WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ครั้งที่ 7/2564

GOV 6

สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ครั้งที่ 7/2564

          คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ครั้งที่ 7/2564 เมื่อวันศุกร์ที่ 21พฤษภาคม 2564 ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) เสนอ ดังนี้

          สรุปสถานการณ์ ปัญหาอุปสรรค ข้อเสนอแนะ 

          1. ที่ประชุมรับทราบรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อ ดังนี้

                 1) สถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลก วันที่ 21 พฤษภาคม 2564 มีจำนวนผู้ติดเชื้อรวมทั้งสิ้น 165,810,164 ราย โดยประเทศที่พบผู้ติดเชื้อมากที่สุด 3 ลำดับแรกของโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อินเดีย และบราซิล ในส่วนของประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 91 จาก 218 ประเทศทั่วโลก

                 2) สถานการณ์การแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อระลอกใหม่เดือนเมษายน 2564 ในประเทศไทย ระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 21 พฤษภาคม 2564 มีผู้ป่วยติดเชื้อและอยู่ระหว่างการรักษา จำนวน 42,827 ราย (อยู่ในโรงพยาบาล 17,892 ราย และโรงพยาบาลสนาม 24,935 ราย) และหายป่วยแล้วสะสม 52,078 ราย ทั้งนี้ วันที่ 21 พฤษภาคม 2564 พบผู้ป่วยรายใหม่ จำนวน 3,481 ราย เป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ จำนวน 1,644 ราย ผู้ป่วยจากการคัดกรองเชิงรุก จำนวน 874 ราย ผู้ป่วยที่เดินทางมาจากต่างประเทศและอยู่ระหว่างกักตัวในสถานที่กักกันที่ทางราชการกำหนด จำนวน 12 ราย และผู้ป่วยจากการคัดกรองเชิงรุกในเรือนจำและที่ต้องขัง จำนวน 951 ราย และหายป่วยแล้ว จำนวน 2,868 ราย

                 3) สรุปสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 พบว่า พื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลพบผู้ติดเชื้ออย่างต่อเนื่องและยังไม่ลดลง พื้นที่ต่างจังหวัด มีแนวโน้มคงตัว พบผู้ติดเชื้อผ่านชายแดนของประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศกัมพูชา และยังมีคนไทยรอกลับเข้าประเทศเพิ่มเติม ในส่วนของสถานที่เสี่ยง ได้แก่ ชุมชนแออัด (ชุมชนในและรอบที่พักคนงานก่อสร้าง ชุมชนรอบตลาด และชุมชนรอบโรงงาน) สถานประกอบการ/สถานที่ทำงาน โรงงาน และตลาด โดยมีปัจจัยเสี่ยง คือ การสัมผัสบุคคลในครอบครัว สถานประกอบการ/ที่ทำงาน การเดินทางจากพื้นที่เสี่ยง/ต่างจังหวัด การรับประทานอาหารร่วมกันและคลุกคลีกัน รวมทั้งกลุ่มแรงงานต่างด้าว กลุ่มแรงงานถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย และกลุ่มที่ไม่ทราบสถานะ

                 4) การดำเนินการในปัจจุบัน ได้แก่ (1) มาตรการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว และการให้การดูแลรักษาแรงงานต่างด้าวที่ไม่มีสิทธิใดๆ โดยยกระดับเป็นแรงงานถูกกฎหมาย และปรับปรุงระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น การลดค่าธรรมเนียมการขึ้นทะเบียน การขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาประกอบอาชีพทุกประเภท เป็นต้น (2) การเร่งรัดการแยกกักผู้ป่วยออกจากชุมชน เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อ และพิจารณาการแยกกักในชุมชน (Bubble and Sealed) กรณีเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ (3) ทุกจังหวัดต้องเร่งกำกับติดตามมาตรการ (DMHTTA) อย่างเข้มข้น รวมทั้งเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง/สถานที่เสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ โดยเน้นตลาด โรงงาน สถานประกอบการ/ที่ทำงาน โดยเฉพาะการงดรับประทานอาหารร่วมกันเป็นกลุ่ม และ (4) เตรียมการรับมือการกลับเข้าประเทศโดยเฉพาะจากประเทศกัมพูชาและมาเลเซีย ซึ่งเข้ามาทางด่านชายแดนและการลักลอบเข้าประเทศแบบผิดกฎหมาย ทั้งนี้ ให้เตรียมสถานที่กักกันที่ทางราชการกำหนด (Local Quarantine) และโรงพยาบาลให้เพียงพอ

