- Details
- Category: การเมือง
- Published: Wednesday, 10 September 2014 10:06
- Hits: 7154
ทีดีอาร์ไออ้างวิจัยล่าสุด แฉโกงข้าว มโหฬาร 1.1 แสนล้าน บิ๊กตู่หัวโต๊ะครม.นัดแรก วิษณุชี้บิ๊กทหารนั่งรมต. รับเงินเดือนได้ทางเดียว ยื่นบ/ช.ทรัพย์สินใน 2 ตุลา ตั้งสุวพันธ์เป็นวิปรัฐบาล
'บิ๊กตู่'ประชุม ครม.นัดแรก ถก 3 วาระให้ รมต.ติชมนโยบายที่จะแถลงต่อ สนช. สั่งเข้มทุกหัวข้อต้องแทรกปราบโกง
@ "บิ๊กตู่-บิ๊กโด่ง"ไหว้"พระแก้ว"
เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 9 กันยายน ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ วัดพระเเก้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พร้อมด้วย พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และรอง ผบ.ทบ. เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดพระเเก้ว จากนั้นเดินทางต่อมาที่ศาลหลักเมือง เวลา 07.45 น. มี พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เเละปลัดกระทรวงกลาโหม ให้การต้อนรับ โดย พล.อ.ประยุทธ์ได้ไหว้หอพระพุทธรูป ผูกผ้าเเพรองค์หลักเมืองจำลอง จากนั้นเข้ากราบองค์หลักเมืองจริงและกราบเทพารักษ์ทั้ง 5 พร้อมเติมน้ำมันตะเกียงประจำวันเกิด
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางไปที่กองบัญชาการกองทัพบก เปลี่ยนชุดเป็นชุดผ้าไหมไทย เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรกในเวลา 09.30 น. ซึ่งเป็นการประชุมเตรียมการเพื่อแถลงนโยบายรัฐบาลต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในวันที่ 12 กันยายน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเดินทางมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้วางมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด พร้อมกันสื่อมวลชนออกนอกศาลหลักเมือง เนื่องจากเป็นภารกิจส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี
@ ทำเนียบรปภ.ขั้นสูงสุด
ส่วนความเคลื่อนไหวในทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 06.35 น. มีการวางมาตรการรักษาความปลอดภัยรอบทำเนียบรัฐบาลอย่างเข้มงวด โดยตำรวจนครบาล 1 ดูแลความปลอดภัยบริเวณรอบนอก ภายในพื้นที่ทำเนียบรัฐบาลตำรวจสันติบาลร่วมกับทหารพร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบดูแล ถือเป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด และเตรียมตำรวจในที่ตั้งไว้ 1 กองร้อยหากเกิดกรณีฉุกเฉิน
@ "บิ๊กอู๋"ถึงทำเนียบคนแรก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เดินทางถึงทำเนียบรัฐบาลเป็นคนแรก ตามด้วยรัฐมนตรีคนอื่นๆ อาทิ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ครม.ที่เป็นทหารจะสวมใส่ชุดพระราชทานแขนยาวสีฟ้า เหมือนกับนายกรัฐมนตรี ส่วน ครม.คนอื่นๆ จะสวมใส่เสื้อสีสันหลากหลายต่างกัน
ทั้งนี้ การประชุม ครม.ไม่มีการให้สัมภาษณ์ใดๆ กับสื่อมวลชน มีเพียงการทักทายสื่อมวลชนสั้นๆ เท่านั้น อีกทั้งยังกั้นพื้นที่ในแต่ละจุดให้สื่อมวลชนได้เก็บภาพอย่างเป็นระเบียบ โดยอนุญาตให้สื่อฟรีทีวีช่องหลัก และเคเบิลทีวี 2 ช่อง เข้าเก็บภาพก่อนการประชุม ครม.ประมาณ 10 นาทีเท่านั้น
@ "บิ๊กตู่"อารมณ์ดีเข้าทำเนียบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางมาถึงตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เวลา 09.05 น. ในชุดผ้าไหมพระราชทานแขนยาวสีฟ้า ขึ้นไปสักการะพระพรหมประจำทำเนียบรัฐบาล นำพวงมาลัย ดอกไม้สักการะศาลตายาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาล ซึ่งมี พล.ต.อ.อดุลย์ และ พล.อ.วิลาส อรุณศรี ว่าที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ติดตาม พร้อมด้วยข้าราชการประจำทำเนียบรัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ยิ้มและโบกมือทักทายสื่อมวลชน พร้อมกล่าวว่า "ช่วยกัน ช่วยกัน นักข่าวน่ารักทุกคน" จากนั้น เดินเข้าไปยังตึกสันติไมตรีหลังใน เพื่อประชุม ครม.
