สรุปสถานการณ์สาธารณภัย และการช่วยเหลือ
- Details
- Category: มติ ครม.
- Published: Tuesday, 06 July 2021 20:25
- Hits: 8776
สรุปสถานการณ์สาธารณภัย และการช่วยเหลือ
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์สาธารณภัย และการช่วยเหลือ ระหว่างวันที่ 29 มิถุนายน – 5 กรกฎาคม 2564 ตามที่กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เสนอ ดังนี้
การคาดหมายลักษณะอากาศ การสั่งการเพื่อเตรียมความพร้อม และการช่วยเหลือ
1. สภาพอากาศ (ระหว่างวันที่ 5 - 11 กรกฎาคม 2564)
ในช่วงวันที่ 6 - 7 กรกฎาคม 2564 ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำ มีกำลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลางมีแนวโน้มเคลื่อนเข้าปกคลุมอ่าวตั้งเกี๋ย และเวียดนามตอนบน ในช่วงวันที่ 7 - 8 กรกฎาคม 2564 ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นกับมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ในช่วงวันที่ 8 - 11 กรกฎาคม 2564 ร่องมรสุมได้เลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทยและอ่าวไทย มีกำลังแรงขึ้น ทำให้มีฝนเพิ่มมากขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง คลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
ข้อควรระวัง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทย ระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักและลมกระโชกแรง
2. การแจ้งเตือนและสั่งการเพื่อเตรียมความพร้อม
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จัดเจ้าหน้าที่อยู่เวรเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ไว้พร้อม เพื่อสามารถช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้ทันเหตุการณ์
3. ข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย / ผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้มีข้อสั่งการเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 สั่งการให้กองอํานวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2564 ดังนี้
1) การเตรียมความพร้อม
1.1 การเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อุทกภัย ให้จัดตั้งคณะทํางานติดตามสถานการณ์โดยมี หน่วยงานด้านการพยากรณ์หน่วยงานด้านการบริหารจัดการน้ำ ฝ่ายปกครองในพื้นที่ ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญจากภาคประชาสังคมหรือสถาบันการศึกษาที่มีศักยภาพ เพื่อร่วมทําหน้าที่ติดตามข้อมูลสภาพอากาศ สถานการณ์น้ำและเหตุการณ์ที่อาจส่งผลให้เกิดสาธารณภัยในช่วงฤดูฝน รวมทั้งวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์น้ำ ในพื้นที่ เพื่อใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจของผู้อํานวยการแต่ละระดับ สำหรับใช้ในการสื่อสารแจ้งเตือนประชาชน ตลอดจนการเตรียมความพร้อมในการเผชิญเหตุได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ และสภาพพื้นที่
1.2 การจัดทําแผนเผชิญเหตุอุทกภัย ให้ทบทวนและปรับปรุงแผนเผชิญเหตุอุทกภัยของจังหวัดให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
1.3 การระบายน้ำและการเพิ่มพื้นที่รองรับน้ำ ให้มอบหมายกองอํานวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในแต่ละระดับดําเนินการอย่างเป็นระบบ มีความเชื่อมโยงกันโดยเฉพาะตามรอยต่อเขตรับผิดชอบที่เป็นเส้นทางน้ำไหลผ่าน
1.4 การตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงสถานที่ใช้กักเก็บน้ำ / กั้นน้ำ อาทิ อ่างเก็บน้ำ พนังกั้นน้ำ ให้มอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบจัดทีมวิศวกรเข้าสํารวจตรวจสอบ และปรับปรุงให้เกิดความมั่นคงแข็งแรง เพื่อให้สามารถรองรับกรณีฝนตกหนัก หรือน้ำไหลเข้า / ผ่านในปริมาณมาก รวมทั้งสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในพื้นที่