          2. ที่ประชุมรับทราบการปรับมาตรการป้องกันและควบคุมโรคตามระดับพื้นที่สถานการณ์ย่อย ทั่วราชอาณาจักร สำหรับสถานศึกษา และมาตรการแนวปฏิบัติของสถานศึกษาเพื่อดำเนินการเปิดภาคเรียนที่ 2 ประจำปีการศึกษา 2564 ดังนี้

                 1) การปรับมาตรการป้องกันและควบคุมโรคตามระดับพื้นที่สถานการณ์ย่อยทั่วราชอาณาจักร สำหรับสถานศึกษา เพื่อให้สอดคล้องกับการประกาศข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน .. 2548 ฉบับที่ 23 เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 ดังนี้

                          (1) พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (4 จังหวัด) ให้สถานศึกษาทุกระดับและสถาบันกวดวิชา งดใช้อาคารสถานที่เพื่อจัดการเรียนการสอนและกิจกรรมที่มีการรวมคนจำนวนมาก และห้ามจัดกิจกรรมที่มีการรวมคนมากกว่า 20 คน และให้สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าเมื่อออกจากเคหสถานหรืออยู่ในที่สาธารณะ

                          (2) พื้นที่ควบคุมสูงสุด (17 จังหวัด) ให้สถานศึกษาทุกระดับและสถาบันกวดวิชา ใช้อาคารสถานที่เพื่อจัดการเรียนการสอนและกิจกรรมที่มีการรวมคนจำนวนมากได้ โดยผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด และห้ามจัดกิจกรรมที่มีการรวมคนมากกว่า 50 คน และให้สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าเมื่อออกจากเคหสถานหรืออยู่ในที่สาธารณะ

                          (3) พื้นที่ควบคุม (56 จังหวัด) ให้สถานศึกษาทุกระดับและสถาบันกวดวิชา ใช้อาคารสถานที่เพื่อจัดการเรียนการสอนและกิจกรรมที่มีการรวมคนจำนวนมากได้ และห้ามจัดกิจกรรมที่มีการรวมคนมากกว่า 50 คน และให้สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าเมื่อออกจากเคหสถานหรืออยู่ในที่สาธารณะ

                 2) มาตรการแนวปฏิบัติของสถานศึกษาเพื่อดำเนินการเปิดภาคเรียนที่ 2 ประจำปีการศึกษา 2564 โดยกระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดวันเปิดภาคเรียนในวันที่ 14 มิถุนายน 2564 หากสถานศึกษาใดต้องการเปิดภาคเรียนก่อนวันดังกล่าว ต้องดำเนินการขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด และต้องมีลักษณะเข้าตามเกณฑ์ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 กำหนด รวมถึงต้องดำเนินการตามแนวปฏิบัติวิธีการจัดการเรียนการสอน แบ่งตามพื้นที่สถานการณ์ ดังนี้

                          (1) พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (4 จังหวัด) ให้จัดการเรียนการสอนเฉพาะรูปแบบการจัดการศึกษาทางไกลใน 4 รูปแบบ ตามความเหมาะสม ได้แก่ (1) การเรียนการสอนผ่านโทรทัศน์ (On Air) (2) การเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต (Online) (3) การเรียนการสอนผ่านเว็บไซต์ ช่องยูทูป (Youtube) และแอปพลิเคชันของมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) (On Demand) และ (4) การเรียนการสอนที่ให้นักเรียนรับหนังสือ แบบฝึกหัด หรือใบงานไปเรียนรู้ที่บ้าน ผ่านระบบไปรษณีย์ (On Hand) ทั้งนี้ ไม่อนุญาตให้จัดการเรียนการสอนตามปกติ (On-site) ตามมติของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19

