- Details
- Category: การเมือง
- Published: Tuesday, 16 December 2014 11:29
- Hits: 5216
วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557 ปีที่ 24 ฉบับที่ 8784 ข่าวสดรายวัน
พระราชทานเงิน 'ศรีรัศมิ์'กระทรวงคลังชี้แจง พระบรมฯทรง ให้ไว้ดำรงชีพ ประกาศปิดเพจ ในเฟซบุ๊กแล้ว สมยศชี้ฐิติราช นั่ง'ผบช.ก.'ได้
สมเด็จพระบรม โอรสาธิราชฯ พระราชทานเงินให้'ศรีรัศมิ์' ใช้ดำรงชีพ-ดูแลครอบครัว คลังออกเอกสารชี้แจงรายละเอียด พร้อมขอให้สื่อมวลชนงดนำเอกสารไม่เหมาะสมเผยแพร่ ประกาศปิดเพจเฟซบุ๊ก 'พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา' ส่วนความคืบหน้าคดีพงศ์พัฒน์ 'บิ๊กอ๊อด-สมยศ'จ่อถอดยศ-คืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตำรวจที่ทำผิด-เอี่ยวแก๊งบิ๊กกิ๊ก ชี้ 'ฐิติราช'มีความรู้ความสามารถนั่งผบช.ก. แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกใคร เล็งหารือกับบิ๊กตู่-บิ๊กป้อม ออกหมายจับอีก 2 รองผกก.เด็กบิ๊กกิ๊ก-คนสนิทรองผบช.ก. ร่วมฟอกเงินน้ำมันเถื่อน ก่อนให้ออกจากราชการไว้ก่อน
จากกรณีพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสา ธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎ ราชกุมาร นำความขึ้นกราบบังคมทูลสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นลายลักษณ์อักษรว่า ขอพระราชทานกราบบังคมทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ ซึ่งต่อมา ความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว และ ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาต จากนั้น มีประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. ที่ผ่านมา โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายก เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ต่อมาเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า อดีตพระเจ้า วรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ฯ ได้กลับคืน สู่สถานะสามัญชนธรรมดา โดยเมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ที่ผ่านมา ได้เดินทางไปทำบัตรประชาชนใหม่ ระบุสถานะในกองทะเบียนบัตรประชาชนว่า "น.ส.ศรีรัศมิ์ สุวะดี" ซึ่งสถานะของน.ส.ศรีรัศมิ์ เป็นที่ชัดเจนว่าไม่มีตำแหน่งท่านผู้หญิงนำหน้า และไม่ได้เปลี่ยนชื่อ เป็นท่านผู้หญิงบุษบา ตามที่มีกระแสข่าวลือ แต่ใช้คำนำหน้านามว่า น.ส.ศรีรัศมิ์เท่านั้น พร้อมแจ้งย้ายเข้าบ้านหลังใหม่ใน ต.วัดเพลง อ.วัดเพลง จ.ราชบุรี โดยเป็นเจ้าบ้านเอง
เมื่อน.ส.ศรีรัศมิ์ ย้ายเข้ามาพักอาศัยที่บ้านใน อ.วัดเพลง ได้นิมนต์พระสงฆ์ 9 รูป มาทำบุญตักบาตรในบ้านพัก ส่วนบริเวณ หน้าบ้านที่เดิมมีป้อมตำรวจคอยดูแลความปลอดภัย ล่าสุดเจ้าหน้าที่ใช้รถแบ๊กโฮทุบป้อมตำรวจทิ้งแล้วปรับพื้นที่บริเวณริมรั้วด้านนอกบ้านใหม่ ให้เป็นพื้นราบเรียบไม่มีป้อมตำรวจเหมือนก่อน ตามที่เคยเสนอข่าวไปนั้น
พระราชทานเงินให้'ศรีรัศมิ์'
ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล เผยแพร่ข่าวจากกระทรวงการคลัง กลุ่มสารนิเทศการคลัง สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง กระทรวงการคลัง ข้อความว่า "ตามที่มีข่าวว่าท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี ได้รับเงินพระราชทานจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้น นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง ในฐานะประธานกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ได้ชี้แจงว่า สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ดำเนินการตามที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร มีพระราชประสงค์ขอรับเงินพระราชทาน จากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อพระราชทานให้ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี ใช้ในการดำรงชีพ และดูแลครอบครัวต่อไปแล้ว อนึ่ง ขอให้สื่อมวลชนทั้งหลายโปรด งดการนำเอกสารใดๆ ซึ่งไม่เหมาะสมที่จะ เผยแพร่ลงในสื่อทุกชนิดด้วย"
ประกาศปิดเพจในเฟซบุ๊ก
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซ บุ๊กที่ใช้ชื่อว่า'พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ'ซึ่งมีผู้ติดตาม 313,476 คน ได้ประกาศปิดตัวลงอย่างเป็นทางการแล้ว โดยแอดมินผู้ดูแลเพจนี้ได้โพสต์ข้อความว่า "ประกาศปิดแฟนเพจ เรียนสมาชิกแฟนเพจทุกท่านครับ ก่อนอื่นต้องขออภัยทุกท่านด้วยครับที่แฟนเพจนี้ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ เพราะทีมงานแอดมินเราอยู่ในช่วงปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรต่อไป โดยเข้าไปหารือกับทางผู้ใหญ่ จึงทำให้ล่าช้า และตอนนี้เป็นมติที่สรุปกันแล้วว่า แฟนเพจนี้มีความจำเป็นที่จะต้องปิดตัวลง โดยแจ้งกับทาง www.facebook.com ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และจะมีผลภายใน 14 วัน ตามขั้นตอนของเว็บไซต์ ดังกล่าว และทีมงานแอดมินทุกคนต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจในการติดตามข่าวสารที่ผ่านมาด้วยครับ"
"และในช่วงนี้มีอีกหลายแฟนเพจที่จัดทำขึ้นมา โดยนำเสนอข่าวสารต่างๆ มากมาย ไม่ต่ำกว่า 10 แฟนเพจ ทำให้สมาชิกที่ติดตามอยู่เกิดความสับสนว่าควรจะติดตามที่ไหนดี เพราะบางแฟนเพจนำข่าวสารต่างๆ มาลง โดยไม่มีการกลั่นกรองให้เรียบร้อยเสียก่อน จึงเป็นที่น่ากังวลมาก เพื่อให้เป็นไปในทิศทาง แอดมินจะขออนุญาตปิดแฟนเพจนี้ และ ถ้าหากท่านต้องการติดตามข่าวสารต่อไป ให้ติดตามได้ทางแฟนเพจ เรารัก พลตรีหญิง ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี"
จ่อถอดยศตร.เอี่ยวบิ๊กกิ๊ก
สำหรับ ความคืบหน้าในการดำเนินคดีพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผบช.ก. และเครือข่าย ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. กล่าวถึงการดำเนินคดีเครือข่ายพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานผลสรุปการสอบสวนทางวินัย แต่ทุกอย่างดำเนินการไปตามพยานหลักฐาน หากผิดจริงก็ต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งหากการสอบสวนพบมีมูลความผิดตามที่มีการกล่าวหา ก็ต้องดำเนินการไปตามขั้นตอน ไม่ว่าจะปลดออก ให้ออกหรือไล่ออก แล้วแต่ความผิดที่พนักงานตรวจสอบและส่งขึ้นมาว่าอยู่ในขั้นใด แต่ตอนนี้ยังไม่ได้รับรายงานดังกล่าว ส่วนขั้นตอนหลังจากนี้หากพบตำรวจเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดก็จะพิจารณาตามขั้นตอน เช่น อาจต้องถอดยศ คืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เป็นต้น ซึ่งมีขั้นตอนดำเนินการระบุอยู่ในระเบียบ โดยยืนยันทุกอย่างทำไปตามขั้นตอนของกฎหมายและพยานหลักฐานที่ปรากฎ ไม่มีการกลั่นแกล้งหรือล้างบางใคร
