WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ข้อเสนอเพื่อกำหนดมาตรการสำคัญในการแก้ไขปัญหาอาวุธปืนและยาเสพติดที่เป็นรูปธรรม

GOV5 copy copy

ข้อเสนอเพื่อกำหนดมาตรการสำคัญในการแก้ไขปัญหาอาวุธปืนและยาเสพติดที่เป็นรูปธรรม

          คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการของมาตรการสำคัญในการแก้ไขปัญหาอาวุธปืนและยา เสพติดที่เป็นรูปธรรม ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ โดยให้ ยธ. รับความเห็นของที่ประชุมไปปรับมาตรการและหน่วยงานรับผิดชอบ และให้รายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีภายใน 3 เดือน

          สาระสำคัญและข้อเท็จจริง

          ในการประชุมเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2565 เพื่อพิจารณามาตรการสำคัญในการแก้ไขปัญหาอาวุธปืนและยาเสพติด มีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาอาวุธปืนและยาเสพติด โดยมีปลัดกระทรวงยุติธรรมทำหน้าที่เลขานุการ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบมาตรการสำคัญ 4 ประเด็นหลักที่ต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประซาชนในการแก้ไขปัญหาอาวุธปืนและยาเสพติดอย่างจริงจัง รวมทั้งเห็นควรกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการดำเนินการในแต่ละประเด็น สรุปได้ดังนี้

          1. มาตรการเกี่ยวกับอาวุธปืน

                 เนื่องจากการครอบครองอาวุธปืนในปัจจุบันมีปัญหาด้านอาวุธปืนเถื่อนซึ่งมีการซื้อขายกันอย่างเสรีและมีราคาถูก บนแพลตฟอร์มดิจิทัลและกลุ่มปิดในเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ควบคุมได้ยาก ส่งผลให้ประชาชนสามารถเข้าถึงอาวุธปืนได้มากขึ้นโดยไม่มีการตรวจสอบหรือคัดกรองที่เพียงพอ จึงเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งในการก่ออาชญากรรม ประกอบกับหน่วยงานของรัฐยังขาดการเชื่อมโยงฐานข้อมูล (แบบ .3 .4 และ .12) ระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายปกครอง ดังนั้น เพื่อให้การควบคุม ตรวจสอบ และพิสูจน์ทราบตัวบุคคลมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งสนับสนุนการวางแผนป้องกันเหตุ และสามารถทำการสืบสวนหลังเกิดเหตุได้อย่างรวดเร็ว จึงมีข้อเสนอมาตรการดังนี้

                 (1) การอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน

                          หน่วยงานรับผิดชอบหลัก กระทรวงมหาดไทย

                          (1.1) การเพิ่มเติมเอกสารใบรับรองแพทย์ ผู้ยื่นคำขออนุญาตมีและใช้อาวุธปืนต้องมีเอกสารใบรับรองแพทย์ประกอบคำขอซึ่งรับรองว่าผู้ยื่นคำขออนุญาตไม่เป็นบุคคลวิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือน หรือเป็นผู้มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่เหมาะสม

                          (1.2) การออกหนังสือรับรองจากหน่วยงานต้นสังกัดหรือนายจ้าง ผู้ยื่นคำขออนุญาตมีและใช้อาวุธปืนต้องมีหนังสือรับรองจากหน่วยงานต้นสังกัดหรือนายจ้างว่าเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติครบถ้วนถูกต้องตรงตามกฎหมาย รวมทั้งไม่มีพฤติการณ์ที่เป็นภัยต่อสังคม ไม่เป็นผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด จิตประสาทหลอน คลุ้มคลั่ง และควรมีมาตรการตรวจสอบทบทวนคุณสมบัติและประเมินสมรรถนะของผู้รับใบอนุญาตในทุกห้วงระยะเวลา 5 ปี หรือตามระยะเวลาที่เหมาะสม

                          (1.3) การตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขออนุญาต ให้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ยื่นคำขออนุญาตมีและใช้อาวุธปืน เช่น การตรวจสอบอาชีพ รายได้ พฤติกรรม ความเหมาะสมในด้าน อื่นๆ เพิ่มเติมจากการตรวจสอบประวัติการต้องโทษ เป็นต้น

                        (1.4) การเพิกถอนใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ในกรณีที่ตรวจสอบพบว่าผู้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิต มีพฤติกรรมที่เป็นภัยต่อสังคม หรือพกพาอาวุธปืนขณะเมาสุราหรือใช้ยาเสพติด จะต้องดำเนินการพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตดังกล่าวโดยไม่ชักช้า

