- Details
- Category: การเมือง
- Published: Sunday, 30 November 2014 22:03
- Hits: 5805
ยกเลิก'อัครพงศ์ปรีชา' ยุติใช้สกุล ราชเลขาฯแจ้งปลัดมท. ให้กลับใช้นามสกุลเดิม ถอดยศ-ไล่ออก3พี่น้อง คุม?พงศ์พัฒน์?นอนคุก ขีดเส้นพตท.รายงานตัว
สั่ง'พ.ต.ท.'คนสนิท'บิ๊กกิ๊ก'รายงานตัวให้ข้อมูลขุมทรัพย์ หากเบี้ยว 15 วันไล่ออก ยกเลิกชื่อสกุลพระราชทาน'อัครพงศ์ปรีชา' ให้กลับใช้'เกิดอำแพง'
@ ส่ง'บิ๊กกิ๊ก'คืนศาลออกหมายขัง
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 29 พฤศจิกายน ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พ.ต.อ.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองผู้บังคับการกองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (ผบก.อคฝ.) พนักงานสอบสวนตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมกำลังตำรวจประมาณ 20 นาย ได้นำตัว พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ผู้ต้องหาในคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112,
157,148,149 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน มาส่งคืนศาลเพื่อให้อยู่ในอำนาจความควบคุมของศาลอาญา
ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนระบุในคำร้อง สรุปว่า ตามคำร้องฝากขังผู้ต้องหานี้หมายเลขดำ พ.2623/2557 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2557 ซึ่งศาลอาญาอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหานี้ รวมทั้งอนุญาตให้รับตัวผู้ต้องหากลับไปควบคุมไว้เพื่อสอบสวนหาทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำผิดเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน-5 ธันวาคมนี้ บัดนี้พนักงานสอบสวน หมดความจำเป็นที่จะควบคุมตัวไว้อีก จึงขอส่งตัวผู้ต้องหาคืนต่อศาลเพื่อให้ออกหมายขัง โดยศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้ว ไม่คัดค้าน จึงรับตัวผู้ต้องหาไว้
@ คุมตัวเข้าคุกพิเศษกรุงเทพฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ สวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีส้ม กางเกงขาสั้นสีดำ สวมรองเท้าแตะหูหนีบ ถูกใส่กุญแจมือ ใบหน้าอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้หน้าแข้งด้านขวายังมีผ้าก๊อซปิดแผลติดไว้ โดยเจ้าหน้าที่ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ในการดำเนินการตามขั้นตอน จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัว พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ขึ้นรถตู้เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ กรมราชทัณฑ์ เดินทางไปยังเรือนพิเศษกรุงเทพฯ ในทันทีโดยมีรถยนต์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาตินำหน้าขบวน
@ เล็งฝากขังผลัด2วันที่4ธ.ค.
พ.ต.อ.เอกรักษ์กล่าวว่า พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ จะครบกำหนดฝากขังครั้งแรกในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ พนักงานสอบสวนจะมายื่นคำร้องขอฝากขังครั้ง 2 วันที่ 4 ธันวาคมนี้ พร้อมคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นตำรวจระดับสูง เกรงว่าจะใช้อิทธิพลไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน ส่วนกรณีที่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ มีสภาพอิดโรยนั้น ยืนยันว่าระหว่างการสอบสวนไม่มีการทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด ส่วนกรณีมีลักษณะคล้ายบาดเจ็บที่ขานั้นเนื่องจาก พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ มีอายุมากแล้วและสภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง
พ.ต.อ.เอกรักษ์กล่าวต่ออีกว่า สำหรับผู้ต้องหาที่ฝากขังต่อศาลจังหวัดพระโขนง 5 คนเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ที่ผ่านมานั้น ทางพนักงานสอบสวน สน.พระโขนง จะรวบรวมหลักฐานเพื่อสรุปสำนวนคดีต่อไป ส่วนการตรวจค้นทรัพย์สินเพิ่มเติมในคดีนี้ ถ้าหากพบว่าในพื้นที่ใดมีทรัพย์สินของกลางที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดซุกซ่อนอยู่ ทางเจ้าหน้าที่ก็จะตรวจค้นเพิ่มเติม และหากพบว่ามีบุคคลใดที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดอีก ก็จะออกหมายจับเพื่อมาดำเนินคดีต่อไป
@ ส่ง'พงศ์พัฒน์'อยู่แดนแรกรับ
ที่กระทรวงยุติธรรม นายวิทยา สุริยะวงค์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า หลังรับตัว พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์มาคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯแล้ว พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ถูกนำตัวไปทำประวัติผู้ต้องขังใหม่ พิมพ์ลายนิ้วมือ ตรวจสุขภาพร่างกาย รวมถึงได้รับการแนะนำข้อปฏิบัติในการอยู่ในเรือนจำ ซึ่งเป็นขั้นตอนปกติของผู้ต้องขังใหม่ทุกราย
นายวิทยา กล่าวอีกว่า โดยระยะแรกผู้ต้องขังใหม่ต้องอยู่ในแดนแรกรับ ซึ่งในกรณีของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เรือนจำจะส่งตัวไปอยู่ร่วมกับผู้ต้องขังคดีเดียวกันที่ถูกส่งตัวมาฝากขังก่อนหน้านี้ ทั้งในส่วนของผู้ต้องขังคดีที่ร่วมกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เรียกรับสินบน แอบอ้างสถาบันฯ และกลุ่มตระกูลอัครพงศ์ปรีชาที่มีพฤติการณ์อุ้มรีด ทั้งนี้ เรือนจำจะไม่แยกการคุมขังคนกลุ่มดังกล่าว และจะยังไม่แยกไปคุมขังในแดนอื่นๆ เพราะยังเป็นผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดี ทั้งนี้ หน้าที่ของเรือนจำคือการดูแลผู้ต้องขังตามคำสั่งศาลตามปกติ หากเจ็บป่วยก็ต้องได้รับการรักษาตามสิทธิ ซึ่งเรือนจำมีสถานพยาบาลคอยดูแลอยู่
@ ยึดไม้สัก-มะค่าโมงบ้านผู้ต้องหา
เวลา 11.00 น. ตำรวจ สภ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี พร้อมเจ้าหน้าที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) เข้าตรวจค้นบ้าน 4 หลังอยู่ภายในรั้วเดียวกันเลขที่ 30,30/3,30/5 และ 30/7 หมู่ 14 ซอยวัดปรางค์หลวง ต.บางม่วง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ของนายชอบ ชินนะประภา 1 ในผู้ต้องหาเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ พบตู้คอนเทนเนอร์สีเทา 2 ตู้ ขนาดกว้าง 4 เมตร ยาว 10 เมตร ภายในมีไม้สัก ไม้กระยาเลยแปรรูป ขนาดต่างๆ ประมาณ 390 แผ่น มีบานประตูหน้าต่างจำนวนหนึ่ง
โดยนายสายัณย์ ชินนะประภา น้องชายนายชอบให้การว่า ที่ดินภายในรั้วบ้านประมาณ 3 ไร่ จุดนี้แบ่งโฉนดกันชัดเจน นายชอบได้นำไม้ใส่ตู้คอนเทนเนอร์มาวางไว้บนที่ดินส่วนตัวเมื่อประมาณ 4 ปีก่อน ตนรู้เพียงว่าไม้ทั้งหมดเป็นของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ที่ฝากไว้ แต่ไม่รู้ที่มาที่ไปของไม้ดังกล่าว
@ ก่อนหน้ายึดโรงเลื่อยที่เมืองทอง
ด้าน พ.ต.อ.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผกก.6 บก.ปทส. กล่าวว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าไม้ดังกล่าวเป็นไม้มะค่าโมงและไม้สัก ผ่านการแปรรูปมาจากโรงเลื่อย บางส่วนมีตราประทับของเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ จะอายัดไว้ก่อน และให้โอกาสญาติของนายชอบนำหลักฐานมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ภายใน 7 วัน และเมื่อครบกำหนด 7 วัน หากไม่มีหลักฐานมาแสดงจะยึดไม้ส่งให้กับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ตามขั้นตอนต่อไป