เมื่อถามว่า ยืนยันหรือไม่ว่าจะไม่สั่งตัดตอนหรือหยุดเอาผิดตำรวจที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เพื่อไม่ให้องค์กรเสียชื่อเสียงมากกว่านี้ พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า การดำเนินคดี กับขบวนการดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับตร. เป็นเรื่องของตัวบุคคล ไม่อยากให้เอาองค์กรเข้าไปเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ตร.มีบุคลากร 250,000 คน มีผู้กระทำผิดเพียง 20-30 คน จะไปเหมารวมว่าทั้งหมดเป็นคนไม่ดีคงไม่ได้
สมยศชี้'ฐิติราช'มีความสามารถ
เมื่อถามว่าการแต่งตั้งผบช.ก. คนใหม่ที่ตอนนี้เริ่มมีความชัดเจนแล้ว พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า ตำแหน่งผบช.ก. ที่ว่างลงถึงอย่างไรก็ต้องแต่งตั้งเข้าไปทดแทนแน่นอน ส่วนที่สั่งให้พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผบ.ตร. เข้าไปรักษาการแทนนั้น เนื่องจากเห็นว่า เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ และทำงานเป็น ที่ประจักษ์ว่าทำได้ดี ดังนั้นเมื่อถึงเวลาตน ต้องแต่งตั้งผู้ที่จะมาทำหน้าที่ผบช.ก. ตัวจริงแน่นอน ซึ่งขณะนี้มองๆ อยู่ อยู่ระหว่างการตัดสินใจว่าจะมอบหมายให้ใครเข้ามาทำหน้าที่ โดยจะนำเรื่องนี้เข้าไปหารือกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบ ทั้งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหม ในฐานะกำกับดูแลตร. ตนคงไม่ได้ตัดสินใจเพียงลำพัง
เมื่อถามอีกว่า จะใช่พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ รอง ผบช.ก. ที่มีข่าวว่าจะขึ้นดำรงตำแหน่งผบช.ก.คนใหม่หรือไม่ พล.ต.อ. สมยศกล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นพล.ต.ต.ฐิติราช หรือบุคคลอื่นที่อยู่ในข่าย ล้วนเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ เป็นได้ทุกคน ในส่วนของพล.ต.ต.ฐิติราช ก็เป็นรอง ผบช.ก. ซึ่งมีความรู้ความสามารถ และปฏิบัติหน้าที่นี้ได้ หรือรอง ผบช.ก.ท่านอื่นๆ ก็สามารถทำหน้าที่ได้เช่นกัน แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเลือกคนที่อยู่ในหรือนอกหน่วยงานสอบสวนกลางขึ้นมาเป็นผบช.ก. คนใหม่ ถึงที่สุดแล้วหากต้องตัดสินใจก็จะเลือกบุคคลที่มีความรู้ความสามารถและสามารถทำงานสนองนโยบายของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี ส่วนกำหนดการแต่งตั้งนั้น ต้องรอให้การแต่งตั้งตำรวจระดับสารวัตรถึงรองผู้บังคับการเสร็จสิ้นก่อน แล้วจะดำเนินการ นอกจากนี้อาจ แต่งตั้งผู้เข้ามารักษาการผบช.ก. แทนพล.ต.ท. ประวุฒิ ก็เป็นได้ หากว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมและมีประโยชน์ต่อบช.ก.
