- Details
- Category: แรงงาน
- Published: Sunday, 02 May 2021 17:58
- Hits: 8332
เป็นแรงงานนอกระบบผิดไหม? เมื่อเกินครึ่งของแรงงานไทยอยู่นอกระบบ
คำว่า แรงงานนอกระบบ ไม่ได้มีแต่มุมลบแต่เพียงอย่างเดียว การเป็นแรงงานนอกระบบเกิดขึ้นโดยธรรมชาติตามพื้นฐานเศรษฐกิจไทย และ ‘ความยืดหยุ่นในการทำงาน’ เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ใครหลายคนลาออกจากงานประจำมาเป็นเจ้านายตนเอง หรือแม้แต่เด็กจบใหม่ที่ตัดสินใจไม่เข้าสู่ระบบตั้งแต่ก้าวแรกของการทำงาน
ผศ.ดร.เจสสิกา เวชบรรยงรัตน์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ศึกษาวิจัยเรื่องแรงงานนอกระบบในประเทศไทยมานานกว่า 10 ปี กล่าวถึงนิยามของคำว่า แรงงานนอกระบบ (Informal Sector) หมายถึง กลุ่มคนที่ทำงานอิสระ ที่ไม่ได้รับความคุ้มครองและไม่มีหลักประกันทางสังคมจากการทำงาน เช่น ไม่มีสัญญาจ้างงาน หรือ ประกันสังคม ดังนั้น แรงงานนอกระบบจึงไม่ได้วัดกันที่รายได้หรือประเภทของงาน ผู้ประกอบการที่เปิดกิจการของตนเองก็ถือว่าเป็นแรงงานนอกระบบ ในทางกลับกัน แม้พนักงานที่อยู่ในโรงงานหรือบริษัทแต่นายจ้างไม่ได้ทำประกันสังคมให้ ก็จัดว่าลูกจ้างอยู่นอกระบบ ช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เรื่องนี้ถูกตีแผ่ออกมาจำนวนมากว่า มีหลายบริษัทไม่ได้ทำประกันสังคมให้ลูกจ้าง จึงไม่ได้รับเงินชดเชยจากการว่างงาน
ตัวเลขเฉลี่ยกว่า 10 ปีที่ผ่านมาของสัดส่วนแรงงานนอกระบบในประเทศไทย คงที่อยู่ระหว่าง 55-65% ของแรงงานโดยรวม ผศ.ดร. เจสสิกา มีมุมมองต่อแรงงานนอกระบบที่มีจำนวนเกินครึ่งค่อนประเทศว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่ทำให้เกิดแรงงานนอกระบบโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เนื่องจากการเป็นประเทศเกษตรกรรมมาแต่ดั้งเดิม มีการทำงานเฉพาะฤดูเพาะปลูก ช่วงเว้นว่างจากนั้นก็ไปรับจ้างหรือทำอาชีพเสริมอื่นๆ ทำให้คนไทยรู้จักยืดหยุ่นและไม่ชอบอะไรที่ล็อคตัวเองมากเกินไป หรือเกิดขึ้นจากค่านิยมบางประการ เช่น การให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นหลัก แรงงานผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่เคยมีหน้าที่การงานดีในบริษัท ตัดสินใจลาออกจากงาน เมื่อมีลูกหรือดูแลพ่อแม่ที่อายุมาก คนเหล่านี้ไม่ได้หยุดงานถาวรแต่หาอาชีพเสริมอื่นแทน ยุคนี้ก็หันมาค้าขายออนไลน์ ก็ถือเป็นการผันตัวออกมาอยู่นอกระบบ
