WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2564 และแนวโน้มปี 2564

GOV4 copy

ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2564 และแนวโน้มปี 2564

          คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2564 และแนวโน้มปี 2564 ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้

          1. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2564 เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2564 ลดลงร้อยละ 2.6 ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับการลดลงร้อยละ 4.2 ในไตรมาสก่อนหน้า (%YoY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทย ในไตรมาสแรกของปี 2564 ขยายตัวจากไตรมาสที่สี่ของปี 2563 ร้อยละ 0.2 (QoQ_SA) 

                   1.1 ด้านการใช้จ่าย มีแรงสนับสนุนสำคัญจากการกลับมาขยายตัวของการส่งออก สินค้าและการลงทุนภาคเอกชน รวมทั้งการขยายตัวต่อเนื่องของการใช้จ่ายรัฐบาลและการขยายตัวเร่งขึ้น ของการลงทุนภาครัฐ ในขณะที่การบริโภคภาคเอกชนและการส่งออกบริการลดลงเนื่องจากได้รับผลกระทบ จากการระบาดของโรคโควิด-19 การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ปรับตัวลดลงร้อยละ 0.5 เทียบกับ การขยายตัวร้อยละ 0.9 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการใช้จ่ายในหมวดสินค้ากึ่งคงทนลดลงต่อเนื่อง ร้อยละ 10.8 ตามการลดลงของการใช้จ่ายหมวดเครื่องเรือน อุปกรณ์ครัวเรือนและการซ่อมแซมที่อยู่อาศัย และหมวดเสื้อผ้าและรองเท้า การใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนลดลงร้อยละ 8.0 ตามการลดลงของการซื้อ ยานพาหนะร้อยละ 4.2 ในขณะที่การใช้จ่ายในหมวดบริการขยายตัวร้อยละ 0.3 ชะลอลงจากการขยายตัว ร้อยละ 7.5 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการชะลอตัวในกลุ่มบริการสุขภาพ และกลุ่มการเช่าที่อยู่อาศัย การใช้น้ำประปา ไฟฟ้าและพลังงาน การใช้จ่ายกลุ่มโรงแรมและภัตตาคาร และกลุ่มนันทนาการและวัฒนธรรม ลดลงต่อเนื่อง ส่วนการใช้จ่ายในหมวดสินค้าไม่คงทนขยายตัวร้อยละ 2.5 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 1.1 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการเร่งตัวขึ้นของการใช้จ่ายเพื่อซื้ออาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยการปรับตัวลดลงของการบริโภคภาคเอกชน ในไตรมาสนี้สอดคล้องกับการลดลงของความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งอยู่ที่ระดับ 42.5 จากระดับ 44.3 ในไตรมาสก่อนหน้า การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลขยายตัวร้อยละ 2.1 ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 2.2 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยรายจายค่าตอบแทนแรงงาน (ค่าจ้าง เงินเดือน) ค่าซื้อสินค้าและบริการ และการโอนเพื่อสวัสดิการสังคมที่ไม่เป็นตัวเงินสำหรับสินค้าและบริการในระบบตลาด ขยายตัวร้อยละ 1.2 ร้อยละ 5.7 และร้อยละ 2.0 ตามลำดับ ในขณะที่อัตราการเบิกจ่ายงบประมาณ รายจ่ายประจำในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 20.0 (ต่ำกว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 32.8 ในไตรมาสก่อนหน้าและ ร้อยละ 28.2 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน) การลงทุนรวม ขยายตัวร้อยละ 7.3 ปรับตัวดีขึ้นมาก จากการลดลงร้อยละ 2.5 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรก ในรอบ 5 ไตรมาส ร้อยละ 3.0 เทียบกับการลดลงร้อยละ 3.3 ในไตรมาสก่อนหน้า (การลงทุนในเครื่องมือ เครื่องจักรขยายตัวร้อยละ 3.8 และการลงทุนในสิ่งก่อสร้างลดลงร้อยละ 0.4) ส่วนการลงทุนภาครัฐขยายตัว ในเกณฑ์สูงร้อยละ 19.6 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 0.6 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนรัฐบาล ขยายตัวร้อยละ 28.4 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานต่ำในปี 2563 ส่วนการลงทุนรัฐวิสาหกิจขยายตัว ร้อยละ 9.3 สำหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 13.3 (สูงกว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 11.3 ในไตรมาสก่อนหน้า และร้อยละ 11.6 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า