เมื่อถามถึงบรรยากาศภายในบช.ก. ว่ามีความเปลี่ยนแปลงหรือไม่ พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ยังคงปกติดี เนื่องจากพล.ต.ท. ประวุฒิ ประชุมชี้แจงและอธิบายทำความเข้าใจกับตำรวจในสังกัด ไม่ให้ตื่นตระหนกตกใจ เพราะตนมีนโยบายชัดเจนให้ดำเนินการไปตามพยานหลักฐานอย่างเคร่งครัด ไม่กลั่นแกล้งหรือใส่ร้ายป้ายสี ตำรวจในสังกัดบช.ก. ได้ขอย้ายออกบ้างหรือไม่ ให้ไปถามพล.ต.ท.ประวุฒิ ตนจะไม่เข้าไปแทรกแซงการทำงาน ส่วนกรณีหนังสือเวียนถามข้าราชการตำรวจว่าใครอาสาเข้ามาอยู่บช.ก. หรือไม่นั้น ยืนยันว่าไม่มีหนังสือ ดังกล่าวอย่างแน่นอน ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎกติกา
บช.ก.-บช.น.จ่อย้าย 263 นาย
สำหรับ กรณีที่บช.ก.เตรียมโยกย้ายข้าราชการตำรวจหลายตำแหน่ง หลังมีการจับกุมพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผบช.ก. และเครือข่าย ล่าสุดได้มีการเสนอรายชื่อข้าราชการตำรวจสังกัดบช.ก. และบช.น. ระดับรองผบก.ถึงสว. ให้โยกย้ายออกนอกหน่วย รวม 263 นาย แยกเป็นระดับรอง ผบก. 24 นาย ระดับผกก. 52 นาย ระดับรอง ผกก. 85 นาย และระดับสว. 102 นาย
ทั้งนี้ การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับรอง ผบก. ถึง สว. วาระประจำปี 2557 ทุกบช.ต้องจัดทำบัญชีคัดเลือกให้แล้วเสร็จภายใน วันที่ 15 ธ.ค. ส่วนผู้ที่ดำรงตำแหน่งไม่ถึง 2 ปีนั้น จะส่งชื่อขอยกเว้นหลักเกณฑ์ในวันที่ 17 ธ.ค. แล้วส่งรายชื่อผู้ที่ได้รับการพิจารณาให้ดำรงในตำแหน่งที่สูงขึ้น ระดับรองผบก.กับผกก. เข้าวาระ ก.ตร. เพื่อขอมติเห็นชอบในการประชุม ก.ตร. ที่มีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน ในวันที่ 24 ธ.ค. โดยผบช.จะลงนามคำสั่งแต่งตั้งในวันที่ 29 ธ.ค. และมีผลในวันที่ 5 ม.ค.2558
สั่งเปิดเพิ่ม 1,606 ตำแหน่ง
นอกจากนี้ พล.ต.ท.วิชาญ ทองประชาญ ผบช.สง.ก.ตร. มีบันทึกข้อความด่วนที่สุด ลงวันที่ 12 ธ.ค.2557 ถึงพล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบช.สกพ. เรื่องส่งบัญชีกำหนดตำแหน่งเพิ่มเติมให้กับกก.สส.ภ.จว.ในสังกัดบช.ภ.1-9 และศชต.
