WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

มาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 2565/2566 และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 2566

1aaaD

มาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 2565/2566 และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 2566

          คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบมาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 2565/2566 และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 2566 และมอบหมายหน่วยงานดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว โดยรายงานให้ กนช. ทราบ พร้อมทั้งสรุปผลการดำเนินงานรายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป

          สาระสำคัญของเรื่อง

          กนช. รายงานว่า

          1. ตามปฏิทินการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่หน่วยงานใช้เป็นกรอบในการปฏิบัติงาน แบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงฤดูแล้ง เริ่มวันที่ 1 พฤศจิกายน สิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน ของปีถัดไป และช่วงฤดูฝน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม สิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปี (ยกเว้นพื้นที่ภาคใต้ฝั่งตะวันออก ช่วงฤดูแล้ง เริ่มวันที่ 1 มีนาคม สิ้นสุดวันที่ 31 สิงหาคม ของทุกปีและช่วงฤดูฝน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน สิ้นสุดวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ของทุกปี) โดยในช่วงฤดูแล้งได้ดำเนินการตามกรอบการวางแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ฤดูแล้ง ปี 2565/2566 ดังนี้ (1) คาดการณ์ปริมาณน้ำต้นทุน1 วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 แผนการจัดสรรน้ำและความต้องการใช้น้ำรายกิจกรรมในเขตชลประทานและนอกเขตชลประทาน พร้อมทั้งจัดหาแหล่งน้ำสำรองทั้งแหล่งน้ำผิวดินและใต้ดิน (2) คาดการณ์แผนการใช้น้ำรายเดือนตามกิจกรรม (อุปโภคบริโภค เกษตร รักษาระบบนิเวศ และอุตสาหกรรม) ให้เพียงพอต่อปริมาณน้ำต้นทุน (3) คาดการณ์พื้นที่เพาะปลูกพืชในเขตชลประทานและนอกเขตชลประทานให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำตันทุน (4) ประเมินพื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงขาดแคลนน้ำ แบ่งเป็นพื้นที่อุปโภคบริโภค (ในเขต/นอกเขตพื้นที่ให้บริการประปานครหลวง/ภูมิภาค) พื้นที่เกษตรกรรม [นารอบที่ 2 (นาปรัง)/ไม้ผลที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ] และพื้นที่เฝ้าระวังคุณภาพน้ำ และ (5) ส่งเสริมความเข้มแข็งการบริหารจัดการน้ำชุมชน

 

AXA 720 x100

 

          2. สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้บูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดมาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 2565/2566 จำนวน 3 ด้าน 10 มาตรการ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะจะเกิดขึ้นได้ทันต่อสถานการณ์ และจัดทำโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วงปี 2566 ด้วย ซึ่ง กนช. ในการประชุมครั้งที่ 3/2565 เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2565 ได้มีมติเห็นชอบมาตรการและโครงการดังกล่าวแล้วและให้เสนอคณะรัฐมนตรี โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้

                 2.1 มาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 2565/2566 จำนวน 3 ด้าน 10 มาตรการ ดังนี้

 

การดำเนินการ

 

หน่วยงานที่รับผิดชอบ

ด้านน้ำต้นทุน (Supply)

มาตรการที่ 1 เร่งเก็บกักน้ำในแหล่งน้ำทุกประเภท (ภายในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2565)

(1) เร่งเก็บน้ำ/สูบทอยน้ำ2 ส่วนเกินในช่วงปลายฤดูฝนไว้ใช้ในฤดูแล้ง

(2) บริหารจัดการอ่างเก็บน้ำ/แหล่งน้ำตามเกณฑ์ปฏิบัติการอ่างเก็บน้ำ

หรือเต็มศักยภาพเก็บกัก

 

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) 

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) 

กระทรวงพลังงาน (พน.) 

กระทรวงมหาดไทย (มท.)

