รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย ประจำเดือนเมษายน และ 4 เดือนแรกของปี 2566
- Details
- Category: มติ ครม.
- Published: Tuesday, 27 June 2023 22:35
- Hits: 1064
รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย ประจำเดือนเมษายน และ 4 เดือนแรกของปี 2566
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย ประจำเดือนเมษายน และ 4 เดือนแรกของปี 2566 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
สาระสำคัญ
สรุปสถานการณ์การส่งออกของไทย ประจำเดือนเมษายน 2566
การส่งออกของไทยในเดือนเมษายน 2566 มีมูลค่า 21,723.2 ล้านเหรียญสหรัฐ (737,788 ล้านบาท) หดตัวร้อยละ 7.6 หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย หดตัว ร้อยละ 6.8 ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกกดดันอุปสงค์ด้านการส่งออก หลายประเทศในภูมิภาคเอเชียยังคงเผชิญกับการส่งออกที่ชะลอตัว แม้ว่า ปัจจัยด้านเงินเฟ้อจะชะลอลง แต่ความเปราะบางของภาคธนาคารในสหรัฐฯ และยุโรป กดดันให้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวมากขึ้น โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมยังคงลดลงตามความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกและราคาพลังงาน ตรงข้ามกับสินค้าเกษตรที่ขยายตัวได้ดี โดยการส่งออกผลไม้ทำรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ รวมถึง ข้าว ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนการส่งออกไปยังเป้าหมายขยายตัวในระดับที่น่าพอใจ โดยเฉพาะตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกอันดับสองของไทยกลับมาขยายตัวสูงถึงร้อยละ 23 ทั้งนี้ การส่งออกไทย 4 เดือนแรก หดตัวร้อยละ 5.2 และเมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย หดตัวร้อยละ 2.3
มูลค่าการค้ารวม
มูลค่าการค้าในรูปเงินเหรียญสหรัฐ เดือนเมษายน 2566 มีมูลค่าการค้ารวม 44,918.2 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 7.5 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออก มีมูลค่า 21,723.2 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 7.6 การนำเข้า มีมูลค่า 23,195.0 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 7.3 ดุลการค้า ขาดดุล 1,471.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ภาพรวม 4 เดือนแรกของปี 2566 มีมูลค่าการค้ารวม 188,522.6 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 3.7 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออก มีมูลค่า 92,003.3 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 5.2 การนำเข้า มีมูลค่า 96,519.3 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 2.2 ดุลการค้า 4 เดือนแรกของปี 2566 ขาดดุล 4,516.0 ล้านเหรียญสหรัฐ
มูลค่าการค้าในรูปเงินบาท เดือนเมษายน 2566 มีมูลค่าการค้ารวม 1,535,161 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 14.9 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออก มีมูลค่า 737,788 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 5.6 การนำเข้า มีมูลค่า 797,373 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 5.4 ดุลการค้า ขาดดุล 59,584 ล้านบาท ภาพรวม 4 เดือนแรกของปี 2566 มีมูลค่าการค้ารวม 6,416,740 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 0.7 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออก มีมูลค่า 3,110,977 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 2.2 การนำเข้า มีมูลค่า 3,305,763 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 0.8 ดุลการค้า 4 เดือนแรกของปี 2566 ขาดดุล 194,786 ล้านบาท
การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร
มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 8.2 สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ขยายตัวร้อยละ 142.8 (ขยายตัวในตลาดจีน ฮ่องกง เวียดนาม เกาหลีใต้ และไต้หวัน) ข้าว ขยายตัวร้อยละ 3.5 (ขยายตัวในตลาดอิรัก แอฟริกาใต้ อินโดนีเซีย เม็กซิโก และญี่ปุ่น) เครื่องดื่ม ขยายตัวร้อยละ 2.4 (ขยายตัวในตลาดจีน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินเดีย และสหรัฐฯ) ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง ขยายตัวร้อยละ 38.9 (ขยายตัวในตลาดจีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย เกาหลีใต้และสิงคโปร์) ผักกระป๋องและผักแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 6.8 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เกาหลีใต้ ไต้หวัน จีน และฟิลิปปินส์) นมและผลิตภัณฑ์นม ขยายตัวร้อยละ 24.2 (ขยายตัวในตลาดกัมพูชา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ลาว และเวียดนาม) ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง หดตัวร้อยละ 44.1 (หดตัวในตลาดจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน มาเลเซีย และเกาหลีใต้) ยางพารา หดตัวร้อยละ 40.2 (หดตัวในตลาดมาเลเซีย ญี่ปุ่น สหรัฐฯ อินเดีย และตุรกี) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป หดตัวร้อยละ 17.1 (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ออสเตรเลีย ลิเบีย แคนาดาและแอฟริกาใต้) ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ หดตัวร้อยละ 34.3 (หดตัวในตลาดอินเดีย มาเลเซีย เมียนมา กัมพูชา และฟิลิปปินส์) อาหารสัตว์เลี้ยง หดตัวร้อยละ 33.6 (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น มาเลเซีย อิตาลี และออสเตรเลีย) ทั้งนี้ 4 เดือนแรกของปี 2566 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 3.7
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม
มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ 11.2 แต่ยังมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 3.4 (ขยายตัวในตลาดออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น มาเลเซีย และอินโดนีเซีย) เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 55.0 (ขยายตัวในสหรัฐฯ ฮ่องกง เม็กซิโก แคนาดา และฝรั่งเศส) อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด ขยายตัวร้อยละ 107.8 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เวียดนาม อินเดีย จีน และอินโดนีเซีย) หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 25.5 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ เม็กซิโก ญี่ปุ่น และอิตาลี) เครื่องใช้สำหรับเดินทาง ขยายตัวร้อยละ 28.2 (ขยายตัวในตลาดจีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ อินเดีย และฮ่องกง) ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน หดตัวร้อยละ 23.5 (หดตัวในตลาดจีน เวียดนาม กัมพูชา สิงคโปร์ และอินเดีย) เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 19.0 (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน ฮ่องกง เนเธอร์แลนด์ และญี่ปุ่น) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 11.5 (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น จีน อินเดีย และเยอรมนี) อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) หดตัวร้อยละ 27.0 (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ เยอรมนี สหราชอาณาจักร อินเดีย และเบลเยียม) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ หดตัวร้อยละ 27.1 (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม) ทั้งนี้ 4 เดือนแรกของปี 2566 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ 7.1
ตลาดส่งออกสำคัญ
