รายงานความก้าวหน้าของมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของไทยปี พ.ศ. 2561-2570
- Details
- Category: มติ ครม.
- Published: Wednesday, 25 May 2022 12:44
- Hits: 5843
รายงานความก้าวหน้าของมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของไทยปี พ.ศ. 2561-2570
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอรายงานความก้าวหน้าของมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของไทยปี พ.ศ. 2561-2570 ตั้งแต่ปี 2564 ถึงปัจจุบัน และสรุปประเด็นปัญหาอุปสรรคการดำเนินงานมาเพื่อคณะรัฐมนตรีทราบ
สาระสำคัญของเรื่อง
อก. รายงานว่า
1. ผลการดำเนินการงานภายใต้มาตรการฯ ประกอบด้วย
1.1 มาตรการขจัดอุปสรรคการลงทุนและสร้างปัจจัยสนับสนุน มีการดำเนินงานสรุปได้ ดังนี้
(1) สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายได้ปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (2 ตุลาคม 2561) อนุมัติหลักการและคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้วโดยขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 ต่อไป
(2) กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้จัดทำกฎกระทรวงกำหนดประเภทชนิด และขนาดของโรงงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2564 โดยเพิ่มประเภทโรงงาน เช่น การทำเคมีภัณฑ์หรือสารเคมี หรือวัสดุเคมี ซึ่งใช้วัตถุดิบพื้นฐานทางการเกษตรหรือผลิตภัณฑ์อื่นที่ต่อเนื่องโดยใช้กระบวนการเคมีชีวภาพเป็นพื้นฐาน และการผลิตพลาสติกชีวภาพจากเคมีภัณฑ์หรือสารเคมีหรือวัสดุเคมีที่ผลิตจากวัตุดิบพื้นฐานทางการเกษตรหรือผลิตภัณฑ์ที่ต่อเนื่อง
(3) กรมโยธาธิการและผังเมืองได้ปรับปรุงแก้ไขผังเมืองรวมของพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 ในจังหวัดชัยภูมิ อุบลราชธานี และลพบุรี เพื่อสนับสนุนการประกอบกิจการอุตสาหกรรมชีวภาพในพื้นที่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาและเป็นไปตามกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำผังเมืองรวมเมือง/ชุมชนเพื่อรองรับการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมชีวภาพ
(4) หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้ผลักดันภาคการเกษตรสู่การทำเกษตรสมัยใหม่เพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพในประเทศ เช่น
(4.1) กรมวิชาการเกษตรได้พัฒนาแปลงเรียนรู้เกษตรอัจฉริยะสำหรับพืชวัตถุดิบในอุตสาหกรรมชีวภาพ เช่น แปลงเรียนรู้เกษตรอัจฉริยะปาล์มน้ำมันจังหวัดกระบี่และสุราษฎร์ธานี รวมทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะให้เกษตรกรและผู้ประกอบการ
(4.2) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรได้ดำเนินโครงการบริหารจัดการการผลิตสินค้าเกษตรตามแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) โดยจัดทำแนวทางบริหารจัดการสินค้าเกษตรทางเลือกที่มีอนาคตเพื่อวางแผนการผลิตและการปรับเปลี่ยนพืชเสริม/พืชแซมของพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง สับปะรด ปาล์มน้ำมัน และยางพารา เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น
(4.3) กรมพัฒนาที่ดินได้วางแผนการใช้ที่ดินและการผลิตพืชเศรษฐกิจตามความเหมาะสมของดินผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ รวม 93,297 ไร่
(4.4) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติได้ดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการปรับเปลี่ยนจากข้าวเป็นพืชวัตถุดิบในอุตสาหกรรมชีวภาพ โดยมีการปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่เพื่อการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 258,818 ไร่ อ้อยโรงงาน 472 ไร่ และมันสำปะหลัง 633.25 ไร่ และมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 17,720 ราย รวมทั้งได้พัฒนาระบบ WiMarC “ไวมาก” เพื่อใช้ในการเก็บข้อมูลสภาพภูมิอากาศในสวนเกษตรด้วยเซ็นเซอร์และรูปภาพ
1.2 มาตรการเร่งรัดการลงทุนภายในประเทศ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้ขยายระยะเวลาของมาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกถึงสิ้นปี 2565 เพื่อให้สิทธิและประโยชน์ด้านการยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมกับโครงการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว โดยในปี 2564 มีโครงการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมชีวภาพ (อุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหารและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ) ที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมรวม 222 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 76,561.7 ล้านบาท ประกอบด้วย
