ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล พ.ศ. 2565 (ครบ 2 ปี 6 เดือน) และการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal Life) พ.ศ. 2565
- Details
- Category: มติ ครม.
- Published: Wednesday, 30 March 2022 11:47
- Hits: 5839
ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล พ.ศ. 2565 (ครบ 2 ปี 6 เดือน) และการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal Life) พ.ศ. 2565
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) [สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.)] เสนอ ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล พ.ศ. 2565 (ครบ 2 ปี 6 เดือน) และการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal Life) พ.ศ. 2565 [เป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (17 มิถุนายน 2545) ที่ให้ สสช. จัดเก็บข้อมูลและสถิติตัวเลข รวมทั้งสำรวจและสอบถามประชาชนเกี่ยวกับนโยบายหลักๆ ของรัฐบาล แล้วรายงานคณะรัฐมนตรีทราบ] โดย สสช. ได้สัมภาษณ์สมาชิกในครัวเรือนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ 6,970 คน ระหว่างวันที่ 5-18 มกราคม 2565 สาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
ประเด็น |
ผลการสำรวจความคิดเห็น |
|
การบริหารงานของรัฐบาล พ.ศ. 2565 (ครบ 2 ปี 6 เดือน) |
||
1. การติดตามข้อมูลข่าวสารของรัฐบาล |
ประชาชน ร้อยละ 83.7 ติดตามข้อมูลข่าวสารของรัฐบาล ร้อยละ 16.3 ไม่ติดตาม เหตุผลคือ ไม่สนใจ ไม่มีเวลาว่าง และอื่นๆ (เช่น ไม่ชอบ) โดยติดตามทางโทรทัศน์มากที่สุด (ร้อยละ 71.8) รองลงมาคือ สื่อสังคมออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก ไลน์ ทวิตเตอร์ และยูทูบ (ร้อยละ 55.5) ทั้งนี้ ผู้ที่มีอายุน้อยได้ติดตามจากสื่อสังคมออนไลน์สูงกว่าผู้มีอายุมาก และผู้ที่มีการศึกษาสูงได้ติดตามจากสื่อสังคมออนไลน์สูงกว่าผู้ที่มีการศึกษาต่ำกว่า |
|
2. ความพึงพอใจในภาพรวมต่อ การดำเนินงานของรัฐบาล |
ประชาชนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก-มากที่สุด ร้อยละ 33.9 พึงพอใจระดับปานกลาง ร้อยละ 40.9 พึงพอใจในระดับน้อย-น้อยที่สุด ร้อยละ 18.9 และไม่พึงพอใจเลย ร้อยละ 6.3 โดยภาคใต้และภาคใต้ชายแดน มีความพึงพอใจในระดับมาก-มากที่สุดสูงกว่าภาคอื่น (ร้อยละ 57.9 และร้อยละ 54.5 ตามลำดับ) ขณะที่ภาคอื่นมีประมาณร้อยละ 26-35 |
|
3. ความพึงพอใจต่อนโยบายของรัฐบาล |
นโยบายของรัฐบาลที่ประชาชนมีความพึงพอใจมาก-มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) โครงการคนละครึ่ง (ร้อยละ 66.9) (2) โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (ร้อยละ 63.6) (3) โครงการเราชนะ (ร้อยละ 62.9) (4) มาตรการเยียวยาแรงงานในระบบและนอกระบบ (ร้อยละ 48.2) และ (5) โครงการประกันรายได้เกษตรกร (ร้อยละ 32.4) |
|
4. มาตรการเยียวยา/โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีประโยชน์ต่อประชาชน |
มาตรการเยียวยา/โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) โครงการคนละครึ่ง (ร้อยละ 81.5) (2) โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (ร้อยละ 70) (3) โครงการเราชนะ (ร้อยละ 62.2) (4) มาตรการลดค่าน้ำ ค่าไฟ (ร้อยละ 57.2) และ (5) โครงการ ม.33 เรารักกัน (ร้อยละ 32.1) โดยประชาชนในเกือบทุกกลุ่มอาชีพ (ยกเว้นเกษตรกร รับจ้างทั่วไป ขับรถรับจ้าง กรรมกร และพ่อบ้าน/แม่บ้านที่อยู่บ้านเฉยๆ) ระบุว่าโครงการคนละครึ่งมีประโยชน์ต่อคนในประเทศมากที่สุด |
|
5. ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ของประเทศ |
ประชาชนเชื่อมั่นในระดับมาก-มากที่สุด ร้อยละ 30.4 เชื่อมั่นระดับปานกลาง ร้อยละ 39.7 เชื่อมั่นในระดับน้อย-น้อยที่สุด ร้อยละ 21.3 และ ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 8.6 โดยภาคใต้และภาคใต้ชายแดนมีความเชื่อมั่นในระดับมาก-มากที่สุดในสัดส่วนที่สูงกว่าภาคอื่น (ร้อยละ 52.8 และร้อยละ 52.2 ตามลำดับ) ขณะที่ภาคอื่นมีประมาณร้อยละ 21-31 |
|
6. ข้อเสนอแนะต่อการบริหารงานของรัฐบาล |
