- Details
- Category: การเมือง
- Published: Saturday, 01 November 2014 10:01
- Hits: 4829
วันที่ 01 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 ปีที่ 24 ฉบับที่ 8739 ข่าวสดรายวัน
'กล้านรงค์'งานเข้า ปธ.ฎีกา ส่งบันทึก-ปมตั้งกต.ถึงปธ.สนช.-ชี้มีผู้ร้อง ปัญหาคุณสมบัติ'เมธี'เปิดเซฟ-บิ๊กตู่ 128 ล้าน 'อุ๋ย'รวยที่สุด 1.3 พันล. ศาลปค.ยกฟ้องปูคดีน้ำ นปช.จัดรำลึก'นวมทอง'
ยลเขมร - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ พร้อมนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เยี่ยมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกัมพูชา ในโอกาสเดินทางเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 31 ต.ค. |
ป.ป.ช.เปิดบัญชีทรัพย์สินครม. ประยุทธ์ เผยหม่อมอุ๋ย หม่อมเหลน รวยอู้ฟู่คนละ 1.3 พันล้าน ปีติพงศ์ พึ่งบุญฯ มาอันดับ 3 ล่ำซำกว่า 800 ล้าน ส่วน 'บิ๊กตู่' เหนาะๆ มี 128 ล้าน รถยนต์ 5 คัน นาฬิกาหรู 9 เรือน แจงได้รับมรดกจากพ่อขายที่ได้ 540 ล้าน ที่ต้องนำไปแบ่งญาติ ประธานศาลฎีกาทำหนังสือถึงประธานสนช.ระบุกลุ่มทนายความร้องค้านมติตั้ง'เมธี ครองแก้ว' นั่งก.ต.ผู้ทรงคุณวุฒิ โดยแจ้งว่าเป็นผู้ถูกฟ้องร้องคดีอาญาหลายคดี จึงมีลักษณะต้องห้าม สนช.จี้'กล้านรงค์ จันทิก'ในฐานะคนชงแสดงความรับผิดชอบ ศาลปกครองสูงสุดยกฟ้องยิ่งลักษณ์คดีโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน ชี้เป็นแค่แผนการยังไม่เกิดความเสียหาย 'ปู-แม้ว'ไปกวางโจวเคารพหลุมศพบรรพบุรุษท่ามกลางเพื่อนบ้านต้อนรับอบอุ่น ตร.ตรึงเข้มงวดรำลึกวีรบุรุษต้านรัฐประหาร'นวมทอง ไพรวัลย์' ฆ่าตัวประท้วงปฏิวัติ ขณะที่กปปส.ยึดสวนโมกข์จัดรำลึกการชุมนุมครบ 1 ปี
เผยหม่อมอุ๋ย-เหลนรวย 1.3 พันล.
วันที่ 31 ต.ค. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี สำนักงานป.ป.ช.เปิดเผยรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 4 ก.ย.2557 จำนวน 33 คน 35 ตำแหน่ง พบว่าบุคคล ที่มีทรัพย์สินมากที่สุดคือ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกฯ มีทรัพย์สิน 1,378,394,902 บาท รองลงมาคือม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมต.ประจำสำนักนายกฯ 1,315,332,228 บาท ขณะที่ครม.ส่วนใหญ่ไม่มีหนี้สิน ส่วนรัฐมนตรีที่มีทรัพย์สินน้อยที่สุดคือพล.ร.อ. ณรงค์ พิพัฒนาศัย รมว.ศึกษาธิการ มีทรัพย์สิน 6,948,378 บาท
อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีส่วนใหญ่มีทรัพย์สินในส่วนของที่ดินจำนวนมาก อาทิ ม.ล.ปนัดดา มีที่ดินมูลค่า 1,152,124,750 บาท นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รมว.เกษตรและสหกรณ์ มีที่ดินมูลค่า 114,000,000 บาท นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา มีที่ดินมูลค่า 104,978,050 บาท พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกฯ และรมว.ต่างประเทศ มีที่ดินมูลค่า 63,589,375 บาท
ประยุทธ์ อู้ฟู่ 128 ล้าน-รถยนต์ 5 คัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่รายละเอียดทรัพย์สินและหนี้สินของพล.อ.ประยุทธ์ และนางนราพร คู่สมรสนั้น มีทรัพย์สิน 128,664,535 บาท โดยเป็นเงินฝาก 66,944,404 บาท เงินลงทุน 23,072,380 บาท ส่วนใหญ่ซื้อหลักทรัพย์และพันธบัตร ที่ดิน 7,634,750 บาท ซึ่งอยู่ในเขตพญาไท กทม. อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี และอ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ ยานพาหนะ 15,300,000 บาท 5 รายการ ได้แก่ รถฟอร์ดปี 2005 เลขทะเบียน ฌภ 21 กทม. รถโตโยต้า คัมรี่ ปี 2007 เลขทะเบียน ชช 21 กทม. เมอร์เซเดส เบนซ์ S600L ปี 2011 เลขทะเบียน ญค 1881 กทม. บีเอ็มดับเบิลยู 740 Li ปี 2009 เลขทะเบียน ฎน 2498 กทม. และโตโยต้าอัลพาร์ด ปี 2012 เลขทะเบียน ธท 9797 กทม. ทรัพย์สินอื่น 11,713,000 บาท ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์มีหนี้สิน 654,745 บาท ซึ่งเป็นเงินกู้(กู้ร่วม) จากธนาคารออมสิน สาขาสวนจิตรลดา
นาฬิกาหรู-เมียมีเครื่องประดับอื้อ
ส่วนทรัพย์สินอื่น พล.อ.ประยุทธ์แจ้งไว้ว่ามีเครื่องประดับประจำตัว ได้แก่ แหวนหัวทับทิมเรือนทอง แหวนหัวหยกเรือนทองขาว แหวนหัวไพลินเรือนทอง นาฬิกา 9 เรือน อาทิ ยี่ห้อปาเต๊ะฟิลลิป ยี่ห้อโรเล็กซ์ สร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทอง อาวุธปืน 9 กระบอก โดยเป็นปืนพก ปืนยาวลูกกรด และปืนลูกซอง นอกจากนี้ยังแจ้งว่ามีทรัพย์สินอื่นเป็นเครื่องรางด้วย
ขณะที่นางนราพรพบว่าส่วนใหญ่เป็นเครื่องประดับของสุภาพสตรี อาทิ ต่างหูเพชรระย้า ชุดเครื่องเพชร ชุดเครื่องมุก แหวนเพชร แหวนมรกต สร้อยคออุบะทองประดับเพชร ต่างหูทองหน้าเสือประดับเพชร แหวนและต่างหูเพชรน้ำตาล แหวนเพชรลายฉลุ เข็มกลัดเพชรวงกลม