พื้นที่ |
จำนวน (โครงการ) |
มูลค่าการลงทุน (ล้านบาท) |
ตัวอย่างโครงการที่น่าสนใจ |
(1) เขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก |
31 |
17,512.0 |
การผลิตพลาสติกชีวภาพ ชนิด Thermoplastic Starch (TPS)1 |
(2) เขตพื้นที่ภาคเหนือ ตอนล่าง (นครสวรรค์) |
3 |
20,598.0 |
การผลิตพลาสติกชีวภาพ ชนิด Polylactic Acid (PLA)2 |
(3) เขตพื้นที่ภาคอีสาน ตอนกลาง (ขอนแก่น) |
1 |
16.7 |
การผลิตหลอดดูดน้ำย่อยสลายได้จากเศษแป้ง |
(4) เขตพื้นที่ศักยภาพอื่น |
187 |
38,435.0 |
การผลิตสารสกัดจากเซรั่มยางพารา |
ทั้งนี้ มีความคืบหน้าของโครงการที่ภาคเอกชนได้ขับเคลื่อนการลงทุนอุตสาหกรรมชีวภาพในประเทศ ในปี 2564 เช่น
(1) โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ โดยแบ่งโครงการเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ก่อสร้างโรงหีบอ้อย กำลังการผลิต 24,000 ตันต่อวัน ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดลองเดินเครื่องจักรและคาดว่าจะสามารถผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 2565 และระยะที่ 2 การผลิตวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิตพลาสติกชีวภาพ กำลังการผลิต 75,000 ตันต่อปี โดยอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนและการสรรหาพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ
(2) โครงการไบโอ ฮับ เอเชีย เพื่อพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมเชิงนิเวศอัจฉริยะรองรับโรงงานอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น พลังงานชีวภาพ เคมีชีวภาพ และอาหารแห่งอนาคตสำหรับคนและสัตว์ โดยได้ลงนามสัญญาร่วมทุนฉบับใหม่กับนักลงทุนจากต่างประเทศแล้ว เช่น ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์และกลุ่มประเทศในยุโรป รวมทั้งได้ส่งเสริมการเกษตรอัจฉริยะในพื้นที่รอบโครงการเพื่อควบคุมปริมาณและคุณภาพวัตถุดิบจากเกษตรกรรายแปลงแบบครบวงจร โดยมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการแล้ว 60,000 ครัวเรือน
(3) โครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม Smart Park เพื่อพัฒนาพื้นที่และระบบสาธารณูปโภคเพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (New S-Curve) โดยอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายภายในโครงการซึ่งคาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2567
1.3 มาตรการกระตุ้นอุปสงค์ มีการดำเนินงาน เช่น
(1) สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมได้ออกใบรับรองผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ จำนวน 45 ใบรับรอง ให้แก่ผู้ประกอบการเพื่อให้สามารถยื่นขอยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นจำนวนร้อยละยี่สิบห้าสำหรับรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 – 31 ธันวาคม 2564 ทั้งนี้ กรมสรรพากรอยู่ระหว่างพิจารณาขยายระยะเวลามาตรการทางภาษีเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพเพื่อกระตุ้นความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ชีวภาพในประเทศเพิ่มขึ้น
(2) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชได้ยึดหลักแนวคิดขยะเหลือศูนย์ (Zero Waste) ในการดำเนินงาน โดยได้ออกประกาศ เรื่อง ห้ามนำภาชนะที่ทำด้วยโฟมและบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้งเข้าไปในอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 นอกจากนี้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใน 24 จังหวัดชายฝั่งทะเล จัดเก็บขยะชายหาดและขยะตกค้างในระบบนิเวศทางทะเลได้ปริมาณ 1,427,831 ชิ้น
(3) สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายและสถาบันพลาสติกได้ร่วมกันจัดกิจกรรม “Go Green ไปกับถุงพลาสติกชีวภาพ” เพื่อรณรงค์/ประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ชีวภาพเพิ่มขึ้น
1.4 มาตรการสร้างเครือข่ายในรูปแบบของศูนย์กลางความเป็นเลิศด้านชีวภาพ (Center of Bio Excellence: CoBE) มีการดำเนินงาน ดังนี้
