รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนมิถุนายน และครึ่งแรกของปี 2565
- Details
- Category: มติ ครม.
- Published: Tuesday, 23 August 2022 23:34
- Hits: 3172
รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนมิถุนายน และครึ่งแรกของปี 2565
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนมิถุนายน และครึ่งแรกของปี 2565 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
สาระสำคัญ และข้อเท็จจริง
1. สรุปสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนมิถุนายน และครึ่งแรกของปี 2565
การส่งออกของไทยในเดือนมิถุนายน 2565 มีมูลค่า 26,553.1 ล้านเหรียญสหรัฐ (907,286 ล้านบาท) ขยายตัวร้อยละ 11.9 ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 16 หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวร้อยละ 10.4 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรเป็นแรงหนุนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของการส่งออกในเดือน มิ.ย. สะท้อนความสามารถในการผลิตสินค้าอาหารไทยป้อนสู่ตลาดโลกและสอดรับนโยบาย “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” ขณะที่การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมยังคงเติบโตตามการขยายตัวของภาคการผลิตโลก สอดคล้องกับดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตโลก (Global Manufacturing PMI) ที่อยู่เหนือระดับ 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 24 จากคำสั่งซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่เร่งตัว และการลงทุนที่เพิ่มขึ้น
มูลค่าการค้ารวม
มูลค่าการค้าในรูปเงินเหรียญสหรัฐ เดือนมิถุนายน 2565 การส่งออก มีมูลค่า 26,553.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 11.9 การนำเข้า มีมูลค่า 28,082.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 24.5 ดุลการค้า ขาดดุล 1,529.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ภาพรวมครึ่งแรกของปี 2565 (มกราคม-มิถุนายน) การส่งออก มีมูลค่า 149,184.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 12.7 การนำเข้า มีมูลค่า 155,440.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 21.0 ดุลการค้า ขาดดุล 6,255.9 ล้านเหรียญสหรัฐ
มูลค่าการค้าในรูปเงินบาท เดือนมิถุนายน 2565 การส่งออก มีมูลค่า 907,286 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 22.7 การนำเข้า มีมูลค่า 971,481 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 36.3 ดุลการค้า ขาดดุล 64,195 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมครึ่งแรกของปี 2565 (มกราคม-มิถุนายน) การส่งออก มีมูลค่า 4,945,248 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 23.1 การนำเข้า มีมูลค่า 5,223,277 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 32.0 ดุลการค้า ขาดดุล 278,029 ล้านบาท
การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร
มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 24.5 สินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ขยายตัวร้อยละ 39.4 (ขยายตัวในตลาดจีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเมียนมา) ยางพารา ขยายตัวร้อยละ 16.1 (ขยายตัวในตลาดจีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น สหรัฐฯ เกาหลีใต้ ตุรกี และอินเดีย) ข้าว ขยายตัวร้อยละ 68.2 (ขยายตัวในตลาดอิรัก สหรัฐฯ แอฟริกาใต้ เบนิน ฮ่องกง และเซเนกัล) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 15.3 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อียิปต์ แคนาดา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และลิเบีย) น้ำตาลทราย ขยายตัวร้อยละ 92.7 (ขยายตัวในตลาดอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา เกาหลีใต้ ลาว และญี่ปุ่น) ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และไก่แปรรูป ขยายตัวร้อยละ 20.1 (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร จีน เนเธอร์แลนด์ และเกาหลีใต้) อาหารสัตว์เลี้ยง ขยายตัวร้อยละ 13.6 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น มาเลเซีย ออสเตรเลีย และฟิลิปปินส์) สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เครื่องดื่ม หดตัวร้อยละ 7.6 (หดตัวในตลาดเมียนมา จีน สิงคโปร์ แต่ขยายตัวในตลาดเวียดนาม กัมพูชา ลาว ฟิลิปปินส์ ฮ่องกง และเกาหลีใต้) สิ่งปรุงรสอาหาร หดตัวร้อยละ 4.4 (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ ฟิลิปปินส์ และเมียนมา แต่ขยายตัวในตลาดออสเตรเลีย มาเลเซีย กัมพูชา เกาหลีใต้ และรัสเซีย) เครื่องเทศและสมุนไพร หดตัวร้อยละ 42.1 (หดตัวในตลาดเมียนมา ญี่ปุ่น สหรัฐฯ ปากีสถาน และออสเตรเลีย แต่ขยายตัวในตลาดบังกลาเทศ เวียดนาม จีน อินเดีย และมาเลเซีย) ทั้งนี้ ครึ่งแรกของปี 2565 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 17.1
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม
มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 6.7 โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัวดี ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัวร้อยละ 9.1 (ขยายตัวในตลาดอินเดีย เยอรมนี สหราชอาณาจักร สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเบลเยี่ยม) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 10.4 (ขยายตัวในตลาดจีน อินโดนีเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม และอินเดีย) เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ ขยายตัวร้อยละ 13.4 (ขยายตัวในตลาดนอร์เวย์ อินเดีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย) เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 52.1 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ ฮ่องกง เมียนมา และไต้หวัน) ผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม ขยายตัวร้อยละ 37.9 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน อินเดีย เวียดนาม และเกาหลีใต้) เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ ขยายตัวร้อยละ 33.3 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี และจีน) ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 6.0 (หดตัวในตลาดออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เวียดนาม สหรัฐฯ และมาเลเซีย แต่ขยายตัวในตลาดฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ชิลี แอฟริกาใต้ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) ผลิตภัณฑ์ยาง หดตัวร้อยละ 4.9 (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เยอรมนี และอินเดีย แต่ขยายตัวในตลาดจีน มาเลเซีย เวียดนาม เกาหลีใต้ และอินโดนีเซีย) รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 24.4 (หดตัวในตลาดจีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ กัมพูชา และบราซิล แต่ขยายตัวในตลาดเบลเยี่ยม สหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ เวียดนาม และมาเลเซีย) ทั้งนี้ ครึ่งแรกของปี 2565 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 10.5
ตลาดส่งออกสำคัญ
การส่งออกไปยังตลาดสำคัญส่วนใหญ่ขยายตัวต่อเนื่อง ตามคำสั่งซื้อจากประเทศคู่ค้า ท่ามกลางปัจจัยกดดันจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงจากผลกระทบของความขัดแย้งในยูเครน และอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัว อย่างไรก็ตาม การส่งออกไปจีนและญี่ปุ่นยังมีความไม่แน่นอน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ยังซบเซาจากผลกระทบของมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เข้มงวด ทั้งนี้ ภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่างๆ สรุปได้ดังนี้ (1) ตลาดหลัก ขยายตัวร้อยละ 11.9 โดยขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ร้อยละ 12.1 อาเซียน (5) ร้อยละ 35.6 CLMV ร้อยละ 19.5 สหภาพยุโรป (27) ร้อยละ 5.0 ขณะที่ตลาดจีน และญี่ปุ่น กลับมาหดตัวร้อยละ 2.7 และ 1.0 ตามลำดับ (2) ตลาดรอง ขยายตัวร้อยละ 13.2 ขยายตัวในตลาดเอเชียใต้ ร้อยละ 49.5 ทวีปออสเตรเลีย ร้อยละ 4.9 ตะวันออกกลาง ร้อยละ 24.0 ทวีปแอฟริกา ร้อยละ 12.1 และลาตินอเมริกา ร้อยละ 17.2 ขณะที่รัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS หดตัวร้อยละ 46.8 และ (3) ตลาดอื่นๆ หดตัวร้อยละ 18.3 อาทิ สวิตเซอร์แลนด์ หดตัวร้อยละ 66.7
2. ปัจจัยสนับสนุนและมาตรการส่งเสริมการส่งออก
การส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการเชิงรุกเพื่อผลักดันและอำนวยความสะดวกการส่งออกของผู้ประกอบการไทย โดยการดำเนินงานที่สำคัญในรอบเดือนที่ผ่านมา ได้แก่ (1) การสร้างความร่วมมือทางการค้า เพื่อเพิ่มโอกาสการส่งออกไปตลาดใหม่ๆ อาทิ การเปิดเจรจา FTA ไทย-เอฟต้า การลงนามข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-สหราชอาณาจักร การขยายการจัดทำ Mini FTA ไทย-ปูซาน เพื่อขยายการส่งออกไปยังเกาหลีใต้ผ่านทางท่าเรือปูซาน การเจรจากับผู้บริหารศูนย์การค้าของต่างประเทศ เพื่อนำสินค้าไทยไปวางจำหน่าย และการจัดกิจกรรมเจรจาธุรกิจกับผู้นำเข้าซาอุดีอาระเบีย (2) การเจรจาขยายตลาดส่งออกสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป อาทิ การส่งออกมังคุดไปยังไต้หวัน การผลักดันกล้วยหอมไทยและผลิตภัณฑ์แปรรูปสู่ตลาดญี่ปุ่น การปลดล็อกอุปสรรคการส่งออกแป้งข้าวเจ้าไปยังมาเลเซียฝั่งตะวันตก และ (3) การผลักดันสินค้าท้องถิ่นไทยสู่ตลาดต่างประเทศ อาทิ การผลักดันนำผ้าไทย GI ไปใช้เป็นบรรจุภัณฑ์สินค้าแชมเปญของฝรั่งเศส การผลักดันขึ้นทะเบียนสินค้า GI ในตลาดญี่ปุ่น ได้แก่ กาแฟดอยตุง กาแฟดอยช้าง และสับปะรดห้วยมุ่น
แนวโน้มการส่งออกระยะถัดไป กระทรวงพาณิชย์ประเมินว่า การส่งออกของไทยยังขยายตัวได้ดี โดยคาดว่า จะสามารถบรรลุตามเป้าหมายในการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ได้ เนื่องจากการทำงานเชิงรุกในการส่งเสริมตลาดหลัก และตลาดใหม่ๆ ขณะที่ปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่เกื้อหนุนการส่งออก ได้แก่ ความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารในตลาดโลก ขณะเดียวกันการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมยังเติบโตตามการขยายตัวของภาคการผลิตโลก สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทรงตัว และค่าเงินบาทอ่อนค่ามีส่วนช่วยให้การส่งออกสินค้าไทยสามารถแข่งขันด้านราคากับคู่แข่งในตลาดโลกได้ อย่างไรก็ดี ยังมีความเสี่ยงที่อาจเกิดจากภาวะเงินเฟ้อโลกที่พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออำนาจซื้อของผู้บริโภคในต่างประเทศ
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) 23 สิงหาคม 2565
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
A8909