มาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงานอันเนื่องมาจากปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรป
- Details
- Category: มติ ครม.
- Published: Tuesday, 29 March 2022 23:49
- Hits: 8615
มาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงานอันเนื่องมาจากปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรป
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการของข้อเสนอมาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงานอันเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรป
2. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงแรงงาน กำกับและติดตามให้หน่วยงานในสังกัดที่มีอำนาจและหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงานอันเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรป ตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
3. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทย ร่วมกันพิจารณาติดตามและปรับปรุงมาตรการการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่เหมาะสมตามสถานการณ์ของราคาพลังงานในตลาดโลก โดยคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจ ความพร้อมและความสามารถทางการเงินของภาครัฐภายใต้พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561
4. มอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรวบรวมข้อเสนอแนวทางหรือมาตรการผลกระทบของประชาชนและผู้ประกอบการจากสถานการณ์ราคาพลังงานอันเนื่องมาจากปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรปที่มีลักษณะมุ่งเป้าของกระทรวงต่างๆ เพื่อเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนดำเนินการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป
สาระสำคัญ
แนวทางการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงานอันเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรป แบ่งออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ (1) มาตรการให้ความช่วยเหลือในระยะเร่งด่วน เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มผู้มีรายได้น้อย แรงงานและเกษตรกรประชาชนทั่วไป รวมถึงผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาพลังงานจากความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรป และ (2) มาตรการให้ความช่วยเหลือในระยะต่อไป เพื่อติดตามและปรับปรุงมาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาจากความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรป ให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ของราคาพลังงานในตลาดโลกและบริบทที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1. มาตรการในระยะเร่งด่วน
1.1 หลักการ เป็นการให้ความช่วยเหลือประชาชนแบบมุ่งเป้า โดยเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาพลังงานที่เกิดขึ้นโดยตรง ได้แก่ กลุ่มผู้มีรายได้น้อย กลุ่มแรงงานและเกษตรกร ประชาชนทั่วไปรวมถึงผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
1.2 ระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือ ตั้งแต่เดือนเมษายน - สิงหาคม 2565 ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละแนวทางการให้ความช่วยเหลือ
1.3 แนวทางการให้ความช่วยเหลือ
1) การลดภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยการบริหารจัดการราคาเชื้อเพลิงและค่าไฟฟ้าที่เป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชน และเป็นปัจจัยการผลิตพื้นฐานของสถานประกอบการโดยเฉพาะสถานประกอบการขนาดเล็ก เพื่อบรรเทาไม่ให้เกิดภาวะเงินเฟ้อจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น (Cost-Push Inflation) ซึ่งจะกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชนเป็นวงกว้าง ดังนี้
1.1) ราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) มีการกำหนดราคาขายปลีก LPG ในช่วงเดือนเมษายน - มิถุนายน 2565 ให้อยู่ในอัตรา ดังนี้ เดือนเมษายน 2565 เท่ากับ 333 บาทต่อถัง [(ขนาด 15 กิโลกรัม) เดือนพฤษภาคม 2565 เท่ากับ 348 บาทต่อถัง และเดือนมิถุนายน 2565 เท่ากับ 363 บาทต่อถัง] ทั้งนี้ จากการประมาณการแนวโน้มราคา LPG ในตลาดโลกในช่วงดังกล่าว คาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายรวมประมาณ 6,380 ล้านบาท ซึ่งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะเป็นผู้บริหารจัดการ
1.2) ราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ (NGV) ตรึงราคาขายปลีก NGV ในช่วงเดือนเมษายน - มิถุนายน 2565 เท่ากับ 15.59 บาทต่อ กก. โดยขอความร่วมมือจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (บมจ.ปตท.) ซึ่งจากการประมาณการแนวโน้มราคาก๊าซ NGV ในช่วงดังกล่าว คาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1,590 ล้านบาท