                          (2) พื้นที่ควบคุมสูงสุด (17 จังหวัด) และพื้นที่ควบคุม (56 จังหวัด) ให้สถานศึกษาเลือกรูปแบบการเรียนการสอนใน 5 รูปแบบ ตามความเหมาะสม ได้แก่ On-site, On Air, Online, On Hand และ On Demand ทั้งนี้ สถานศึกษาที่ประสงค์จัดการเรียนการสอนในรูปแบบ On-site ต้องผ่านเกณฑ์การประเมินความพร้อมจากระบบ Thai Stop Covid plus (TSC+) ครบทั้ง 44 ข้อ จากนั้นให้นำผลการประเมินดังกล่าวไปขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเพื่อเปิดเรียนแบบ On-site ต่อไป

          3. มาตรการด้านสาธารณสุขในการจัดการประชุมรัฐสภา สมัยสามัญ ประจำปีครั้งที่ 1 .. 2564 โดยที่ประชุมเห็นชอบตามข้อเสนอของกรุงเทพมหานคร ดังนี้

                 1) เห็นชอบมาตรการป้องกันโรคโควิด - 19 ในการจัดประชุมรัฐสภาตามที่ กรุงเทพมหานคร สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และ สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ เพื่อใช้เป็นมาตรการหลักในการดูแลการประชุมในระหว่างสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่ 1 .. 2564

                2) มอบหมายให้กรุงเทพมหานคร สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา เป็นหน่วยกำกับและติดตามการปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขที่กรุงเทพมหานครร่วมกับกรมควบคุมโรคกำหนด โดยมีมาตรการสำคัญด้านสาธารณสุขในการจัดการประชุมรัฐสภา สมัยสามัญ ประจำปี ครั้งที่ 1 .. 2564 ดังนี้

                          (1) สวมหน้ากากอนามัยให้ถูกต้องตลอดเวลา ยกเว้นในช่วงเวลาที่ผู้ควบคุมการประชุมผ่อนผันระหว่างการอภิปรายหรือแสดงความเห็นในที่ประชุม ตามความเหมาะสมแห่งสภาพการณ์และสมควรแก่เหตุ ตามข้อ 1 ของข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการ
ในสถานการณ์ฉุกเฉิน .. 2548 ฉบับที่ 23

                          (2) การนั่งในห้องประชุม ให้เว้นระยะห่าง 2 เมตร

                          (3) ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา มีผู้ติดตามได้ 1 คน เท่านั้น

                          (4) ให้ตำรวจสภา กำกับการใช้ลิฟท์ไม่เกินครั้งละ 6 คน

                          (5) จัดอาหารให้สมาชิกเฉพาะบุคคล โดยงดรับประทานอาหารร่วมกัน

                          (6) งดการประชุมกรรมาธิการทุกคณะ ทั้งสามัญและวิสามัญ รวมทั้งอนุกรรมาธิการ จนกว่าจะกำหนดเป็นอย่างอื่น

                          (7) สำนักงานที่สามารถจัด Work from home ได้ ให้ดำเนินการร้อยละ 100

                          (8) ให้ปรับแผนการปฏิบัติงานตามตัวชี้วัด ตามสถานการณ์โควิด - 19

                          (9) ขอความร่วมมือให้ข้าราชการรัฐสภาฉีดวัคซีนทุกคน (ร้อยละ 100) หากผู้ใดไม่ฉีดวัคซีน จะไม่อนุญาตให้เข้าห้องประชุม (เว้นแต่มีเหตุจำเป็น)

                 3) มอบหมายกระทรวงสาธารณสุขจัดสรรวัคซีน จำนวน 2,000 โดส เพื่อฉีดระหว่างวันที่ 21 - 25 พฤษภาคม 2564

                 ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบตามที่รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้เสนอให้ที่ประชุมพิจารณาเพิ่มเติม กรณีการขอแยกจัดพื้นที่การประชุม สำหรับสมาชิกวุฒิสภาที่เป็นผู้สูงอายุ เพื่อให้สามารถถอดหน้ากากระหว่างการประชุมได้ โดยให้เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับการประชุมรัฐสภา

          4. ที่ประชุมเห็นชอบให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร คราวที่ 12 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2564 จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2564

          5. แผนการให้บริการวัคซีนโควิด - 19 ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเสนอต่อที่ประชุมพิจารณา ดังนี้