มาตรการที่ 2 เฝ้าระวังและเตรียมจัดหาแหล่งน้ำสำรอง พร้อมวางแผนเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือ ในพื้นที่ เฝ้าระวังเสี่ยงขาดแคลนน้ำ (ก่อนและตลอดฤดูแล้ง)

(1) คาดการณ์ชี้เป้าพื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคการเกษตรและคุณภาพน้ำ (ช่วงก่อนและระหว่างฤดูแล้ง) พร้อมทั้งติดตามเฝ้าระวัง และประเมินสถานการณ์ตลอดฤดูแล้ง

(2) สำรวจ ตรวจสอบ พื้นที่แหล่งเก็บกักน้ำสำรอง และจัดทำแผนปฏิบัติการสำรองน้ำในพื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงขาดแคลนน้ำดิบเพื่ออุปโภคบริโภคและการเกษตร

(3) เตรียมความพร้อมเครื่องจักรเครื่องมือให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานและเข้าช่วยเหลือในพื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงขาดแคลนน้ำได้ทันสถานการณ์

 

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กษ. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทส. มท. และ สนทช.

มาตรการที่ 3 ปฏิบัติการเติมน้ำ (ก่อนและตลอดฤดูแล้ง)

(1) จัดทำแผนปฏิบัติการฝนหลวงรองรับพื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงขาดแคลนน้ำ

และปฏิบัติการเติมน้ำให้กับแหล่งน้ำ พื้นที่เกษตรและพื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยง

ขาดแคลนน้ำตามสภาพอากาศที่เหมาะสม

(2) จัดทำเผนปฏิบัติการและปฏิบัติการเติมน้ำใต้ดินในพื้นที่ที่มีศักยภาพ

(ดำเนินการช่วงปลายฤดูฝนถึงต้นฤดูแล้ง)

 

กษ. และ ทส.

ด้านความต้องการใช้น้ำ (Demand)

มาตรการที่ 4 กำหนดแผนจัดสรรน้ำและพื้นที่เพาะปลูกพืชฤดูแล้ง (ก่อนและตลอดฤดูแล้ง)

(1) กำหนดแผนการจัดสรรน้ำให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุนและแจ้งแผนให้ มท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

(2) กำหนดแผนเพาะปลูกพืชฤดูแล้งและขึ้นทะเบียนเกษตรกรโดยระบุพื้นที่คาดการณ์เพาะปลูก และแหล่งน้ำที่นำมาใช้ให้ชัดเจนในรูปแบบ แผนที่ เพื่อให้การเพาะปลูกสอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุนพร้อมทั้งกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขการเพาะปลูกพืชพื้นที่นอกแผนและพื้นที่ที่ไม่สามารถสนับสนุนน้ำเพื่อการเพาะปลูกได้

(3) ควบคุมการใช้น้ำของพื้นที่ลุ่มน้ำตอนบนให้เป็นไปตามแผนและ มีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบการขาดแคลนน้ำด้านอุปโภคบริโภคของพื้นที่ลุ่มน้ำตอนล่างและมอบหมาย มท. ร่วมกับ กษ. และ ทส. สร้างการรับรู้กับประชาชนในพื้นที่เพื่อควบคุม การส่งน้ำให้ตรงตามวัตถุประสงค์

(4) สำรวจ ตรวจสอบ คันคลอง เขื่อนป้องกันตลิ่ง ถนนที่เชื่อมต่อกับทางน้ำในพื้นที่ที่อาจจะเกิดการทรุดตัวเนื่องจากระดับน้ำในทางน้ำที่อาจจะลดต่ำกว่าปกติ

 

อว. กษ. กระทรวงคมนาคม ทส. พน. และ มท.

มาตรการที่ 5 เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำภาคการเกษตร (ก่อนและตลอดฤดูแล้ง)

(1) สนับสนุนข้อมูลทางวิชาการ ถ่ายทอด เผยแพร่ผลการวิจัยและพัฒนา

เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ นำไปใช้ประโยชน์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำภาคการเกษตร

(2) ส่งเสริมการปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกพืชเพื่อลดการใช้น้ำและเพิ่มรายได้ในพื้นที่นำร่อง เช่น ปลูกพืชใช้น้ำน้อย และปรับปรุงระบบการให้น้ำพืช นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการน้ำพร้อมจัดทำแผนการปรับเปลี่ยนปลูกพืชใช้น้ำน้อยภายในเดือนตุลาคม 2565

 

อว. กษ. และ สทนช.

มาตรการที่ 6 เตรียมน้ำสำรองสำหรับพื้นที่ลุ่มต่ำรับน้ำนอง (ระหว่างฤดูแล้ง)

(1) เตรียมน้ำสำรองสำหรับพื้นที่ลุ่มต่ำรับน้ำนอง โดยการสนับสนุนจัดสรรน้ำเตรียมแปลงเพาะปลูกนารอบที่ 1 (นาปี)

(2) จัดทำแผนการรับน้ำเข้า-ออกพื้นที่ลุ่มต่ำในการเพาะปลูกพืชและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

 

กษ. และ มท.