                        (1.5) การเชื่อมโยงฐานข้อมูล ควรมีการเชื่อมโยงฐานข้อมูลแบบ .3 .4และ .12 ระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายปกครองเพื่อให้การควบคุม ตรวจสอบ พิสูจน์ทราบตัวบุคคลมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สามารถวางแผนป้องกันเหตุและสามารถทำการสืบสวนหลังเกิดเหตุได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการตรวจสอบเพื่อดำเนินการเพิกถอนใบอนุญาตของบุคคลที่พบว่าขาดคุณสมบัติภายหลังจากที่ได้รับใบอนุญาต

                 (2) การจัดการอาวุธปืนที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือที่มีกฎหมายห้ามออกใบอนุญาตหน่วยงานรับผิดชอบหลัก กระทรวงมหาดไทย

                        ให้พิจารณาเสนอแนวทางการกำหนดระยะเวลาผ่อนผันให้ผู้ครอบครองนำอาวุธปืนที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือที่มีกฎหมายห้ามออกใบอนุญาตมาส่งมอบให้แก่ภาครัฐ หรือนำมาขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย และเมื่อพ้นระยะเวลาดังกล่าวควรมีการกำหนดโทษให้หนักขึ้นสำหรับผู้กระทำผิดฐานครอบครองอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือที่มีกฎหมายห้ามออกใบอนุญาต หรือนำอาวุธปืนนั้นไปกระทำผิดกฎหมาย

 

AXA 720 x100

 

                 (3) การป้องกันและปราบปรามในเชิงรุก

                          หน่วยงานรับผิดชอบหลัก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

                          (3.1) การตรวจจับการค้าอาวุธปืนที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือที่มีกฎหมายห้ามออกใบอนุญาต ตัดวงจรการซื้อขายอาวุธปืนบนแพลตฟอร์มดิจิทัลและเครือข่ายสังคมออนไลน์หรือในตลาดมืด

                          (3.2) การวางแผนเฝ้าระวัง ตรวจสอบประวัติบุคคลเฝ้าระวังที่เกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพล มือปืน และมีพฤติการณ์ใช้อาวุธ รวมถึงข้อมูลเครือข่ายค้ายาเสพติดในพื้นที่และเครือข่ายข้างต้นเพื่อวางแผนปิดล้อมตรวจค้น สืบสวนจับกุมดำเนินคดี

                           (3.3) การทำลายเครือข่ายค้าอาวุธปืน ให้เร่งรัดการสืบสวน ติดตาม เก็บข้อมูลกลุ่มขบวนการทั้งหมดเพื่อวางแผนทำลายเครือข่าย

                          (3.4) การติดตามบุคคลที่มีพฤติการณ์เสี่ยง ประสานงานกับกรมสุขภาพจิตและโรงพยาบาลเกี่ยวกับบุคคลเฝ้าระวังและมีพฤติกรรมก่อความรุนแรง มีอาการป่วยทางจิต เพื่อดำเนินการให้มีการเพิกถอนใบอนุญาต

                          (3.5) การตั้งด่านตรวจ ให้มีการตั้งด่านตรวจค้นอาวุธปืนและยาเสพติด เพื่อเป็นการป้องปรามอย่างเข้มงวด

                 (4) มาตรการทางดิจิทัล

                          หน่วยงานรับผิดชอบหลัก กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

                          (4.1) การป้องกันการค้าอาวุธปืนบนแพลตฟอร์มดิจิทัลและเครือข่ายสังคมออนไลน์ ให้มีการปิดกั้นช่องทางขายอาวุธปืนทุกช่องทางทันทีที่ตรวจพบ และให้เรียกมาชี้แจงข้อมูลภายหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมีหนังสือแจ้ง

                          (4.2) การป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ไม่เหมาะสม ให้พิจารณาสกัดกั้นเว็บไซต์ ข่าว หรือคลิปที่ไม่เหมาะสมหรือผิดกฎหมาย เพื่อป้องกันประชาชนไม่ให้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีพฤติกรรมเลียนแบบ

          2. มาตรการด้านการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด

                  หน่วยงานรับผิดชอบหลัก กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรม

                  (1) การควบคุมสารเคมีที่นำไปใช้ผลิตยาเสพติด ควรมีการควบคุมการนำเข้าส่งออกวัตถุอันตรายหรือเคมีภัณฑ์ที่ใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติดที่เข้มงวดขึ้น อาทิ โซเดียมไซยาไนด์ (sodium cyanide) ซึ่งเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ภายใต้พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย .. 2535 โดยสารดังกล่าวปริมาณ 1 กิโลกรัม สามารถใช้ผลิตยาบ้าได้ 22,000 เม็ด หรือยาไอซ์ 0.44 กิโลกรัม ในปัจจุบันมีราคาซื้อขาย 100 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ ในปี .. 2565 มีการขออนุญาตเกี่ยวกับการนำเข้าส่งออกโซเดียมไซยาไนด์ จำนวน 1,156.80 ตัน และส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้าน จำนวน 810 ตัน ซึ่งปริมาณดังกล่าว หากใช้ผลิตยาบ้าจะได้จำนวน 16,060 ล้านเม็ด และหากผลิตไอซ์จะได้จำนวน 359,640 กิโลกรัม

                 (2) การทำลายเครือข่ายนักค้ายาเสพติด และยึดอายัดทรัพย์สิน ให้สำนักงาน ... ดำเนินการสืบสวนขยายผล ทำลายเครือข่ายนักค้ายาเสพติด และยึดอายัดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติดโดยมีประเด็นสำคัญ 2 ประเด็น ได้แก่ 1) แยกคดีอาญาออกจากคดีทรัพย์ เดิมใช้เวลาประมาณ 5 ปี ทรัพย์ถึงจะตกเป็นของกองทุนป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด แต่ปัจจุบันลดระยะเวลาเหลือประมาณ 2 ปี และ 2) การยึดอายัดทรัพย์สินคิดตามมูลค่าเพิ่ม (Value Base) และยึดทรัพย์สินทดแทน (Substitute Assets) นอกจากนี้ ให้ขับเคลื่อนงานดังกล่าวผ่านคณะทำงานปราบปรามยึดทรัพย์สินคดียาเสพติดภายใต้ปฏิบัติการพาลีปราบยาโดยบูรณาการร่วมกันระหว่าง สำนักงาน ปปง. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงาน ... และกรมสอบสวนคดีพิเศษ

                 (3) การติดตามจับกุมผู้มีหมายจับคดียาเสพติด ให้เร่งรัดการติดตามจับกุมผู้มีหมายจับคดียาเสพติด โดยในปี .. 2544 - 2565 มีจำนวน 8,040 หมายจับ และในปีที่ผ่านมา สำนักงาน ... ได้ใช้เงินกองทุนป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด ไปเป็นเงินรางวัลนำจับให้กับผู้แจ้งเบาะแสหรือผู้จับกุมผู้มีหมายจับ จำนวน 130 หมายจับ ซึ่งดำเนินการไปแล้ว จำนวน 9 หมายจับ

                 (4) การทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นเพื่อค้นหาผู้เสพยาเสพติดทั่วประเทศ ให้สำนักงาน ... ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการนำข้อมูลผู้เสพเข้าระบบศูนย์ข้อมูลที่ศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงาน ... รวมทั้งการประสานส่งข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการบำบัดฟื้นฟูตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข

                 (5) การตรวจสอบและติดตามข้อร้องเรียนของประชาชน โดยในปี .. 2565 มีประชาชนร้องเรียนผ่านสายด่วน จำนวน 16,570 เรื่อง ดำเนินการแล้ว จำนวน 14,037 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 84.71 และอยู่ระหว่างการสืบสวนทางลับ จำนวน 2,533 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 15.29

                 (6) การศึกษาและทบทวนกรณีผู้เสพเป็นผู้ป่วย โดยเฉพาะประเด็นการกำหนดปริมาณการครอบครองยาเสพติดเพื่อพิจารณาความเหมาะสมของผู้เสพที่จะต้องเข้ารับการบำบัดฟื้นฟู และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด

                 (7) การกำหนดมาตรการติดตามการบำบัดฟื้นฟูที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้การบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดเกิดประสิทธิผล รวมทั้งร่วมกับชุมชนติดตามเฝ้าระวังไม่ให้ผู้ติดยาเสพติดกลับมาใช้ยาเสพติดอีก

                 (8) การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (EM) เห็นควรให้กระทรวงยุติธรรมพิจารณาเสนอแนวทางการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวมาสนับสนุนการติดตามหรือคุมประพฤติผู้เสพหรือครอบครองยาเสพติดเพื่อประสิทธิภาพในการปรับพฤตินิสัยหรือการป้องกันอาชญากรรม

