รายงานสรุปผลการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ ประจำปี 2565
- Details
- Category: มติ ครม.
- Published: Wednesday, 24 May 2023 23:29
- Hits: 1433
รายงานสรุปผลการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ ประจำปี 2565
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอรายงานสรุปผลการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ ประจำปี 2565 ซึ่งที่ประชุมร่วมประธานกรรมการปฏิรูปประเทศทุกคณะได้เห็นชอบแล้ว เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2566 (เป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2560 มาตรา 25 วรรคสอง ที่บัญญัติให้ สศช. จัดทำรายงานสรุปผลการดำเนินการประจำปีเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ) สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
1. ผลการดำเนินการของแผนการปฏิรูปประเทศ 13 ด้าน สรุปได้ ดังนี้
ด้าน |
ผลสัมฤทธิ์ (เช่น) |
|
(1) การเมือง |
1) เปิดโอกาสให้ประชาชนและภาคส่วนต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการนโยบายสาธารณะทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น 2) ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร สร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองผ่านสื่อต่างๆ 725 ครั้ง 3) จัดกิจกรรมเพื่อสร้างเครือข่าย เช่น ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาระบบประชาธิปไตยตำบล 4) ดำเนินโครงการขับเคลื่อนการสร้างความสามัคคีปรองดองสมานฉันท์เพื่อให้ได้ข้อเสนอแนะมาตรการ แนวทางการดำเนินการ กลไก และมาตรการในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของประชานชนและขจัดความขัดแย้งทางการเมือง |
|
(2) การบริหารราชการแผ่นดิน |
1) พัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการเข้ารับการบริการของรัฐ เช่น SmartLands เพื่อเป็นช่องทางการใช้บริการต่างๆ ของกรมที่ดิน และ DLT Smart Queue เพื่อใช้จองคิวอัตโนมัติในการต่อทะเบียนยานพาหนะและทำใบขับขี่ของกรมการขนส่งทางบก 2) จัดตั้งสถาบันพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัลภาครัฐเพื่อพัฒนาศักยภาพด้านทักษะดิจิทัลและเตรียมความพร้อมให้แก่บุคลากรภาครัฐ และนำความรู้ไปปรับปรุงการให้บริการประชาชนให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว โปร่งใส และตรวจสอบได้ 3) พัฒนาต้นแบบระบบติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และความคุ้มค่าของส่วนราชการเพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์และความคุ้มค่าของส่วนราชการ |
|
(3) กฎหมาย |
1) ผลักดันให้มีกลไกการออกกฎหมายเป็นกฎหมายที่ดีและเท่าที่จำเป็น รวมทั้งให้มีกลไกในการทบทวนกฎหมาย โดยมีการตราพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 2) ทบทวนกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ และกระบวนงานที่เกี่ยวกับการอนุญาตอาชีพ เพื่อลดขั้นตอนการดำเนินการและการอนุญาตที่ไม่จำเป็นหรือเป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพและการดำเนินธุรกิจของประชาชน โดยมีกฎหมายและกระบวนงานที่ควรทบทวน ปรับปรุง หรือยกเลิก จำนวน 1,094 กระบวนงาน 3) พัฒนาระบบกลางทางกฎหมาย เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลกฎหมายของประเทศและเป็นช่องทางสำหรับรับฟังความคิดเห็นและประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับจัดทำกฎหมายหรือร่างกฎหมายเพื่อให้ประชาชนและภาคส่วนต่างๆ มีส่วนร่วม |
|
(4) กระบวนการยุติธรรม |
1) จัดทำกฎหมาย ได้แก่ พระราชบัญญัติกำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. 2565 เพื่อกำหนดระยะเวลาการดำเนินงานของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องแจ้งขั้นตอนและระยะเวลาในการดำเนินการแก่สาธารณชน และทบทวนความเหมาะสมของระยะเวลาของกระบวนการยุติธรรมทุกๆ 3 ปี และพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 เพื่อให้การบริหารงานบุคคลของข้าราชการตำรวจเป็นไปตามระบบคุณธรรม มีมาตรการป้องกันไม่ให้ผู้ใดใช้อำนาจหรือกระทำการโดยมิชอบ รวมทั้งให้ข้าราชการตำรวจสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยอิสระและอยู่ในจริยธรรม 2) จัดตั้งศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข โดยให้บริการผ่านทาง http://mind.moj.go.th และแอปพลิเคชัน JusticeCare ซึ่งสามารถยื่นคำร้อง เช่น ปรึกษากฎหมาย ร้องเรียน/แจ้งเบาะแส ขอรับเงินช่วยเหลือกองทุนยุติธรรม และขอรับการคุ้มครองพยานในคดีอาญา |