หม่อมเหลนรวยที่ดิน 1.1 พันล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รัฐมนตรีคนอื่นที่ น่าสนใจ อาทิ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรและนางประภาพรรณ คู่สมรส ซึ่งมีทรัพย์สินมากที่สุด ส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนถึง 1,102,777,856 บาท ส่วนม.ล.ปนัดดาและนางอัมพร คู่สมรส ซึ่งมีทรัพย์สินมากที่สุดเป็นอันดับสอง มีที่ดินมูลค่าสูงถึง 1,152,473,825 บาท อยู่ในย่านนางเลิ้ง เขตดุสิต ย่านคลองมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กทม. อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ อ.ปากพลี จ.นครนายก เงินฝาก 90,126,364 บาท ทรัพย์สินอื่นที่แจ้งไว้ อาทิ กระดุมเสื้อโบราณ สิงห์โตทอง ชุดพระเครื่อง-พระหยกล้อมเพชร กำไลแกะลายลงยา ตลับแกะลายลงยา-รูปผลไม้ และเครื่องประดับอื่นๆ
นายปีติพงศ์ในรายการของทรัพย์สินอื่น มีมูลค่าสูงถึง 586,700,000 บาท อาทิ พระเครื่องพระบูชา เครื่องลายคราม ตุ้มหู 227 คู่ แหวนเพชร, ทองคำ และพลอย 408 วง สร้อยข้อมือเพชรและทองคำ 105 เส้น กำไลเพชรและทองคำ 178 วง เครื่องประดับโบราณ 141 ชุด สร้อยคอเพชร, ทองคำและพลอย 61 เส้น เข็มกลัดเพชร, ทองคำ และพลอย 48 ชิ้น เครื่องดนตรีฟลุต 7 อัน ซึ่งนายปีติพงศ์ระบุว่าทรัพย์สินดังกล่าวไม่สามารถสืบค้นวันเดือนปีที่ได้มาได้ ที่ดินย่าน อ.จอมบึง จ.ราชบุรี อ.หางดง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ต.เวินพระบาท จ.นครพนม มูลค่า 154,000,000 บาท เงินฝาก 36,392,494 บาท และยังเป็นเจ้าของห้องชุดเดอะเอส พานาด ที่อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์มูลค่า 27,000,000 บาท
'ธนะศักดิ์'มีเงินฝาก 75.6 ล้าน
พล.อ.ธนะศักดิ์และนางเพ็ญลักษณ์ คู่สมรส มีเงินฝากมูลค่าสูงถึง 75,613,496 บาท ที่ดินย่านอ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี อ.ลำลูกกา อ.สามโคก จ.ปทุมธานี อ.ปากช่อง จ.นครราช สีมา อ.เมือง จ.ลพบุรี อ.ปากพลี จ.นครนายก มูลค่า 63,589,375 บาท มีทรัพย์สินอื่นมูลค่า 15,409,704 บาท ส่วนใหญ่เป็นชุดเครื่องประดับเพชร, พลอย และมุก และมีทรัพย์สินจำนวนหนึ่งระบุว่าเป็นของพระราชทาน พระพุทธรูป พระบูชา พระรูป ซึ่งได้มาในช่วงปี 2524-2554 ที่ไม่สามารถประเมินค่าได้
พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคม และนางจินตนา คู่สมรส ทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นเงินฝาก 6,326,737 บาท เงินลงทุน 3,210,320 บาท สิทธิและสัมปทาน 1,220,302 บาท และทรัพย์สินอื่น 4,420,000 บาท อาทิ พระพุทธรูปบูชา 27 องค์ พระเลี่ยมทอง 35 องค์ พระสมเด็จ 4 องค์ ชุดมรกตเรือนทองฝังเพชร 1 ชุด 6 ชิ้น
พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และพล.ท.หญิง สุพัตรา คู่สมรส ทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นเงินฝากมูลค่า 36,839,062 บาท รถยนต์ 1 คัน ยี่ห้อปอร์เช่ ปี 2013 มูลค่า 7,500,000 บาท ส่วนมีทรัพย์สินอื่น อาทิ พระเครื่อง ซึ่งไม่สามารถประเมินค่าได้ ปืนขนาด 9 ม.ม. 2 กระบอก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับทรัพย์สินรวมของครม.ประยุทธ์ 1 จำนวน 33 คน มีทั้งสิ้น 6,025,052,109 บาท หากคิดเฉพาะครม.ที่เป็นนายทหารระดับนายพล 12 คน มีทรัพย์สินรวม 748,233,998 บาท แจงป.ป.ช.ได้มรดกพ่อรวยขายที่
ขณะเดียวกันพล.อ.ประยุทธ์ ได้ยื่นเอกสารหนังสือการซื้อขายที่ดินต่อป.ป.ช. ซึ่งเป็นการซื้อขายที่ดิน 9 โฉนด ย่าน บางบอน กทม. ระหว่างพ.อ.ประพัฒน์ จันทร์โอชา บิดา ขายให้บริษัท 69 พร็อพ เพอร์ตี้ จำกัด เป็นจำนวนเงิน 600 ล้านบาท ซึ่งมีการทำหนังสือสัญญาซื้อขายเมื่อวันที่ 9 พ.ค.56 ต่อมา พ.อ.ประพัฒน์ได้โอนเงินจำนวน 540 ล้านบาท เข้าบัญชีธนาคารให้แก่พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อวันที่ 10 พ.ค.56 ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ได้แจ้งต่อป.ป.ช.ว่า ได้นำเงินจำนวนดังกล่าวคืนเป็นเงินกองกลางให้พ่อและน้อง จำนวน 267,999,594 บาท มอบให้ลูก 198,500,000 บาท รวม 466,499,594 บาท
'บิ๊กตู่'ไม่อยากให้ถามลงทุนอะไร
เมื่อเวลา 16.00 น. ที่บน.6 พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์หลังเดินทางกลับจากเยือนกัมพูชา ถึงการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อป.ป.ช.ว่า มีการเปิดเผยต่อสาธารณะแล้ว เมื่อถามว่าที่มีการแจ้งหนี้สินนั้นเป็นการนำเงินไปลงทุนอะไร นายกฯ กล่าวว่า "ส่วนใหญ่จำรายละเอียดไม่ได้ แต่น่าจะนำไปซื้อกองทุนต่างๆ ซึ่งผมไม่ใช่นักธุรกิจ ไม่อยากให้ถามอย่างนี้เลย แต่สามารถตรวจสอบได้ ผมไม่ได้กลัวอะไรอยู่แล้ว ความจริงผมควรไปตอบกับฝ่ายกฎหมายมากกว่า ซึ่งต้องขอบคุณทุกคน ยืนยันว่าผมจะทำให้ดีที่สุด ไม่ได้มีเจตนาอะไรทั้งสิ้น ขอให้ลดปัญหาลงไปบ้าง"