โดยระบุว่า ตามที่อนุฯ ก.ตร.บริหารทรัพยากรบุคคล ในการประชุมครั้งที่ 11/2557 เมื่อวันที่ 25 พ.ย. ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติการกำหนดตำแหน่งเพิ่มเติมกก.สส.ภ.จว.ในสังกัดบช.ภ.1-9 และศชต. จำนวน 1,606 ตำแหน่งนั้น สำนักงานก.ตร.ได้ดำเนินการออกเลขที่ตำแหน่งใหม่ในระดับชั้นสัญญาบัตรเสร็จเรียบร้อยแล้ว 646 ตำแหน่ง ดังนี้ กำหนดตำแหน่งให้กับกก.สส.ภ.จว. ในสังกัดบช.ภ.1-9 กำหนดตำแหน่งรองผกก.สส.ภ.จว. 43 ตำแหน่ง กำหนดตำแหน่งสว. (ทำหน้าที่สืบสวน) 137 ตำแหน่ง กำหนดตำแหน่งให้กับศูนย์รับแจ้งเหตุ 191 กก.สส.ภ.จว. ในสังกัดบช.ภ.1-9 และศชต. กำหนดตำแหน่งสว. จำนวน 76 ตำแหน่ง และรองสว. 380 ตำแหน่ง
อนึ่ง สำหรับการกำหนดตำแหน่งผบ.หมู่ถึงรองสว. 960 ตำแหน่งนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ หากดำเนินการเสร็จสิ้นเมื่อใด สง.ก.ตร.จะจัดส่งบัญชีกำหนดตำแหน่งให้กับสกพ.ต่อไป
สั่งจับอีก 2-รองผกก.เด็กบิ๊กกิ๊ก
วันเดียวกัน ศาลอาญาอนุมัติหมายจับพ.ต.ท.ทรงรักษ์ ขุนศรี รองผกก.6 บก.ป. นายตำรวจคนสนิทของพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ หมายจับเลขที่ 2264/2557 ลงวันที่ 14 ธ.ค.2557 ระบุว่าพ.ต.ท.ทรงรักษ์มีความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน หลังจากก่อนหน้านี้หลบหนีไม่ยอมมารายงานตัวตามหมายเรียกเข้าให้ปากคำของตร. นอกจากนี้ศาลอาญายังออกหมายจับนายทรงพล ทองสิน คนสนิทของพล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรอง ผบช.ก. โดยหมายจับเลขที่ 2263/2557 ลงวันที่ 14 ธ.ค.2557 ระบุว่า นายทรงพลมีความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน
ต่อมาพ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รรท.ผบก.ป. มีคำสั่งบก.ป.ที่ 382/2557 เรื่องให้ข้าราชการออกจากตำแหน่งไว้ก่อน ด้วยที่พ.ต.ท.ทรงรักษ์ มีกรณีต้องหากระทำความผิดทางอาญา ในข้อกล่าวหาร่วมกันฟอกเงิน จึงเห็นควรให้พ.ต.ท. ทรงรักษ์ ออกจากราชการไว้ก่อน
เรียกสอบปาลิดา-คดีเครื่องเสวย
ส่วนกรณีสำนวนคดีพฤติกรรมแอบอ้างเบื้องสูง ในนามคณะบุคคลน้ำทิพย์ อยู่ที่ 2/3 ม.9 ถนนทวีวัฒนา แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กทม. ได้ประมูลขายน้ำพริกประเภทต่างๆ โดยนางสุดาทิพย์ ม่วงนวล อายุ 48 ปี ผู้ต้องหาร่วมกับน.ส.ปาลิดา หลักเฉลิมพร อายุ 25 ปี และแอบอ้างเบื้องสูงได้ประมูลเครื่องเสวย ในนามคณะบุคคล 'ปณสุ'ขายผักสด และผักต้ม โดยมีนางสุดาทิพย์ และน.ส.ปาลิดาเกี่ยวข้องนั้น
รายงานข่าวแจ้งว่า พล.ต.ต.พงษ์พันธุ์ วรรณภักตร์ ผบก.น.1 สั่งการคณะพนักงานสอบสวน บก.น.1 เข้าไปสอบปากคำ ผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเกี่ยวกับกิจการของนาง สุดาทิพย์ ที่ร้านขายของในนามคณะบุคคล 'น้ำทิพย์'มีผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ ที่มีลักษณะ การแอบอ้างในการกระทำความผิดตามมาตรา 112 หรือไม่ ขณะเดียวกันพนักงานสอบสวนสน.สามเสน ออกหมายเรียกน.ส.ปาลิดาแล้ว เพื่อสอบปากคำว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่อง ดังกล่าวอย่างไร