                   1.2 ด้านภาคต่างประเทศ 

                            1.2.1 การส่งออกสินค้ามีมูลค่า 64,004 ล้านดอลลาร์ กลับมาขยายตัว เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ไตรมาสร้อยละ 5.3 เทียบกับการลดลงร้อยละ 1.5 ในไตรมาสก่อนหน้าสอดคล้องกับการฟื้นตัวที่ชัดเจนของเศรษฐกิจโลกและการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าในตลาดโลก โดยปริมาณและราคาส่งออก เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 และร้อยละ 2.1 ตามลำดับ กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น เช่น เครื่องจักรและอุปกรณ์ (ร้อยละ 17.3) รถยนต์นั่ง (ร้อยละ 13.2) รถกระบะ (ร้อยละ 44.8) ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ยานยนต์ (ร้อยละ 17.7) ปิโตรเคมี (ร้อยละ 23.8) ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า (ร้อยละ 5.7) แผงวงจรรวมและชิ้นส่วน (ร้อยละ 13.9) ผลิตภัณฑ์ยาง (ร้อยละ 53.1) ยางพารา (ร้อยละ 38.1) และมันสำปะหลัง (ร้อยละ 72.5) เป็นต้น กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกลดลง ได้แก่ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (ลดลงร้อยละ 5.0) ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (ลดลงร้อยละ 6.0) ข้าว (ลดลงร้อยละ 21.9) และน้ำตาล (ลดลงร้อยละ 47.6) การส่งออกสินค้าไปยังตลาดส่งออกหลักขยายตัว ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดอาเซียน (9) และ ตะวันออกกลาง (15) ลดลงในอัตราที่ชะลอลง เมื่อหักการส่งออกทองคำที่ยังไม่ขึ้นรูปออกแล้ว มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวร้อยละ 11.8 และเมื่อคิดในรูปของเงินบาท มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัว ร้อยละ 1.9 ส่วนการนำเข้า มีมูลค่า 56,615 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 9.5 เทียบกับการลดลง ร้อยละ 5.9 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณและราคานำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 และร้อยละ 2.6 ตามลำดับ