พ.ต.อ.วัชรินทร์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นร้านขายเฟอร์นิเจอร์ ของนางสวงค์ มุ่งเที่ยง 1 ในผู้ต้องหาย่านเมืองทองธานียึดไม้แปรรูปได้จำนวนมาก อาทิ ไม้มะค่า ไม้สัก และไม้ประดู่ กว่า 2,800 แผ่น มูลค่ากว่า 7 ล้านบาท และในวันที่ 1 ธันวาคมนี้ จะประสานกรมศิลปากร เข้าตรวจค้นโกดังที่ร้านเฟอร์นิเจอร์นี้อีกครั้ง เนื่องจากพบวโบราณัตถุและไม้แปรรูปบางส่วนอยู่ภายในโกดัง
@ 'ศรีวราห์'รุดดูไม้ของกลาง
ต่อมาเวลา 16.00 น. พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. พล.ต.ต.วิสูตร ฉัตรชัยเดช ผบก.น.6 ตรวจสอบบ้าน 4 หลัง ของนายชอบอีกครั้ง โดย พล.ต.ท.ศรีวราห์สอบถามข้อมูลจากนายสายัณย์ น้องนายชอบที่มีที่ดินอยู่ในรั้วติดกันด้วย
พล.ต.ท.ศรีวราห์กล่าวว่า หลังจากได้รับแจ้งว่าเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบไม้แปรรูปเป็นไม้สักและไม้กระยาเลยภายในตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งตั้งภายในบ้านหลังดังกล่าว จึงให้เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ตรวจไม้แปรรูปพบว่าทุกแผ่นมีตราสัญลักษณ์ของกรมป่าไม้ ประทับไว้ที่แผ่นไม้มีอักษรย่อ ตัว ย (ยึด) ตัว ป (ปล่อย) เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถยืนยันหรือระบุได้ว่าสัญลักษณ์ที่พบเป็นตราประทับจริงหรือปลอม ซึ่งต้องให้นายสายัณย์สอบถามจากพี่ชายอีกครั้งว่าไม้ที่เก็บในตู้คอนเทนเนอร์มีเอกสารหลักฐานการครอบครองอย่างถูกต้องหรือไม่ เช่น ใบเบิกทาง ใบหนังสือกำกับ ระหว่างนี้เจ้าหน้าที่ได้อายัดไม้แปรรูปทั้งหมดไว้เพื่อรอใบเอกสารกำกับมายืนยันอีกครั้ง
@ ปลัดยธ.ยันดีเอสไอสอบแค่ภาษี
พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงบัญชีสินบนของนายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือเสี่ยโจ้ นักธุรกิจภาคใต้ ที่พัวพันกับเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ว่าดีเอสไอเข้าไปสอบสวนคดีค้าน้ำมันเถื่อนเฉพาะประเด็นหลบเลี่ยงภาษีเท่านั้น ในขณะที่ตนเป็นอธิบดีดีเอสไอไม่เคยได้รับข้อมูลหรือนำเสนอสำนวนเกี่ยวกับคดีดังกล่าว
ด้านนางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า ขณะนี้ดีเอสไอได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงตามที่มีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่ดีเอสไอรับสินบนแล้ว แต่ไม่ได้ระบุกรอบเวลาให้ดำเนินการไปตามขั้นตอน เบื้องต้นมีเจ้าหน้าที่ถูกระบุชื่อเล่นอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอไปรับสินบน 3 คน คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงจะประชุมร่วมกันในสัปดาห์หน้าเพื่อพิสูจน์ว่าบุคคลที่ถูกอ้างชื่อมีชื่อและนามสกุลจริงว่าอะไร และเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอหรือไม่ เนื่องจากการกล่าวหามีเพียงชื่อเล่น อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอต้องสอบให้ได้ข้อเท็จจริงเหล่านี้ก่อนเพื่อเอาผิดทางวินัย
@ ยกเลิกสกุล'อัครพงศ์ปรีชา'