                 1) แผนการจัดสรรวัคซีน AstraZeneca เข็มที่ 1 ในเดือนมิถุนายน - กันยายน 2564 ประเทศไทยได้กำหนดให้วัคซีน AstraZeneca เป็นวัคซีนหลักสำหรับการป้องกันโรคโควิด - 19 โดยในช่วงเดือนมิถุนายน - กันยายน 2564 มีแผนการฉีดวัคซีน AstraZeneca จำนวน 36,000,000 โดส เพื่อฉีดวัคซีนปูพรมเป็นเข็มที่ 1 และในช่วงเดือนตุลาคม ถึง ธันวาคม 2564 มีแผนการฉีดวัคซีน AstraZeneca เป็นเข็มที่ 2 โดยมีกลุ่มเป้าหมายในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด - 19 จำนวน 10 กลุ่ม ดังนี้

                          (1) บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าทั้งภาครัฐและเอกชน

                          (2) เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด - 19 หรือบริการประชาชน และมีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย

                          (3) ผู้ที่มีโรคเรื้อรังประจำตัว

                          (4) ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป

                          (5) ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสโรค เช่น ครู พนักงานขับรถสาธารณะ ชาวไทยที่จะไปศึกษา/ ทำงาน/ประกอบธุรกิจยังต่างประเทศ

                          (6) คณะทูตานุทูตและครอบครัว รวมทั้งองค์กรระหว่างประเทศ

                          (7) ประชาชนทั่วไป

                          (8) ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม

                          (9) นักธุรกิจ/ผู้ประกอบการ/ชาวต่างชาติ/แรงงานต่างด้าวที่มีถิ่นพำนักในประเทศไทย

                          (10) กลุ่มอื่นๆ ตามความจำเป็น และสถานการณ์การระบาด

                 2) การนัดหมายผ่านองค์กร

                          (1) กรณีองค์กรสามารถประสานหาสถานพยาบาลเพื่อฉีดวัคซีนได้เอง ให้ติดต่อขอรับวัคซีนได้จากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กรุงเทพมหานคร

                          (2) องค์กรไม่สามารถประสานหาสถานพยาบาลเพื่อฉีดวัคซีนได้เอง ให้ติดต่อคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กรุงเทพมหานคร เพื่อนัดหมายขอเข้ารับวัคซีนแบบกลุ่ม สถานพยาบาลที่คณะกรรมการฯ กำหนด

                          (3) กรณีองค์กรขนาดใหญ่ที่มีบุคลากรอยู่ในหลายจังหวัดหรือองค์กรระหว่างประเทศ/หน่วยงานต่างชาติที่ติดต่อผ่านกระทรวงการต่างประเทศ ให้แจ้งอธิบดีกรมควบคุมโรค โดยหาสถานพยาบาลรองรับการฉีดเอง

                          (4) กรณีผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม (จำนวน 16,000,000 คน) ให้ดำเนินการ ดังนี้

                                   - สำนักงานประกันสังคมจัดแผนฉีดวัคซีนโดยตรง

                                   - กำหนดสถานพยาบาลที่ฉีดวัคซีนตามสิทธิ และเชิงรุกนอกสถานพยาบาล

                                   - ดำเนินงานร่วมกับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/สำนักงานประกันสังคม

                 3) การจัดระบบการให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด - 19 สำหรับกลุ่มเป้าหมายจำเพาะ โดยให้สามารถเข้ารับวัคซีนตั้งแต่วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป ดังนี้

                          (1) กลุ่มคณะทูตานุทูตและองค์กรระหว่างประเทศ

                                   (1.1) กรณีองค์กรระหว่างประเทศ/หน่วยงานต่างชาติที่ติดต่อผ่านกระทรวงการต่างประเทศ ให้แจ้งหนังสือมายังอธิบดีกรมควบคุมโรคเพื่อขอรับวัคซีนไปฉีดให้กับบุคลากรในสังกัดได้

                                   (1.2) กรณีประสงค์จะรับวัคซีนเป็นรายบุคคล สามารถนัดหมายโดยตรงเพื่อเข้ารับบริการกับโรงพยาบาลที่มีความพร้อมให้บริการชาวต่างชาติ

