- Details
- Category: การเมือง
- Published: Sunday, 05 October 2014 21:46
- Hits: 4186
บิ๊กโด่งจัดทัพ ย้าย 371 ผู้การคุมกำลัง ทรงวิทย์รองผบ.พล1 วรชัยประชดสนช.บี้ จี้บิ๊กตู่เคาะถอดถอน สมยศติวตร.มีสีเดียว
'วรชัย'ลั่นระดม 300 อดีต ส.ส.-ส.ว.สู้หากโดน สนช.ถอดถอนปมแก้รัฐธรรมนูญปี 50 เล็งยื่น'บิ๊กตู่'ตัดสิน 'สมศักดิ์'แนะร่าง รธน.ใหม่ต้องเปิดเผย 'บิ๊กโด่ง'ปรับกำลังรบทั่ว ปท.
@ สมศักดิ์ชี้ร่างรธน.ไม่ควรปกปิด
เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงกรณี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุถึงการเมืองการปกครองของไทยหลังมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่สามารถคาดเดาได้นั้นว่า ตนคิดว่าก็ถูกต้อง เพราะการเมืองจะมีทิศทางเป็นอย่างไรต้องดูที่ตัวรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ว่าจะมีความเห็นอย่างไร ในประเด็นนี้ไม่มีใครบอกได้ เพราะว่ายังไม่ได้ตั้งคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา แต่ถ้ากระบวนการดังกล่าวเริ่มขึ้นจะสามารถบอกอนาคตทางการเมืองได้ ดังนั้น สิ่งนี้ถือว่าถูกต้องแล้ว
"ตัวคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่จะมีขึ้นจะไม่เทียบเท่า สปช. สนช. และที่สำคัญคือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพราะฉะนั้นทุกอย่างจะถูกเขียนไว้ที่รัฐธรรมนูญ (ชั่วคราว) ว่าขั้นตอน กระบวนการจะเป็นอย่างใด และท้ายที่สุด คสช.ต้องรับรู้ด้วย มากไปกว่านั้นผมคิดว่าการร่างรัฐธรรมนูญจะต้องไม่ใช่เรื่องปกปิด เพราะรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายมหาชน ฉะนั้น การมีส่วนร่วมรับรู้ และแสดงความคิดเห็นของประชาชนถือเป็นหัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตย" นายสมศักดิ์กล่าว และว่า ดังนั้น ตัวที่จะร่างรัฐธรรมนูญต้องคิดหนัก เพราะปรากฏการณ์นี้ถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญของประเทศที่จะพลาดอีกไม่ได้แล้ว
@ พท.จี้'วิษณุ'เขียนรธน.ให้ดี
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีที่นายวิษณุเป็นห่วงสถานการณ์การเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ว่าเมื่อนายวิษณุเป็นคนเขียนอยู่แล้ว รัฐธรรมนูญปี 2550 ก็เขียนแล้วทำไมไม่เขียนให้ดี เขียนอย่างไร 7-8 ปี บ้านเมืองยังไม่จบสักที วันนี้มีเวลาเขียนอีก 1 ปีกว่า แล้วจะบอกว่ายังไม่จบงั้นแสดงว่าไม่มีความรู้อย่างนั้นหรือ
"ซึ่งความจริงเรื่องนี้กติกาไม่มีอะไรมาก สำคัญสุด คือระบบการตรวจสอบ เช่นการเปิดเผยการแสดงบัญชีทรัพย์สิน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทำไมไม่เปิดบัญชีตัวเอง และอย่างที่บอกเวลายื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินไม่ใช่ยื่นแต่รูป แต่ควรมีใบกำกับภาษี ใบเสร็จการซื้อขาย จะได้รู้ว่าซื้อมาอย่างไร เอาเงินที่ไหนมาซื้อ ผมท้วงมาหลายครั้งแล้ว" นายเรืองไกรกล่าว
@ แนะกวาดบ้านตัวเองให้สะอาด
นายเรืองไกรกล่าวว่า เรื่องกลไก 11 ด้านในรัฐธรรมนูญชั่วคราว อยากบอกว่าไม่เห็นป้องกันอะไรได้เลย อย่างซื้อไมโครโฟนที่ทำเนียบรัฐบาล ให้คนมาติดตั้งแล้วทั้งที่ของเก่ายังใช้ได้อยู่ พอมีคนจับได้บอกว่าไม่เอาแล้ว ใช้ของเก่าแทน แสดงว่าของเก่ายังใช้ได้อยู่ อีกอย่างที่ สนช.ทั้ง 28 คนร้องศาลปกครอง ไม่ให้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน อย่างนี้นายวิษณุ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีควรจะกวาดบ้านตัวเองให้สะอาดก่อน อย่างคณะรัฐมนตรี สนช. แล้วค่อยเขียนรัฐธรรมนูญใหม่