1.5 การแจ้งเตือนภัย เมื่อมีแนวโน้มการเกิดสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินถล่มขึ้นในพื้นที่ ให้ดําเนินการแจ้งเตือนไปยังกองอํานวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในแต่ละระดับ ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมบุคลากร วัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักรกลสาธารณภัยให้พร้อมเผชิญเหตุ และเตรียมการในพื้นที่เสี่ยงภัยเสี่ยงภัยเป็นการล่วงหน้า รวมทั้งแจ้งเตือนให้ประชาชนทราบในทุกช่องทางทั้งในรูปแบบที่เป็นทางการ และไม่เป็นทางการ อาทิ สื่อสังคมออนไลน์ วิทยุชุมชน หอกระจายข่าวประจําหมู่บ้าน เพื่อให้ประชาชนรับทราบข้อมูล ข่าวสาร ตลอดจนแนวทางการปฏิบัติตนให้เกิดความปลอดภัย ช่องทางการแจ้งข้อมูล และการขอรับความช่วยเหลือจากภาครัฐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และในกรณีจังหวัดที่มีเส้นทางน้ำเชื่อมต่อกันให้มีการประเมินสถานการณ์ร่วมกัน และแจ้งเตือนระหว่างจังหวัดต้นน้ำและจังหวัดปลายน้ำอย่างใกล้ชิด
2) การเผชิญเหตุ
เมื่อเกิดหรือคาดว่าจะเกิดสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินถล่มในพื้นที่ ให้ยึดแนวทางการจัดการสาธารณภัยในภาวะฉุกเฉิน ตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2558 และกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยดําเนินการตามแนวทาง ดังนี้
2.1 จัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ระดับจังหวัด อําเภอ และศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินในระดับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อเป็นศูนย์ควบคุม สั่งการ และอํานวยการหลักในการระดมสรรรพกําลัง ตลอดจน การประสานการปฏิบัติระหว่างหน่วยงานต่างๆ ทั้งฝ่ายพลเรือน หน่วยทหาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และองค์กร สาธารณกุศล
2.2 ให้มอบหมายฝ่ายปกครอง กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นําชุมชน ตลอดจนอาสาสมัคร ประชาชนจิตอาสา เตรียมความพร้อมเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงในชุมชน พื้นที่สําคัญทางเศรษฐกิจ สถานที่สําคัญต่างๆ และร่วมกันกําจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำเมื่อเกิดฝนตกหนักในพื้นที่ ทั้งนี้ หากมีกรณีน้ำท่วมขัง สร้างความเดือดร้อน ความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชนให้เร่งกําหนดแนวทางการระบายน้ำ พร้อมทั้งสั่งใช้เครื่องจักรกลในพื้นที่ของหน่วยงาน ฝ่ายพลเรือน หน่วยทหาร และภาคเอกชน เพื่อเร่งระบายน้ำ และเปิดทางน้ำในพื้นที่
2.3 จัดชุดปฏิบัติการเร่งให้ความช่วยเหลือด้านการดํารงชีพแก่ประชาชนที่ประสบภัยตามวงรอบ อย่างต่อเนื่อง อาทิ การจัดตั้งโรงครัวพระราชทาน ความช่วยเหลือด้านอาหาร น้ำดื่ม การรักษาพยาบาล โดยอย่าให้เกิด ความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติ และเชิญชวนประชาชนจิตอาสามีส่วนร่วมกับภาครัฐในการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย
2.4 กรณีบ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหาย ให้บูรณาการหน่วยงานเป็นทีมช่างในพื้นที่ ทั้งหน่วยทหาร ตํารวจ ฝ่ายปกครอง สถาบันการศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนประชาชนจิตอาสา เพื่อเร่งซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชนโดยเร็ว
2.5 กรณีเส้นทางคมนาคมได้รับความเสียหาย หรือถูกน้ำท่วมจนประชาชนไม่สามารถใช้ยานพาหนะสัญจรได้ให้จัดทําป้ายแจ้งเตือนพร้อมทั้งจัดเจ้าหน้าที่อํานวยความสะดวกการจราจร แนะนําเส้นทางเลี่ยงที่ปลอดภัย รวมทั้งจัดยานพาหนะที่เหมาะสม อาทิ เรือ รถยกสูง เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชน และให้เร่งซ่อมแซมเส้นทางที่ชํารุด / ถูกตัดขาด เพื่อให้ประชาชนใช้สัญจรได้โดยเร็ว