(1) การสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงงานวิจัยสู่ภาคอุตสาหกรรม เช่น การพัฒนารูปแบบและแนวทางการผลักดันให้ CoBE เป็นหน่วยงานกลาง หรือ One Stop Service ที่ครอบคุลมการให้บริการทั้งด้านข้อมูลงานวิจัย/มาตรฐาน/การตลาด และด้านการทดสอบทางเทคนิคและการสนับสนุนทุนวิจัยให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีการทำงานร่วมกับภาคเอกชนในลักษณะการอนุเคราะห์ทรัพยากร เครื่องมือ และสถานที่ ซึ่งการวิจัยส่วนใหญ่เป็นการนำวัสดุชีวภาพไปใช้ประโยชน์ทางการเกษตร
(2) การให้คำปรึกษา สนับสนุนเงินทุนในการยกระดับสถานประกอบการชีวภาพและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวภาพต้นแบบ โดยให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการเพื่อยกระดับกระบวนการผลิตเข้าสู่อุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพและเพิ่มผลผลิตสถานประกอบการด้านเทคโนโลยีชีวภาพ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวภาพต้นแบบผ่านการสนับสนุนทุนวิจัยให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
(3) การจัดทำหลักสูตรและฝึกอบรมเพื่อสร้างบุคลากรและผู้เชี่ยวชาญด้านชีวภาพ เช่น การพัฒนาหลักสูตร Refinery Engineering สำหรับนักศึกษาและบุคลากรภาคอุตสาหกรรม ซึ่งอยู่ระหว่างการทดสอบคุณภาพของหลักสูตร
(4) การพัฒนาศูนย์ข้อมูลอัจฉริยะอุตสาหกรรมชีวภาพ ได้ดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมชีวภาพเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลใน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์เป้าหมาย ได้แก่ พลาสติกชีวภาพ เคมีชีวภาพ และชีวเภสัชภัณฑ์ โดยปรับปรุงฐานข้อมูลเดิมให้ทันสมัยและพัฒนาข้อมูลใหม่เพิ่มเติม
2. ปัญหาและอุปสรรคการดำเนินงาน
2.1 การกระตุ้นการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพยังไม่สามารถผลักดันให้เกิดผลในวงกว้างได้มากเท่าที่ควร เนื่องจากพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 702) พ.ศ. 2563 เกี่ยวกับมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพที่มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 – 31 ธันวาคม 2564 แต่มีผลใช้บังคับวันที่ 22 มิถุนายน 2563 ส่งผลให้ไม่มีผู้ประกอบการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในรอบระยะเวลาบัญชี 2562 ซึ่งเป็นปีแรกของการใช้มาตรการภาษีดังกล่าว นอกจากนี้ ผู้ประกอบการเกิดความลังเลว่าจะไม่สามารถดำเนินการได้ทันตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดเนื่องจากต้องอาศัยเวลาในการเตรียมตัวและความพร้อมในการผลิตก่อนที่จะนำออกสู่ตลาดเพื่อจำหน่าย
2.2 การลงทุนของภาคเอกชนไม่เป็นไปตามแผนการที่วางไว้เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นอกจากนี้ โครงการลงทุนบางแห่งยังประสบปัญหาด้านการผังเมืองที่ไม่สอดคล้องกับการพัฒนาโครงการอุตสาหกรรมชีวภาพ รวมทั้งมีการคัดค้านของประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับ การตั้งโรงงานน้ำตาลหรือโรงงานที่เกี่ยวข้อง
2.3 ข้อจำกัดด้านกฎหมาย กฎ ระเบียบที่ไม่เอื้อต่อการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมชีวภาพในประเทศ เช่น การไม่มีกฎหมายว่าด้วยความปลอดภัยทางชีวภาพและความหลากหลายทางชีวภาพ
2.4 บุคลากรที่มีความรู้ ทักษะ และความเชี่ยวชาญในห้องปฏิบัติการทดสอบความปลอดภัยผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และสาธารณสุขมีจำนวนไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้บริการ โดยเฉพาะผู้ตรวจประเมินและผู้ดำเนินงานในหน่วยงานศึกษาวิจัย/พัฒนาส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องรอรายงานผลการทดสอบค่อนข้างนานและอาจเสียโอกาสทางการแข่งขัน
2.5 ปริมาณเม็ดพลาสติกชีวภาพที่ผลิตในประเทศมีไม่เพียงพอและราคาต้นทุนสูงกว่า เม็ดพลาสติกทั่วไป ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายไม่มีความพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนสู่อุตสาหกรรมชีวภาพหรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ฐานชีวภาพที่มีมูลค่าสูง
_____________________
1 Thermoplastic Starch (TPS) คือ พลาสติกที่ผลิตจากพืชซึ่งมีแป้งเป็นองค์ประกอบหลัก ได้แก่ ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง และถั่วต่างๆ โดยใช้กระบวนการทางความร้อนขึ้นรูป
2Polylactic Acid (PLA) คือ พลาสติกที่มีการผลิตจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ส่วนประกอบของข้าวโพด ธัญพืช มันสำปะหลัง และอ้อย มีกระบวนการผลิตด้วยการหมัก
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) 24 พฤษภาคม 2565
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
A5836