ทั้งนี้ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. สั่งการพนักงานสอบสวนเร่งสรุปสำนวนคดีความผิดตามมาตรา 112 ในพื้นที่ สน.สามเสน และสน.ลาดพร้าว ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 21 ธ.ค. เพื่อส่งสำนวนให้คณะพนักงานสอบสวนตร. พิจารณาสำนวนต่อไป
ด.ต.มอบตัว-ทีมพตอ.ปลอมคำสั่ง
สำหรับ กรณี พ.ต.อ.เด่นชัย บุตรโพธิ์ศรี นักบิน (สบ5) กลุ่มงานการบิน กองบินตำรวจ อ้างได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ ชุดที่ 15 ด้านการปราบปรามอบายมุข การค้ามนุษย์และแรงงานต่างด้าว โดยยื่นเอกสาร ที่ลงนามโดยพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. เข้าค้นสถานบริการในย่านห้วยขวาง แต่เมื่อตรวจสอบพบเป็นเอกสารปลอม เหตุเกิดวันที่ 12 ธ.ค. ที่ผ่านมา โดยต่อมาศาลอาญาออกหมายจับพ.ต.อ.เด่นชัย 2 ข้อหา คือ ปลอมแปลงและใช้เอกสารราชการปลอม และเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 ตามที่เคยเสนอข่าวไปนั้น
ล่าสุด ที่สน.ห้วยวาง ร.ต.ท.วิชชาทัศน์ โชติวิวัฒนชัย พนักงานสอบสวน สน. ห้วยขวาง กล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ด.ต.สมสุข เกียรติศรีบุรินทร์ ผบ.หมู่งานปคม. หนึ่งใน ผู้ร่วมขบวนการของพ.ต.อ.เด่นชัย เดินทางมาเข้ามอบตัว จากการสอบปากคำเบื้องต้น ด.ต.สมสุขให้การภาคเสธ โดยอ้างว่าวันเกิดเหตุได้รับการประสานจากพ.ต.อ.เด่นชัย ว่ามีเอกสารคำสั่งแต่งตั้งชุดเฉพาะกิจ แต่ไม่ทราบว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม จึง หลงเชื่อและจัดหาทีมงานเข้าร่วมชุดเฉพาะกิจ ซึ่งเพิ่งเข้าร่วมปฏิบัติการครั้งนี้เป็นครั้งแรก แต่ที่ผ่านมาเคยทำงานร่วมกับพ.ต.อ.เด่นชัย แต่ไม่ได้สนิทสนมกัน
ร.ต.ท.วิชชาทัศน์ กล่าวต่อว่า เบื้องต้น ยังไม่เชื่อในคำให้การ เนื่องจากพนักงานสอบสวนสอบปากคำพยานในวันเกิดเหตุทั้งหมดแล้ว ต่างให้การตรงกันว่า ด.ต.สมสุขมีส่วนเกี่ยวข้องกับพ.ต.อ.เด่นชัย จึงได้แจ้งข้อหาร่วมกันปลอมแปลงและใช้เอกสารราชการปลอม และเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 ก่อนคุมตัวส่งศาล เพื่อออกหมายจับและฝากขังทันที โดยคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเกรงจะหลบหนี
ด้านพล.ต.ต.พงษ์พันธุ์ วรรณภักตร์ ผบก.น.1 กล่าวว่า สำหรับพ.ต.อ.เด่นชัยได้ติดต่อเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวนแล้ว แต่ยังไม่ระบุวันเวลาที่แน่นอน ส่วนผู้เสียหายรายอื่นยังไม่มีมาแจ้งความดำเนินคดีผู้ต้องหาเพิ่มเติม
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับเครือข่ายของพ.ต.อ.เด่นชัย จากการตรวจสอบยังเหลืออีกประมาณ 8 คน ซึ่งอยู่ระหว่างสอบสวนและติดตามจับกุมตัว