"ที่ท่านแสดงความคิดเห็นอย่างนี้ คือ อะไร ไม่อยากให้มีการเลือกตั้ง หรือไม่อยากคืนอำนาจให้ประชาชนหรือ แล้ว สปช.ที่สรรหามาเพื่ออะไร หรือจะสืบทอดอำนาจต่อ ก่อนหน้านี้เข้าใจว่า คสช.เข้ามาหยุดความขัดแย้งที่บานปลาย ประชาชนเข้าใจ ยอมรับได้ และคาดหวังว่า คสช.จะทำให้ทุกอย่างโปร่งใส สุจริต ไม่ทำอย่างรัฐบาลที่ผ่านมา" นายเรืองไกรกล่าว
@ รอตรวจทรัพย์สินนายกฯ
นายเรืองไกรกล่าวถึงกรณีที่สำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของสมาชิก สนช.แล้วว่า หลังจากนี้จะดำเนินการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน โดยเฉพาะ 28 สนช.ที่ไปร้องต่อศาลปกครองที่ขอให้เพิกถอนมติ ป.ป.ช.ที่ให้ สนช.ต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินฯ ซึ่งจากการเปิดเผยบัญชีเบื้องต้น เช่น บัญชีของ พล.อ.นพดล อินทปัญญา สนช. ผู้ร้องก็มีทรัพย์สินประมาณ 20 กว่าล้านบาท ดูแล้วก็ไม่เห็นว่าจะผิดปกติอะไร หรือถึงขั้นต้องไปร้องต่อศาลปกครอง ยิ่งทำให้สงสัยและจะตรวจสอบต่อไป นอกจากนี้ เตรียมจะตรวจสอบบัญชีของผู้ที่เคยยื่นต่อ ป.ป.ช.ในตำแหน่งเดิมก่อนหน้านี้ เช่น พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. หรือ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. เป็นต้น เพื่อเปรียบเทียบว่ามีทรัพย์สินรายการใดที่ไม่ได้ยื่นต่อ ป.ป.ช.ในครั้งนี้หรือไม่
"ที่สำคัญรอการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินในส่วนของ ครม.ที่ ป.ป.ช.จะเปิดเผยรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินได้ประมาณเดือนตุลาคม โดยเฉพาะของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งผมจะตรวจสอบอย่างละเอียดว่านายกฯยื่นบัญชีทรัพย์สินที่เป็นข่าวอย่าง เช่น รถเบนซ์ ญค 1881 หรือสร้อยข้อมืองาช้างเผือก เป็นต้น ต่อ ป.ป.ช.หรือไม่" นายเรืองไกรกล่าว
@ 'นิพิฏฐ์'แนะกก.ยกร่างรธน.2ข้อ
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นประธาน สปช. ว่าขอไม่ให้ความสำคัญกับตัวบุคคล เพราะสนใจในตัวคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญมากกว่า เนื่องจากคิดว่าตัวบุคคลไม่สำคัญเท่ากับคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญที่จะตั้งขึ้น ว่าจะวางกรอบอะไรไว้บ้าง ซึ่งไม่ว่าใครก็ตามที่จะมาเป็นกรรมการนี้ ขอให้ตระหนักว่าการเมืองมี 2 ด้าน คือ 1.การเมืองในอุดมคติ และ 2.การเมืองในความเป็นจริง
"ดังนั้น ผู้ที่จะมาเป็นกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ จึงต้องรู้ความเป็นจริงของสภาพการเมืองไทย เช่น ยังซื้อสิทธิขายเสียงในการเลือกตั้งอยู่หรือไม่ หรือเมื่อเข้าสู่อำนาจแล้วต้องใช้อำนาจนั้นอย่างถูกต้อง เป็นธรรมที่วิญญูชนพึงปฏิบัติหรือไม่ เมื่อรู้โจทย์หลักของข้อเท็จจริงแล้วก็นำทฤษฎีในอุดมคติมาปรับใช้ให้เหมาะสม จึงอยากได้คนที่รู้เช่นเห็นชาติการเมืองไทยจริงๆ มาเป็นกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ" นายนิพิฏฐ์กล่าว และว่า ขอฝากคำพูดของ พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่เคยกล่าวไว้ว่า นักการเมืองที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่เคยลงหาเสียงพบปะประชาชน ไม่รู้จักธาตุแท้ของนักการเมือง คนเหล่านี้ไม่สามารถพัฒนาประชาธิปไตยที่แท้จริงได้
