รายงานประจำครึ่งปี (มกราคม – มิถุนายน 2562) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (กระทรวงการคลัง)
- Details
- Category: มติ ครม.
- Published: Sunday, 24 November 2019 23:22
- Hits: 697
รายงานประจำครึ่งปี (มกราคม – มิถุนายน 2562) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (กระทรวงการคลัง)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอรายงานประจำครึ่งปี (มกราคม – มิถุนายน 2562) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามมาตรา 61 แห่งพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
- ภาวะเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.6 ลดลงจากช่วงครึ่งหลังของ ปี 2561 ที่ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 3.4 โดยสาเหตุมาจากการส่งออกสินค้าหดตัวตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญและปริมาณการค้าโลก และจำนวนนักท่องเที่ยวจีนและรายจ่ายของนักท่องเที่ยวที่ลดลง ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ โดยกำลังซื้อของครัวเรือนขยายตัวในอัตราที่สูง ซึ่งส่วนหนึ่งมีปัจจัยมาจากโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2561 สำหรับการลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวลงเนื่องจากแนวโน้มการส่งออกและความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจลดลง ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐโดยรวมขยายตัวและมีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
เสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในประเทศ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงจากราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศที่ปรับลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปรับลดลงตามราคาอาหารสำเร็จรูปและค่าเช่าบ้าน ขณะที่อัตราการว่างงานยังทรงตัวในระดับต่ำ สำหรับเสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยอยู่ในเกณฑ์ดีอย่างต่อเนื่องและสามารถรองรับความผันผวนของตลาดการเงินโลกได้ เนื่องจากดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเกินดุล สัดส่วนหนี้ต่างประเทศต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศอยู่ในระดับต่ำ และสัดส่วนเงินสำรองระหว่างประเทศต่อหนี้ต่างประเทศระยะสั้นอยู่ในระดับสูงตามเกณฑ์มาตรฐานสากล ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น สถานการณ์การเมืองในประเทศมีเสถียรภาพ
- การดำเนินงานของ ธปท. โดยมีการจัดทำแนวทางการดำเนินงานและประเมินผล 3 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านนโยบายการเงินและนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน (2) ด้านสถาบันการเงิน และ (3) ด้านนโยบายระบบการชำระเงิน สรุปได้ ดังนี้
ด้านแนวทางการดำเนินงานและประเมินผล
(1) นโยบายการเงินและนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน นโยบายการเงิน : คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น (Flexible Inflation Targeting) (กำหนดอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีที่ร้อยละ 2.5 ? 1.5) ที่ให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพราคาเป้าหมายเป็นหลักควบคู่กับการดูแลการขยายตัวของเศรษฐกิจและการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินของประเทศ โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 กนง. ให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 1.75 ต่อปี
นโยบายอัตราแลกเปลี่ยน : ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 กนง. ติดตามและดูแลอัตราแลกเปลี่ยนไม่ให้ผันผวนเกินไปจนกระทบต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจโดยเฉพาะการเคลื่อนไหวจากเงินทุนเคลื่อนย้ายระยะสั้นเพื่อเก็งกำไร
กนง. จึงสนับสนุนให้ ธปท. เตรียมมาตรการต่างๆ สำหรับดูแลการไหลเข้าของเงินทุนในระยะสั้น รวมถึงผ่อนคลายกฎเกณฑ์เงินทุนเคลื่อนย้ายด้านขาออกอย่างต่อเนื่อง และส่งเสริมให้เอกชนบริหารจัดการความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ กนง. ได้ติดตามพัฒนาการและประเมินความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินอย่างต่อเนื่องด้วย
(2) สถาบันการเงิน