@ ไร้เงา"บิ๊กตู่"หลังประชุมเสร็จ
เวลา 13.15 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการประชุม ครม.เสร็จสิ้น พล.อ.ประยุทธ์ และ ครม. ทยอยเดินทางกลับออกจากทำเนียบรัฐบาล นั่งรถออกไปทางด้านหลังตึกสันติไมตรี โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าไปสัมภาษณ์ใดๆ ท่ามกลางความสนใจของสื่อมวลชนจำนวนมากที่มาเฝ้าคอยที่ด้านหน้าตึกสันติไมตรีตลอดทั้งวัน ส่วน พล.อ.ประยุทธ์เดินทางกลับโดยไม่ได้ปรากฏตัวให้สื่อมวลชนเห็นแต่อย่างใด
@ ตั้ง"สุวพันธุ์"เป็นวิปรัฐบาล
เวลา 13.50 น. ที่ด้านหน้าตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับถึงวาระ ครม. ว่ามีเพียงวาระเพื่อทราบ คือการแจ้งผลการดำเนินการที่ผ่านมา 3 เดือนของ คสช. ต่อ ครม. และชี้แจงขั้นตอนในการนำเสนอเรื่องสู่ ครม. ซึ่งมีการกำหนดชัดเจนว่า การเสนอเรื่องต้องผ่านรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแล ซึ่งการประชุม ครม.สัปดาห์หน้าจะแบ่งงานกำกับดูแลกัน
"ที่ประชุมมอบหมายให้ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรีประสานงานสภา หรือ วิปรัฐบาล ซึ่งมีการประสานกับทางสภาแล้วว่าจะมีเปิดสภาในวันที่ 12 กันยายน และ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้ตรวจมติ ครม. ซึ่งวันนี้ยังไม่มีเพราะเป็นการหารือ" นายอำพนกล่าว
นายอำพน กล่าวว่า เรื่องถัดมาคือ วันที่ 10 กันยายน พล.อ.ประยุทธ์ จะนำ ครม.ไปกราบสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ที่พุทธมณฑล อย่างไรก็ตาม นายวิษณุกล่าวกับตนว่าเมื่อวันถวายสัตย์ปฏิญาณแล้ว รัฐมนตรีสามารถทำหน้าที่ได้ เช่น เชิญอธิบดีมาพบ หรือเปิดงานต่างๆ แต่ยังบริหารราชการแผ่นดินไม่ได้ จนกว่าจะแถลงนโยบาย ซึ่งไม่ได้มีข้อห้ามในรัฐธรรมนูญ แต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ตนก็เพิ่งจะทราบจากนายวิษณุ
@ "วิษณุ"เผยบิ๊กตู่ดูร่างนโยบายแล้ว
เวลา 14.00 น. ที่ศูนย์แถลงข่าวตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุม ครม. ว่าการประชุมวันนี้ไม่ใช่การประชุม ครม. แต่เป็นการประชุมใน 3 หัวข้อก่อนที่ ครม.จะเข้าสู่การบริหารราชการแผ่นดินแบ่งเป็น 3 ส่วน โดยพูดถึงเรื่องนโยบายที่รัฐบาลจะต้องแถลงต่อ สนช.วันที่ 12 กันยายน ครม.จึงต้องมีส่วนร่วมในการติชมเพิ่มเติม ตัดทอน เพิ่มเติมบางส่วน โดยเสนอให้ ครม.รับทราบว่าการยกร่างนโยบายเสร็จสิ้นแล้ว โดยนายกรัฐมนตรีลงมากำกับอย่างใกล้ชิดและมีส่วนสำคัญในการสอดแทรกเรื่องต่างๆ เข้าไปด้วย ทั้งนี้ ต้นร่างเดิมสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นฝ่ายยกร่างนโยบายเหมือนทุกรัฐบาล เมื่อร่างเสร็จเสนอให้หัวหน้ารัฐบาลให้ไปดู มีนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี ทีมงาน สำนักงบประมาณ ช่วยดูแล และวันเสาร์วันอาทิตย์ ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีให้เวลาอย่างมากกับเรื่องนี้
@ ส่งร่างแจก"สนช."10 ก.ย.
นายวิษณุกล่าวอีกว่า ร่างนโยบายมาจาก 5 แหล่ง ต่างจากนโยบายพรรคการเมือง คือ 1.นายกรัฐมนตรีให้ทำนโยบายให้ยึดยุทธศาสตร์ตามแนวพระราชดำริมาเป็นหลัก ในการเข้าใจเข้าถึงและพัฒนา ที่แทรกซึมนโยบายทุกข้อ 2.ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เน้นความพอดี พอสมพอควร ความมีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน ที่สะท้อนให้เห็นในนโยบายเกือบทุกข้อ 3.แผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 ที่มีอยู่แล้ว ที่ต้องเดินตามเท่าที่ทำได้ 4.นโยบายของ คสช. เช่นโรดแมปสามระยะ หรือหลักค่านิยม 12 ประการ 5.ปัญหาของประเทศและความต้องการของประชาชนในรอบ 3-4 เดือนที่ผ่านมาว่าเขาต้องการอะไร เรียกร้องอะไร อยากเห็นอะไร