@ อจ.ชี้ไม่แปลกที่'วิษณุ'ห่วง
นายยุทธพร อิสรชัย คณบดีคณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวถึงกรณีการเเสดงความเป็นห่วงการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของนายวิษณุว่า คสช.ยังมองเห็นอยู่ถึงสถานการณ์บ้านเมือง ว่ายังไม่มีความสงบสุขเกิดขึ้นอย่างเเท้จริง เพียงเเต่ทุกอย่างถูกทำให้หยุดนิ่งเอาไว้เท่านั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่นายวิษณุจะเเสดงความเป็นห่วง
"ประเด็นคือจะทำอย่างไรให้เกิดความสงบสุขอย่างเเท้จริง ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ผมคิดว่าเวทีปฏิรูปประเทศไทยจะเป็นเวทีสำคัญที่จำเป็นต้องเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้มีส่วนร่วมอย่างเเท้จริง เพราะท้ายที่สุดหากมีส่วนร่วมเฉพาะในเชิงปริมาณหรือตามพิธีกรรมเท่านั้น คงไม่สามารถที่จะเเก้ปัญหาทางการเมืองหรือขจัดความขัดเเย้งได้ รากฐานความขัดเเย้งควรจะต้องมีการตีกรอบเเนวทางเเก้ปัญหาให้ชัด ตั้งเเต่ระยะสั้น กลาง เเละยาว เพราะหากไม่มีกรอบที่ชัดเจน การทำงานของสภาปฏิรูปเเละ คสช.จะไร้ทิศทาง ซึ่งคงจะไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นกว่าก่อนการรัฐประหารสักเท่าใด เเละปัญหาต่างๆ ก็จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง" นายยุทธพรกล่าว
@ ชี้ม. 35 ทำรธน.ฉบับใหม่ด้อย
นายยุทธพรกล่าวถึง รัฐธรรมนูญมาตรา 35 จะนำมาซึ่งรัฐบาลที่เเข็งเเรงกว่าเดิมในอนาคตหรือไม่ว่า ไม่เห็นอย่างนั้น ทางกลับกันยังคิดว่ามาตรา 35 จะเป็นตัวทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่สามารถมีประสิทธิภาพเเละประสิทธิผลในการเเก้ปัญหาความขัดแย้งได้ เพราะกรอบมาตรา 35 เหมือนกับการตั้งธงล่วงหน้าของการร่าง รัฐธรรมนูญเอาไว้ เมื่อกำหนดเอาไว้เเล้ว ความคิดของสังคมที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากขบวนการปฏิรูปประเทศเริ่มต้นหมายถึง สปช.ไม่มีความหมายอะไร เพราะทุกอย่างถูกล็อกเอาไว้ก่อนตามมาตรา 35
"รัฐธรรมนูญจะทำให้สังคมรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมได้อย่างไร ถ้าในเมื่อถูกกำหนดเอาไว้โดยมาตรา 35 เเล้ว ผลบวกในท้ายที่สุดอาจจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากกระบวนการคิดนั้นมาจากคนกลุ่มเดียว" นายยุทธพรกล่าว
@ อจ.ชี้สปช.หาจุดร่วมยาก
นายยอดพล เทพสิทธา อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวถึง กรณีนายวิษณุกล่าวถึงการเมืองการปกครองของไทยหลังรัฐธรรมนูญใหม่ว่า ตนวิเคราะห์ว่าความขัดแย้งรูปแบบใหม่ คงจะเป็นรายชื่อสมาชิก สปช.