หารือ - พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม นายเพิ่มพงษ์ เชาวลิต เลขาฯ ป.ป.ส. เข้าพบพล.ท.โกโก รมว.มหาดไทย และพล.ท.เต็ทหน่ายวิน รมว.กิจการชายแดนพม่า เพื่อหารือความร่วมมือสกัดกั้นยาเสพติดชายแดนของ 2 ประเทศ ที่กรุงเนปิดอว์ ประเทศพม่า |
นายกฯ กล่าวว่า วันนี้ความสัมพันธ์ไม่ได้อยู่ในประเทศอย่างเดียว ต่างประเทศก็เดินหน้ากันทั้งหมด ต้องมีการเปลี่ยนแปลงโดยรวมกันให้ได้ เช่น การรวมธุรกิจ การรวมคนเพื่อเศรษฐกิจในอนาคตเนื่องจากเศรษฐกิจข้างหน้าถูกกำหนดด้วยกติกาของประชาคมอื่นๆ ด้วย ถือเป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะการ ตัดสิทธิจีเอสพีต่างๆ การผูกพันสัญญาเรื่องเอฟทีเอ ดับเบิลยูทีโอ มีปัจจัยมาก ทำให้การขายสินค้ายากขึ้น เป็นสาเหตุทำให้การส่งออกน้อยลง เพราะต้นทุนสูงขึ้น ทำให้ค้าขายสู้คนอื่นไม่ได้ ซึ่งต้องให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ทำทุกอย่างให้สมดุลและเกิดความพอดี ไม่ใช่ว่าทุกคนไม่ยอมขยับอะไร รอให้รัฐบาลช่วยอย่างเดียวโดยบอกว่าเป็นรัฐบาลมีหน้าที่แก้ไขปัญหา รายได้ไม่มี ก็เป็นเรื่องของรัฐบาลต้องไปหามาเพราะอยากเป็นรัฐบาล พูดอย่างนี้ไม่เป็นธรรมเลย ตนอยากบอกว่าวันนี้รัฐบาลมาแก้ไขปัญหาทั้งหมดที่ซับซ้อน ทุกคนจึงต้องช่วยกันเป็นกำลังใจกัน และต้องขอบคุณทุกคน
อย่ายึดตัวเลข-เตรียมระบายข้าว
เมื่อถามถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบข้าว นายกฯ กล่าวว่า วันนี้รมว.พาณิชย์ออกมาแถลงแล้ว ตนจึงไม่อยากพูดซ้ำเพราะเดี๋ยวตัวเลขจะผิด เท่าที่ตนจำได้ ทุกวันมีตัวเลขเยอะมาก มันอาจเคลื่อนนิดหน่อย แต่ตัวเลขเท่าที่กระทรวงพาณิชย์พูดนั้น ใกล้เคียงกับตน อย่าเอาผิดเอาถูกตรงนั้นเลย แต่ต้องดูว่าขั้นตอนต่อไปจะทำอย่างไรดีกว่า
ผู้สื่อข่าวถามว่าจากนี้จะระบายข้าวเลย ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ต้องขออนุมัติให้ชัดเจนและรายงานไปยังหน่วยงานที่ตรวจสอบและขออนุมัติในการระบายข้าว ซึ่งเราได้จัดทำแผนรองรับไว้ ได้ขออนุญาตป.ป.ช.ไปประมาณ 2-3 วันแล้ว คาดว่าอยู่ระหว่างดำเนินการ
เมื่อถามว่าความเสียหายที่ผ่านมาในเรื่องข้าวต้องมีผู้รับผิดชอบใช่หรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์กล่าวว่า คำถามและคำตอบอยู่ในตัวของมันเองแล้ว เมื่อมีความเสียหาย ก็ต้องมีผู้รับผิดชอบ เช่น มีของหายแสดงว่ามีคนหยิบไปก็ต้องมีคนรับผิดชอบ
ป.ป.ช.พร้อมอนุมัติถ้ารบ.ขอมา
ด้านนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการป.ป.ช. กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสต๊อกข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่า เบื้องต้นป.ป.ช.ทำหนังสือถึงนายกฯ เพื่อขอเอกสารเกี่ยวกับการตรวจสอบข้าว ซึ่งจะนำมาประกอบในการพิจารณาคดี เน้นที่การทุจริตเป็นหลัก เนื่องจากมีความเกี่ยวเนื่องกับต่างประเทศ ส่วนที่รัฐบาลจะขอข้าวไปจำหน่ายก่อนนั้น ขึ้นอยู่ว่าเป็นข้าวที่อยู่ในกระบวนการตรวจสอบหรือไม่ หากไม่เกี่ยวข้องน่าจะอนุมัติได้ แต่รัฐบาลต้องประสานมาก่อน เข้าใจว่ารัฐบาลต้องการเร่งระบายข้าวก่อนเกิดการเสื่อมสภาพหรือเกิดความเสียหาย ซึ่งป.ป.ช.พร้อมนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมทันทีหากรัฐบาลประสานมา ส่วนเรื่องข้าวหายจะใช้คณะกรรมการชุดเดิมตรวจสอบ
นายปานเทพกล่าวว่า ส่วนสำนวนการถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่สนช.นัดประชุมพิเศษในวันที่ 12 พ.ย.นั้น ป.ป.ช.จะประชุมเพื่อหาตัวแทนไปแถลงเปิดคดีที่รัฐสภา ส่วนน.ส.ยิ่งลักษณ์สามารถส่งตัวแทนไปรับฟังคำแถลงเปิดคดีแทนได้
ที่รัฐสภา นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิกสนช. ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสนช.(วิปสนช.) กล่าวถึงการประชุมสนช.วันที่ 6 พ.ย. เพื่อพิจารณาเรื่องถอดถอนนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา และนายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภาว่า ประชุมเพื่อพิจารณาว่าจะรับหรือไม่รับเรื่องไว้พิจารณา หากที่ประชุมมีมติรับเรื่องไว้ก็ต้องพิจารณาตามกระบวนการ ตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาเพื่อเชิญผู้ถูกกล่าวหา และป.ป.ช. ซึ่งเป็นผู้กล่าวหามาตอบข้อซักถาม คาดว่าจะใช้เวลาอย่างช้าที่สุดไม่เกิน 45 วัน จากนั้นจะนำเข้าที่ประชุมใหญ่ เพื่อลงมติถอดถอนหรือไม่ต่อไป แต่หากไม่รับเรื่องก็ตกไป และถือเป็นอันสิ้นสุดกระบวนการ
เรืองไกรตั้งข้อสังเกตดอกเบี้ย 14 ล.