"เรื่องหนึ่งที่นายกรัฐมนตรีให้แทรกและต้องปรับปรุงในร่างนโยบายสุดท้ายก่อนที่จะส่งพิมพ์คือ ทุกหัวข้อ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การศึกษา ความมั่นคง สาธารณสุข ให้แทรกเรื่องการป้องกันและปราบการทุจริตและคอร์รัปชั่นเข้าไปให้หมด แทรกเรื่องการปฏิรูปการเปลี่ยนแปลง และการเดินหน้าไปสู่ระบอบประชาธิปไตย เมื่อทุกอย่างมาถึงจุดหนึ่งแล้วให้ปรากฏอยู่ในทุกเรื่อง ฉะนั้นทั้งสามเรื่องจะเป็นวาระแห่งชาติที่แทรกเข้าไปในนโยบายทุกข้อ และมีรัฐมนตรีบางคนเสนออะไรก็รับมา ซึ่งคณะทำงานจะแก้ไขในช่วงบ่ายนี้เพื่อจัดพิมพ์และส่งให้ สนช.ในวันที่ 10 กันยายน ที่จะมีเวลาอ่าน 2-3 วันก่อนจะประชุมวันที่ 12 กันยายน" นายวิษณุกล่าว
@ แจงขั้นตอนแสดงบัญชีทรัพย์สิน
นายวิษณุกล่าวว่า ได้ชี้แจง ครม.ถึงขั้นตอนและวิธีการยื่นแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินของ ครม. ว่า ให้นับจากวันที่เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตน เมื่อวันที่ 4 กันยายน เป็นวันทำงานวันแรก ดังนั้น จะครบกำหนดยื่นแสดงบัญชีฯ 30 วัน ตามที่กฎหมายระบุคือวันที่ 2 ตุลาคม ก่อนหน้านั้นได้แจกแบบฟอร์มทั้งหมดให้รัฐมนตรีไปกรอกรายละเอียดแล้ว ตนย้ำว่าอย่าเลยกำหนดเวลาและขอให้ทำใจเพราะการยื่นบัญชีทรัพย์สินต้องเปิดเผยให้สาธารณชนรับทราบต่อไป ส่วนใครที่มีสิ่งใดเก็บไว้ก็ไปจัดการตัวเอง เพราะตนช่วยไม่ได้หากมีใครไปขุดค้น
@ คสช.หมดอำนาจเรียกรายงานตัว
เมื่อถามว่า ถึงบทบาทการทำงานของ คสช. ว่า รัฐบาลสามารถเรียกให้ คสช.มารายงานการทำงานได้หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า หลังถวายสัตย์ฯแล้วถือว่า ครม.รับหน้าที่สมบูรณ์ ถือเป็นวันเริ่มต้นจ่ายเงินเดือนและต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน และยังเป็นวันที่ คสช.ลดระดับการทำงานลงเป็นเพียงองค์กรหนึ่ง ไม่ใช่ทำหน้าที่เป็นรัฐบาลเหมือนก่อนหน้านั้น จึงไม่สามารถออกประกาศคำสั่งใดๆ หรือสามารถเรียกบุคคลมารายงานตัวได้อีก ยกเว้นใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกหรือการจัดระเบียบภายใน คสช. ส่วนเรื่องอื่นต้องผลักให้มาอยู่ที่รัฐบาล รวมทั้งทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้รัฐบาล เช่น ส่งข้อเสนอแนะหรือรัฐบาลขอความเห็นจาก คสช.และอีกหน้าที่คือดูแลความมั่นคง
"หลายเรื่อง คสช.ต้องลด และให้รัฐบาลทำ แม้กระทั่งคณะทำงานที่ คสช.ตั้งไว้หลายชุดที่ต้องผ่องถ่ายงานมาที่รัฐบาล แล้วรื้อโครงสร้างใหม่มาปรับเป็นโครงสร้างของรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กฤษฎีกาไปพิจารณา ว่าครั้งที่แล้วนายกฯใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ตั้งกรรมการต่างๆ เมื่อเป็นรัฐบาลแล้วนายกฯต้องการให้กลับเข้าสู่โครงสร้างของฝ่ายบริหารปกติ อะไรที่ให้หัวหน้า คสช.เป็นประธาน ก็ให้ปรับมาเป็นนายกฯ และให้รองหัวหน้า คสช.ปรับมาเป็นรองนายกฯ เป็นต้น" นายวิษณุกล่าว
นายวิษณุกล่าวถึงการเดินทางเข้าทำงานที่ทำเนียบรัฐบาล ว่า คงจะเข้าทำเนียบในสัปดาห์หน้า เพราะยังไม่มีแบ่งงานระหว่างรองนายกรัฐมนตรีคนอื่น จึงไม่รู้ว่าจะเข้ามาก่อนทำไม เพราะรองนายกฯต่างจากรัฐมนตรีที่พอเข้ากระทรวงก็มีงานทำตราบใดที่ยังไม่แถลงนโยบายแล้วไปแบ่งงานก่อนเท่ากับไปบริหารราชการแผ่นดิน การแบ่งงานวางไว้แล้วแต่ต้องนำเข้าที่ประชุม ครม.ในสัปดห์หน้าก่อน
"บรรยากาศในที่ประชุมเหมือนเดิม แต่แปลกที่ห้องประชุมนี้ ครม.ใส่ชุดผ้าไทย เพราะนายกรัฐมนตรี บอกว่าไม่อยากยุ่ง แต่เห็นว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาแต่งมาคนละแบบ บางคนใส่เสื้อสูท บางคนใส่เสื้อซาฟารี จึงหาชุดที่ทุกคนมีเหมือนกันคือชุดไทย" นายวิษณุกล่าว
@ ตั้ง"สุนันต์"ผู้ช่วยรัฐมนตรีทส.