2.6 เน้นย้ำการสื่อสารสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนในช่วงเกิดสถานการณ์อุทกภัย ผ่านสื่อมวลชน ตลอดจนสื่อแขนงต่างๆ และสื่อสังคมออนไลน์เพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง
2.7 ให้รายงานสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย น้ำป่าไหลหลาก และดินถล่มที่เกิดขึ้นต่อกองอํานวยการ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลางอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการประเมินสถานการณ์และเสนอ ความเห็นต่อผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติในการตัดสินใจสั่งการในเชิงนโยบายต่อไป
สรุปสถานการณ์วาตภัย
ระหว่างวันที่ 29 มิถุนายน - 5 กรกฎาคม 2564
1. จังหวัดราชบุรี วันที่ 3 กรกฎาคม 2564 เวลา 16.00 น. เกิดเหตุวาตภัยในพื้นที่อำเภอปากท่อ ตำบลปากท่อ และตำบลหนองกระทุ่ม บ้านเรือนประชาชนเสียหาย 23 หลัง ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต
และวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 เวลา 19.00 น. เกิดเหตุวาตภัยในพื้นที่อำเภอโพธาราม ตำบลโพธาราม ทำให้หลังคาตลาดนัดพังถล่ม รถยนต์ได้รับความเสียหาย 1 คัน มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 คน และไม่มีผู้เสียชีวิต
2. จังหวัดสุรินทร์ วันที่ 2 กรกฎาคม 2564 เวลา 16.30 น. เกิดเหตุวาตภัยในพื้นที่อำเภอพนมดงรัก ตำบลโคกกลาง (หมู่ที่ 8) บ้านเรือนประชาชนเสียหาย 1 หลัง ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต
การให้ความช่วยเหลือ : สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด อำเภอ อปท. อปพร. อาสาสมัคร และมูลนิธิเข้าสำรวจความเสียหาย และให้การช่วยเหลือในเบื้องต้น
สรุปสถานการณ์อุบัติภัย และเหตุการณ์สำคัญ
ระหว่างวันที่ 29 มิถุนายน - 5 กรกฎาคม 2564
1. จังหวัดสมุทรปราการ วันที่ 5 กรกฎาคม 2564 เวลา 03.20 น. เกิดเหตุระเบิดภายในโรงงานผลิตเม็ดโฟมพลาสติก “บริษัท หมิงตี้เคมีคอล จำกัด” ตั้งอยู่เลขที่ 87 ซอยกิ่งแก้ว 21 หมู่ที่ 15 ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี ทำให้บ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหายประมาณ 100 หลัง รถยนต์ 15 คัน มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 33 คน และมีผู้เสียชีวิต 1 ราย
การให้ความช่วยเหลือ : ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 1 ปทุมธานี เขต 2 สุพรรณบุรี เขต 3 ปราจีนบุรี และเขต 16 ชัยนาท สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กรมควบคุมมลพิษ กรุงเทพมหานคร ปตท. การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค อำเภอ อปท. บริษัท บางจาก จำกัด เจ้าหน้าที่ตำรวจ อปพร. อาสาสมัคร มูลนิธิ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าทำการดับเพลิงอย่างต่อเนื่อง และนำผู้ได้รับบาดเจ็บส่งโรงพยาบาลบางบ่อ โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 1 โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 โรงพยาบาลปริ้นซ์ โรงพยาบาลสิรินธร โรงพยาบาลศิริธร และโรงพยาบาลรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์ ปัจจุบันเพลิงสงบแล้ว เมื่อเวลา 03.45 น. (วันที่ 6 กรกฎาคม 2564) แต่ยังคงฉีดน้ำหล่อเลี้ยงไว้ เพื่อไม่ให้เพลิงปะทุลุกไหม้ขึ้นอีก
2. กรุงเทพมหานคร วันที่ 5 กรกฎาคม 2564 เวลา 10.36 น. เกิดเหตุเพลิงลุกไหม้อาคารพาณิชย์ 3 ชั้น 6 คูหา ภายในซอยเจริญราษฎร์ 7 แยก 7-6-3 ถนนเจริญราษฎร์ แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเข้าทำการดับเพลิงจนเพลิงสงบ เวลา 11.00 น. เพลิงลุกไหม้เสียหาย 34 ตารางเมตร ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) 6 กรกฎาคม 2564
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
A7142
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