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงป.ป.ช.เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของพล.อ. ประยุทธ์ ที่มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 128 ล้านบาทว่า รายการที่เป็นเงินฝาก 58 ล้านบาทเศษนั้น มีดอกเบี้ยสูงถึง 14 ล้านบาท ซึ่งไม่สอดคล้องกัน จึงตั้งข้อสังเกตว่าเหตุที่ดอกเบี้ยสูงถึงขนาดนั้น น่าจะเป็นดอกเบี้ยที่ได้จากเงินขายที่ดินของบิดา และเงินที่ให้กับลูก 198 ล้านบาทด้วยหรือไม่ วงเงินที่ได้จากการขายที่ดินและแบ่งกันในครอบครัวนั้น ยังเขียนไม่ชัดเจนว่าเป็นที่ดินบริเวณใด เนื้อที่เท่าไร และขายได้เท่าไร ที่เห็นผ่านสื่อมาจากการให้สัมภาษณ์ของพล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผู้ช่วยผบ.ทบ.ที่ระบุขายที่ได้ 400 ล้านบาทเท่านั้น และพล.อ.ปรีชากับพล.อ.ประยุทธ์ควรได้รับเงินดังกล่าวเท่ากัน คนละ 100 ล้านบาทเพราะมีพี่น้อง 4 คน
"ผมขอให้พล.อ.ประยุทธ์พูดชี้แจงและแสดงหลักฐาน เช่น สัญญาซื้อขายที่ดินให้ชัดเจนว่าที่ดินที่ขายมีพื้นที่เท่าไรและบริเวณใด อย่านิ่ง ที่สำคัญเพื่อให้นักการเมืองและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ได้เห็นเป็นตัวอย่างในเรื่องความโปร่งใส" นายเรืองไกรกล่าว
ปชป.ลุ้นสนช.ถอดถอนหมด
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายถาวร เสนเนียม อดีตแกนนำกปปส. แถลงว่า วันนี้ครบรอบ 1 ปีการชุมนุมของมวลมหาประชาชนเพื่อเรียกร้องให้ปฏิรูปประเทศ ซึ่งข้อเรียกร้องหนึ่ง คือการถอนถอดนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา และนายนิคม ไวยรัช พานิช อดีตประธานวุฒิสภา รวมถึงน.ส.ยิ่งลักษณ์ และเวลานี้ป.ป.ช.ได้ส่งเรื่องมายังสนช.เพื่อถอดถอน แต่สมาชิกสนช.กลับมีแนวความคิดออกเป็น 2 ส่วน
"ขอให้กำลังใจกับสนช.ที่มีแนวคิดให้ รับเรื่องถอดถอนบุคคลทั้ง 2 ไว้พิจารณา และขอให้สนช.ชุดที่เห็นว่าไม่มีอำนาจนั้นทบทวนใหม่ ซึ่งสนช.ส่วนนี้เกรงกลัวกลุ่มการเมืองใดใช่หรือไม่ และการพิจารณาของสนช.วันที่ 6 พ.ย. หากจริงใจและเปิดเผย ขอเรียกร้องให้ไม่ประชุมลับและถ่ายทอดสดทางช่อง 11 สถานีวิทยุรัฐสภา และสถานีโทรทัศน์รัฐสภา" นายถาวรกล่าว
ส่วนที่สนช.บางคนไม่ต้องการรับเรื่องไว้ถอดถอนเพราะเกรงจะถูกฟ้องร้องภายหลัง นายถาวรกล่าวว่าถ้าเขากลัวติดคุก บอกได้เลยว่าการทำหน้าที่ในฐานะสมาชิกรัฐสภา แนวคำพิพากษาศาลฎีกาไม่ผิดกฎหมายอาญา เพียงแต่เหมาะสมหรือไม่ เป็นเรื่องแสดงความรับผิดชอบ ในฐานะเป็นตัวแทนของประชาชนที่เป็นสมาชิกรัฐสภา แต่มีโทษทางการเมือง สมมติการประชุมวันนั้นมีมติว่าไม่มีอำนาจถอดถอน ตนจะยื่นถอดถอนแน่
ยรรยงอัดผลสอบข้าว-คลาดเคลื่อน
วันเดียวกัน นายยรรยง พวงราช อดีตรมช.พาณิชย์กล่าวว่า ขอตั้งข้อสังเกตกรณีรัฐบาลแถลงผลการตรวจสอบสต๊อกข้าว ว่าข้อสรุปที่ระบุข้าวในสต๊อกที่ตรวจสอบได้มาตรฐาน มีเพียงร้อยละ 10 โดยเป็นข้าวคุณภาพต่ำ ไม่ได้มาตรฐานและเป็นสีเหลืองเกินร้อยละ 70 มีข้าวเสื่อมร้อยละ 4-5 เป็นข้อสรุปที่ไม่ชัดเจนและผิดพลาดคลาดเคลื่อนอย่างมาก ด้วยเหตุผล 1.ข้าวที่รับจำนำส่วนใหญ่ผลิตได้โดยชาวนากว่า 40 ล้านตันข้าวเปลือก โดยเฉพาะในระยะแรกรับจำนำข้าวเกือบทั้งหมด จึงยากที่จะหาข้าวราคาถูกมาสวมสิทธิ์ 2.ขั้นตอนการรับจำนำข้าว จุดรับจำนำแต่ละจุดมีคณะทำงานฝ่ายต่างๆ 7-9 คนคอยดูแล การปลอมปนข้าวจึงเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะเจ้าของโรงสีซึ่งต้องรับผิดชอบคุณภาพข้าวที่จะส่งให้โกดัง
3.เจ้าของโกดังและผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าวสาร ต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่หาก รับข้าวคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานเข้าโกดัง 4.รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ(กขช.) ได้ตั้งคณะอนุกรรมการดูแลและตรวจสอบหลายคณะร่วมกับหน่วยงานรับผิดชอบ เช่น กรมการค้าภายในและกรมการค้าต่างประเทศ ตรวจสอบสต๊อกข้าวทั้งเชิงปริมาณคุณภาพเป็นประจำและรายงานผลตรวจสอบให้กขช.ทราบเป็นระยะ โดยระบุว่ามีข้าวคุณภาพไม่ดีและข้าวเสื่อมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