 

วิริยะ 720x100

 

          3. มาตรการด้านการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด

                 ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุข มีผู้ป่วยยาเสพติดที่อยู่ในศูนย์คัดกรอง จำนวน 1.9 ล้านคน แบ่งเป็นผู้ติดยาเสพติด จำนวน 35,000 คน คิดเป็นร้อยละ 2 ผู้เสพยาเสพติด จำนวน 4.56 แสนคน คิดเป็นร้อยละ 24 และผู้ใช้ยาเสพติด จำนวน 1.46 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 75 โดยกระทรวงสาธารณสุขมีแผนพัฒนาระบบบำบัดพื้นฟูผู้ติดยาเสพติดตามประมาลกฎหมายยาเสพติดต่อเนื้องตั้งแต่ปี .. 2564 – 2568 ซึ่งสามารถวิเคราะห์สาเหตุและแนวทางการแก้ไขปัญหาได้ ดังนี้

 

ปัญหา

 

สาเหตุ

 

แนวทางแก้ไข

พฤติกรรมของผู้ป่วย ครอบครัว และชุมชน

 

● ลักษณะเฉพาะของผู้ป่วยและ

ครอบครัวไม่สามารถควบคุมหรือช่วยผู้ป่วยให้ไปบำบัดได้

● ขาดการบูรณาการ ป้องกัน

ปราบปราม บำบัดในชุมชน

● ทัศนคติความเข้าใจของ

ประชาชน

 

● จัดทำยุทธศาสตร์รณรงค์ สื่อสาร มาตรการชุมชนครอบครัวที่พึงประสงค์และแนวทางการจัดการกับผู้ป่วยยาเสพติดแบบวงกว้างและแบบเฉพาะกลุ่มให้เป็นรูปธรรม วัดผลได้

การปรับมาตรการ

และข้อกฎหมาย

 

● ขาดการสื่อสารที่มีประสิทธิ ภาพแก่เจ้าหน้าที่

● การลดงบประมาณนำส่งผู้ป่วย

 

● จัดทำการสื่อสารประชุมเชิงปฏิบัติการ

● จัดทำศูนย์รับเรื่องการประสานงานเพื่อจัดการอุบัติการณ์

● เพิ่มขวัญและกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน

ความเข้าใจของเจ้าหน้าที่ (ปกครอง/ตร./สธ.)

 

● ขาดความเข้าใจที่เชื่อมโยงและสอดคล้องกันในแต่ละบทบาทเจ้าหน้าที่

 

● ขอความร่วมมือหน่วยงานภาคีในการลงข้อมูลในระบบ

● เพิ่มผู้ใช้งานระบบข้อมูล ระบบข้อมูลการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด (บสต.)” ของภาคีเครือข่าย

● สนับสนุนงบประมาณในการลงข้อมูล

ระบบข้อมูล

 

● ขาดข้อมูลผู้ป่วยยาเสพติดในบางระบบ

● ผู้ใช้งานระบบข้อมูลใหม่ตามประมวลฯ ยังไม่ได้เริ่มใช้งาน

● ขาดงบประมาณในการชี้แจงสื่อสาร

● การลงข้อมูลในระบบ

 

การกำกับติดตามและตัวชี้วัด

 

● ตัวชี้วัดยังเป็นตามข้อกฎหมายเดิม

● ขาดการเชื่อมโยงติดตามกับผู้ป่วยในบางกลุ่ม

 

● ปรับตัวชี้วัดให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงาน

● ชี้แจงซักซ้อมทำความเข้าใจในพื้นที่

งบประมาณ

 

● งบประมาณในกลุ่มผู้ป่วยแบบสมัครใจลดลง

● การบำบัดโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน

(Community Based

Treatment and  Rehabilitation : CBTx)

● ขาดงบประมาณในการดำเนินงาน

● ขาดงบประมาณในการนำส่งผู้ป่วย

● ขาดงบประมาณในการลงข้อมูลในระบบ

 

สนับสนุนงบประมาณ

● การสื่อสาร

● การบำบัดโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน (Community Based Treatment and 

Rehabilitation CBTx)

● การนำส่งผู้ป่วยเพื่อเข้าบำบัด

● การลงข้อมูลในระบบ

 

โดยมีข้อเสนอมาตรการในการบำบัดและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด แบ่งเป็น 3 ระยะ ดังนี้