1.3) ราคาค่าไฟฟ้า โดยการให้ส่วนลดอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่า Ft) ให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน เป็นระยะเวลา 4 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม 2565 ทั้งนี้ จากการประมาณการแนวโน้มความต้องการไฟฟ้า ราคาค่าเชื้อเพลิงและอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงดังกล่าว คาดว่าจะทำให้ภาครัฐมีภาระค่าใช้จ่ายรวมประมาณ 2,000 - 3,500 ล้านบาท โดยในเบื้องต้นจะใช้แหล่งเงินจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
1.4) เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ กำกับดูแลราคาสินค้าและบริการโดยสารเฉพาะสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประชาชนของประชาชน เพื่อไม่ให้ผู้ประกอบการฉวยโอกาสปรับราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นเกินความจำเป็นและความเหมาะสม และในกรณีที่ราคาพลังงานมีแนวโน้มลดลง เห็นควรกำหนดให้มีกลไกในการกำกับดูแลให้ผู้ประกอบการปรับราคาสินค้าและบริการให้เหมาะสมกับต้นทุนที่มีแนวโน้มลดลง พร้อมทั้งขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการในการมุ่งเน้นการควบคุมและบริหารจัดการต้นทุนภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวควบคู่ไปด้วย
2) การลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบอาชีพในภาคขนส่ง โดยการบริหารจัดการราคาค่าเชื้อเพลิงที่เป็นต้นทุนสำคัญ ดังนี้
2.1) ราคาน้ำมันดีเซล โดยการบริหารราคาน้ำมันดีเซลโดยใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและภาษีสรรพสามิต โดยตรึงราคาน้ำมันดีเซลที่ 30 บาทต่อลิตรในเดือนเมษายน 2565 หลังจากนั้นในช่วงเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2565 ในกรณีที่ราคาน้ำมันดีเซลภายในประเทศยังคงสูงเกินกว่าราคาที่กำหนดไว้ รัฐจะอุดหนุนราคาส่วนเพิ่มร้อยละ 50 ทั้งนี้ จากการประมาณการราคาน้ำมันดีเซลในตลาดเอเชียในช่วงเวลาดังกล่าวคาดว่าจะมีราคาเฉลี่ยประมาณ 115 - 135 เหรียญ สรอ. ต่อบาร์เรล คาดว่าภาครัฐจะมีค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการราคาน้ำมันดีเซล รวมประมาณ 33,140 ล้านบาท
2.2) ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล โดยให้ส่วนลดแก่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะ (รถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง) ที่มีใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะที่จดทะเบียนเป็นผู้ขับขี่จักรยานยนต์รับจ้างกับกรมการขนส่งทางบก จำนวนประมาณ 157,000 ราย จำนวน 5 บาทต่อลิตร ไม่เกิน 250 บาทต่อคนต่อเดือน ในช่วงเดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม 2565 ทั้งนี้ จากการประมาณการค่าใช้จ่ายตามแนวทางดังกล่าว จะทำให้ภาครัฐมีภาระค่าใช้จ่ายรวมประมาณ 120 ล้านบาท โดยในเบื้องต้นจะใช้แหล่งเงินจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
2.3) ราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) สำหรับผู้ขับขี่รถยนต์รับจ้าง (รถแท็กซี่) โดยการขอความร่วมมือจาก บมจ.ปตท. สำหรับผู้ขับขี่รถยนต์รับจ้าง (รถแท็กซี่) ที่ลงทะเบียนภายใต้โครงการลมหายใจเดียวกัน จำนวน 17,460 ราย สามารถซื้อก๊าซ NGV ในอัตรา 13.62 บาทต่อ กก. ในช่วงเดือนเมษายน - มิถุนายน 2565 วงเงินไม่เกิน 10,000 บาท ต่อเดือน ทั้งนี้ จากการประมาณการแนวโน้มราคาก๊าซ NGV ในช่วงดังกล่าวจะทำให้ บมจ.ปตท. จะมีภาระค่าใช้จ่ายรวมประมาณ 171 ล้านบาท
3) การดูแลค่าครองชีพประชาชนผู้มีรายได้น้อย โดยการให้ส่วนลดค่าก๊าซ LPG แก่กลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มกำลังซื้อและลดภาระต้นทุนในการประกอบอาชีพให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในช่วงเดือนเมษายน - มิถุนายน 2565 ดังนี้
3.1) กลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทั่วไป โดยการให้ส่วนลดสำหรับซื้อก๊าซ LPG เพิ่มเติมอีก จำนวน 55 บาท ต่อ 3 เดือน รวมเป็น 100 บาทต่อ 3 เดือน
ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ใช้สิทธิประมาณ 3.6 ล้านราย ทั้งนี้ จากการประมาณการค่าใช้จ่าย คาดว่าจะทำให้ภาครัฐมีภาระค่าใช้จ่ายรวมประมาณ 200 ล้านบาท โดยในเบื้องต้นจะใช้แหล่งเงินจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
3.2) กลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทั่วไปที่เป็นผู้ค้าหาบเร่แผงลอยที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ได้ลงทะเบียนกับ บมจ. ปตท. โดยการขอความร่วมมือจากบมจ. ปตท. ในการให้ส่วนลดสำหรับซื้อก๊าซ LPG ไม่เกิน 100 บาทต่อรายต่อเดือน ทั้งนี้ คาดว่าตามแนวทางดังกล่าวจะทำให้มีค่าใช้จ่ายรวมประมาณ 1.65 ล้านบาท
4) ยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเกรดพรีเมี่ยมเนื่องจากเป็นน้ำมันที่ใช้กับกลุ่มรถยนต์ของผู้ที่มีกำลังซื้อสูง เพื่อลดภาระการสนับสนุนของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยจะสามารถบริหารเงินในส่วนนี้สำหรับชดเชยให้กับกลุ่มที่มีความจำเป็นต่อไป
5) การสนับสนุนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อดำเนินมาตรการรักษาเสถียรภาพของราคาพลังงานของประเทศ โดยพิจารณาจัดสรรเงินอุดหนุน ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินและจำเป็น ตามมาตรา 6 (2) ของพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 2562 ให้แก่ กองทุนฯ เพื่อสร้างความมั่นใจแก่สถาบันการเงินที่จะให้สินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องแก่กองทุนฯ
6) การลดภาระค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ประกอบการขนส่งด้วยรถบรรทุกและรถโดยสารสาธารณะ โดยมอบหมายกระทรวงคมนาคม พิจารณาความเหมาะสมของการลดอัตราหรืองดการจัดเก็บค่าใช้จ่ายในการต่ออายุทะเบียนรถบรรทุกและรถโดยสารสาธารณะในปี 2565 และนำเสนอเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
7) การดูแลกลุ่มแรงงานที่ได้รับผลกระทบ โดยการลดภาระค่าครองชีพให้แก่ผู้ประกันตนและลดต้นทุนการผลิตให้แก่นายจ้าง ผ่านกลไกของกองทุนประกันสังคม ดังนี้
7.1) นายจ้างและผู้ประกันตนตามมาตรา 33 โดยกำหนดให้มีการลดอัตราเงินสมทบฝ่ายนายจ้างและผู้ประกันตามมาตรา 33 จากเดิมฝ่ายละร้อยละ 5 ของค่าจ้างผู้ประกันตน เหลือฝ่ายร้อยละ 1 ของค่าจ้างผู้ประกันตน สำหรับงวดค่าจ้างเดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม 2565 ทั้งนี้ คาดว่าจะการดำเนินการดังกล่าวจะทำให้มีวงเงินประมาณ 33,857 ล้านบาท
7.2) ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 โดยกำหนดให้มีการลดอัตราเงินสมทบผู้ประกันตามมาตรา 39 จากเดิมร้อยละ 9 ของฐานค่าจ้าง 4,800 บาท (เดือนละประมาณ 432 บาท) เหลือร้อยละ 1.90 ของค่าจ้าง 4,800 บาท (เดือนละ 91 บาท) สำหรับงวดค่าจ้างเดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม 2565
7.3) ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 โดยกำหนดให้มีการลดอัตราเงินสมทบผู้ประกันตามมาตรา 40 จากเดิม 70 - 300 บาทต่อเดือน เป็น 42 - 180 บาทต่อเดือน (แล้วแต่กรณี) จำนวน 6 เดือน สำหรับงวดค่าจ้างเดือนกุมภาพันธ์ - กรกฎาคม 2565
ทั้งนี้ ในเบื้องต้น การดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวจะทำให้กองทุนประกันสังคม มีรายรับจากเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ลดลงรวมประมาณ 33,857 ล้านบาทสำหรับมาตรการที่ 7.1) – 7.2) และประมาณ 1,367 ล้านบาท สำหรับมาตรการที่ 7.3)
8) การดูแลกลุ่มเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคาปัจจัยการผลิต โดยการแก้ไขปัญหาปุ๋ยแพงและปุ๋ยขาค รวมถึงปัญหาอาหารสัตว์ โดยปัจจุบันคณะทำงานของกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือดูแลกลุ่มเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคาปัจจัยการผลิต ดังนั้น จึงเห็นควรมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ เร่งดำเนินการจัดทำข้อเสนอแนวทางการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรต่อไป
2. มาตรการให้ความช่วยเหลือในระยะต่อไป : เพื่อให้ภาครัฐมีข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดแนวทางการพิจารณาให้ความช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพของประชาชนและผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมทั่วประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาพลังงานอันเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรปในลักษณะมุ่งเป้าได้ เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณและธนาคารแห่งประเทศไทย ร่วมกันพิจารณาติดตามและปรับปรุงมาตรการการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่เหมาะสมตามสถานการณ์ของราคาพลังงานในตลาดโลก โดยคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจความพร้อมและความสามารถทางการเงินของภาครัฐภายใต้พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ด้วย ทั้งนี้ กรณีที่กระทรวงผู้รับผิดชอบพิจารณาแล้วเห็นว่ามีความจำเป็นต้องดำเนินการลดผลกระทบของประชาชนและผู้ประกอบการจากสถานการณ์ราคาพลังงานอันเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรปที่มีลักษณะมุ่งเป้า เห็นควรให้กระทรวงรับผิดชอบเสนอแนวทางการให้ความช่วยเหลือให้ สศช. รวบรวมก่อนเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนดำเนินการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป
3. ผลที่คาดว่าจะได้รับ การดำเนินการตามข้อเสนอมาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงานอันเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรปจะช่วยลดภาระค่าครองชีพของผู้มีรายได้น้อย แรงงานและเกษตรกร ประชาชนทั่วไป และสามารถลดค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ประกอบการในช่วงระยะเวลาของมาตรการ
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) 29 มีนาคม 2565
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
A3973