"น่าสังเกตว่าพล.อ.ประยุทธ์เคยเปิดเผยเมื่อวันที่ 1 ส.ค. ในช่วงที่ตรวจสอบสต๊อกข้าวไปกว่าร้อยละ 72 ว่ามีข้าวดีและถูกต้องร้อยละ 80 ซึ่งพออนุมานได้ว่าผลสรุปสุดท้ายที่ระบุว่ามีข้าวไม่ได้มาตรฐานถึงร้อยละ 70 จึงบิดเบือนข้อเท็จจริง หลังตรวจสอบพบว่ามีข้าวขาดหายจากบัญชีน้อยมากประมาณ 100,000 ตัน สวนทางกับข้อเท็จจริงที่พรรคประชาธิปัตย์ ป.ป.ช. และนักวิชาการที่โจมตีรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ว่ามีข้าวขาดหายไปถึง 2-3 ล้านตัน" นายยรรยงกล่าว
รำลึก - นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. วางพวงหรีดรำลึกวันครบรอบการเสียชีวิต 8 ปีของนายนวมทอง ไพรวัลย์ โชเฟอร์แท็กซี่ ที่ผูกคอตายต่อต้านรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ที่สะพานลอยริมถนนวิภาวดีรังสิต |
ชี้ข้าวหาย 1 แสนตันพบตั้งแต่สมัยปู
นายยรรยงกล่าวต่อว่า 5.วงการค้าข้าวยังคงเชื่อมั่นในคุณภาพข้าวไทยโดยเฉพาะ ข้าวที่รับจำนำ เห็นได้ว่าในช่วงรัฐบาลน.ส. ยิ่งลักษณ์ระบายข้าวในรูปแบบต่างๆ ทั้งเปิดประมูลทั่วไป รัฐต่อรัฐ และผ่านตลาดล่วงหน้า(AFET) โดยส่งมอบไปกว่า 15 ล้านตันและยังไม่ได้ส่งมอบ 3 ล้านตัน และการซื้อขายเกือบทั้งหมด ผู้ซื้อไม่เคยโต้แย้งว่าข้าวรัฐบาลไม่ได้มาตรฐาน หลังคสช.ยึดอำนาจมีการเปิดประมูลขายข้าวแล้ว 3 ครั้ง มีผู้มาร่วมประมูลจำนวนมากทุกครั้ง แสดงถึงความเชื่อมั่นในคุณภาพข้าวที่รับจำนำ
6.ในตลาดค้าข้าวโลกก็ยังเชื่อมั่นในคุณภาพข้าวไทยมาตลอด จะเห็นว่าราคาข้าวสารเจ้า 5% ของไทยสูงกว่าราคาข้าวชนิดเดียวกันของอินเดีย ตันละ 20 เหรียญสหรัฐ และ 7.การแถลงในภาพรวมแบบคลุมเครือว่าข้าวในสต๊อกรัฐบาลเป็นข้าวคุณภาพต่ำ ไม่ได้มาตรฐานและเป็นสีเหลืองมากกว่าร้อยละ 70 น่าจะทำเพื่อชี้นำให้เข้าใจผิดว่ารัฐบาลชุดที่แล้วทุจริต มีการปลอมปนข้าวมหาศาล แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดชัดเจน เช่น เป็นข้าวที่ไม่ได้มาตรฐานในลักษณะใด เช่น ปลอมปนหรือมีสิ่งเจือปน มีสีหรือกลิ่น หรือลักษณะทางกายภาพอย่างไร มีสาเหตุจากการทุจริตหรือเป็นตามธรรมชาติหรือสุดวิสัย เช่น น้ำท่วม เปียกฝน ไฟไหม้ กองล้ม หรือรมยา
นายยรรยงกล่าวว่า ข้อสรุปที่แถลงว่าข้าวขาดหายไปจากคลัง 1 แสนตัน เนื่องจากคณะอนุกรรมการตรวจสอบของคสช. ไม่สามารถบิดเบือนข้อเท็จจริงเรื่องปริมาณข้าวได้ เพราะตรวจนับจำนวนและน้ำหนักข้าวได้ในแต่ละโกดัง สำหรับข้าวที่ขาดหายไป 1 แสนตันนั้นส่วนใหญ่ตรวจสอบพบและดำเนินมาตั้งแต่รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์แล้ว
ประยุทธ์ออกทีวีแจงช่วยข้าว-ยาง
เมื่อเวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์กล่าวในรายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ" ทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ตอนหนึ่งว่า รัฐบาลอนุมัติโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2557 ซึ่งช่วยให้ชาวนาได้รับเงินคุ้มครองถึง 1,111 บาทต่อไร่ หากเกิดภัยพิบัติ โดยชาวนาจ่ายค่าเบี้ยประกัน 60-100 บาทต่อไร่ ขณะนี้มีผู้เข้าร่วมโครงการจากทุกภาคทั่วประเทศกว่า 55,000 ราย คิดเป็นเนื้อที่กว่า 8 แสนไร่ มาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ชาวนาผู้มีรายได้น้อย ไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครอบครัวละ 15 ไร่ ซึ่งเริ่มดำเนินการในวันที่ 20 ต.ค. ขณะนี้ชาวนาได้รับการช่วยเหลือไปแล้วกว่า 67,700 ราย คิดเป็นเงินกว่า 837 ล้านบาท
นายกฯ กล่าวว่า ส่วนยางพาราก็เช่นเดียวกัน รัฐบาลและคสช.พยายามพัฒนายางพาราทั้งระบบ หลายเรื่องได้เห็นชอบไปแล้ว เช่น การช่วยเหลือสนับสนุนค่าปัจจัยการผลิตชาวสวนยางรายละ 1,000 บาท ไม่เกินครอบครัวละ 15 ไร่ คาดว่าจะช่วยชาวสวนยางได้ถึง 850,000 ครัวเรือน คิดเป็นพื้นที่ 8.2 ล้านไร่ โครงการสร้างมูลภัณฑ์ กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง 6,000 ล้านบาท โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเกษตรกรรายย่อยประกอบอาชีพเสริม รายละไม่เกิน 1 แสนบาท สินเชื่อเพื่อเป็นทุนหมุนเวียนรวบรวมสต๊อกยาง สินเชื่อเพื่อแปรรูปยางพารา ทั้งนี้ การแก้ปัญหาต้องเป็นไปทั้งระบบและยั่งยืน
