รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย ประจำเดือนพฤษภาคม และ 5 เดือนแรกของปี 2566
- Details
- Category: มติ ครม.
- Published: Wednesday, 19 July 2023 01:17
- Hits: 1466
รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย ประจำเดือนพฤษภาคม และ 5 เดือนแรกของปี 2566
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย ประจำเดือนพฤษภาคม และ 5 เดือนแรกของปี 2566 ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ
สาระสำคัญ
1. สรุปสถานการณ์การส่งออกของไทย ประจำเดือนพฤษภาคม 2566
การส่งออกของไทยในเดือนพฤษภาคม 2566 มีมูลค่า 24,340.9 ล้านเหรียญสหรัฐ (830,448 ล้านบาท) หดตัวร้อยละ 4.6 หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย หดตัวร้อยละ 1.4 จากภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่ยังมีความไม่แน่นอน แม้ว่าภาคการผลิตอุตสาหกรรมโลกเร่งตัวขึ้นจากการผ่อนคลายปัญหาห่วงโซ่การผลิต แต่คำสั่งซื้อใหม่สำหรับการส่งออกไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก เนื่องจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดได้ส่งผลให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคควบคุมการใช้จ่ายมากขึ้น อย่างไรก็ดี การส่งออกของไทยหดตัวน้อยลงกว่าเดือนก่อนหน้า และทำมูลค่าสูงกว่ามูลค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังของเดือนพฤษภาคม (21,658.8 ล้านเหรียญสหรัฐ) โดยได้แรงหนุนจากการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่กลับมาขยายตัวในรอบ 8 เดือน จากกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (เช่น อุปกรณ์กึ่งตัวนำฯ หม้อแปลงไฟฟ้าฯ) ยานพาหนะและส่วนประกอบ และเครื่องใช้ไฟฟ้า (เช่น เครื่องปรับอากาศ) ขณะที่ตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ อาเซียน (5) และสหภาพยุโรป กลับมาขยายตัวอีกครั้ง ทั้งนี้ การส่งออกไทย 5 เดือนแรก หดตัวร้อยละ 5.1 และเมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย หดตัวร้อยละ 2.1
มูลค่าการค้ารวม
มูลค่าการค้าในรูปเงินเหรียญสหรัฐ เดือนพฤษภาคม 2566 มีมูลค่าการค้ารวม 50,531.1 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 4.0 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออก มีมูลค่า 24,340.9 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 4.6 การนำเข้า มีมูลค่า 26,190.2 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 3.4 ดุลการค้า ขาดดุล 1,849.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ภาพรวม 5 เดือนแรกของปี 2566 มีมูลค่าการค้ารวม 239,053.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 3.8 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออก มีมูลค่า 116,344.2 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 5.1 การนำเข้า มีมูลค่า 122,709.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 2.5 ดุลการค้า 5 เดือนแรกของปี 2566 ขาดดุล 6,365.3 ล้านเหรียญสหรัฐ
มูลค่าการค้าในรูปเงินบาท เดือนพฤษภาคม 2566 มีมูลค่าการค้ารวม 1,735,012 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 2.2 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออก มีมูลค่า 830,448 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 2.8 การนำเข้า มีมูลค่า 904,563 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 1.7 ดุลการค้า ขาดดุล 74,115 ล้านบาท ภาพรวม 5 เดือนแรกของปี 2566 มีมูลค่าการค้ารวม 8,151,752 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 1.0 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออก มีมูลค่า 3,941,426 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 2.4 การนำเข้า มีมูลค่า 4,210,326 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 0.2 ดุลการค้า 5 เดือนแรกของปี 2566 ขาดดุล 268,901 ล้านบาท
การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร
มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัวร้อยละ 16.3 สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ น้ำตาลทราย ขยายตัวร้อยละ 44.3 (ขยายตัวในตลาดอินโดนีเซีย เกาหลีใต้ กัมพูชา ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย) ข้าว ขยายตัวร้อยละ 84.6 (ขยายตัวในตลาดอินโดนีเซีย อิรัก แอฟริกาใต้ สหรัฐฯ และญี่ปุ่น) เครื่องดื่ม ขยายตัวร้อยละ 10.3 (ขยายตัวในตลาดเวียดนาม จีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ และสหรัฐฯ) ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง ขยายตัวร้อยละ 55.5 (ขยายตัวในตลาดจีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย เกาหลีใต้ และสิงคโปร์) ผักกระป๋องและผักแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 28.9 (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สหรัฐฯ ไต้หวัน เกาหลีใต้ และจีน) ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง หดตัวร้อยละ 54.8 (หดตัวในตลาดจีน มาเลเซีย ฮ่องกง เวียดนาม และญี่ปุ่น) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง หดตัวร้อยละ 41.7 (หดตัวในตลาดจีน ไต้หวัน สหรัฐฯ เกาหลีใต้ และอินโดนีเซีย) ยางพารา หดตัวร้อยละ 37.2 (หดตัวในตลาดจีน มาเลเซีย สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) อาหารสัตว์เลี้ยง หดตัวร้อยละ 23.8 (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น มาเลเซีย อิตาลี และฟิลิปปินส์) ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ หดตัวร้อยละ 63.0 (หดตัวในตลาดอินเดีย มาเลเซีย กัมพูชา ญี่ปุ่น และเวียดนาม) ทั้งนี้ 5 เดือนแรกของปี 2566 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัวร้อยละ 1.3
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม
มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 1.5 แต่ยังมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 8.3 (ขยายตัวในตลาดออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น และซาอุดีอาระเบีย) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 10.2 (ขยายตัวในสหรัฐฯ เวียดนาม อินเดีย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย) อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด ขยายตัวร้อยละ 87.7 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เวียดนาม อินเดีย จีน และเกาหลีใต้) หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 53.7 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ เม็กซิโก อิตาลี และมาเลเซีย) รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 22.9 (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น เบลเยียม สหรัฐฯ บราซิล และออสเตรเลีย) ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน หดตัวร้อยละ 26.8 (หดตัวในตลาดจีน กัมพูชา อินเดีย เวียดนาม และสิงคโปร์) เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 4.8 (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน ฮ่องกง เนเธอร์แลนด์ และญี่ปุ่น) ผลิตภัณฑ์ยาง หดตัวร้อยละ 6.0 (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน มาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย) เครื่องโทรศัพท์และอุปกรณ์ หดตัวร้อยละ 34.7 (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ เมียนมา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และฮ่องกง) ทองแดงและของทำด้วยทองแดง หดตัวร้อยละ 21.2 (หดตัวในตลาดจีน ญี่ปุ่น เวียดนาม สหรัฐฯ และไต้หวัน) ทั้งนี้ 5 เดือนแรกของปี 2566 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ 5.4
