11 เหตุการณ์ เป็นผลให้มีผู้เสียชีวิต 6 ราย ผู้ได้รับบาดเจ็บ 7 ราย ฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่าการก่อเหตุรุนแรงมีแนวโน้มลดลง เมื่อเทียบกับห้วงระยะเวลาก่อนหน้า
(2) ผลการปฏิบัติงานการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ จชต. เจ้าหน้าที่ได้ตรวจค้นและปิดล้อมตรวจค้นในพื้นที่ จชต.จำนวน 3,370 ครั้ง และมีการออกหมายจับตามมาตรา 11 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 จำนวน 16 หมาย ในด้านสถิติคดีความมั่นคงมีคดีที่เข้าสู่ชั้นพิจารณาคดีของศาล จำนวน 19 คดี และในด้านสถิติผลคำพิพากษาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ จชต. มีคดีที่เข้าสู่ชั้นพิจารณาคดีของศาล จำนวน 8 คดี
(3) มาตรการลดผลกระทบต่อการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 แบ่งออกเป็น 2 แนวทาง ได้แก่ แนวทางที่ 1 การสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติการ โดยนำภาคประชาชนและสื่อมวลชนเข้ามามีส่วนร่วมหรือรับทราบการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ และแนวทางที่ 2 การสร้างความโปร่งใสในการจับกุมและควบคุมตัวเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากประชาชน และให้คลายความวิตกกังวลของญาติผู้ถูกควบคุมตัว รวมทั้งการสร้างความโปร่งใสในการออกคำสั่งเรียกตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 โดยปรับปรุงการออกคำสั่งเรียกให้มีรูปแบบที่โปร่งใสและเป็นที่ยอมรับของประชาชน
(4) การประเมินผลการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้ประเมินผลจากกลุ่มตัวอย่างภาคประชาชน ข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐพบว่า ส่วนใหญ่เห็นด้วยต่อการประกาศใช้พระราชกำหนดฯ คิดเป็นร้อยละ 66.80
(5) ข้อดีและข้อเสียจากการปรับลดพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ดังนี้
(5.1) ข้อดีจากการบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ มีการรวมศูนย์อำนาจในการแก้ไขสถานการณ์เพื่อให้เกิดความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นการบูรณาการกำลังทั้ง 3 ฝ่าย ประกอบด้วย ฝ่ายพลเรือน ตำรวจและทหาร ทั้งนี้ พนักงานเจ้าหน้าที่จะได้รับการคุ้มครองเมื่อปฏิบัติตามหน้าที่โดยสุจริต ไม่เลือกปฏิบัติและไม่เกินสมควรแก่เหตุหรือเกินกรณีที่จำเป็น อีกทั้งมีบทบัญญัติที่เปิดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ใช้อำนาจในการควบคุมตัวผู้กระทำความผิดได้มากกว่ากฎหมายปกติ
(5.2) ข้อเสียจากการบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ การใช้อำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่มีระยะเวลาและพื้นที่จำกัดในการดำเนินการ ซึ่งการใช้อำนาจตามกฎหมายดังกล่าวมีขั้นตอนในการปฏิบัติ อาทิ การออกประกาศคำสั่ง ทำให้การแก้ไขปัญหาในบางกรณีอาจไม่ทันการณ์ กฎหมายไม่มีข้อบัญญัติที่จะชดเชยให้กับผู้บริสุทธิ์ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่อีกทั้งเป็นกฎหมายที่อาจก่อให้เกิดปัญหาในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนอันอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ
2.2 ปัจจุบันภายใต้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ยังคงมีพื้นที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวม 18 อำเภอ ดังนี้
จังหวัด |
พื้นที่ภายใต้ พ.ร.ก. การบริหารราชการ ในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 48 (จำนวนอำเภอ) |
พื้นที่ภายใต้ พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงภายใน ราชอาณาจักร พ.ศ. 51 (จำนวนอำเภอ) |
จำนวนอำเภอ ทั้งหมด |
นราธิวาส |
9 |
4 |
13 |
ปัตตานี |
5 |
7 |
12 |
ยะลา |
4 |
4 |
8 |
สงขลา |
- |
4 |
16 |
รวม |
18 |
19 |
49 |
37 |
2.3 ที่ประชุมพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2567 ได้มีการก่อเหตุรุนแรงพร้อมกัน 42 จุด สะท้อนนัยว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมีขีดความสามารถและมีกำลังคนในการก่อเหตุรุนแรงได้พร้อมกันในหลายพื้นที่ และยังคงปรากฏข้อมูลทางด้านการข่าวว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุเคลื่อนไหวในการลักลอบขนอาวุธและสารประกอบระเบิดเพื่อเตรียมการก่อเหตุในบางพื้นที่ในระยะต่อไปด้วย ดังนั้น เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการป้องกัน ระงับ และยับยั้งสถานการณ์ในพื้นที่ รวมทั้งเพื่อให้ประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้มาตรการในการจับกุม และควบคุมตัวผู้กระทำความผิด เพื่อให้ได้มาซึ่งพยานหลักฐานที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินคดี จนสามารถนำตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม ตลอดจนเป็นช่องทางในการสร้างความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เกิดทัศนคติที่ถูกต้องและเป็นเครื่องมือสำคัญในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการป้องกัน ระงับ ยับยั้ง สถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ จึงมีมติให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส ยกเว้นอำเภอยี่งอ อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอแว้ง และอำเภอสุคิริน จังหวัดปัตตานี ยกเว้นอำเภอยะหริ่ง อำเภอปะนาเระ อำเภอมายอ อำเภอไม้แก่น อำเภอทุ่งยางแดง อำเภอกะพ้อ และอำเภอแม่ลาน และจังหวัดยะลา ยกเว้นอำเภอเบตง อำเภอรามัน อำเภอกาบัง และอำเภอกรงปินัง ออกไปอีก 3 เดือนตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2567 ถึงวันที่ 19 กรกฎาคม 2567 ซึ่งเป็นการขยายระยะเวลาครั้งที่ 36
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน (นายกรัฐมนตรี) 9 เมษายน 2567
4361