ที่จะประกาศออกมา เริ่มมีบางคน บางกลุ่มแสดงความไม่พอใจ เพราะจะเน้นไปที่ข้าราชการเป็นหลัก แต่พวกนักเคลื่อนไหวภาคประชาสังคมก็ตัดออกไปจากเวทีการปฏิรูป เพราะฉะนั้นกลุ่มก้อนทางการเมืองที่รวมตัวกันก่อนการรัฐประหารอันมีลักษณะรวมกลุ่มแบบหลวมๆ โดยมีผลประโยชน์ร่วมกันคือ การโค่นล้มรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่พอภารกิจสำเร็จจะเห็นได้ว่าในขั้วดังกล่าวมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันมาก ดังนั้นพอมีการรัฐประหารและมีการตอบแทนผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ท้ายที่สุดก็ต้องมีคนหนึ่งได้ผลประโยชน์และต้องมีคนที่เสียประโยชน์ไปด้วย และใน สปช. ถ้ากลุ่มภาคประชาชนต้องการอีกอย่างหนึ่ง แต่กลุ่มข้าราชการ หรืออดีตข้าราชการต้องการอีกอย่างหนึ่ง ฉะนั้นความต้องการตรงนี้จะหาจุดร่วมกันได้ยาก แล้วต้องดูทีว่าจุดที่พอจะประนีประนอมกันได้จะอยู่ที่ใด ซึ่งสิ่งนี้น่าจะเป็นความขัดแย้งในรูปแบบใหม่ที่นายวิษณุกล่าวไป
@ อดีตส.ว.ยันแก้รธน.ไม่ผิด
นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง อดีต ส.ว.อุทัยธานี ในฐานะหนึ่งใน 39 ส.ว.ที่ ป.ป.ช.เตรียมส่งเรื่องให้ สนช.ถอดถอนฐานใช้อำนาจไม่ชอบในการร่วมลงชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มา ส.ว.ว่า ตนมองว่า สนช.ใช้อำนาจถอดถอนได้ แต่การที่ศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเองให้ลงสมัคร ส.ส. และ ส.ว.ได้นั้น อยากให้มองว่าการเลือกตั้งเป็นอำนาจของประชาชน เป็นปฐมภูมิแห่งคะแนนเสียงตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งถามว่าแก้ไขแล้วพวกตนจะลงเลือกตั้งครั้งต่อไปหรือจะได้รับเลือกหรือไม่ก็ยังไม่รู้
"การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของความคิดเห็นฝ่ายหนึ่งก็คิดว่าเป็นเรื่องถูก ขณะที่ฝ่ายมองว่าเป็นเรื่องที่ผิด แต่หากจะมองว่าแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 เป็นเรื่องที่ผิด ผมคิดว่า คสช.ไม่ยิ่งผิดกว่าหรือ เพราะ คสช.ฉีกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับไปเลย แล้วเอื้อประโยชน์หรือไม่ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าเข้าไปมีอำนาจทางการเมืองหรือไม่ เพียงแต่ใช้คำว่ารัฏฐาธิปัตย์ เพราะคุณมีปืน มีอำนาจที่เหนือกว่า แต่กลับบอกว่าไม่ผิด" นายสิงห์ชัยกล่าว
@ เชื่อ'บิ๊กตู่'ไม่ดันถอดถอน
"วันนี้ คสช.ยึดอำนาจ เพราะมีเป้าหมายว่าคนไทยแตกแยกไม่มีความสามัคคี จึงอยากให้นำไปสู่ความปรองดอง ผมเชื่อว่าผู้นำ คสช.โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีคงไม่คิดก้าวล่วง ซึ่งการปรองดองผมเข้าใจว่าจะต้องมีเป้าหมายไม่เกี่ยวกับเรื่องโกงหรือตีหัวใคร แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเอกสิทธิ์ของสมาชิก ไม่ได้เป็นการทุจริตคอร์รัปชั่น เป็นเรื่องความเข้าใจ เป็นมุมมองการเมืองที่แตกต่างกันเป็นเรื่องทางการเมือง ดังนั้นถ้าถอดถอนเพื่อจะล้างนักการเมืองเหล่านี้ ต่อไปก็จะเป็นคิวอดีต ส.ส.อีก 250 คน แล้วถ้า สนช.ตัดสินว่าผิด ซึ่งก็ไม่ต่างกับการใช้อำนาจของ คสช. เพราะรู้อยู่แล้วว่า สนช.ไม่ได้เป็นอิสระ แล้วการลงโทษเช่นนี้จะทำให้ความปรองดองเกิดขึ้นหรือ" นายสิงห์ชัยกล่าว
นายสิงห์ชัย กล่าวว่า ส่วนตัวยังเชื่อมั่นใน พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งจากการให้สัมภาษณ์และท่าทีจะไม่ถึงขั้นถอดถอน เมื่อเข้าสู่การพิจารณาของสภา สนช.ก็คงจะลงโหวตให้ตกไป ซึ่งจะบอกว่าตนเป็นพวกมองโลกสวยก็ได้ แต่ถามว่าถ้าตัดสินว่าผิดแล้ว ถามว่าประเทศนี้จะจบไหม ปัญหาจะเกิดขึ้นมากและรุนแรงขึ้นอีก
@ ป.ป.ช.ส่งถอดถอน 6-7 ต.ค.
นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวถึงการส่งสำนวนคดีถอดถอน นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา และนายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มา ส.ว.โดยมิชอบ กลับไปให้ สนช.ดำเนินการถอดถอนว่า ได้ส่งสำนวนให้นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม เพื่อลงนามรับรองมติ ป.ป.ช.ที่ให้ส่งกลับสำนวนคดีนี้กลับไปให้ สนช.พิจารณาเหมือนเดิม คาดว่าจะส่งกลับไปยัง สนช.ได้ประมาณวันที่ 6-7 ตุลาคม
"โดยสำนวนที่ ป.ป.ช.ส่งกลับไปยัง สนช.ยังยืนยันตามฐานความผิดรัฐธรรมนูญปี 2550 ไม่มีความผิดตามกฎหมายอื่นประกอบ ป.ป.ช.ไม่สามารถนำความผิดตามกฎหมายอื่นมาเพิ่มเติมเข้าไปในสำนวนได้ เพราะคำร้องขอถอดถอนนายสมศักดิ์และนายนิคมที่ส่งมาให้ ป.ป.ช.นั้น เป็นการร้องให้ถอดถอนออกจากตำแหน่งตามมาตรา 271 ของรัฐธรรมนูญปี 2550 ในกรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องที่มาของ ส.ว.โดยมิชอบ หลังจากนี้ขึ้นอยู่กับ สนช.จะดำเนินการถอดถอนต่อไปหรือไม่" นายสรรเสริญกล่าว
@ เตรียมถกคดีถอดถอนอื่น
นายสรรเสริญ กล่าวว่า ส่วนสำนวนการถอดถอนอดีต ส.ว. 39 คน กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องที่มา ส.ว.โดยมิชอบ ที่ ป.ป.ช.กำลังพิจารณาทบทวนสำนวนอยู่นั้น คงเป็นลักษณะเดียวกับกรณีการถอดถอนนายสมศักดิ์และนายนิคมคือ เป็นการกระทำความผิดตามรัฐธรรมนูญปี 2550 เพียงอย่างเดียว ไม่มีฐานความผิดอื่น ยกเว้นกรณีผู้ที่มีพฤติกรรมเสียบบัตรแทนกัน จะเข้าข่ายความผิดทางอาญาที่สามารถเอาผิดเพิ่มเติมได้ นอกจากนี้ ในส่วนคดีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการถอดถอนซึ่งอยู่ในมือของ ป.ป.ช.จะสรุปเรื่องทั้งหมดรายงานให้ที่ประชุม ป.ป.ช.ชุดใหญ่ทราบเพื่อพิจารณาว่า จะส่งเรื่องให้ สนช.ดำเนินการต่อไปหรือไม่คาดว่าจะนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในวันที่ 7 ตุลาคม หรือ 9 ตุลาคม
@ เมิน'อำนวย'ร้องศาลรธน.