                          (2) กลุ่มชาวไทยที่จะขอรับวัคซีนก่อนไปศึกษาต่อ/ทำงานในต่างประเทศ

                                   (2.1) กรณีผ่านองค์กร เช่น หน่วยงานผู้ให้ทุนการศึกษา สถานประกอบการ เป็นต้น

                                            - องค์กรสามารถประสานหาสถานพยาบาลเพื่อฉีดวัคซีนได้เอง ให้ติดต่อขอรับวัคซีนได้จากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กรุงเทพมหานคร

                                            - องค์กรไม่สามารถประสานหาสถานพยาบาลเพื่อฉีดวัคซีนได้เอง ให้ติดต่อคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กรุงเทพมหานคร เพื่อนัดหมายขอเข้ารับวัคซีนแบบกลุ่ม สถานพยาบาลที่คณะกรรมการฯ กำหนด

                                   (2.2) กรณีประสงค์จะรับวัคซีนเป็นรายบุคคล

                                            - ลงทะเบียนและเข้ารับวัคซีนได้ 3 ช่องทาง คือ (1) “หมอพร้อม” (Line OA และ Application) (2) นัดหมายผ่านสถานพยาบาล หรืออาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และ (3) การลงทะเบียน จุดบริการ (On-site Registration)

                                            - ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร กรณีการเดินไปศึกษาต่อหรือทำงานในต่างประเทศ สามารถเข้ารับบริการฉีดวัคซีนได้ที่โรงพยาบาลบางรัก โดยจะต้องแสดงหลักฐานการเดินทางไปศึกษาหรือทำงานในต่างประเทศ และหากมีสถานพยาบาลเพิ่มเติมตรวจสอบได้ที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กรุงเทพมหานคร

                  4) ระบบบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคโควิด - 19

 

51028

 

                  5) ที่ประชุมมีมติ ดังนี้

                          (1) เห็นชอบแผนการจัดสรรวัคซีน AstraZeneca รอบเดือนมิถุนายน - กันยายน 2564 

                          (2) เห็นชอบช่องทางการลงทะเบียนและเข้ารับวัคซีน 3 ช่องทาง คือ

                                   (2.1) การจองผ่านหมอพร้อม” (Line OA และ Application) 

                                   (2.2) การนัดหมายผ่านสถานพยาบาล หรืออาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) หรือผ่านองค์กร หรือช่องทางอื่นที่จังหวัด/กรุงเทพมหานคร จัดเพิ่มเติม

                                   (2.3) การลงทะเบียน จุดบริการ (On-site Registration) 

                          (3) เห็นชอบระบบการให้บริการวัคซีนสำหรับกลุ่มเป้าหมายจำเพาะ เช่น คณะทูตานุทูตและองค์กรระหว่างประเทศ กลุ่มชาวไทยที่จะขอรับวัคซีนก่อนไปศึกษาต่อ/ทำงานในต่างประเทศ ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม

                          (4) มอบหมายให้ทุกหน่วยงานจัดการประชาสัมพันธ์เรื่องช่องทางการรับบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด - 19 และการให้บริการแก่กลุ่มเป้าหมายจำเพาะให้ทราบโดยทั่วกัน

                          (5) ให้เริ่มการฉีดวัคซีนทั้งระบบเป็นวาระแห่งชาติ ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป

          ข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี

          1. ให้ศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 (ศปก.ศบค.) บูรณาการความร่วมมือ ทั้งข้อมูลผู้ป่วย การบริหารจัดการเตียง อุปกรณ์และเวชภัณฑ์ บุคลากรทางการแพทย์ การบริหารจัดการวัคซีน ฯลฯ โดยเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนที่มีความพร้อมเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการให้มากที่สุด

          2. ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด รณรงค์และเร่งรัดการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในจังหวัดอย่างทั่วถึงทุกพื้นที่ โดยจัดเก็บข้อมูลผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วเข้าระบบฐานข้อมูล ทั้งนี้ ให้ประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวัคซีนให้กระชับและเข้าใจง่าย