                   1.3 ด้านการผลิต สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและสาขากาก่อสร้างกลับมาขยายตัว ในขณะที่สาขาเกษตร สาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร และสาขาการเงินขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนการผลิตสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า สาขาไฟฟ้าและก๊าซ และสาขาการขายส่งการขายปลีกและการซ่อมแซมฯ ลดลงต่อเนื่อง สาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ร้อยละ 1.9 ปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 0.4 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการเพิ่มขึ้นของผลผลิตหมวดพืชผลสำคัญ ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากสภาพอากาศและปริมาณน้ำที่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก ผลผลิตพืชเกษตรสำคัญที่เพิ่มขึ้น เช่น ข้าวเปลือกเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 กลุ่มไม้ผล เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9 ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.4 และมันสำปะหลังเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 เป็นต้น ส่วนผลผลิตพืชเกษตรสำคัญที่ลดลง เช่น อ้อยลดลงร้อยละ 9.7 และปาล์มน้ำมันลดลงร้อยละ 7.3 เป็นต้น และหมวดปศุสัตว์ขยายตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 13 ร้อยละ 2.7 ในขณะที่หมวดประมงปรับตัวลดลง ร้อยละ 13.2 เป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5 ส่วนดัชนีราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็น ไตรมาสที่ 3 ร้อยละ 9.7 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 11.1 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยดัชนีราคาสินค้าเกษตร ที่เพิ่มขึ้น เช่น ราคายางพาราเพิ่มขึ้นร้อยละ 42.7 ราคากลุ่มไม้ผลเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.8 ราคาอ้อยเพิ่มขึ้น ร้อยละ 30.4 ราคาสุกรเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.6 และราคาปาล์มน้ำมันเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.5 เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคาสินค้าเกษตรสำคัญบางรายการปรับตัวลดลง เช่น ข้าวเปลือกลดลงร้อยละ 7.2 และราคาไก่เนื้อ ลดลงร้อยละ 11.1 เป็นต้น การเพิ่มขึ้นของทั้งดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรและดัชนีราคาสินค้าเกษตร ส่งผลให้ ดัชนีรายได้เกษตรกรโดยรวมเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 ร้อยละ 10.8 สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม กลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ไตรมาสร้อยละ 0.7 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 0.7 ในไตรมาส ก่อนหน้า ตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมกลุ่มการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศและอุตสาหกรรม กลุ่มการผลิตเพื่อส่งออกเป็นสำคัญ โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมกลุ่มการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศ (สัดส่วนส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30) ขยายตัวร้อยละ 1.4 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 1.5 ในไตรมาสก่อนหน้า และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมกลุ่มการผลิตเพื่อส่งออก (สัดส่วนส่งออกมากกว่าร้อยละ 60) กลับมาขยายตัวอย่างช้าๆ เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ไตรมาสร้อยละ 0.6 เทียบกับการลดลงต่อเนื่องร้อยละ 4.5 ในไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการส่งออกในช่วงร้อยละ 30 – 60 ลดลงร้อยละ 0.5 สำหรับอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 67.09 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 63.77 ในไตรมาสก่อนหน้า และสูงกว่าร้อยละ 66.94 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญๆ ที่เพิ่มขึ้น เช่น การผลิตเหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐาน (ร้อยละ 14.7) การผลิตเฟอร์นิเจอร์ (ร้อยละ 29.3) และการผลิตพลาสติกและยางสังเคราะห์ขั้นต้น (ร้อยละ 10.9) เป็นต้น ดัชนีผลผลิต อุตสาหกรรมสำคัญๆ ที่ลดลง เช่น การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม (ลดลงร้อยละ 13.9) การผลิต เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย (ยกเว้นร้านตัดเย็บเสื้อผ้า) (ลดลงร้อยละ 17.5) และการทอผ้า (ลดลงร้อยละ 17.2) เป็นต้น สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ลดลงร้อยละ 35.0 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 35.2 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการลดลงมากอย่างต่อเนื่องของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศร้อยละ 99.7 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 สำหรับรายรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทย ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 0.093 ล้านล้านบาท ลดลงร้อยละ 51.0 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 45.1 ในไตรมาส ก่อนหน้า ทั้งนี้ การดำเนินมาตรการเปิดประเทศสำหรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ (Special Tourist VISA: STV) ส่งผลให้ในไตรมาสนี้มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวจำนวน 20,172 คน (รวมนักท่องเที่ยวกลุ่ม Thailand Privilege Card) อัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 16.15 ลดลงจาก ร้อยละ 32.49 ในไตรมาสก่อนหน้า และต่ำกว่าร้อยละ 52.40 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า ลดลงร้อยละ 17.7 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 21.1 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการลดลงของบริการขนส่งซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยบริการขนส่ง ทางอากาศลดลงร้อยละ 61.9 เทียบกับการลดลงร้อยละ 68.1 ในไตรมาสก่อนหน้า บริการขนส่งทางบกและท่อลำเลียงลดลงร้อยละ 11.0 เทียบกับการลดลงร้อยละ 12.7 ในไตรมาสก่อนหน้า และบริการขนส่งทางน้ำ ลดลงร้อยละ 3.2 ส่วนบริการสนับสนุนการขนส่งลดลงร้อยละ 18.7 ปรับตัวดีขึ้นอย่างช้าๆ จากการลดลง ร้อยละ 22.1 ในไตรมาสก่อนหน้า และบริการไปรษณีย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.9 ต่อเนื่องจากการขยายตัว ร้อยละ 27.2 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับรายรับของผู้ประกอบการที่ขยายตัวต่อเนื่องในเกณฑ์สูง

                   1.4 เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 2.0 เพิ่มขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับร้อยละ 1.9 ในไตรมาสก่อนหน้า และสูงกว่าอัตราการว่างงานร้อยละ 1.0 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ -0.5 ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 2.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (7.71 หมื่นล้านบาท) หรือคิดเป็นร้อยละ 1.9 ของ GDP เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 อยู่ที่ 2.46 แสนล้านดอลลาร์ สรอ. และหนี้สาธารณะ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 มีมูลค่าทั้งสิ้น 8,472,187.0 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 53.3 ของ GDP 