นายสรรเสริญกล่าวถึง กรณีที่ นายอำนวย คลังผา อดีต ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย เตรียมยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัย สนช.มีอำนาจดำเนินการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ เนื่องจากรัฐธรรมนูญปี 2550 ถูกยกเลิกไปแล้วว่า หากทางพรรคเพื่อไทยจะไปยื่นก็เป็นเรื่องของเพื่อไทย ป.ป.ช.ทำหน้าที่จบแล้วและศาลรัฐธรรมนูญจะตีความให้เป็นอย่างไร ก็เป็นเรื่องของศาล เราไปก้าวก่ายพิจารณาตรงนั้นไม่ได้แล้ว
@ พท.ลั่น 300 อดีตส.ส.-ส.ว.พร้อมสู้
นายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย (พท.) แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงกรณีที่ สนช.กำลังบัญญัติอำนาจถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทั้งที่ไม่มีเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวว่า ถือเป็นการลุอำนาจอย่างยิ่ง สนช.บางคนจุดยืนแจ่มชัดมาตลอดว่าเป็นคู่ขัดแย้งกับฝ่ายประชาธิปไตย จ้องไล่ล้างพรรคเพื่อไทยที่มาจากการเลือกตั้ง
"พวกมาจากการแต่งตั้งจะมาถอดถอนคนที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นเรื่องตลกของประชาธิปไตย เราไม่ยอมแน่ เพราะเรามั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรผิด แก้รัฐธรรมนูญไปตามอำนาจหน้าที่ ถ้ามีการยื่นเรื่องถอดถอนเมื่อใด ได้คุยกันแล้วว่าพวกเราอดีต ส.ส.และอดีต ส.ว. 300 กว่าคน พร้อมทั้งประชาชนอีกมากมาย จะออกมาต่อต้านคัดค้านอย่างแน่นอน" นายวรชัยกล่าว
"ขอบอกเลยว่า การยึดอำนาจจะเสียของถ้าทำกันแบบนี้ พวกเรายอมสงบ ไม่เคลื่อนไหวอะไร ปล่อยให้ คสช.เดินหน้าแก้ปัญหาประเทศไป แต่พวกคุณกลับเป็นคนหาเรื่องจุดชนวนขัดแย้งขึ้นมา ป.ป.ช.แทนที่จะไปทำเรื่องที่คั่งค้างจนสำนวนขึ้นรา อย่างเรื่องประกันราคาข้าว แต่กลับมุ่งสอบสวนโครงการรับจำนำข้าว คนเดินดินกินข้าวแกงก็รู้ว่าทำแบบนี้ มาตรฐานคืออะไร วันนี้ยังหารือร่วมกับอัยการไม่เสร็จ ป.ป.ช.ก็ออกมาพูดแล้วว่าจะฟ้องแล้ว จะถอดถอนแล้ว เจตนาต้องการโหมโรงไฟขัดแย้งขึ้นมาอีกใช่หรือไม่" นายวรชัยกล่าว
@ ชี้ปมถอดถอนยื่น'บิ๊กตู่'ตัดสิน
นายวรชัย กล่าวว่า ส่วนกรณีที่นายวิษณุบอกว่าถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับการบัญญัติอำนาจถอดถอนของ สนช.ให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความนั้น คิดว่าเรารู้ๆ กันอยู่แล้วว่าศาลรัฐธรรมนูญเป็นอย่างไร การวินิจฉัยคดีความต่างๆ ในอดีตล้วนสวนทางกับความเห็นของ พท. ถ้าจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ก็ขอแนะนำให้ยื่น คสช. ยื่นให้ พล.อ.ประยุทธ์ชี้ขาดจะดีกว่า วันนี้มีรัฏฐาธิปัตย์อยู่ในมือ ก็ให้ท่านตัดสินเลยว่าอย่างไร จะให้ถอดถอนได้หรือไม่ได้ พวกเราอยากให้หยุดความขัดแย้ง ใครที่กำลังคิดทำอะไรหยุดเสียทีเถอะ ปล่อยให้รัฐบาลเดินหน้าไป บ้านเมืองตอนนี้วิกฤตหนักหนาหลายอย่างอย่าหาเรื่องให้รัฐบาลต้องแก้เพิ่มเติมอีกเลย
@ ผบ.ตร.ขอตำรวจสร้างสุขให้ปชช.