การส่งออกไปยังตลาดสำคัญส่วนใหญ่กลับมาหดตัว ตามการชะลอตัวของอุปสงค์จากประเทศคู่ค้าท่ามกลางความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลก อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณบวกที่สำคัญจากการส่งออกไปตลาดจีนกลับมาขยายตัวในรอบ 11 เดือน ทั้งนี้ ภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่างๆ สรุปได้ดังนี้ (1) ตลาดหลัก หดตัวร้อยละ 6.2 หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ร้อยละ 9.6 ญี่ปุ่น ร้อยละ 8.1 อาเซียน (5) ร้อยละ 17.7 CLMV ร้อยละ 17.0 และสหภาพยุโรป (27) ร้อยละ 8.2 อย่างไรก็ตามตลาดจีนกลับมาขยายตัว ร้อยละ 23.0 (2) ตลาดรอง หดตัวร้อยละ 14.9 โดยหดตัวในตลาดเอเชียใต้ร้อยละ 25.9 ตะวันออกกลาง ร้อยละ 16.7 แอฟริกา ร้อยละ 26.9 ลาตินอเมริกา ร้อยละ 9.4 แต่ขยายตัวในตลาดทวีปออสเตรเลีย ร้อยละ 4.4 ตลาดรัสเซียและกลุ่ม CIS ร้อยละ 155.4 และ สหราชอาณาจักร ร้อยละ 49.0 (3) ตลาดอื่นๆ ขยายตัวร้อยละ 72.2 อาทิ สวิตเซอร์แลนด์ ขยายตัวร้อยละ 77.9
2. มาตรการส่งเสริมการส่งออกและแนวโน้มการส่งออกระยะต่อไป
การส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการเชิงรุกและลึก เพื่อผลักดันและอำนวยความสะดวกการส่งออก โดยการดำเนินงานที่สำคัญในรอบเดือนที่ผ่านมา อาทิ (1) การดำเนินงานตามมาตรการบริหารจัดการผลไม้เชิงรุก ปี 2566 เร่งระบายผลผลิตจากแหล่งผลิตออกสู่ตลาดอย่างรวดเร็ว และรักษาราคาผลไม้ในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดในปริมาณมาก ด้วยโครงการ “อมก๋อยโมเดล” และโครงการ“Fruit Festival 2023” รวมถึงติดตามสถานการณ์ส่งออกผลไม้ผ่านด่านชายแดนทางบกเข้าสู่จีนผ่านด่านโหยวอี้กวนและด่านโมฮานของจีน (2) การนำคณะผู้ส่งออกไทยเข้าร่วมงานแสดงสินค้าเพื่อขยายตลาด โดยนำคณะนักธุรกิจไทยเข้าร่วมงาน Top Thai Brands Hainan 2023 ที่มณฑลไห่หนานของจีน ซึ่งได้นำกลุ่มสินค้าไลฟ์สไตล์รวมจัดแสดงในงาน ได้แก่ เครื่องสำอาง ของใช้ส่วนตัว ยา เฟอร์นิเจอร์ กระเป๋า รองเท้า ผลิตภัณฑ์หนัง ของขวัญและของตกแต่ง สินค้าหัตถกรรม เสื้อผ้าแฟชั่น อัญมณีและเครื่องประดับเงิน เป็นต้น (3) ผลักดันตลาดส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง กระทรวงพาณิชย์ได้จัดประชุมมอบนโยบายปฏิบัติงานแก่ทูตพาณิชย์จากทั่วโลก ร่วมกับพาณิชย์จังหวัด และผู้แทนภาคเอกชน เพื่อจัดทำแผนขับเคลื่อนการส่งออก โดยจะเพิ่มกิจกรรมเจาะตลาดเป้าหมาย 350 กิจกรรม ใน 7 ภูมิภาค ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มมูลค่าการส่งออกได้กว่า 550 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 19,250 ล้านบาท นอกจากนี้ จะร่วมมือกับภาคเอกชน ตั้งคณะทำงานเป็นรายกลุ่มคลัสเตอร์ หรือกลุ่มสินค้า เพื่อประเมินการส่งออก หามาตรการรองรับ และแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดมากยิ่งขึ้น โดยยังยืนยันเป้าหมายการส่งออกที่ร้อยละ 1 – 2 ซึ่งเป็นเป้าหมายการทำงานที่มีความท้าทายและเป็นไปได้
แนวโน้มการส่งออกระยะถัดไป กระทรวงพาณิชย์ ประเมินว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังคงในภาวะชะลอตัว อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอลงแต่ยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้หลายประเทศยังคงใช้นโยบายการเงินอย่างเข้มงวด ขณะที่มีความเสี่ยงจากปัจจัยอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ปัญหาวิกฤตการเงินของธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐฯ และยุโรป และปัญหาเพดานหนี้ของสหรัฐฯ สร้างความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ การฟื้นตัวของตลาดจีนที่เกิดขึ้นในช่วง 1 – 2 เดือนที่ผ่านมา เป็นสัญญาณบวกต่อการส่งออกของไทย ขณะที่ปัญหาความมั่นคงทางอาหารเกิดขึ้นในหลายประเทศที่ประสบปัญหาภัยแล้งจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นปัจจัยบวกต่อการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยในปีนี้
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) 27 มิถุนายน 2566
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
A6881