|
(5) เศรษฐกิจ |
1) ปรับเปลี่ยนพื้นที่จากการทำการเกษตรมูลค่าต่ำไปสู่การปลูกพืช เลี้ยงปศุสัตว์และประมงที่มีมูลค่าสูง จำนวน 2,045 แปลง และพัฒนาที่ดินเพื่อสนับสนุนการปรับเปลี่ยนการผลิตในพื้นที่ไม่เหมาะสม จำนวน 67,290 ไร่ 2) กำหนดนโยบายและมาตรการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญ/นักลงทุนต่างชาติเข้ามาในไทยและอำนวยความสะดวกให้แก่ธุรกิจการเงิน การประกันภัย เช่น ทบทวนคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขสำหรับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ 3) เพิ่มโอกาสทางการค้ากับภาครัฐ โดยส่งเสริมผู้ประกอบการให้เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และส่งเสริมให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ในการดำเนินธุรกิจ |
|
(6)ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม |
1) จัดทำผังน้ำ เพื่อให้มีฐานข้อมูลผังน้ำเป็นมาตรฐานเดียวกันเพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการที่ดินในเขตผังน้ำไม่ให้กีดขวางทางน้ำและสามารถระบายน้ำได้ โดยได้ดำเนินการแล้วจำนวน 14 ลุ่มน้ำ และคาดว่าจะดำเนินการได้แล้วเสร็จทั้ง 22 ลุ่มน้ำ ภายในปี 2567 2) แก้ไขปัญหาการบุกรุกในพื้นที่ป่าสงวนและพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องผ่านการใช้ระบบลาดตระเวนเชิงคุณภาพเพื่อช่วยวางแผนป้องกันและปราบปรามเหตุไฟป่า ปัญหาการลักลอบล่าสัตว์ และการลักลอบตัดไม้ 3) จัดทำแผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะของประเทศ (พ.ศ. 2566-2570) เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขมลพิษจากขยะที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชน 4) จัดทำแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองเพื่อแก้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดต่างๆ 5) จัดทำคลังข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพ โดยรวบรวมชนิดพันธุ์พืช สัตว์และจุลินทรีย์ รวมทั้งสิ้น 39,111 ชนิด เพื่อเป็นศูนย์ข้อมูลกลางด้านความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ |
|
(7) สาธารณสุข |
1) บริการการแพทย์ฉุกเฉินภาครัฐ โดยปรับหลักเกณฑ์ แนวทาง และเงื่อนไขการจ่ายชดเชยบริการฉุกเฉินคุณภาพเพื่อเพิ่มคุณภาพมาตรฐานบริการและการเข้าถึงสำหรับประชาชน 2) สร้างระบบฐานข้อมูลระดับประเทศด้านการคัดกรองสุขภาพของผู้สูงอายุและระบบข้อมูลกลางของผู้สูงอายุตามระดับการพึ่งพิง โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 มีผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่ได้รับการดูแล จำนวน 354,324 คน คิดเป็นร้อยละ 92.78 จากจำนวนทั้งหมด 381,902 คน 3) จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (Emergency Operations Center: EOC) ใน 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร รวมทั้งพัฒนา Web EOC เพื่อรองรับการสั่งการในภาวะฉุกเฉินและเป็นศูนย์ข้อมูลสำหรับศูนย์ EOC ทั่วประเทศ 4) บริหารอัตรากำลังคนที่ตอบสนองการให้บริการประชาชนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มการเข้าถึงบริการของประชาชนในพื้นที่ |
|
(8) สื่อสารมวลชนเทคโนโลยีสารสนเทศ |
1) ดำเนินโครงการศูนย์ประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอม เพื่อตรวจสอบเฝ้าระวัง และป้องกันข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่ในอินเตอร์เน็ต รวมถึงชี้แจงทำความเข้าใจและเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องให้กับประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2) จัดอบรมหลักสูตรต่างๆ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลและสารสนเทศที่มีคุณภาพได้อย่างมีแบบแผน เช่น พื้นฐานการเข้าใจดิจิทัล การพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลและดิจิทัลเพื่อทักษะการใช้ชีวิตอัจฉริยะ 3) จัดตั้งศูนย์ประสานงานการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อกำกับดูแลสื่อออนไลน์เพื่อให้ประชาชนได้รับความปลอดภัยและได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์และถูกต้อง |