- การติดตามและประเมินความเสี่ยงที่มีต่อเสถียรภาพระบบการเงิน ธปท. พบว่า ภาพรวมของระบบการเงินไทยยังมีเสถียรภาพ แต่ยังคงมีความเสี่ยงบางจุดที่อาจสร้างความเปราะบางต่อระบบการเงินในอนาคต ได้แก่ หนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูง มาตรฐานสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์และผู้ประกอบธุรกิจการเงินที่มิใช่ธนาคารลดลง ความเสี่ยงอุปทานคงค้างในตลาดอสังหาริมทรัพย์ พฤติกรรมการแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น และสินทรัพย์ของสหกรณ์ออมทรัพย์ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
- การออกนโยบายกำกับสถาบันการเงิน ได้แก่ ปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อส่วนบุคคลให้ครอบคลุมถึงสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน ดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาหนี้ส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน (สามารถช่วยลูกหนี้ให้ปรับโครงสร้างหนี้ได้สำเร็จรวม 1,547 ราย มีลูกหนี้ที่ชำระหนี้เสร็จสิ้น 35 ราย) ออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อส่งเสริมการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาการให้บริการทางการเงิน ขยายขอบเขตการกำกับดูแลด้านการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม สนับสนุนและให้ความร่วมมือในการกำกับดูแลสหกรณ์ออมทรัพย์ ปรับปรุงหลักเกณฑ์การทำความรู้จักลูกค้าและการแลกเปลี่ยนข้อมูลการกำกับดูแลสถาบันการเงินระหว่างธนาคารกลางในภูมิภาค
- การดำเนินนโยบายสถาบันการเงินในเวทีระหว่างประเทศ ธปท. ได้เจรจาเปิดเสรีภาคทางการเงิน โดยเจรจาเกี่ยวกับการจัดตั้ง Qualified ASEAN Banks (QABs) ระหว่างไทยกับมาเลเซีย
- การพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ได้แก่ การสนับสนุนบริการทางการเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ การส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินและสนับสนุนการธนาคารที่ยั่งยืน
- ผลการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ มีเสถียรภาพ โดยเงินสำรอง เงินกองทุน และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง สินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์
ชะลอตัว สินเชื่ออุปโภคเติบโตเล็กน้อย คุณภาพสินเชื่อมีสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในภาพรวมทรงตัว
(3) นโยบายระบบการชำระเงิน 1. โครงการระบบพร้อมเพย์ (ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2562) มียอดการลงทะเบียนใช้บริการจำนวน 48.8 ล้านเลขหมาย โดยมีปริมาณธุรกรรมโอนเงิน 2.2 พันล้านรายการ คิดเป็นมูลค่า 11.3 ล้านล้านบาท
- การดำเนินการตามกรอบการพัฒนา 5 ด้าน ของแผนกลยุทธ์ระบบการชำระเงิน ฉบับที่ 4 ธปท. ได้จัดทำและเผยแพร่แผนกลยุทธ์ดังกล่าว ซึ่งมีเป้าหมายให้ Digital Payment เป็นทางเลือกหลักในการชำระเงิน ประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ (1) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินที่เชื่อมโยงกัน เช่น การใช้มาตรฐาน Thai Standard QR Code สำหรับการชำระเงินและโอนเงิน (2) การส่งเสริมนวัตกรรมและบริการการชำระเงิน เช่น ผลักดันการพัฒนาบริการชำระเงิน/โอนเงินระหว่างประเทศด้วย Interoperable QR Code (3) การส่งเสริมการเข้าถึงและการใช้บริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์โดยประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้และส่งเสริมการใช้บริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่ประชาชนทั่วไปผ่านสื่อต่างๆ (4) การกำกับดูแลและการบริหารความเสี่ยง ได้แก่ กำกับดูแลระบบการชำระเงินของไทยตามมาตรฐานสากล (IMF และ World Bank) และออกประกาศกำหนดค่าธรรมเนียมการประกอบธุรกิจระบบการชำระเงินและบริการการชำระเงินตามหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องภายใต้พระราชบัญญัติระบบการชำระเงิน พ.ศ. 2560 และ (5) การพัฒนาข้อมูลการชำระเงิน โดยอยู่ระหว่างการเชื่อมโยงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการข้อมูลการชำระเงิน
ที่มา: ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุด พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 29 ตุลาคม 2562
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
******************************************
กด L Ike - แบ่งปัน เพจเวลา Corehoon-Powerเพื่อติดตามเคล็ดลับข่าวสารเทรนด์และ บทวิเคราะห์ดีๆอัพเดตทุกวันคัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
คลิกบริจาคเว็บสนับสนุน