ข้อเสนอแนะการบริหารงานของรัฐบาล 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) การแก้ไขปัญหาค่าครองชีพสูง เช่น ควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ลดค่าน้ำประปา/ไฟฟ้า/แก๊สหุงต้ม/น้ำมันเชื้อเพลิง (ร้อยละ 17.6) (2) การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม เช่น ขยายระยะเวลา/เพิ่มวงเงินโครงการคนละครึ่ง โครงการเราชนะ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และเพิ่มเงินให้ผู้สูงอายุ (ร้อยละ 10.6) (3) การแก้ไขปัญหาโดยคำนึงถึงประชาชนเป็นหลัก รวดเร็ว ตรงจุด และโปร่งใส (ร้อยละ 9) (4) การควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เช่น ฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม แจกชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ฟรี และควบคุมไม่ให้มีราคาแพง แจกอุปกรณ์ป้องกันฟรี (เช่น หน้ากากอนามัย และแอลกอฮอล์) (ร้อยละ 5.9) และ (5) การแก้ไขปัญหาด้านการเกษตร เช่น พยุงราคาสินค้าเกษตร หาตลาดรองรับและจัดหาที่ดินทำกิน (ร้อยละ 4.9) |
|
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของ สสช. 1) ควรมีการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารของรัฐบาลเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนผ่านสื่อต่างๆ หลากหลายช่องทาง เข้าถึงได้ง่าย และรวดเร็ว โดยเฉพาะช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ 2) ควรมีมาตรการ/โครงการที่มุ่งลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน เช่น ขยายเวลาลดค่าน้ำประปา/ไฟฟ้า พยุงราคาแก๊สหุงต้ม/น้ำมันเชื้อเพลิง และจำหน่ายสินค้าราคาถูก (ร้านธงฟ้า) ในชุมชน 3) ควรช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกรอย่างเร่งด่วน เช่น จัดหาตลาดรองรับพืชผล ทางการเกษตร และพยุงราคาสินค้าเกษตร 4) ควรมีมาตรการ/โครงการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 เช่น มาตรการลดดอกเบี้ยเงินกู้ พักชำระหนี้ ขยายระยะเวลา/เพิ่มวงเงินโครงการคนละครึ่ง โครงการเราชนะ โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และ เพิ่มวงเงินให้แก่ผู้สูงอายุ 5) ควรมีมาตรการลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดและป้องกันการกลับมาแพร่ระบาดซ้ำของโรคโควิด-19 เช่น ฉีดวัคซีนกระตุ้นให้ครอบคลุมมากที่สุด การตรวจ ATK ฟรี/ควบคุมไม่ให้มีราคาแพง และแจกอุปกรณ์ป้องกัน การแพร่ระบาดฟรี |
||
การปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal Life) พ.ศ. 2565 |
||
1. ความกังวลต่อสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 |
ประชาชน ร้อยละ 97.7 มีความกังวลต่อสถานการณ์ดังกล่าว ร้อยละ 2.3 ไม่มีความกังวล |
|
2. การปฏิบัติตัวของประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค โควิด-19 |
แบ่งเป็น 2 กรณี ได้แก่ (1) กรณีเมื่ออยู่กับคนในบ้าน ประชาชนร้อยละ 90 ปฏิบัติตัวตามมาตรการของภาครัฐเพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค ติดตามข่าวสารและข้อปฏิบัติจากกระทรวงสาธารณสุขเป็นระยะ เฝ้าระวังเป็นพิเศษกับสมาชิกในครอบครัวที่เป็นกลุ่มเสี่ยงและสังเกตอาการผิดปกติของสมาชิกในครอบครัวอย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม ประชาชนยังไม่สามารถปฏิบัติตัวตามมาตรการของภาครัฐได้อย่างเต็มที่ เช่น การสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา (ร้อยละ 62.8) การแยกกันรับประทานอาหาร/แยกห้องอยู่อาศัย (ร้อยละ 58) และ (2) กรณีเมื่อออกนอกบ้าน ประชาชนร้อยละ 90 ปฏิบัติตามมาตรการภาครัฐ โดยสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมือด้วยสบู่หรือ เจลแอลกอฮอล์ ตรวจวัดไข้ก่อนเข้าไปยังสถานที่ เดินทางโดยรถส่วนตัว และงดรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น |
|
3. การปรับเปลี่ยนการใช้วิถีชีวิตเป็นแบบ New Normal Life |
ประชาชนมีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต โดย 3 อันดับแรก ได้แก่ (1) จัดเตรียมอุปกรณ์ก่อนออกจากบ้าน เช่น หน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์ (ร้อยละ 90.4) (2) หลีกเลี่ยงการไปอยู่ในสถานที่แออัดการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มหรืองานเลี้ยงสังสรรค์ (ร้อยละ 64.1) และ (3) ออกนอกบ้านเท่าที่จำเป็น เช่น ลดการไปห้างสรรพสินค้าและตลาดนัด (ร้อยละ 60.5) โดยผู้ที่มีการศึกษาสูงกว่าระดับมัธยมศึกษาตอนต้นเริ่มมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในชีวิตประจำวัน และผู้ที่มีอายุ 18-49 ปี มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้มากกว่าผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปด้วย |