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ว่า พล.อ.ดาว์พงษ์ เตรียมเสนอชื่อนายสุนันต์ อรุณนพรัตน์ อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และอดีตที่ปรึกษานายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข อดีต รัฐมนตรี ทส.ป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ทส. พร้อมกับการจัดเตรียมห้องทำงานที่ชั้น 19 สำนักงานปลัด ทส. ให้กับนายสุนันต์ หลังจากมีข่าวแพร่สะพัดปรากฏว่าได้มีบรรดาข้าราชการกรมป่าไม้และกรมอุทยานฯ ต่างเข้ามาแสดงความยินดีกับนายสุนันต์ในเฟซบุ๊กและไลน์ของนายสุนันต์กันอย่างคึกคัก
@ ชี้"ศก.-การเมือง"วัดฝีมือรบ.
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงการบริหารราชการของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ว่าเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จสามารถทำอะไรได้รวดเร็ว สำหรับกลไกการตรวจสอบมีข้อได้เปรียบ คือการออกกฎหมาย มีมากกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง กระบวนการตรวจสอบไม่เข้มข้นเท่ายุคที่เป็นประชาธิปไตย เช่น 1.กลไกการตรวจสอบการทุจริตหรือนโยบายที่ผิดพลาด ซึ่งต้องอยู่กับตัวผู้บริหารว่าจะมีวิธีการที่จะทำให้การตรวจสอบดำเนินการไปได้ และ 2.ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า สิ่งที่รัฐบาลกำลังสะท้อนความต้องการของประชาชนหรือไม่ เพราะจะไม่มีตัวบ่งชี้ใดๆ ที่จะระบุได้ รัฐบาลชุดนี้เข้ามาในภาวะชั่วคราว เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจที่มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการแก้ปัญหา ซึ่งจะใช้ระยะเวลาประมาณ 3 ปี
"เมื่อมีรัฐธรรมนูญถาวร มีการเลือกตั้งใหม่เปิดใหม่วันนั้นสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ดีขึ้นหรือไม่ จะเป็นตัววัดความสำเร็จของสิ่งที่รัฐบาลกำลังพูดกับประชาชน" นายอภิสิทธิ์กล่าว
@ ชี้ขาดตรวจสอบทุจริตเพิ่มแน่
นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า ปัจจัยสำคัญ คือทั้งในเรื่องปัญหาปากท้อง หรือสวัสดิการต่างๆ ที่ประชาชนจะได้รับ จะมีวิธีการอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดช่องว่าง ส่วนการปราบปรามการทุจริต เป็นเรื่องที่ทุกคนเอาใจช่วยให้ทำให้สำเร็จ หากผู้ปฏิบัติ ไม่ได้ติดอยู่กับวงจรของธุรกิจการเมือง เรื่องนี้จะมีการดำเนินการได้อย่างเด็ดขาด แต่เมื่อใดที่การตรวจสอบหายไป ความเสี่ยงการทุจริตก็จะมีมากขึ้น
"ส่วนธุรกิจพลังงงานต้องยอมรับว่ามีปัญหาการผูกขาดอยู่ในบางส่วนของธุรกิจ รวมถึงด้านสาธารณูปโภค ที่ต้องมีการผลิต แปรรูป และขนส่ง ก็จะมีการผูกขาดโดยธรรมชาติ เพราะฉะนั้นที่ผมระบุว่าบางส่วนก็เพราะว่าพอมีตรงนี้ ก็อย่าไปสรุปว่าธุรกิจพลังงานทั้งหมดผูกขาด เพราะว่าที่เขาขายอาจจะแข่งกันได้" นายอภิสิทธิ์กล่าว
@ "ทักษิณ"ส่องดบินฮ่องกง
แหล่งข่าวคนสนิทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แจ้งว่า ตามที่มีกระแสข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางมาฮ่องกงในวันที่ 23-25 กันยายนนั้น ล่าสุด ได้คุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณแล้วทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังติดงาน และภารกิจหลายอย่างที่ดูไบ และประเทศอื่นๆ จึงยังไม่ยืนยันว่าจะเดินทางมาฮ่องกงตามที่เป็นข่าว จึงไม่ต้องการให้คนที่อยากเดินทางไปพบจองตั๋วเครื่องบิน หรือจองโรงแรมไว้ล่วงหน้า เพราะเกรงว่าจะสูญเงินเปล่า เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณอาจจะไม่ได้เดินทางมา