มาตรการที่ เฝ้าระวังคุณภาพน้ำ (ตลอดฤดูแล้ง)

เฝ้าระวัง ตรวจวัด และควบคุมคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายหลัก แม่น้ำ สายรอง รวมถึงแหล่งน้ำที่รับน้ำจากภาคอุตสาหกรรม การเกษตร และชุมชนรวมทั้งเตรียมแผนปฏิบัติการรองรับกรณีเกิดปัญหาและแจ้งเตือนพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบ

 

กษ. ทส. มท. และกระทรวงอุตสาหกรรม

ด้านการบริหารจัดการ (Management)

มาตรการที่ 8 เสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการบริหารจัดการน้ำของชุมชน (ตลอดฤดูแล้ง)

เสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการบริหารจัดการน้ำของชุมชนที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ โดยสร้างความรู้ ความเข้าใจในการวางแผนการใช้น้ำจากแหล่งน้ำที่มีอยู่ การเตรียมจัดหาน้ำสำรองและการกักเก็บให้มีน้ำเพียงพอสำหรับอุปโภคบริโภค/หรือการเกษตรตลอดฤดูแล้ง รวมทั้งพัฒนา/เพิ่มประสิทธิภาพแหล่งน้ำชุมชน

 

อว. กษ. ทส. มท. สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) (มูลนิธิปิดทองหลังพระสืบสานแนวพระราชดำริ) และ สนทช.

มาตรการที่ 9 สร้างการรับรู้ประชาสัมพันธ์ (ก่อนและตลอดฤดูแล้ง)

สร้างการรับรู้ ประชาสัมพันธ์สถานการณ์และแผนบริหารจัดการน้ำเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการใช้น้ำอย่างประหยัดและเป็นไปตามแผนที่กำหนด

 

มท. สปน. (กรมประชาสัมพันธ์) สนทช. สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

มาตรการที่ 10 ติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน (ตลอดและหลังจากสิ้นสุดฤดูแล้ง)

(1) ติดตามผลการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผน รายงานผลการให้ความช่วยเหลือ และหากพบการขาดแคลนน้ำหรือภัยแล้งให้รายงานมายัง กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ และ กนช.

(2) ประเมินผลการดำเนินงานตามมาตรการ พร้อมสรุปบทเรียน

 

มท. สทนช.และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

 

วิริยะ 720x100

 

                 2.2 การจัดทำโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 2566

 

หัวข้อ

รายละเอียด

วัตถุประสงค์

(1) เพื่อแก้ไขปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากสถานการณ์ขาดแคลนน้ำหรือเสี่ยงภัยแล้ง

(2) เพื่อส่งเสริมให้เกิดการสร้างอาชีพ รายได้ และการจ้างแรงงานให้กับประชาชนหรือ ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้ง

(3) เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ

พื้นที่เป้าหมาย

พื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ หรือพื้นที่เสี่ยงภัยตามที่ สทนช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดในพื้นที่ทั่วประเทศ หรือจำเป็นต้องเร่งรัดดำเนินการเพื่อแก้ไขและบรรเทาปัญหาโดยเร่งด่วน โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องจัดทำแผนปฏิบัติการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการตามมาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 2565/2566 เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณ

ระยะเวลาดำเนินการ

120 วัน นับตั้งแต่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ

กิจกรรมและ

ประเภทโครงการ

แบ่งเป็น 5 ประเภท เพื่อรวบรวม จำแนก วิเคราะห์ กลั่นกรองแผนงาน/โครงการให้สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินงานในแต่ละประเภท ดังนี้

 

กลุ่มประเภท

 

รายละเอียด

1. การซ่อมแซมอาคารชลศาสตร์

 

เป็นงานช่อมแซมอาคารชลศาสตร์ที่ชำรุดเสียหายจากการใช้งานหรือการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ การควบคุมการระบายน้ำและการเก็บกักน้ำให้สามารถใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์เดิมของโครงการ เช่น ซ่อมแซมพนังกั้นน้ำ คันกั้นน้ำ ประตูระบายน้ำ คลองส่งระบายน้ำ/อาคารบังคับน้ำ และฝาย