ตลาดส่งออกสำคัญ
การส่งออกไปยังตลาดสำคัญส่วนใหญ่กลับมาขยายตัว อาทิ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และอาเซียน (5) สะท้อนอุปสงค์จากประเทศคู่ค้าที่มีแนวโน้มปรับดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าหลายประเทศจะยังเผชิญกับความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอย จากแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อที่ยังทรงตัวในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนส่งผลให้การส่งออกไปตลาดจีนกลับมาหดตัว ทั้งนี้ ภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่างๆ สรุปได้ดังนี้ (1) ตลาดหลัก หดตัวร้อยละ 6.0 โดยกลับมาหดตัวในตลาดจีน ร้อยละ 24.0 และหดตัวต่อเนื่องในตลาดญี่ปุ่น ร้อยละ 1.8 และ CLMV ร้อยละ 17.3 ขณะที่ตลาดสหรัฐฯ อาเซียน (5) และสหภาพยุโรป (27) กลับมาขยายตัวร้อยละ 4.2 ร้อยละ 0.1 และร้อยละ 9.5 ตามลำดับ (2) ตลาดรอง หดตัวร้อยละ 4.5 โดยหดตัวในตลาดเอเชียใต้ ร้อยละ 25.2 และลาตินอเมริกา ร้อยละ 7.0 แต่ขยายตัวในตลาดทวีปออสเตรเลีย ร้อยละ 11.4 ตะวันออกกลาง ร้อยละ 11.2 แอฟริกา ร้อยละ 7.9 รัสเซียและกลุ่ม CIS ร้อยละ 97.7 และสหราชอาณาจักร ร้อยละ 5.9 (3) ตลาดอื่นๆ ขยายตัวร้อยละ 226.0 อาทิ สวิตเซอร์แลนด์ ขยายตัวร้อยละ 330.2
2. มาตรการส่งเสริมการส่งออกและแนวโน้มการส่งออกระยะต่อไป
การส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการเชิงรุกและลึก เพื่อผลักดันและอำนวยความสะดวกการส่งออก โดยการดำเนินงานที่สำคัญในรอบเดือนที่ผ่านมา อาทิ (1) การเร่งผลักดันนโยบาย “อาหารไทย อาหารโลก” รองรับความต้องการอาหารของโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามจำนวนประชากร โดยใช้หลัก “รัฐหนุน เอกชนนำ” ลดอุปสรรคในการส่งออกให้มากที่สุด และส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ ที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกรู้จักและชื่นชอบอาหารไทย ผ่านการจัดงานแสดงสินค้า THAIFEX-ANUGA ASIA 2023 ระหว่างวันที่ 23 - 27 พฤษภาคม 2566 เพื่อเน้นย้ำให้ทั่วโลกเห็นถึงศักยภาพของไทยในฐานะการเป็นศูนย์กลางผู้ผลิตอาหารของโลก ทำให้ผู้ประกอบการไทยได้เจรจาการค้า มีมูลค่าสั่งซื้อ 119,706.60 ล้านบาท ตลอดจนสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจกับผู้นำเข้าจากประเทศต่างๆ เพิ่มโอกาสในการขยายตลาดส่งออก และ (2) ส่งเสริมการขายผลไม้ในต่างประเทศ อาทิ 1) ส่งเสริมการขายร่วมกับซุปเปอร์มาร์เก็ต Yonghui แห่งมหานครฉงชิ่ง 2) ส่งเสริมการขายร่วมกับห้างสรรพสินค้าและผู้นำเข้าในมณฑลฝูเจี้ยน และ 3) ส่งเสริมการขายปลีกสินค้าอาหารและผลไม้ไทยผ่านช่องทางการค้าปลีกสมัยใหม่ในไต้หวัน เป็นต้น
แนวโน้มการส่งออกระยะถัดไป กระทรวงพาณิชย์ ประเมินว่า ไทยกำลังเผชิญปัจจัยเสี่ยงต่อการส่งออกจาก (1) ภาวการณ์ชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าที่อาจลุกลามไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยเฉพาะสหภาพยุโรป (2) สภาพอากาศแปรปรวน อาจส่งผลต่อปริมาณสินค้าเกษตรที่ผลิตได้ในปีนี้ (3) แรงกดดันของอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบต่อการบริโภค และภาคการผลิตสินค้า (4) การเปลี่ยนแปลงแนวทางนโยบายการค้าของคู่ค้าสำคัญ โดยเฉพาะนโยบายการพึ่งพาตนเองของจีน ขณะที่ปัจจัยบวกต่อการส่งออก ได้แก่ (1) การดำเนินนโยบายเชิงรุกและเชิงลึกของกระทรวงพาณิชย์ที่มุ่งรักษาตลาดเดิม เจาะตลาดใหม่ เพื่อขยายโอกาสของผู้ประกอบการส่งออกไทย (2) แนวโน้มการชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจช่วยลดแรงกดดันต่อภาคการบริโภคและการลงทุน (3) ภัยแล้งที่เกิดขึ้นในหลายประเทศอาจเป็นโอกาสที่ดีต่อการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) 18 กรกฎาคม 2566
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
A7618