ชี้เสรีภาพ-ปชต.ทำให้รวมกันไม่ได้
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การทำงานของรัฐบาลขณะนี้คือการปฏิรูป อย่างหนึ่งคือในระยะสั้น เฉพาะหน้า ต้องสอดคล้องกับหลัง 1 ปีไปแล้ว และทำต่อในรัฐบาลต่อไป นั่นคือความต่อเนื่อง ทุกรัฐบาลจะต้องมียุทธศาสตร์และนโยบายของประเทศระยะยาว มิฉะนั้นจะเกิดการขัดแย้งไปมา ต้องเริ่มต้นกันใหม่มาตลอด ประกอบกับการทุจริตผิดกฎหมาย ไม่โปร่งใสทุกขั้นตอน เรื่องเหล่านี้เรากำลังนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งวันนี้ คสช.และรัฐบาลจะกำหนดมาตรการอะไรก็มีปัญหาหมด ยิ่งคิดใหม่ ยิ่งทำใหม่ ต้องมาระแวงการทุจริตกันอีก โดยคาดโทษเอาไว้แล้วกัน ข้าราชการดีๆ เขาหวาดผวาไม่กล้าทำอะไร กลัวถูกกล่าวหาว่าทุจริต ซึ่งต้องมั่นใจ อะไรที่คิดว่าทำได้ ถูกต้องก็ทำไปตามนโยบาย ข้าราชการต้องทำ ไม่ต้องกลัว แต่ต้องพร้อมรับการตรวจสอบด้วย
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า อีกประเด็นที่สำคัญคือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ค่อนข้างมีปัญหา เราต้องสร้างให้คนของเราอยู่ร่วมกันให้ได้อย่างสันติ ถ้าเรามัวแต่พูดถึงคำว่าสิทธิเสรีภาพหรือประชาธิปไตยจนไร้ขีดจำกัด จะรวมกันไม่ได้ คิดจะพูดอะไรก็ไม่ได้ ขัดแย้งกันทุกเรื่อง ทำอะไรไม่ได้เลย ต้องหาทางรวมพลังเหล่านี้ให้ได้ด้วยการสร้างความเข้าใจ ถ้าเราทำไม่ได้ เราจะปฏิรูปกี่ครั้ง ตั้งสภาปฏิรูปกี่ครั้งก็ทำไม่ได้ แก้อะไรไม่ได้ ประชาธิปไตยไทยนั้น ถ้าสอนให้คนรู้จักแต่เพียงสิทธิ เสรีภาพ ไม่คำนึงถึงหน้าที่ ไม่รู้จักผลประโยชน์แห่งชาติว่าอยู่ที่ไหน ก็ยังคงเป็นแบบนี้อยู่ต่อไป ตนต้องการใช้คำว่าพวกเราทุกคนก็ไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์สำหรับประเทศไทย ถ้ายังเป็นอย่างนั้นอยู่อีก
ต้องออกแบบให้เหมาะกับคนไทย
นายกฯ กล่าวว่า ระบบการสอน การเรียนรู้ การให้แนวคิดในสังคมปัจจุบัน อยากให้ทุกส่วนลองปรับเล็กน้อย อย่าสอนให้เสรีมากนัก คำว่าเสรีต้องมีขีดจำกัด อยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ต้องรู้จักหน้าที่ รู้จักการให้เกียรติบุคคลอื่นบ้าง ไม่สอนให้คนไม่เคารพกฎหมาย หรือต่อให้เรามีกี่คณะ ทำงานออกมา กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญทำออกมา สปช.ออกแบบมาว่าจะร่างรัฐธรรมนูญกันอย่างไรก็ไม่สำเร็จ เพราะทุกคนจะรู้สึกว่าถูกบังคับ ไม่ยอม ซึ่งเป็นอันตราย ประชาธิปไตยของโลกสากล เขายังต้องเคารพกฎหมาย มีกฎหมายข้อบังคับมาก เขาไม่ได้ต่อต้านรุนแรงแบบบ้านเรา ถ้าเราจะไม่มีกฎหมาย ไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบเพราะถือเป็นเรื่องเสรีประชาธิปไตย ตนคิดว่าอันตราย ฉะนั้นเราน่าจะออกแบบให้เป็นประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับคนไทย สอนให้มีสติ จะคิด จะเชื่อ เพราะเราอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงและความมีเหตุผล อย่าให้เขาใช้ความยากจน ความเหลื่อมล้ำมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองอีกต่อไป
นายกฯ กล่าวว่า นอกจากนี้มีอีกหลายเรื่องที่รอให้รัฐบาลดำเนินการ ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ๆ มีความสำคัญต่อการปฏิรูปประเทศ เพื่อเราจะสร้างอนาคตที่ดีให้ลูกหลาน เตรียมความพร้อมให้กับประเทศ ให้กับรัฐบาลต่อไปได้เข้ามาสานต่อ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่รัฐบาลปกติที่ผ่านมานั้นทำได้ยากหรือทำไม่ได้ เพราะอาจเป็นเรื่องการเมือง เรื่องผลประโยชน์ รัฐบาลนี้จะพยายามวางรากฐาน ที่มั่นคงไว้ให้
บิ๊กป้อมกลับจากจีนยันไม่เจอแม้ว