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองกิจการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สำนักงานราชเลขานุการในพระองค์ฯ พระที่นั่งอัมพรสถาน ได้มีหนังสือเลขที่ พว 0005.1/ ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2557 เรื่อง ยกเลิกชื่อสกุลพระราชทาน 'อัครพงศ์ปรีชา' เรียน ปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้วยกองกิจการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ขอยกเลิกชื่อสกุลพระราชทาน 'อัครพงศ์ปรีชา' โดยให้ผู้ที่ใช้ชื่อสกุลพระราชทานนี้ในปัจจุบันกลับไปใช้ชื่อสกุลเดิม จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ และดำเนินการต่อไป ลงชื่อ พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ราชเลขานุการในพระองค์ฯ ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการกองกิจการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นามสกุลพระราชทาน'อัครพงศ์ปรีชา' นั้น ได้พระราชทานให้นายอภิรุจ และนางวันทนีย์ อัครพงศ์ปรีชา พื้นเพเดิมเป็นชาวจังหวัดสมุทรสงคราม มีบุตรธิดา 5 คน และหนึ่งในนั้นคือนายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา ผู้ต้องหาในคดีเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์
@ โฆษกตร.ยันถอดชื่อสกุลจริง
พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตนได้รับเอกสาร แจ้งเรื่องยกเลิกชื่อสกุลพระราชทาน 'อัครพงศ์ปรีชา'จากกองกิจการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร แล้ว และให้ผู้ต้องหา 3 คนในคดีที่เกี่ยวข้องกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ กลับไปใช้นามสกุลเดิม 'เกิดอำแพง'โดยยืนยันว่าเป็นเอกสารจริงรวมถึงเอกสารการถอดยศและตำแหน่งของบุคคลทั้งสามด้วย
@ ชี้'รองผกก.'เบี้ยวรายงานตัว
โฆษก ตร.กล่าวว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ขุนศรี รองผู้กำกับการ กองกำกับการ 6 กองบังคับการปราบปราม ซึ่งการสืบสวนพบว่าเป็นคนใกล้ชิด สนิทสนมเป็นพยานสำคัญในการเรื่องเก็บทรัพย์สินของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เข้ารายงานตัวต่อ พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รรท.ผบก.ป.แล้ว แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มารายงานตัวแต่อย่างใด อีกทั้งยังติดต่อไม่ได้
"อย่างไรก็ตาม ยังไม่ระบุว่า พ.ต.ท.ทรงรักษ์ร่วมกระทำความผิด เพียงแต่เรียกตัวเพื่อขอข้อมูลเท่านั้น ทั้งนี้ทั้งนั้นหากครบ 15 วันแล้ว พ.ต.ท.ทรงรักษ์ยังไม่ปรากฏตัวก็ถือว่าขาดราชการ ต้องโทษไล่ออกจากราชการ" พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าว
@ เตรียมออกหมายจับเพิ่มอีก
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวอีกว่า กรณีการจ่ายส่วยน้ำมันเถื่อนของนายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือ เสี่ยโจ้ นักธุรกิจภาคใต้นั้น ยอมรับว่าพบข้อมูลมีการจ่ายขึ้นมาถึง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ด้วย แต่ขอไม่เปิดเผยรายละเอียด เนื่องจากอยู่ในสำนวนการสอบสวน
"ทั้งนี้ พฤติกรรมที่พบเกี่ยวข้องกับการพนันนั้น พบว่าในช่วงของการกวาดล้างโต๊ะพนันฟุตบอล มีของกลางบัญชีจ่ายเงิน โอนเงินจำนวนมาก มีหลักฐานการวิ่งเต้นให้ผลตอบแทนเพื่อไม่ต้องถูกดำเนินคดี อย่างไรก็ตาม เร็วๆ นี้ จะขออนุมัติหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีก ส่วนตำรวจรายใดที่พบหลักฐานเกี่ยวข้องก็ต้องดำเนินการทุกราย" พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าว
@ เปิด2ตู้เซฟว่าง-เชื่อขนไปแล้ว
เวลา 17.00 น. ที่สโมสรตำรวจ พล.ต.ท.ประวุฒิพร้อม พล.ต.อ.จรัมพร สุระมณี ที่ปรึกษา ผบ.ตร. และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานตำรวจ นำช่างกุญแจมาเปิดตู้เซฟ 2 ตู้ ที่ตรวจยึดได้จากบ้านเลขที่ 30/3 หมู่ 14 ต.บางม่วง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นบ้านของนายชอบ ชินนะประภา สามีนางปิยพรรณ ชินนะประภา น้องสาว พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับตู้เซฟทั้งสองดังกล่าวยี่ห้ออิเกิ้ล ขนาดกว้าง 61 เซนติเมตร สูง 36 เซนติเมตร ยาว 38.5 เซนติเมตร น้ำหนัก 60 กิโลกรัม ความหนา 5 มิลลิเมตร ผลิตที่ประเทศเกาหลี ถูกออกแบบมาให้ใช้ฝังเก็บไว้ในกำแพงหรือใต้ดิน และไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย โดยช่างได้เปิดตู้เซฟทั้ง 2 ตู้ ใช้เวลาประมาณ 5 นาที ภายในไม่พบสิ่งของเป็นแค่เพียงตู้เซฟเปล่าๆ เท่านั้น