                 (1) ระยะเร่งด่วน

                        (1.1) ค้นหาและคัดกรองผู้ป่วยจิตเวชที่มีความเสี่ยงสูง ต่อการก่อความรุนแรง (Serious Mental Illness with High Risk to Violence: SMI-V) ให้เข้าสู่สถานฟื้นฟูฯ ภาคีเครือข่าย

                        (1.2) เร่งรัดการทำงานของกระทรวงสาธารณสุขและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อจัดตั้งศูนย์คัดกรองให้ครอบคลุมทุกตำบล

                        (1.3) บูรณาการการบำบัดฟื้นฟูโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน (Community Based Treatment) ให้ครอบคลุมทุกตำบล

                 (2) ระยะกลาง

                        (2.1) เร่งรัดจัดตั้งสถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดของภาคีเครือข่าย และศูนย์ฟื้นฟูสภาพสังคม

                        (2.2) สนับสนุนการจัดตั้งศูนย์บำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดที่มีมาตรฐานสากล เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้มีรายได้ซึ่งติดยาเสพติด

                 (3) ระยะต่อเนื่อง ควบคุมกำกับ ติดตาม ศูนย์คัดกรอง สถานพยาบาลยาเสพติดสถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคม และการใช้ชุมชนเป็นฐานการบำบัดยาเสพติด (Community Based Treatment) ให้เป็นไปตามมาตรฐาน

 

aia 720 x100

 

          4. มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาสุขภาพจิต

                 สถานการณ์ปัญหาสุขภาพจิตในประเทศไทยในปัจจุบัน มีผู้ป่วยจิตเวชประมาณ4,033,059 คน เข้าถึงบริการร้อยละ 38.75 ผู้ป่วยจิตเวชเสี่ยงต่อการเกิดความรุนแรง 26,076 คน (.. 2559 - 2565) (แต่มีผู้ป่วยจิตเวชที่เข้าถึงบริการเพียงร้อยละ 43.8) ประชาชนเสี่ยงต่อโรคจิตเวชร้อยละ 6.44 และเยาวชนเสี่ยงร้อยละ 15.61 ผู้ป่วยจิตเวชเข้าถึงบริการต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ร้อยละ 48.42 และครอบครัวและชุมชนต้องรับดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่เสี่ยงต่อการเกิดความรุนแรงโดยยังไม่เคยได้รับการช่วยเหลือประมาณ 26,000 ราย ดังนั้น จึงเห็นควรเสนอมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาสุขภาพจิต ดังนี้

                 (1) การพัฒนาเครือข่ายนอกระบบสุขภาพ ให้จัดตั้งระบบดูแลสุขภาพจิตใน ()โรงเรียนและสถานศึกษาทุกแห่ง () สถานประกอบกิจการที่มีพนักงานมากกว่า 100 คน และ () หน่วยงานที่เก็บรักษาหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งอาวุธร้ายแรง

                 (2) การพัฒนาเครือข่ายในระบบสุขภาพ

                        (2.1) จัดตั้งกลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติดให้ครบทุกอำเภอ

                        (2.2) จัดตั้งหน่วยบูรณาการจิตเวชฉุกเฉินที่บูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยแจ้งเหตุ ตำรวจ และทีมสาธารณสุขฉุกเฉิน ในทุกอำเภอ เพื่อร่วมมือกันในการนำตัวผู้ป่วยจิตเวชที่เสี่ยงต่อการก่อความรุนแรงและขาดการรักษาเข้าสู่กระบวนการดูแลรักษา

                        (2.3) จัดทำระบบการดูแลเบื้องต้นทางจิตเวชทุกโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล

                 (3) การพัฒนาเครือข่ายในชุมชน

                        (3.1) เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ประชาชนในการรักษาจิตเวชทางไกล เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถตรวจรักษาผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลใกล้บ้านได้

                        (3.2) เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ประชาชนในการดูแลต่อเนื่องในชุมชนสำหรับกรณีที่เป็นผู้ป่วยจิตเวชซึ่งมีแนวโน้มที่จะก่อความรุนแรง เพื่อให้ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงทั้งหมดได้รับการติดตามต่อเนื่องตลอดชีวิต

 

(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์  จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) 18 ตุลาคม 2565

สำนักโฆษก   สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396

 

A10660

Click Donate Support Web  

EXIM One 720x90 C J

PTG 720x100TU720x100sme 720x100

BANPU 720x100QIC 720x100

ธกส 720x100

ใจฟู720x100px

ais 720x100

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!