          2. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2564 

                    เศรษฐกิจไทยปี 2564 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.5 – 2.5 ปรับตัวดีขึ้นอย่างช้าๆ จากการลดลงร้อยละ 6.1 ในปี 2563 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก (1) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและปริมาณ การค้าโลก (2) แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐ และ (3) การปรับตัวตามฐานการขยายตัวที่ต่ำผิดปกติ ในปี 2563 ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์ สรอ. จะขยายตัวร้อยละ 10.3 ขณะที่การอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวร้อยละ 1.6 และร้อยละ 4.3 ตามลำดับ ส่วนการลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 9.3 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ 1.0 – 2.0 และ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 0.7 ของ GDP 

                    รายละเอียดของการประมาณการเศรษฐกิจในปี 2564 ในด้านต่างๆ มีดังนี้

                    2.1 การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค (1) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค ภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.6 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 1.0 ในปี 2563 แต่เป็นการปรับลดลงจากการขยายตัวร้อยละ 2.0 ในประมาณการครั้งก่อน เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ภายในประเทศที่มีความรุนแรงมากกว่าที่คาดการณ์ ซึ่งทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังพฤติกรรม การใช้จ่ายที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ รวมทั้งรัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด ที่เข้มงวดในบางพื้นที่ สอดคล้องกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนเมษายนที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 40.3 ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และ (2) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคภาครัฐบาล คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 5.1 เท่ากับการประมาณการครั้งก่อน และเร่งขึ้นจากร้อยละ 0.8 ในปี 2563 สอดคล้องกับสมมติฐานอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 ร้อยละ 98.0 ของวงเงินงบประมาณ และการเบิกจ่ายสะสมภายใต้พระราชกำหนดเงินกู้ฯ 1 ล้านล้านบาท สิ้นปีงบประมาณ 2564 จากร้อยละ 80 ของวงเงินกู้ เท่ากับสมมติฐานการประมาณการครั้งก่อน

                    2.2 การลงทุนรวม คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3 เทียบกับการลดลงร้อยละ 4.8 ในปี 2563 และเป็นการปรับลดจากร้อยละ 5.7 ในการประมาณการครั้งก่อน โดยคาดว่าการลงทุนภาครัฐ จะขยายตัวร้อยละ 9.3 ปรับลดจากร้อยละ 10.7 ในการประมาณการครั้งก่อน ตามการปรับลดสมมติฐาน อัตราเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 จากร้อยละ 75 ในการประมาณการครั้งก่อน เป็นร้อยละ 70 เพื่อให้สอดคล้องกับข้อมูลอัตราการเบิกจ่ายในครึ่งแรกของปีงบประมาณ ที่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าในสมมติฐานการประมาณการครั้งที่ผ่านมา ส่วนการลงทุนภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.3 เทียบกับการลดลงร้อยละ 8.4 ในปี 2563 และเป็นการปรับเพิ่มขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 3.8 ในการประมาณการครั้งก่อน สอดคล้องกับแนวโน้มการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจ และการค้าโลก

                    2.3 มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. คาดว่าจะขยายตัว ร้อยละ 10.3 เทียบกับการลดลงร้อยละ 6.6 ในปี 2563 และเป็นการปรับเพิ่มจากการขยายตัวร้อยละ 5.8 ในการประมาณการครั้งที่ผ่านมา โดยคาดว่าปริมาณการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ 7.3 สูงกว่าการขยายตัวร้อยละ 3.8 ในการประมาณการครั้งก่อน สอดคล้องกับการปรับเพิ่มสมมติฐานการขยายตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก รวมทั้งการปรับเพิ่มสมมติฐานราคาส่งออกสินค้าตามสมมติฐานราคาน้ำมัน ในตลาดโลกและแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม ปริมาณการส่งออกบริการลดลง จากการประมาณการครั้งที่ผ่านมาตามการปรับลดสมมติฐานจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยในปี 2564 จาก 3.2 ล้านคนเป็น 5 แสนคน เมื่อรวมกับการปรับเพิ่มประมาณการการส่งออกสินค้า ทำให้ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการรวมขยายตัวร้อยละ 1.8 เทียบกับการลดลงร้อยละ 0.2 ในการประมาณการครั้งก่อนและการลดลงร้อยละ 19.4 ในปี 2563 