@ พท.จี้"บิ๊กตู่"สอบจัดซื้อไมค์
เมื่อเวลา 14.20 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย (พท.) เข้ายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ขอให้ตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างไมโครโฟนสำหรับใช้ในห้องประชุม ครม.เพิ่มเติม
นายเรืองไกรกล่าวว่า ขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ย้ายห้องประชุม ครม. เนื่องจากอาจมีสาเหตุหนึ่งมาจากกรณีไมโครโฟนที่เป็นข่าวอยู่นี้ ได้ร้องขอให้มีการตรวจสอบราคาแล้วครั้งหนึ่ง ต่อมาได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ไมโครโฟนดังกล่าวตั้งราคากลางต่อหน่วยสูงกว่าราคาที่จำหน่ายในท้องตลาดเมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลที่ปรากฏในเว็บไซต์ต่างๆ อยู่ประมาณตัวละหรือชุดละ 58,990 บาท หรือแพงขึ้นประมาณ 59.59% จึงต้องขอแจ้งข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อนำไปตรวจสอบต่อไปโดยด่วน
"ข้อมูลการประมาณราคากลางงานติดตั้งระบบเสียง ระบบภาพ ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง และระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ห้องประชุม 501-301-302 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล กรมโยธาธิการและผังเมือง ประมาณราคาไว้เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมนั้น ห้องประชุม 501 มีไมโครโฟนยี่ห้อ BOSCH รุ่น DCNM-MMD ราคาต่อหน่วย 139,690 บาท ก้านไมโครโฟน ยี่ห้อ BOSCH รุ่น DCNM-HDMIC ราคาต่อหน่วย 18,300 บาท จากราคาที่กรมโยธาธิการตั้งราคาไมโครโฟนรวมก้านไว้เป็นราคากลางเท่ากับ 157,990 บาท ซึ่งราคาดังกล่าวพบว่า เคยตั้งราคาขายโดยทั่วไปอยู่ที่ตัวละ 99,000 บาท จึงน่าเชื่อว่ามีการกำหนดราคากลางไมโครโฟนสูงกว่าราคาตลาด 58,990 บาทหรือ 59.59% หากไม่ตรวจพบก่อน ก็เท่ากับว่าราชการอาจใช้เงินภาษีประชาชนสูงกว่าความเป็นจริงประมาณ 60%" นายเรืองไกรกล่าว
@ จี้สอบปรับปรุงทำเนียบทั้งหมด
นายเรืองไกรกล่าวว่า ข้อมูลที่พบ ยังเป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นสำหรับรายการเดียวเท่านั้น แต่จากเอกสารประมาณราคาก่อสร้าง แสดงให้เห็นว่ามีงบประมาณส่วนอื่นอีกที่สื่อมวลชนหรือสาธารณชนยังไม่ได้รับทราบข้อมูล จึงควรนำข้อมูลประมาณราคาค่าก่อสร้างเกี่ยวกับการปรับปรุงทำเนียบรัฐบาลครั้งนี้ออกมาเปิดเผยทั้งหมด เนื่องจากเป็นที่สนใจของสังคม และยังไม่พบว่า ป.ป.ช.จะเข้าตรวจสอบหรือไม่ "ดังนั้น เพื่อให้ได้ความจริงโดยเร็ว ควรขอให้ สตง.เข้าไปตรวจสอบอีกทางหนึ่งด้วย และขอให้ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี สั่งห้ามเคลื่อนย้ายวัสดุอุปกรณ์ใดๆ ในห้องประชุม 501 เพื่อมิให้มีการทำลายหลักฐานหรืออำพรางข้อมูลที่เกิดขึ้น รวมทั้งขอให้ตรวจสอบเพิ่มเติมเกี่ยวกับงบประมาณในการปรับปรุงทำเนียบรัฐบาลทั้งหมดด้วยว่ามีงานใดที่ทำก่อนการลงนามในสัญญาอีกหรือไม่" นายเรืองไกรกล่าว
@ เผยเงื่อนไขต้องจ่ายล่วงหน้า15%
รายงานข่าวแจ้งว่า จากการตรวจสอบเอกสารสรุปผลการประมาณราคาก่อสร้าง งานติดตั้งระบบเสียง ระบบภาพ ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง และระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ห้องประชุม 501, 301 และ 302 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล โดยกองมาตรฐานกลาง กรมโยธาธิการและผังเมือง เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม มีรายละเอียดค่าก่อสร้างคิดเป็นเงินประมาณ 67,988,000 บาท มีเงื่อนไขว่าต้องจ่ายล่วงหน้า 15%