เวลา 21.30 น. ที่อาคารวีไอพี สนามบินสุวรรณภูมิ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม พร้อมคณะแถลงภายหลังเดินทางกลับ จากเยือนจีน ว่า การเยือนครั้งนี้เป็นไปตามคำเชิญของนายกฯ จีน ภายหลังนายกฯ ไทยและจีนไปพบกันที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี และได้พูดคุยเกี่ยวกับผลผลิตการเกษตร แต่ไม่มีเวลาพูดถึงรายละเอียด เมื่อกลับไทย นายกฯ จึงมอบหมายให้ตนและคณะเดินทางไปจีน จากนั้นนายกฯ ไทยก็จะไปพูดคุยรายละเอียดในการประชุมเอเปก ที่ประเทศจีน และยังพูดคุยถึงโครงการรถไฟรางคู่ด้วย แต่ว่าเรื่องทั้งหมดต้องหารือกันในคณะรัฐมนตรีก่อน พร้อมกันนี้ตนยังได้ไปแนะนำตัวกับรมว.กลาโหมจีนในฐานะที่ตนเป็นรมว.กลาโหมคนใหม่ และยืนยันการร่วมมือด้านการทหารยังเหมือนเดิม
เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวว่าไปพบพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ด้วย พล.อ. ประวิตรกล่าวว่า "ใครปล่อยข่าว ต้องไป ถามเขา คุณก็รู้ ผมไปเป็นคณะ 15 คน เวลาทั้งหมดก็ทำงาน เพราะฉะนั้นขอให้ถามคนปล่อยข่าว เพราะผมไม่เจอใคร ผมไปทำงานให้ประเทศชาติและประชาชนทุกคน ทุกคนในทีมล้วนเหนื่อย" เมื่อถามว่าถ้า เจอพ.ต.ท.ทักษิณจะดำเนินการอย่างไร พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า "ไม่เจอ เลยไม่ทราบ"
"บิ๊กตู่"ปลื้มกัมพูชารับอบอุ่น
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 31 ต.ค. ที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช. ซึ่งอยู่ระหว่างเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ได้เดินทางไปวางพวงมาลา ที่วิมานเอกราช และเคารพสถูปพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ พระวรราชบิดาแห่งกัมพูชา ที่พระบรมมหาราชวัง เยี่ยมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกัมพูชา และเยี่ยมชม AEC Business Support Center ที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ว่า บรรยากาศหารือเป็นมิตรไมตรีต่อกัน มีการพูดคุยถึงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ต้องร่วมมือเพื่ออนาคตของทั้งสองประเทศและอาเซียน ทั้งนี้ ไม่มีการพูดถึงเรื่องความมั่นคงหรือเขตแดนเนื่องจากเราจะไม่ให้เส้นเขตแดนเป็นปัญหา เราจะเดินหน้าอาเซียนทั้งระบบ ไม่ว่าถนน โครงสร้างพื้นฐาน มีการเซ็นเอ็มโอยูเครือข่ายทางรถไฟ อรัญประเทศ-ปอยเปต เพื่อเป็นเส้นทางขนส่งสินค้า โดยตนเสนอให้จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อค้าขาย มีโรงงานผลิตขนาดเล็ก มีศูนย์รับซื้อสินค้าทางการเกษตรเพื่อให้เกิดเป็นเมืองชายแดน ปรับปรุงถนนเส้นทางระหว่างกัน จัดตั้งศูนย์แรงงาน ซึ่งนายกฯ กัมพูชาเห็นชอบทุกประการ เป็นการป้องกันการลักลอบข้ามแดนผิดกฎหมาย เพื่อให้คนไทย-กัมพูชา ข้ามกันไป-มาได้อย่างมีความสุข
นายกฯ กล่าวว่า ส่วนเรื่องจุดผ่านแดน ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องจะยกระดับ 4 จุดได้แก่ 1.ช่องอาเซะ จ.พระวิหาร-ช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี 2.พนมได จ.พระตะบอง-บ.เขาดิน จ.สระแก้ว 3.บ.ทมอดา จ.โพธิสัต-บ.ท่าเส้น จ.ตราด และ 4.ช่องจุ๊บโกกี จ.อุดรมีชัย-ช่องสายตะกู จ.บุรีรัมย์ นอกจากนี้กัมพูชาขอให้เราร่วมมือแก้ปัญหาภัยพิบัติทุกประเภท น้ำท่วม ภัยแล้ง ไฟป่า เนื่องจากไทยมีประสบการณ์และมีความพร้อม
เวลา 15.40 น. ที่บน.6 พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์หลังกลับจากเยือนกัมพูชาว่า ตนประทับใจในการต้อนรับให้เกียรติจากฝ่ายกัมพูชา ซึ่งตนมีความสัมพันธ์กับสมเด็จฮุนเซน นายกฯ กัมพูชาตั้งแต่เป็นผบ.ทบ. ทั้งนี้ กัมพูชาฝากให้เราดูแลแรงงานประมงชาวกัมพูชา ซึ่งตนมีความเป็นห่วง จะต้องแก้ไขโดยเร็วและคสช.จะเข้าไปร่วมดำเนินการ นอกจากนี้สองประเทศต้องร่วมมือกันเพื่อป้องกันการถูกจำกัดสิทธิทางการค้า
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า นายกฯ กัมพูชาแสดงความมั่นใจต่อเสถียรภาพของรัฐบาลไทยในความปลอดภัย และยินดีให้ความร่วมมือทุกเรื่องที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน ส่วนเรื่องพลังงาน เราพูดกันว่าจะดูแลอย่างไร ซึ่งสองประเทศได้ตั้งคณะทำงานมาพูดคุยกัน ไม่มีการคุยส่วนตัว ขึ้นอยู่ว่าจะตกลงกันได้หรือไม่ โดยสิ่งที่เราเป็นห่วงคือเรื่องความมั่นคงด้านพลังงานของทั้งสองประเทศ
ปธ.ฎีกาส่งข้อร้องเรียนค้าน"เมธี"
ยกฟ้องโครงการน้ำ 3.5 แสนล.