          3. ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในปี 2564 

                    การบริหารนโยบายเศรษฐกิจในปี 2564 ควรให้คความสำคัญกับ

                    (1) การควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในประเทศเพื่อให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงและอยู่ในวงจำกัดโดยเร็ว และการป้องกันการกลับมาระบาดรุนแรงในระลอกใหม่ โดยมุ่งเน้น (i) การบังคับใช้มาตรการควบคุมโรคและป้องกันการระบาดของภาครัฐอย่างเคร่งครัด ควบคู่ไปกับการยกระดับกระบวนการเฝ้าระวังสอบสวนโรคเชิงรุก โดยเฉพาะการเร่งรัดการตรวจเชิงรุกในเขตพื้นที่หรือชุมชนที่มีความเสี่ยงสูงในกรุงเทพฯ หรือเขตเมือง ต่างๆ ที่ยังคงเผชิญกับสถานการณ์ การแพร่ระบาดรุนแรง รวมทั้งการดูแลและควบคุมกิจกรรมและกิจการบางประเภทที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงของการระบาดของโรคอย่างเข้มงวด และการป้องกันการนำเข้าเชื้อไวรัสกลายพันธุ์เพิ่มเติมโดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวต่างชาติและผู้ที่เดินทางข้ามชายแดน (ii) การเร่งรัดจัดหาและกระจายวัคซีนให้กับประชาชน อย่างครอบคลุมทั่วถึงและเพียงพอเพื่อให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ โดยการจัดลำดับความสำคัญตามหลักการสาธารณสุขในการกระจายให้กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ควบคู่ไปกับการคำนึงถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการฟื้นฟูกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่เศรษฐกิจทั้งในภาคการท่องเที่ยวและภาคการผลิตที่สำคัญ รวมทั้งมีความยืดหยุ่นตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป (iii) การพัฒนาศักยภาพของระบบสาธารณสุข ให้เพียงพอต่อการรองรับการแพร่ระบาดในปัจจุบันและที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต และ (iv) การเร่งประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและชัดเจนให้แก่ประชาชนเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น ในการเข้ารับวัคซีน รวมถึงการรณรงค์เกี่ยวกับแนวทางในการปฏิบัติและดูแลตัวเอง เพื่อป้องกันการกลับมาแพร่ระบาดระลอกใหม่และลดโอกาสการกลับมาติดเชื้อซ้ำภายหลังได้รับวัคซีนแล้ว

                    (2) การดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อช่วยเหลือเยียวยาประชาชน แรงงาน และภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดและมาตรการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ประกอบด้วย (i) การเร่งรัดติดตามมาตรการต่างๆ ทั้งด้านการเงินและการคลังที่ได้ดำเนินการไปแล้วให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการพิจารณามาตรการเพิ่มเติมและปรับเปลี่ยนมาตรการเดิมให้ตอบสนอง ภาคเศรษฐกิจและพื้นที่เศรษฐกิจที่มีข้อจำกัดในการฟื้นตัว และสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันให้มากที่สุด (ii) การพิจารณามาตรการช่วยเหลือภาคแรงงานผ่านมาตรการรักษาระดับการจ้างงานให้แก่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบ ควบคู่ไปกับการพิจารณามาตรกราร สร้างงานใหม่และมาตรการพัฒนาทักษะแรงงาน และ (iii) การพิจารณาดำเนินมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะต่อไปภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มคลี่คลายลง