เวลา 09.30 น. วันเดียวกัน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ประชุมมอบนโยบายการบริหารราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แก่รอง ผบ.ตร.ผู้ช่วย ผบ.ตร. ผู้บัญชาการ (ผบช.) ผู้บังคับการ (ผบก.) ทุกหน่วยรวม 349 นาย
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวในการมอบนโยบาย ว่า ตนเหลือเวลาในการทำหน้าที่ ผบ.ตร.ไม่ถึง 365 วันแล้ว หรืออาจน้อยกว่านั้นก็ได้ แต่ไม่ยึดติด ต้องรีบทำงานอย่างเต็มที่ แต่ตนไม่สามารถทำงานสำเร็จได้ด้วยคนเดียว ต้องอาศัยความร่วมมือจากตำรวจทุกคน
"ผมมีสโลแกน มีความมุ่งมั่น จากความคาดหวังของตำรวจและสังคม จากที่รวบรวมข้อมูล สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการคือเราพร้อมใจกัน มอบความรัก สร้างความศรัทธา สร้างความผาสุกแก่ประชาชน ซึ่งทำสำเร็จยาก เป็นโจทย์ที่ยาก ถูกสื่อปรามาส ผมบัญญัติขึ้น เชื่อว่าประชาชนทั่วประเทศไม่เกลียดตำรวจ มีคนรักตำรวจอยู่บ้าง ตำรวจดีมีเยอะ ตำรวจไม่ดีมีบ้าง คนที่ได้จากตำรวจก็รัก คนเสียก็เกลียด นี่คือตราบาปของตำรวจ เราต้องพยายามลดความขัดแย้ง เราเป็นกลไกรัฐถูกรัฐบาลนำไปใช้ ผมไม่โทษใคร เมื่อผู้บริหารใช้ เราต้องทำ จึงเกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้น ตำรวจเป็นมนุษย์ รัก เกลียด ชอบ มีความรู้สึก ตำรวจก็เช่นกันมีทั้งความรู้สึกรัก ชอบและไม่ชอบ" พล.ต.อ.สมยศกล่าว
@ เผยบิ๊กตู่สั่งทำให้ตร.รักกัน
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวอีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรียกไปคุย สั่งการเป็นการส่วนตัว สิ่งแรกที่ต้องทำ คือทำให้ตำรวจรักกันก่อน ปรับเปลี่ยนความรู้สึกที่ขัดแย้งกัน ต้องไม่แยกสี แยกฝ่ายเหลือเพียงสีกากี ที่ผ่านมามีความขัดแย้ง ไม่ลงกัน ขอให้ผ่านไป หากข้ามผ่านจุดนี้ไม่ได้เราจะทำงานให้ประชาชนให้มีความสุขไม่ได้ นี่คือโจทย์ยากแต่เราต้องทำ ลืมอดีต แล้วเริ่มใหม่ ไม่มีสี ไม่มีพวก ไม่มีฝ่าย เริ่มใหม่ เมื่อเรารักสามัคคีกัน มาคิดทำอย่างไรให้ประชาชนรักศรัทธามากขึ้น ที่ผ่านมามีความขัดแย้ง แต่วันนี้คลี่คลายแล้ว ต้องทำให้ประชาชนลืม เราต้องเป็นหัวเชื้อทำให้ลืมความแตกแยก ยึดกฎหมาย ผิดถูกว่าไป ไม่กลั่นแกล้ง ยึดกฎหมาย
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ตนพูดมาแต่แรก คำพูดเป็นนาย จะต้องสร้างความอยู่ดีมีสุข สวัสดิการให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีสุขตามสมควร ไม่ต้องถึงขั้นกินสเต๊ก กินหูฉลามเพียงตามสมควร ผู้บังคับบัญชา ต้องเสียสละ เป็นแม่ทัพนายกองต้องเสียสละ เป็นผู้ให้ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ย่อมผูกไมตรี
@ ลั่นตู้ม้าไฟฟ้าต้องสูญพันธุ์
ผบ.ตร.กล่าวว่า ได้ทราบว่าตำรวจต้องการการดูแลสวัสดิการ ตำรวจมักพูดว่า ปืนก็ซื้อ วิทยุสื่อสารคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กต้องซื้อเอง เครื่องแบบตัดเอง ตอนนี้รัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องของใช้พื้นฐานโต๊ะทำงาน คอมพิวเตอร์ ให้มีความพร้อม จะจัดให้