2. การปรับปรุงอาคารชลศาสตร์

 

เป็นการปรับปรุงอาคารชลศาสตร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพจากเดิมให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงและเหมาะสมกับสภาพการใช้งานในปัจจุบัน เช่น ปรับปรุงอาคารระบายน้ำล้น คลองส่ง/ระบายน้ำ ประตูระบายน้ำ และฝายเพื่อเพิ่มพื้นที่รับประโยชน์

3. การสร้างความมั่นคงด้านน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค

 

เป็นงานที่ดำเนินการเพื่อการอุปโภคบริโภคให้แก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ เช่น ก่อสร้างบ่อน้ำบาดาล ปรับปรุงบ่อน้ำบาดาล ก่อสร้างระบบประปา ปรับปรุงคุณภาพน้ำประปา ก่อสร้างแหล่งกักเก็บน้ำสำรองเพื่อการอุปโภคบริโภค และการปรับปรุงคุณภาพน้ำแหล่งน้ำต้นทุน

4. การเพิ่มน้ำต้นทุนเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้ง

 

เป็นงานที่ดำเนินการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้แก่พื้นที่เสี่ยง

ขาดแคลนน้ำหรือพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อให้มีความมั่นคงด้านน้ำมากขึ้น เช่น งานขุดลอกคลอง งานขุดลอกสระ งานก่อสร้างแหล่งน้ำใหม่เพื่อการเกษตร งานระบบส่งน้ำและระบบกระจายน้ำเพื่อการเกษตร งานบ่อน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรฝนหลวง และการก่อสร้างฝาย

5. การเตรียมความพร้อมเครื่องมือเครื่องจักร

 

เป็นการซ่อมแซมบำรุงรักษาเครื่องมือเครื่องจักรที่มีอยู่เดิมให้พร้อมใช้งานได้ทันต่อสถานการณ์ เช่น ซ่อมแซมเครื่องสูบน้ำ

 

 

หมายเหตุ : สนทช. จะไม่พิจารณาแผนงานโครงการที่ไม่เกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เช่น งานด้านซ่อม/ปรับปรุงถนน สะพาน หรืออาคารสิ่งปลูกสร้างบ้านที่พักอาศัย/สำนักงานและงานปรับปรุงภูมิทัศน์

___________________

1น้ำต้นทุน ถือเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินชีวิตของคนทั้งประเทศ ซึ่งเป็นน้ำที่นำมาจัดสรรใช้ในกิจกรรมต่างๆ ทั้งอุปโภคบริโภค การทำเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และรักษาระบบนิเวศ ทั้งนี้ กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหน่วยงานหลักในการกักเก็บน้ำและบริหารจัดการต้นทุนให้เกิดประสิทธิภาพและเพียงพอต่อความต้องการในแต่ละกิจกรรม โดยการวางแผนการบริหารน้ำต้นทุนในช่วงฤดูฝน และสำรองไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งเป็นประจำในทุกๆ ปี เพื่อให้เกิคความสมดุล

2 สูบทอยน้ำเป็นการสูบน้ำเป็นทอดๆ จากแหล่งน้ำไปสู่พื้นที่เป้าหมาย เช่น แหล่งน้ำอยู่ห่างจากพื้นที่เป้าหมายประมาณ 10 กิโลเมตร ทำให้ต้องสูบน้ำมาไว้ที่แหล่งน้ำแห่งหนึ่งที่ระยะทาง 5 กิโลเมตร ก่อนสูบน้ำต่อจากแหล่งน้ำนั้นไปพื้นที่เป้าหมายได้ ซึ่งการดำเนินการสูบทอยน้ำเกิดจากอุปสรรค 2 ส่วน คือ (1) ประสิทธิภาพของเครื่องสูบน้ำ และ (2) ระยะทางของแหล่งน้ำไปสู่พื้นที่เป้าหมายที่มีระยะทางไกล

 

(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์  จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) 1 พฤศจิกายน 2565

สำนักโฆษก   สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396

 

A11125

Click Donate Support Web  

EXIM One 720x90 C J

aia 720 x100

PTG 720x100TU720x100sme 720x100

BANPU 720x100QIC 720x100

ธกส 720x100

ใจฟู720x100px

ais 720x100

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!