พล.ต.ท.ประวุฒิเปิดเผยว่า ตู้เซฟดังกล่าวได้ตรวจยึดได้เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ก่อปูนปิดไว้บริเวณข้างบ้านเพื่ออำพราง ซึ่งพบตู้เซฟทั้งหมด 3 ใบ ตู้เซฟหนึ่งใน 3 ใบไม่ได้ล็อกไว้ จึงเปิดดูแต่ก็ไม่พบทรัพย์สินใดๆ ส่วนอีกสองตู้นำมาเปิดดูพร้อมกันในวันนี้ เชื่อว่าขนย้ายทรัพย์สินมีค่าออกไปก่อนหน้านี้แล้ว จึงมอบให้กองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบลายนิ้วมือแฝง เพื่อหาความเชื่อมโยงต่อไป
@ เตรียมเปิดอีก3ตู้1ธันวาฯ
"อย่างไรก็ตามในวันที่ 1 ธันวาคมนี้ จะเปิดตู้เซฟที่ยึดได้เมื่อวานนี้จากบ้านพักของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ย่านเมืองทองธานี แจ้งวัฒนะ อีก 3 ใบ ซึ่งมีขนาดใหญ่สูง 1.7 เมตร และไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ และเชื่อว่าน่าจะใช้เป็นตู้เก็บของมีค่า นอกจากนี้จะมีการขยายผลตรวจค้นบ้านพักของเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์อีก 2-3 แห่งด้วย" พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าว
พล.ต.อ.จรัมพรกล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานจะตรวจสอบเพื่อหารอยนิ้วมือแฝง และดีเอ็นเอที่อยู่บริเวณตู้เซฟดังกล่าว โดยใช้วิธีการปัดผงฝุ่นสีดำตามจุดต่างๆ ทั้งในและนอกตู้เซฟ ซึ่งผู้ที่ขนย้ายสิ่งของด้านในตู้เซฟน่าจะมีดีเอ็นเออยู่ที่เกิดเหตุ จากนั้นก็จะนำตู้เซฟไปตรวจสอบภายในห้องตู้ที่ใช้เทคโนโลยีที่ชื่อว่าซุปเปอร์กรู ซึ่งเป็นการนำเอาความร้อนไปใช้กับวัตถุเพื่อหารอยลายนิ้วมือแฝงอีกครั้ง
@ โพลชี้ผิดจริงให้ลงโทษ81.30%
"สวนดุสิตโพล" มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (มสด.) ได้สำรวจความคิดเห็นประชาชน 1,229 คน ระหว่างวันที่ 24-28 พฤศจิกายน กรณีข้าราชการระดับชั้นผู้ใหญ่และพวกในวงการตำรวจ ต้องคดีส่วยพันล้าน โดยยึดของกลางได้ทั้งเงินสดและวัตถุล้ำค่าจำนวนมหาศาล สรุปผลได้ดังนี้ 1.ประชาชน 81.30% คิดว่าหาก พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์และพวกทำผิดจริงควรดำเนินคดีตามกฎหมาย ไม่มีการละเว้น ขณะที่ 80.08% ยังสับสนกับข่าวข้อมูลไม่ชัดเจน มีหลายจุดที่ยังสงสัย คลุมเครือ
เมื่อถามว่าประชาชนอยากให้รัฐบาลดำเนินการต่อคดีดังกล่าวอย่างไร ประชาชน 74.80% ตอบว่า ขอให้เร่งกวาดล้างและจับกุมผู้กระทำผิดโดยเร็ว ขณะที่ 65.04% มองว่าควรตรวจสอบแหล่งที่มาของทรัพย์สินต่างๆ ที่ยึดมาได้ มีการดำเนินการอย่างโปร่งใส เมื่อถามต่อว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่ต้องปฏิรูปตำรวจ ประชาชน 95.53% ตอบว่าถึงเวลาแล้ว เพราะจะได้เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ภาพลักษณ์จะได้ดีขึ้น ประชาชนไม่ถูกข่มเหงเอาเปรียบ ขณะที่ 4.47% ตอบว่าไม่แน่ใจ เพราะยังไม่เห็นข้อดีข้อเสียของการปฏิรูป ไม่รู้ว่าปฏิรูปแล้วจะดีขึ้นจริงหรือไม่
และเมื่อถามถึงบทเรียนที่ได้จากกรณีที่เกิดขึ้น ประชาชน 78.46% ตอบว่า การทุจริตคอร์รัปชั่นในแวดวงราชการไทยยังมีอยู่มากและรุนแรงมากขึ้น ขณะที่ 67.89% ตอบว่า ทุกอาชีพมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ควรช่วยกันเป็นหูเป็นตา