|
4. การใช้สื่อสังคมออนไลน์และ แอปพลิเคชัน |
ประชาชนใช้แอปพลิเคชันเกี่ยวกับติดต่อการสื่อสารและการรับข้อมูลมากที่สุด (ร้อยละ 81.5) เช่น ไลน์ วอตส์แอปป์ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และ อินสตาแกรม รองลงมาแอปพลิเคชันเกี่ยวกับทางการเงิน (ร้อยละ 70.7) เช่น เป๋าตัง ถุงเงิน และกรุงไทยเน็ก และแอปพลิเคชันเกี่ยวกับความบันเทิง (ร้อยละ 69.7) เช่น เน็ตฟลิกซ์ ยูทูบ และติ๊กต็อก โดยผู้ที่มีการศึกษาสูงกว่าระดับมัธยมศึกษาตอนต้นใช้มากกว่าผู้ที่มีการศึกษาต่ำกว่า และผู้ที่มี อายุ 18-49 ปี ใช้มากกว่าผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปด้วย |
|
5. ความสุขของประชาชนในภาพรวม |
ประชาชนมีความสุขในภาพรวมในระดับมาก-มากที่สุด ร้อยละ 53.1 มีความสุขระดับปานกลาง ร้อยละ 37.3 มีความสุขในระดับน้อย-น้อยที่สุด ร้อยละ 8.9 และไม่มีความสุขเลย ร้อยละ 0.7 โดยภาคใต้และภาคใต้ชายแดนมีความสุขในภาพรวมอยู่ในระดับมาก-มากที่สุดสูงกว่าภาคอื่น (ร้อยละ 68.5) |
|
6. แผนการปรับตัวรับมือหากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มีความรุนแรงอีกครั้ง |
ประชาชนมีแผนการปรับตัวรับมือ ได้แก่ (1) ปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต เช่น ออกจากบ้านทุกครั้งต้องใส่หน้ากากอนามัย และหลีกเลี่ยงการออกไปนอกบ้านหากไม่จำเป็น (ร้อยละ 87.3) (2) ประหยัดและใช้จ่ายน้อยลง (ร้อยละ 82.2) และ (3) แก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจโดยนำเงินออมออกมาใช้จ่าย (ร้อยละ 25.7) |
|
7. นโยบายการให้ประชาชนแสดงหลักฐานการได้รับวัคซีนป้องกันโรค โควิด-19 หรือผลการตรวจโควิด-19 เพื่อเข้าสถานที่ต่างๆ |
ประชาชนเห็นด้วย ร้อยละ 85.1 และไม่เห็นด้วย ร้อยละ 14.9 (เนื่องจากเห็นว่า นโยบายดังกล่าวมีความยุ่งยาก ทำให้เสียเวลารวมถึงชุดตรวจ ATK มีราคาแพง และเป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคล) ทั้งนี้ มีประชาชนที่เคยถูกขอให้แสดงหลักฐานฯ (ร้อยละ 32.4) ณ สถานที่ราชการ (ร้อยละ 13.5) โรงพยาบาล (ร้อยละ 12.3) และสถานที่ทำงาน (ร้อยละ 9.8) ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เคยถูกขอให้แสดงหลักฐานฯ (ร้อยละ 67.6) |
|
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของ สสช. 1. ควรมีการสื่อสารประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หลากหลายช่องทางและเป็นไปในแนวทางเดียวกัน รวมทั้งการสร้างความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติตัวเมื่ออยู่กับคนในครอบครัวและเมื่อออกนอกบ้าน 2) ควรมีการส่งเสริม ป้องกัน และลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยรัฐต้องสนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์/ชุดตรวจโควิด-19 (เช่น ATK และหน้ากากอนามัย) ได้ในราคาย่อมเยา หรือตรวจ ATK ให้ฟรีสำหรับการเข้าสถานที่ราชการต่างๆ และควรมีมาตรการส่งเสริมและกระตุ้นให้ผู้ที่ไม่ต้องการฉีดวัคซีนหันมาฉีดวัคซีนเพิ่มมากขึ้น หรือผู้ที่ได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้วกลับมาฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้น เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่มากที่สุด 3) ควรมีการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เช่น การใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน การให้ความช่วยเหลือประชาชนผ่านมาตรการเยียวยาและ ฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยใช้แอปพลิเคชัน 4) ควรมีการส่งเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนรู้เท่าทันภัยที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อไม่ให้ถูกหลอกลวงได้ง่าย โดยเฉพาะให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้สูงอายุมากที่สุด 5) ควรมีนโยบายหรือมาตรการช่วยเหลือเยียวยาอย่างต่อเนื่องให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผ่านมาตรการหรือโครงการต่างๆ |
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) 29 มีนาคม 2565
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
A3978