"ที่ผ่านมาตำรวจบางคนไปสร้างหนี้สิน คาดหวังมีรายได้จากตรงนั้นตรงนี้ พอไม่มี ท่านมีปัญหาทราบปัญหากัน ขอแก้ด้วยการเปิดบ่อน ให้ไม่ได้ ผู้นำระดับประเทศ ทำแบบนี้ไม่ได้ ตู้ม้าไฟฟ้ามีไม่ได้ มีที่ไหน ท่านกับผมเห็นดีกัน ต้องสูญพันธุ์ หากมีการจับกุม ผมไม่ละเว้นแน่ อาชีพตำรวจปฏิเสธไม่ได้ว่ามีสินบน ทุกคนลงที่ตำรวจ ประชาชน สื่อ ลงที่เรา แต่มองอีกมุม ไม่มีผู้ให้ก็ไม่มีผู้รับ ปฏิเสธ 2 ฝ่าย พบกันครึ่งทาง ผมถามว่าไม่มีทั้งผู้ให้ ผู้รับก็จบ ส่วยมาจากการกระทำผิด ผู้ประกอบการจ่ายส่วยให้หน่วยงานรัฐทุกหน่วยที่ใช้กฎหมาย จ่ายเพราะทำผิด ตำรวจอย่าไปรับ จ่ายก็จ่าย อย่ารับ มีศักดิ์ศรี ผมจะกวดขันตำรวจ ไม่ให้ไปรับไปเรียกรับ บางทีส่วยเริ่มต้นที่ประชาชนทำผิดแล้วยื่นให้ ตำรวจห้ามรับเด็ดขาด" ผบ.ตร.กล่าว
@ จี้ตำรวจแก้จุดจร.วิกฤต
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า เรื่องจราจร ให้ความสำคัญมาก จะลงไปดูด้วยตนเอง ประชาชนรักหรือเกลียดตำรวจก็ตรงนี้ ผบก.-ผกก.ด้านจราจร ภายในวันที่ 8 ตุลาคม ให้ทำรายงานมา ในพื้นที่จุดไหน แยกไหน เวลาใด ติดขัดมีวิกฤต แล้วจะไปเยี่ยมด้วยตนเอง ไปไม่บอก ไปเวลาวิกฤต ไปไม่เจอท่าน คิดดู ตอนนี้หมดเวลาเกรงใจใคร ตอนนี้ได้เสีย เหลือไม่ถึง 365 วัน ทำถูกต้องไม่เกรงใจใคร ที่ผ่านมาตำรวจฆ่าตัวตาย จากความเครียดในปัญหางาน ส่วนตัว เศรษฐกิจ สุขภาพ ถามว่าผู้บังคับบัญชาไม่ดูแลหรือเปล่า ต้องไปดู ผมจะเปิดสายด่วนเชิญแพทย์จิตเวชให้คำปรึกษาบรรเทาความเครียดตำรวจ พบปัญหาจะส่งให้ผู้บังคับบัญชาแก้ไข มีบางรายเมียตำรวจโทร.หาผมโดยตรง มาบอกสามีมีเมียน้อย ไม่ดูแล ลำบาก ผมบอกจะแจ้งผู้บังคับบัญชาให้ จากนี้จะออกคำสั่ง หากผู้ใต้บังคับบัญชาฆ่าตัวตาย ผกก.ต้องรับผิดชอบ ไม่ได้เป็นการกดดัน ผกก. แต่ต้องดูแลใส่ใจผู้ใต้บังคับบัญชา" ผบ.ตร.กล่าว
@ เผย'ป๋า'ให้ผู้ปฏิบัติแถลงข่าว
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า เมื่อ 2 วันก่อน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม นำเข้าคารวะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ท่านได้ฝากมาและรองนายกฯมีนโยบายว่า เวลาจับกุมคดีต่างๆ ท่านไม่อยากให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงเป็นผู้แถลงข่าว นี่เป็นนโยบาย ให้ไปร่วมให้กำลังใจได้ ให้ไปร่วมลักษณะผู้บังคับบัญชาไปดูแลให้กำลังใจ เอาใจใส่ แต่ให้ผู้ปฏิบัติเป็นคนแถลงเอง
"ประธานองคมนตรีท่านบอกว่า ท่านอยากเห็นหน้าข้าราชการตำรวจเด็กๆ บ้าง" ผบ.ตร.กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงท้ายการมอบนโยบาย พล.ต.อ.สมยศนำบทคำสอนของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ที่ว่า "บุญเราไม่เคยสร้าง ใครที่ไหนจะมาช่วยเจ้า" อ่านให้ที่ประชุมฟัง
@ มท.อัพเดต 211 นอภ.ขึ้น 9
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงนามในคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 520/2557 แต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งนายอำเภอ (อำนวยการสูง) จำนวน 315 ราย โดยเป็นการยกระดับอำเภอ จากอำนวยการต้น (ระดับ 8) ขึ้นเป็นอำนวยการสูง (ระดับ 9) จำนวน 211 อำเภอ และเป็นการย้ายจากนายอำเภอระดับ 8 ขึ้นเป็นนายอำเภอระดับ 9 ตั้งแต่ลำดับที่ 212-315 จำนวน 104 ตำแหน่ง นอกจากนี้ นายกฤษฎา บุญราช อธิบดีกรมการปกครองลงนามในคำสั่งกรมการปกครอง เลขที่ 829/2557 ในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำแหน่งประเภทอำนวยการระดับต้นและประเภทชำนาญการพิเศษ จำนวน 96 ราย