                    (3) การขับเคลื่อน การส่งออกสินค้า เพื่อสร้างรายได้จากต่างประเทศและสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคการผลิตและการลงทุน ภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับ (i) การขับเคลื่อนการส่งออกไปยังตลาดหลักที่มีการฟื้นตัว ทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน และการสร้างตลาดใหม่ให้กับสินค้าที่มีศักยภาพ (ii) การเร่งรัดยกระดับการผลิตสินค้า เกษตร อาหาร และสินค้าอุตสาหกรรม ให้มีคุณภาพและมาตรฐานตรงตามข้อกำหนดของประเทศผู้นำเข้ำ (iii) การใช้ประโยชน์จากกรอบความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ควบคู่ไปกับการพัฒนา ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าที่สำคัญๆ ในลักษณะหุ้นส่วนยุทธศาสตร์หรือพหุภาคี (iv) การเร่งรัด การเจรจาความตกลงการค้าเสรีที่กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจา และเตรียมศึกษาเพื่อเจรจากับประเทศคู่ค้าสำคัญใหม่ๆ เช่น สหภาพยุโรป (EU) สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA) และสหราชอาณาจักรภายหลัง Brexit รวมทั้งการให้ความสำคัญกับข้อตกลงระหว่างประเทศที่สำคัญๆ ที่อาจถูกหยิบยกเป็นเครื่องมือสำหรับ การดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้า และ (v) การปกป้องความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิต เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

                    (4) การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน โดย (i) การเร่งรัดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุน ในช่วงปี 2561-2563 ให้เกิดการลงทุนจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการลงทุนที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรม เป้าหมายของการส่งเสริมการลงทุนตามนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของประเทศ (ii) การแก้ไขปัญหา ที่นักลงทุนและผู้ประกอบการต่างชาติเห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนและการประกอบธุรกิจในประเทศไทย เพื่อสร้างสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมกับการลงทุนและดึงดูดการลงทุนเพิ่มเติมจากทั้งภาคเอกชนของไทยและต่างประเทศ อาทิ ข้อจำกัดและอุปสรรคในการทำงานและการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว การพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานและปัจจัยสนับสนุนในการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ (iii) การดำเนินมาตรการส่งเสริมการลงทุนเชิงรุกและอำนวยความสะดวกเพื่อดึงดูดนักลงทุนเฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม เป้าหมายเพื่อให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น (iv) การส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) 10 จังหวัด และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในภูมิภาคมากขึ้น (v) การให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน และ (vi) การขับเคลื่อนการลงทุนพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งที่สำคัญๆ ให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ ควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างภาคการผลิตและภาคบริการที่สำคัญๆ เพื่อยกระดับศักยภาพการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในระยะยาว

                    (5) การรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ โดยการเร่งรัดการเบิกจ่าย (i) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 92.5 แบ่งเป็นงบประมาณรายจ่ายประจำ ร้อยละ 98.0 และงบลงทุนร้อยละ 70.0 (ii) งบเหลื่อมปี ไม่น้อยกว่าร้อยละ 85.0 (iii) งบลงทุนรัฐวิสาหกิจ ให้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70.0 และ (iv) แผนงานและโครงการตามพระราชกำหนดฯ เงินกู้วงเงิน 1 ล้านล้านบาท ให้มีการเบิกจ่ายสะสม สิ้นปีงบประมาณ 2564 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80.0 ของวงเงินกู้

                    (6) การเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อให้ภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่อง สามารถกลับมาฟื้นตัวได้ทันทีที่มีการกระจายวัคซีนทั้งในและต่างประเทศที่เป็นแหล่งต้นทางของนักท่องเที่ยว ครอบคลุมเป็นวงกว้างและเพียงพอต่อการสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ โดยควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาจัดสรรและกระจายวัคซีนให้แก่พื้นที่แหล่งท่องเที่ยว นำร่องในจำนวนที่เพียงพอควบคู่ไปกับการพิจารณาเตรียมความพร้อมของพื้นที่เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ทั้งในด้านระบบรองรับการเฝ้าระวังสอบสวนโรค การปรับปรุงที่พักและแหล่งท่องเที่ยวให้เป็นไปตามมาตรฐาน ความปลอดภัยด้านสาธารณสุขและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเตรียมระบบสนับสนุนความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินและการเดินทาง และการปรับปรุงการให้บริการระบบขนส่งสาธารณะ

                    (7) การรักษาบรรยากาศทางการเมืองภายในประเทศ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 

 

(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) 18 พฤษภาคม 2564

สำนักโฆษก   สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396

 

A5704

COREHOON

******************************************

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

FBS728

EXNESS

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!