ทั้งนี้ มีรายละเอียดที่น่าสนใจ ได้แก่ ระบบไมโครโฟนชุดประชุม ซึ่งใช้เหมือนกันทั้ง 3 ห้อง ประกอบด้วย ไมโครโฟนยี่ห้อ BOSCH รุ่น DCMN-MMD จำนวน 181 ชุด ราคาชุดละ 139,690 บาท ก้านไมโครโฟนยี่ห้อเดียวกัน รุ่น DCNM-HDMIC จำนวน 181 ชุด ราคาชุดละ 18,300 บาท กล้อง HD ยี่ห้อ BOSCH รุ่น VCD-811-IWT HD จำนวน 6 ตัว ราคาตัวละ 240,850 บาท และอุปกรณ์ต่อเนื่องอีกจำนวนหนึ่ง
@ ชาวเน็ตวิจารณ์จอพลาสม่า5แสน
นอกจากนั้นยังมีระบบภาพวิดีโอวอลล์ ในห้องประชุม ต้องติดจอพลาสม่า ขนาด 60 นิ้ว C60 pw 120 รวม 16 จอ ราคาจอละ 529,870 บาท ขายึดแบบพนัง 16 อัน ราคาอันละ 19,270 บาท เครื่องกระจายสัญญาณ DVI 1:12 รวม 2 เครื่อง ราคาเครื่องละ 55,490 บาท และเครื่องกระจายสัญญาณ DVI 1:2 อีก 1 เครื่อง ราคาเครื่องละ 14,450 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเว็บพันทิปเผยแพร่ข้อมูลราคาระบบภาพวิดีโอวอลล์ ในห้องประชุม ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์หลากหลาย ตั้งแต่เรื่องเทคโนโลยีที่ใช้จอพลาสม่า ทั้งที่ปัจจุบันมีระบบแอลอีดีที่ให้ความคมชัดมากกว่า และราคาต่ำกว่า อีกทั้งระบบส่งสัญญาณ DVI ที่มีเทคโนโลยีไฮเดฟที่น่าจะเลือกใช้มากกว่า นอกจากนี้ ยังเทียบเคียงจอทีวีหลากหลายยี่ห้อในสเปกคล้ายกัน ว่ามีราคาตั้งแต่หลักหมื่นจนถึงหลักแสน แต่ไม่มีตัวไหนราคาแพงถึงตัวละ 529,870 บาท ตามที่กรมโยธาธิการฯประเมินไว้เลย พร้อมตั้งคำถามถึงขาจอทีวีที่ตัวละเกือบ 2 หมื่นบาท ว่าแพงเกินควรไปหรือไม่ เรียกร้องให้ผู้รับผิดชอบชี้แจง นอกเหนือจากไมโครโฟน เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด
@ ปนัดดาปัดไม่เกี่ยวซื้อไมค์แพง
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และปลัดสำนักนายกฯ กล่าวถึงกระแสข่าวการจัดซื้อจอแอลอีดี ขนาด 55 นิ้ว ที่ติดตั้งในห้องประชุม ครม. ห้อง 501 ที่มีการตั้งข้อสังเกตมีราคาค่อนข้างสูงว่า ไม่อยากพูดเพราะไม่เกี่ยวข้องเลยจริงๆ มีหน่วยงานที่ดำเนินการอยู่แล้ว พูดไปเหมือนเป็นการโบ้ย ขอให้สอบถามจากผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงจะดีกว่า ที่ผ่านมามีข่าวพาดพิงถึงตนทั้งที่ไม่เกี่ยวเลย รู้สึกน้อยใจบ้าง ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่มีอำนาจใดๆ พิจารณา
เมื่อถามว่า จะเปิดเผยข้อมูลรายละเอียดทั้งหมดของการจัดซื้อให้สาธารณะรับทราบหรือไม่ ม.ล.ปนัดดากล่าวว่า ต้องเปิดเผยอยู่แล้ว เมื่อถามย้ำว่าประชาชนหรือผู้สนใจจะเข้าตรวจสอบได้ในช่องทางใดบ้าง ม.ล.ปนัดดากล่าวว่า มีช่องทางเว็บไซต์ของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง
@ อธิบดีโยธาฯเตรียมแถลงเคลียร์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายมณฑล สุดประเสริฐอธิบดีกรมโยธาฯจะชี้แจงรายละเอียดของโครงการดังกล่าวในเร็วๆ นี้ โดยได้จัดทำข้อสรุปรายละเอียดรวมทั้งราคาของเครื่องเสียงและไมโครโฟน พร้อมทั้งยืนยันว่ายังไม่มีการจ่ายเงินล่วงหน้า 15%
ให้กับทางบริษัท อัศวโสภณฯ ตามที่ปรากฏเป็นข่าว เพราะยังไม่ได้มีการเซ็นสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง และยังอยู่ในช่วงของการต่อรองราคาให้ต่ำลงให้มากที่สุด ส่งให้ พล.ต.อ.อดุลย์ กำกับดูแลหน่วยงานในสังกัดสำนักนายกฯ ซึ่งรับผิดชอบโครงการนี้
ได้พิจารณาแล้ว โดยอธิบดีกรมโยธาฯจะยังไม่ชี้แจงรายละเอียดใดๆ จนกว่า พล.ต.อ.อดุลย์จะอนุญาตให้เปิดเผยข้อมูลได้ โดยหาก พล.ต.อ.อดุลย์ อนุญาต นายมณฑลจะนัดแถลงวันที่ 10 กันยายน
@ "ปึ้ง"จี้ถ่ายสดแถลงนโยบายรบ.