          3. ให้ศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 (ศปก.ศบค.) ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคติดเชื้อโควิด - 19 (ศปก.สธ.) ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ติดตามและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดในจังหวัดอย่างใกล้ชิด ควบคู่กับการเร่งรัดการฉีดวัคซีนให้ประชาชนในพื้นที่ให้ได้มากที่สุดในเวลาที่รวดเร็ว

          4. ให้กระทรวงสาธารณสุข คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด และกระทรวงแรงงาน กำกับดูแลให้ผู้ประกอบการให้ความช่วยเหลือและดูแลแรงงานต่างด้าวของตนที่ติดเชื้อ และดำเนินการตามมาตรการด้านสาธารณสุขในการสอบสวนโรค ตรวจหาเชื้อเชิงรุก การกักกันตัว เพื่อป้องกันมิให้การแพร่ระบาดกระจายไปยังพื้นที่อื่น

          5. ให้กระทรวงสาธารณสุข เร่งรัดการดำเนินการตามแผนการกระจายวัคซีน โดยประชาชนที่ประสงค์ฉีดวัคซีน ต้องได้ฉีดวัคซีน บริหารจัดการการฉีดวัคซีนให้เหมาะสมและไม่เป็นการเลือกปฏิบัติ เช่น ในพื้นที่เสี่ยงที่มีการแพร่ระบาดมาก ผู้ที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันหมอพร้อม หรือช่องทางต่างๆ ผู้ที่แจ้งความประสงค์เป็นหมู่คณะ เป็นต้น เพื่อให้การกระจายวัคซีนครอบคลุมประชากรไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 - 80 ภายในเดือนกันยายน 2564

          6. ให้กระทรวงสาธารณสุข ดูแลสวัสดิการให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ เช่น การทำประกันชีวิต การปรับปรุงพัฒนาอาคารหอพัก/บ้านพัก แพทย์พยาบาล ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดให้มีสภาพที่ดีขึ้น เป็นต้น เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์

          7. ให้กระทรวงศึกษาธิการ สำรวจดูแลให้ความช่วยเหลือนักเรียนที่ผู้ปกครองประสบปัญหาจากภาวะวิกฤติโควิด - 19 และเตรียมการจัดระบบการเรียนการสอนให้เป็นไปตามมาตรการด้านสาธารณสุข เพื่อควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 ทั้งนี้ ให้กรุงเทพมหานครกำกับดูแลความพร้อมในการจัดสรรวัคซีนให้กับครูของโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร

          8. ให้ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคติดเชื้อโควิด - 19 (ศปก.สธ.) และโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 สร้างความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดในแต่ละพื้นที่ ข้อมูลจำนวนผู้ติดเชื้อและจำนวนผู้ติดเชื้อที่รักษาหายแล้ว สถานการณ์จำนวนเตียงรองรับผู้ป่วยโรคโควิด - 19 ทั้งประเทศ โดยให้จัดทำแผนภาพในการสื่อสารที่เข้าใจง่าย (อาทิ รูปแบบอินโฟกราฟิก ฯลฯ)

          9. ให้กระทรวงแรงงาน บริหารจัดการกลุ่มแรงงานต่างด้าวเป็น 3 กลุ่ม คือ (1) กลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ถูกกฎหมายและทำงานในพื้นที่ที่กำหนด (2) กลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ถูกกฎหมายแต่มีการเคลื่อนย้ายสถานที่ทำงานไปนอกพื้นที่ที่กำหนดไว้ และ (3) กลุ่มแรงงานต่างด้าวที่เข้าประเทศแบบผิดกฎหมาย และขอความร่วมมือกับภาคเอกชนให้มีมาตรการควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด

          10. ให้ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) และหน่วยงานความมั่นคง ดำเนินการกวดขันและเฝ้าระวังตามพื้นที่ชายแดน เพื่อป้องกันการลักลอบเข้าประเทศไทยแบบผิดกฎหมาย รวมทั้งให้เตรียมโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ชายแดนด้วย

          11. ให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ควบคุมและกำชับให้สมาชิกรัฐสภาดำเนินการตามมาตรการด้านสาธารณสุขในการจัดการประชุมรัฐสภาอย่างเคร่งครัด

 

(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) 25 พฤษภาคม 2564

สำนักโฆษก   สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396

 

A51028

COREHOON

******************************************

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

FBS728

EXNESS

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!