วันที่ 31 ต.ค. รายงานข่าวเผยว่า นายดิเรก อิงคนินันท์ ประธานศาลฎีกา มีหนังสือ ที่ ศย 003/57449 ลงวันที่ 28 ต.ค. 2557 ถึงประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ระบุว่าได้รับหนังสือจากทนายความ 18 คน มีเนื้อหาคัดค้านการเป็นกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมผู้ทรงคุณวุฒิของนายเมธี ครองแก้ว ว่านายเมธีถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดี หลายคดี จึงมีคุณสมบัติอันเป็นลักษณะต้องห้าม หรืออาจไม่เหมาะสมทางจริยธรรม หรืออาจไม่เหมาะสมเกียรติศักดิ์แห่งสถาบันตุลาการแก่การดำรงตำแหน่งกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมผู้ทรงคุณวุฒิ
ทั้งนี้ ในหนังสือของทนายความ ระบุว่า นายกล้านรงค์ จันทิก ประธานกรรมาธิการฯ ได้ปกปิดข้อมูลดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 2 ต.ค. ในการประชุม สนช. พิจารณาการเลือกกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมผู้ทรงคุณวุฒิ โดยนายกล้านรงค์ สมาชิก สนช. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการฯ ชี้แจงว่าตามที่คณะกรรมาธิการเพื่อพิจารณาเสนอรายชื่อบุคคลที่เห็นสมควรเป็นกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมผู้ทรงคุณวุฒิ สนช. เปิดรับสมัครบุคคลผู้มีคุณสมบัติเข้ารับการสรรหาเป็นกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมผู้ทรงคุณวุฒิ ตั้งแต่วันที่ 1-8 ก.ย. คณะกรรมาธิการฯ ได้ตรวจสอบคุณสมบัติลักษณะต้องห้าม ประวัติ ความประพฤติและพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว มีมติเลือกผู้สมัครให้เหลือ 4 คน ประกอบด้วย นายเมธี ซึ่งเป็นอดีตป.ป.ช. นายพิภพ อะสีติรัตน์ อดีตกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมผู้ทรงคุณวุฒิ นายปรีชา ชวลิตธำรง อดีตตุลาการศาลปกครองสูงสุด และนายวรสิทธิ์ โรจนพานิช อดีตกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมผู้ทรงคุณวุฒิ
ภายหลังการประชุมลับ ที่ประชุมมีมติลงคะแนนลับ เห็นชอบให้นายเมธี ครองแก้ว 144 เสียง และนายปรีชา ชวลิตธำรง 134 เสียง เป็นกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมผู้ทรงคุณวุฒิ
แหล่งข่าวจากสนช.เผยกรณีร้องคัดค้านนายเมธีเป็นก.ต.ผู้ทรงคุณวุฒิว่า สนช.เคยได้รับโทรศัพท์ท้วงติงจากผู้ใหญ่ในศาลยุติธรรม หลังจากพิจารณาเห็นชอบให้นายเมธีเป็น ก.ต.ผู้ทรงคุณาวุฒิ ตั้งแต่ต้นเดือนต.ค. ซึ่งทางสนช.ก็ชี้แจงกลับไปว่าคงทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากเสร็จสิ้นกระบวนการของสนช.แล้ว ส่วนหนังสือจากประธานศาลฎีกานั้น ไม่แน่ใจว่า นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. ได้รับแล้วหรือไม่ แต่จนถึงวันนี้ นายพรเพชรไม่ได้นำเรื่องดังกล่าวมาหารือในที่ประชุมวงใหญ่ หรือวงเล็ก ระหว่างประธานสนช.และรองประธานสนช.ทั้ง 2 แต่อย่างใด
แหล่งข่าวระบุด้วยว่า นายกล้านรงค์ ในฐานะประธานกมธ. ผู้รับผิดชอบการสรรหา ที่ไม่ได้ให้ข้อมูลเรื่องคุณสมบัติของนายเมธี คงต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบเอง เช่นเดียวกับนายเมธี ที่ต้องรีบแสดงออกเพื่อรับผิดชอบ
นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ สมาชิก สนช. ในฐานะโฆษกกมธ.วิสามัญกิจการ สนช. กล่าวว่า ในหลักการ ผ่านกระบวนการทางนิติบัญญัติไปแล้ว สนช.คงไปอะไรทำไม่ได้ ตามปกติ กมธ.ที่มีหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และความประพฤติทางจริยธรรมของผู้สมัครก็ตรวจสอบอย่างละเอียด และก่อนส่งเข้าที่ประชุมเพื่อลงมติลับ ก็ยังเปิดโอกาสให้สมาชิก สนช.คัดค้านแล้วด้วย
ยกฟ้องโครงการน้ำ3.5แสนล.
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 31 ต.ค. ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษากลับคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นสั่งยกฟ้องในคดีที่สมาคมต่อต้านสภาวะโรคร้อนกับพวกรวม 45 คน ฟ้องน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ขณะนั้น คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ คณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-4 ในการออกแผนแม่บทบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อการออกแบบก่อสร้างระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศมูลค่า 3.5 แสนล้านบาท 9 แผนงาน
โดยศาลเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่เข้าข่ายผิดกฎหมาย เนื่องจากยังเป็นเพียงแผนงานที่จะทำในอนาคต หลายโครงการเป็นเพียงกรอบความคิดที่ยังไม่ชัดเจน ยังไม่มีผลบังคับให้ต้องปฏิบัติตาม และยังไม่มีการวางหรือจัดทำตามผังเมืองรวม หรือวางแผนการพัฒนาเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ไม่ใช่การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์และกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ในที่ดิน จึงไม่มีลักษณะที่อาจมีผลกระทบต่อส่วนได้เสียสำคัญของประชาชนที่รัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 57 วรรคสอง และมาตรา 67 วรรคสอง กำหนดให้รัฐต้องจัดทำกระบวนการรับฟังความคิดเห็นประชาชนอย่างทั่วถึงก่อนดำเนินโครงการ แม้จะเห็นได้ในเบื้องต้นว่าหากกำหนดโครงการหรือกิจกรรมตามที่ระบุไว้ใน แผนแม่บทฯ อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน บางโครงการบางกิจกรรมจะมีผลกระทบคุณภาพ สิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัยของประชาชน ถ้าหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องไม่ดำเนินการตาม ขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดก็เป็นเรื่องที่ผู้เดือดร้อนเสียหายจะไปฟ้องศาลให้เพิกถอนเป็น รายโครงการไป
ส่วนที่ฟ้องว่ารัฐใช้วิธีการประมูลในลักษณะเหมาเบ็ดเสร็จเป็นการกระทำไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่าการที่รัฐจะใช้วิธีการใดดำเนินโครงการเป็นดุลพินิจภายในของฝ่ายบริหาร และไม่ว่าจะเลือกใช้วิธีใดก็ไม่เป็นเหตุให้แผนบริหารจัดการน้ำไม่ชอบด้วยกฎหมาย สำหรับประเด็นที่อ้างว่าการดำเนินโครงการของรัฐในเรื่องนี้เข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ผิดกฎหมายอาญามาตรา 157 และส่อทุจริตต่อหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยป.ป.ช.นั้น ศาลเห็นว่าเป็นเรื่องนอกเหนืออำนาจหน้าที่ของศาล และไม่ได้ฟ้องตั้งแต่ในศาลชั้นต้น จึงไม่รับพิจารณาในประเด็นนี้