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า อยากเห็น สนช.ทำหน้าที่อภิปรายติติงเสนอแนะการแถลงนโยบายของรัฐบาล ไม่ใช่ว่าชมกันอย่างเดียว นโยบายไหนไม่เข้าท่าต้องอภิปราย สนช.ทำหน้าที่แทนประชาชน แต่ไม่รู้ฟังเสียงประชาชนมามากน้อยแค่ไหน ฉะนั้น ต้องจินตนาการว่าประชาชนต้องการอะไร
"ทั้งนี้ ขอให้มีการถ่ายทอดสดด้วย ชาวบ้านจะได้เห็นการทำงานของ สนช. ว่าใครพูดแทนประชาชนได้แค่ไหน ขณะที่รัฐบาลต้องแถลงนโยบายให้เห็นเป็นรูปธรรม ว่ามีแนวทางแก้ปัญหาต่างๆ อย่างไร ไม่ใช่พูดไปเรื่อยตามสคริปต์ ต้องพูดด้วยความเข้าใจ ขอให้พูดด้วยว่าจะปฏิรูปองค์กรอิสระ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ให้คนเคารพกฎหมายอย่างไร และทำให้เกิดธรรมาภิบาลได้อย่างไร" นายสุรพงษ์กล่าว
@ "ปู"ซื้อสินค้าโอท็อปก่อนกลับกรุง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า "มาอุดรธานีครั้งนี้ อดไม่ได้ที่ต้องแวะมาทานไข่กระทะอาหารมื้อเช้าที่ขึ้นชื่อของที่นี่ ซึ่งจังหวัดอื่นๆ ในภาคอีสานก็มีเมนูมื้อเช้าแบบนี้เช่นกัน ไข่กระทะต้องกินคู่กับขนมปังฝรั่งเศสที่กรอบนอกนุ่มใน หรืออาจจะเป็นขนมปังญวนซึ่งเข้ากันได้ดีค่ะ ใครแวะมาแถบภาคอีสานขอแนะนำอย่าลืมเมนูไข่กระทะกับขนมปังญวนนะคะ" และ "ก่อนกลับกรุงเทพมหานคร แวะมาเยี่ยมชมตลาดผ้าบ้านนาข่า อ.เมือง จ.อุดรธานี ตลาดผ้าไหมคุณภาพ ซึ่งเป็นสินค้า OTOP ห้าดาวประจำจังหวัดอุดรธานีค่ะ ที่นี่เป็นแหล่งผลิตผ้าไหมและนำมาตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูป
มีทั้งผ้าไหม ผ้าฝ้าย ผ้าหมักโคลน ผ้าหมักโคลนขี้ควายซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของคนภาคอีสาน มีสินค้าหลากหลาย และในวันเสาร์อาทิตย์ยังเปิดเป็นถนนคนเดินกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของทางจังหวัดด้วยค่ะ โอกาสนี้ได้ให้กำลังใจชาวบ้านในชุมชนตลาดบ้านนาข่า และได้ซื้อของติดไม้ติดมือให้ตัวเอง รวมถึงซื้อเสื้อยืดสกรีนลายมวยไทยฝากน้องไปป์ด้วยค่ะ"
@ ป.ป.ช.ส่งเลขาฯนำทีมถกอสส.
ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช. เปิดเผยมติที่ประชุมของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่า ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช.ส่งสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีละเว้นไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล เพื่อให้อัยการสูงสุด (อสส.) ฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น ต่อมา อสส.มีหนังสือแจ้งข้อไม่สมบูรณ์พอที่จะฟ้องคดีและได้ตั้งคณะทำงานผู้แทน อสส. โดยมีนายวุฒิพงศ์ วิบูลย์วงศ์ รอง อสส.และคณะรวม 10 คน เป็นผู้แทน อสส. ทาง ป.ป.ช.มีมติแต่งตั้งผู้แทนคณะกรรมการ ป.ป.ช. 10 คน เป็นคณะทำงานร่วมระหว่างคณะกรรมการ ป.ป.ช. และ อสส. โดยมีตนเป็นหัวหน้าคณะทำงานผู้แทน ป.ป.ช.
"หลังแต่งตั้งคณะทำงานร่วมแล้วจะได้ประชุมคณะทำงานร่วม เพื่อพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์และรวบรวมพยานหลักฐานให้สมบูรณ์แล้วส่งให้ อสส.เพื่อฟ้องคดีต่อไป แต่หากไม่อาจหาข้อยุติได้ ป.ป.ช.มีอำนาจฟ้องคดีเองหรือแต่งตั้งทนายความให้ฟ้องคดีแทน ซึ่งยังไม่สามารถกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนได้ว่าจะพิจารณาแล้วเสร็จเมื่อใด แต่จะได้เร่งรัดดำเนินการให้เร็วที่สุด" นายสรรเสริญกล่าว
นายสรรเสริญกล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าอาจมีชื่อนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช.ในฐานะเจ้าของสำนวน ร่วมอยู่ในคณะทำงานร่วมด้วยว่า นายวิชาในฐานะกรรมการผู้รับผิดชอบสำนวนคดีโครงการรับจำนำข้าวไม่ได้เข้าร่วมในคณะทำงาน รวมไปถึงกรรมการคนอื่นไม่เข้าร่วมด้วยแต่อย่างใด
เมื่อถามว่า จะเริ่มประชุมนัดแรกเมื่อใด นายสรรเสริญกล่าวว่า ต้องรอการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจาก นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช.ก่อน หลังจากนั้นจะมีคำสั่งประสานไปยังฝ่าย อสส. ว่าจะนัดประชุมกันครั้งแรกในวันใด
@ เผยวิจัยทีดีอาร์ไอไม่ใช่ข้อมูลหลัก
นายนิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่า จากการสอบถามข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมหลักฐานเพื่อใช้ประกอบการพิจารณากรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ละเลยหน้าที่ทำให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว โดยใช้ผลวิจัยของทีดีอาร์ไอนั้น ได้รับการชี้แจงว่า ป.ป.ช.นำผลวิจัยของทีดีอาร์ไอเกี่ยวกับโครงการจำนำข้าวในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีมาใช้โดยบทวิจัยดังกล่าว ป.ป.ช.เป็นผู้ว่าจ้าง
ทีดีอาร์ไอให้จัดทำ มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงวิธีช่วยเหลือเกษตรกรโดยไม่จำเป็นต้องแทรกแซงตลาดโดยตรงและลดการทุจริตทำได้อย่างไร
"ผู้ที่เกี่ยวข้องชี้แจงว่า นำบทวิจัยไปอ้างอิงว่ามีงานวิจัยที่แสดงถึงแนวทางในการป้องกันการทุจริตโครงการรับจำนำพืชผลการเกษตร และได้นำผลวิจัยไปเตือนรัฐบาลแล้ว ไม่ใช่เป็นข้อมูลหลักในการสอบสวนการทุจริต ไม่เกี่ยวข้องกับการทุจริตของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จึงไม่ได้ส่งรายงานฉบับเต็มไปให้ หากต้องการสามารถดาวน์โหลดได้ในเว็บไซต์ของทีดีอาร์ไอ" นายนิพนธ์กล่าว
@ เล็งเปิดวิจัยจำนำข้าวรบ.ปู
นายนิพนธ์กล่าวว่า สัปดาห์หน้าจะเปิดเผยบทวิจัยการทุจริตโครงการจำนำข้าวในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งไม่เกี่ยวกับสำนวนของ ป.ป.ช. โดยตนจัดทำรายงานโครงการศึกษาวิจัย เรื่อง "การคอร์รัปชั่นกรณีการศึกษา : โครงการรับจํานําข้าวทุกเมล็ด" ศึกษาพฤติกรรมการทุจริต และประมาณการมูลค่าการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าว โดยยังไม่นับรวมการทุจริตที่เกิดขึ้นจากขั้นตอนอื่นๆ จากโครงการรับจำนำข้าวตลอด 5 ฤดูกาลผลิตของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา หรือฤดูการผลิตปี 2554/55-2556/57 ซึ่งรัฐบาลรับซื้อข้าวจากชาวนารวมประมาณ 54 ล้านตัน ใช้เงินนอกงบประมาณ ด้วยการกู้จากสถาบันการเงินของรัฐ ไม่ได้ผ่านรัฐสภา รวมตลอดโครงการรวมประมาณ 985,000 ล้านบาท
นายนิพนธ์กล่าวว่า สาเหตุที่เลือกศึกษาเฉพาะการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าว เพราะรัฐบาลเป็นระบายข้าวที่มีอยู่ในมือได้ทั้งหมด ต่างจากขั้นตอนการรับข้าวเข้าสู่โครงการที่เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมหาศาล ทั้งชาวนา โรงสี และโกดัง หากดูจากราคาข้าวสารในประเทศสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ใกล้เคียงกับราคาข้าวสารของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทั้งที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์รับซื้อข้าวเปลือกจากชาวนาในราคาที่สูงมาก ซึ่งนั่นหมายความว่ามีการระบายข้าวออกจากสต๊อกเพื่อรักษาระดับราคาข้าวสารในประเทศไม่ให้แพง เพราะหากราคาข้าวสารแพงคนในเมืองก็จะไม่พอใจ และเป็นอุปสรรคทางการเมืองของรัฐบาลได้
@ แฉมูลค่าทุจริตกว่าแสนล้าน
นายนิพนธ์กล่าวว่า มูลค่าการทุจริตในการระบายข้าวที่คำนวณจากแบบจำลอง คิดเป็นเงินรวมประมาณ 111,000 ล้านบาท จาก 4 วิธีการทุจริตในการระบายข้าวรัฐออกไปในราคาต่ำ แบ่งเป็น 1.การทุจริตจากการค้าข้าวแบบรัฐต่อรัฐ 7.8 ล้านตัน คิดเป็นเงิน 45,094 ล้านบาท วิธีการขายข้าวนี้รัฐได้เปิดขายโดยให้ผู้ซื้อเป็นฝ่ายเสนอราคา แต่รัฐบาลไม่บอกว่า ขายให้ใคร ในราคาและปริมาณเท่าใด เมื่อตรวจสอบดูก็จะพบว่ามีนายหน้าบางรายเท่านั้นที่สามารถเข้าไปซื้อข้าวจากรัฐได้
นายนิพนธ์กล่าวว่า 2.การทุจริตจากการเลือกขายข้าวให้พ่อค้าพรรคพวกที่เสนอซื้อข้าวของรัฐในราคาต่ำ รวมประมาณ 4 ล้านตัน เป็นเงิน 21,512 ล้านบาท 3.การทุจริตจากโครงการข้าวธงฟ้าและข้าวถุงถูกใจ 1.1 ล้านตัน เป็นเงิน 12,267 ล้านบาท และ 4.ปัญหาข้าวหาย 2.9 ล้านตัน ซึ่งปัญหานี้เกิดจากผู้มีอิทธิพลทางการเมืองใช้อำนาจนำข้าวเปลือกหรือข้าวสารจากโรงสีในโครงการไปขายให้ผู้ส่งออกข้าวนึ่ง และพ่อค้าข้าวถุง แล้วหาข้าวราคาต่ำมาส่งคืนโกดังในภายหลัง ผลการคำนวณพบว่า มูลค่าทุจริตส่วนนี้เท่ากับ 25,616 ล้านบาท