|
(9) สังคม |
1) สร้างมูลค่าที่ดินที่รัฐจัดให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบางที่เป็นกลุ่มเกษตรกรเพื่อให้เกิดแนวทางการบริหารจัดการที่ดินแก่เกษตรกรรายย่อยและผู้ด้อยโอกาสและแนวทางการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรและประชาชน 2) ขึ้นทะเบียนคนพิการเพื่อให้ได้รับสิทธิสวัสดิการและความช่วยเหลือได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง โดยจัดตั้งศูนย์บริการคนพิการแบบเบ็ดเสร็จ ณ โรงพยาบาล เพื่อให้บริการออกบัตรประจำตัวคนพิการ ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกและลดข้อจำกัดในการเข้าถึงการออกบัตรประจำตัวคนพิการ รวมทั้งมีการพัฒนาให้สามารถใช้บัตรประจำตัวคนพิการผ่านแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือได้ด้วย 3) พัฒนาระบบการสร้างหลักประกันด้านรายได้ในยามชราภาพให้ครอบคลุมกลุ่มแรงงานทั้งในและนอกระบบ เช่น สร้างแรงจูงใจให้แรงงานนอกระบบเข้าสู่ระบบการออมผ่านการเป็นสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ และปรับปรุงพัฒนาสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ประกันตนภายใต้มาตรา 40 ให้ได้รับสิทธิเพิ่มมากขึ้น |
|
(10) พลังงาน |
1) ปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ เช่น สำรวจและปรับปรุงการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าในระยะยาว และเพิ่มกลไกการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดโดยจัดทำกรอบอัตราค่าไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด 2) ขจัดอุปสรรคการลงทุนในกิจการพลังงาน เช่น ลดขั้นตอนและระยะเวลาในการอนุมัติอนุญาต การประกอบกิจการไฟฟ้า และพัฒนารูปแบบการกำกับดูแลทางด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยของประชาชน 3) จัดตั้งศูนย์สารสนเทศพลังงานแห่งชาติเพื่อเผยแพร่ข้อมูลสถานการณ์การใช้และการผลิตพลังงานไฟฟ้า โครงสร้างราคาน้ำมัน อัตราค่าไฟฟ้า และราคาก๊าซ LPG โดยพัฒนาระบบบริหารจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อประกอบการวางแผนการลงทุนของเอกชน ส่งเสริมการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียน และเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน |
|
(11) การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ |
1) จัดทำช่องทางการแจ้งเบาะแสและระบบปกปิดตัวตนผ่านทางเว็บไซต์ และสามารถติดตามสถานะการดำเนินการได้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการเก็บรักษาความลับและความปลอดภัยของผู้แจ้งเบาะแส 2) กำหนดมาตรการให้ทุกหน่วยงานภาครัฐที่มีโครงการซึ่งมีงบประมาณการดำเนินโครงการมากกว่า 500 ล้านบาท หรือเป็นโครงการที่มีผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงในวงกว้าง เป็นไปตามเกณฑ์การประเมินความเสี่ยงต่อการทุจริตเชิงนโยบายที่กำหนด จะต้องทำการประเมินความเสี่ยงต่อการทุจริตของโครงการ 3) สร้างเครือข่ายภาคประชาชนการป้องกันและต่อต้านการทุจริตในระดับพื้นที่ใน 17 จังหวัด โดยมีการจัดเวทีสัมมนาในการสร้างการรับรู้ร่วมกัน และเพื่อให้เกิดกลไกการประชุมของเครือข่ายระดับพื้นที่จังหวัดและตำบลอย่างต่อเนื่องในพื้นที่เป้าหมาย |
|
(12) การศึกษา |
1) ช่วยเหลือเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา จำนวน 7,142 คน ให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา/พัฒนาทักษะอาชีพ เพื่อสร้างความเสมอภาคและลดความเลื่อมล้ำทางการศึกษา 2) เสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา เช่น การพัฒนาทักษะการจัดการเรียนการสอน การพัฒนาสมรรถนะตามความเชี่ยวชาญ/บริบทในพื้นที่และการพัฒนาทักษะการออกแบบการเรียนรู้ 3) ขับเคลื่อนรูปแบบการประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนทุกระดับที่เน้นการปฏิบัติและการพัฒนาการเรียนรู้ ผ่านโครงการพัฒนาระบบการวัดประเมินผลเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนและสร้างสมรรถนะการแข่งขันในศตวรรษที่ 21 |
|
(13) วัฒนธรรม กีฬา แรงงาน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ |
1) พัฒนาดัชนีชี้วัดคุณธรรม เพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับประเมินคุณธรรมของคนไทยช่วงวัยทำงาน 5 ด้านได้แก่ พอเพียง วินัยรับผิดชอบ สุจริต จิตอาสาและกตัญญู เพื่อนำไปใช้สำรวจสถานการณ์คุณธรรมของคนไทย และนำข้อมูลที่ได้ไปออกแบบกระบวนการส่งเสริมคุณธรรมในช่วงวัยต่างๆ ต่อไป 2) พัฒนาพื้นที่ที่มีศักยภาพให้เป็นเมืองสร้างสรรค์และวัฒนธรรม ซึ่งจะช่วยสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่คนในสังคม เช่น การพัฒนาศักยภาพของชุมชนสู่การเป็นเมืองแห่งศิลปะและการพัฒนาย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ 3) สร้างแรงจูงใจและกระแสความตื่นตัวเรื่องการออกกำลังกาย โดยส่งเสริมการออกกำลังกายและการเล่นกีฬาผ่านการจัดกิจกรรรมกีฬาและการแข่งขันกีฬาภายใต้ความปกติใหม่ (New Normal) ซึ่งมุ่งเน้นการออกกำลังกายโดยมีชุมชนเป็นฐานและการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล 4) จัดให้มีพื้นที่การเรียนรู้สำหรับคนทุกช่วงวัยเพื่อสร้างบรรยากาศของสังคมแห่งการเรียนรู้ เช่น แอปพลิเคชัน TK Read ห้องสมุดออนไลน์เพื่อให้ประชาชนสามารถยืมอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Books) โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย |
2. ประเด็นท้าทายของการปฏิรูปประเทศ เช่น ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน เช่นการลดบทบาทภารกิจของภาครัฐให้เหลือเท่าที่จำเป็นและปรับโอนภารกิจให้ภาคส่วนอื่นๆ การวางแนวทางกำหนดขนาดอัตรากำลังคนภาครัฐให้เหมาะสม และการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารราชการเชิงพื้นที่เพื่อขับเคลื่อนประเด็นนโยบายที่สำคัญ ด้านเศรษฐกิจ เช่น การพัฒนากำลังคนให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน การใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมเพื่อสร้างมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร และการส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งทุนของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น การจัดสรรที่ดินทำกินด้วยวิธีการที่เหมาะสมและเป็นธรรม และการผลักดันการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านสาธารณสุข เช่นการจัดระบบบริการสาธารณสุขและความคุ้มครองทางสังคมที่ครอบคลุมประชากรทุกกลุ่ม การพัฒนาการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลและประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ และการผลักดันระบบบริการสุขภาพผู้สูงอายุ และด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เช่น การปรับกระบวนการแจ้งเบาะแสการทุจริตเข้าสู่ระบบดิจิทัลที่ได้มาตรฐานสากลและประชาชนสามารถเข้าถึงช่องทางการแจ้งเบาะแสได้โดยสะดวกปลอดภัย และการปรับปรุงกระบวนการปราบปรามการทุจริตที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
3. การดำเนินการต่อไปเพื่อให้ผลสัมฤทธิ์มีความยั่งยืน หลังจากสิ้นสุดการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2565 โดยมีผลลัพธ์จากการปฏิรูปประเทศที่ส่งผลให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ในทุกด้านแล้วนั้น หน่วยงานของรัฐยังจำเป็นต้องดำเนินการปฏิรูปประเทศอย่างต่อเนื่องผ่านกลไกของแผนระดับที่ 2 แผนระดับที่ 3 และการดำเนินการต่างๆ ซึ่งประเด็นปฏิรูปประเทศทั้ง 13 ด้าน มีความเชื่อมโยงกับแผนแม่บทย่อยของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2566-2580) (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566-2570) และนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2566-2570) โดยหน่วยงานของรัฐสามารถใช้เป็นกรอบในการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องต่อไป ทั้งนี้ เพื่อให้การขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศในระยะต่อไปเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรม หน่วยงานของรัฐจำเป็นต้องให้ความสำคัญในการประยุกต์ใช้หลักการวงจรบริหารงานคุณภาพ (Plan do check Act: PDCA) เพื่อให้เกิดการปรับปรุงและพัฒนาตลอดกระบวนการอย่างต่อเนื่อง
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) 23 พฤษภาคม 2566
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
A5996