“ยกตัวอย่างอาชีพแม่บ้านทำความสะอาดที่เคยสัมภาษณ์ในงานวิจัย แม่บ้าน 2 คนทำงานเหมือนกันทุกประการ คนหนึ่งทำงานรับใช้ในบ้านจึงนับว่าเป็นแรงงานนอกระบบ ส่วนอีกคนเป็นลูกจ้างในโรงแรมถือเป็นแรงงานในระบบ เมื่อไปสอบถามแม่บ้านที่ทำงานที่บ้านว่าอยากย้ายไปโรงแรมไหม คำตอบคือ ไม่ เพราะด้วยความคุ้นชิน ความยืดหยุ่น ไม่ต้องเข้างานตามเวลาออฟฟิศ ทำให้รู้สึกสบายใจกว่า แม้การย้ายงานไปที่โรงแรมจะได้เงินเดือนเยอะกว่าก็ตาม” ผศ.ดร. เจสสิกากล่าว
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงการปรับตัวในการทำงานของคนไทย แม้ว่าช่วงที่หนักหนาที่สุดในไตรมาส 2 ปี 2563 มีคนตกงานถึง 7.5 แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงาน 1.95% ต่อกำลังแรงงานรวม ซึ่งเป็นอัตราสูงที่สุดในรอบ 11 ปี แต่ยังถือว่าต่ำติดอันดับโลก ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีอัตราการว่างงานสูงถึง 13% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน
เหตุผลหลักสำคัญ คือ การเริ่มต้นประกอบกิจการในประเทศไทยทำได้ง่าย มีข้อจำกัดน้อย (Low Barrier to Entry) เมื่อต้องออกจากงานภาคการท่องเที่ยว ก็กลับบ้านเกิดและตั้งต้นหาอาชีพใหม่ได้อย่างรวดเร็ว หากอยากเปิดร้านอาหารก็ทำได้ทันที ต่างจากที่สหรัฐอเมริกา ต้องมีใบอนุญาตขอประกอบกิจการและมีกฎระเบียบอีกมากมาย เมื่อคนตกงานจากโควิด-19 โอกาสได้งานใหม่แทบจะเป็นศูนย์ รัฐบาลสหรัฐจึงต้องใช้วิธีให้เงินช่วยเหลือโดยตรง
“ช่วงโควิด-19 ปีที่แล้ว มีคนบุรีรัมย์บอกว่าในตัวเมืองมีความคึกคักขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะคนกลับบ้านไปลองเริ่มต้นอาชีพใหม่ที่พอทำได้ ตั้งร้านขายของในตลาด หรือรับจ้างรายชั่วโมง”
ข้อดีของประเทศไทย คือการให้คนเริ่มตั้งตัวทำงานได้ในต้นทุนที่ต่ำ แต่ก็มีความเสี่ยงที่ต้นทุนจะสูงขึ้นทันที หากมีกฎระเบียบใหม่เกิดขึ้นกระทันหันอย่างการประกาศปิดสถานที่ที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดหรือการจัดระเบียบพื้นที่ ในขณะเดียวกันต้องดูในเชิงคุณภาพด้วย ปริมาณการมีงานทำสูงก็จริง แต่คุณภาพงานหรือจำนวนชั่วโมงการทำงานยังต่ำ รายได้ของคนมีงานทำอาจจะต่ำจนไม่พอยังชีพ เป็นอีกโจทย์ใหญ่ที่ต้องพัฒนาทักษะแรงงานให้ก้าวไปสู่การทำงานที่มูลค่าสูงขึ้น
คุณภาพชีวิตของแรงงานไม่ได้วัดแค่ว่าอยู่ในหรือนอกระบบ “การอยู่ในระบบ”ทุกวันนี้ไม่ได้การันตีว่าจะมีข้อได้เปรียบกว่าในระยะยาว เนื่องจากสวัสดิการยามเกษียณของรัฐอยู่ในระดับต่ำมาก ไม่เพียงพอที่จะเป็นที่พึ่งพิงยามยากเพียงทางเดียว จึงเป็นอีกเหตุผลให้คนตัดสินใจง่ายขึ้นที่จะลองออกมาเป็นแรงงานนอกระบบดูสักครั้ง แต่ปัญหาที่เป็นความท้าทายที่สุดในมุมมองของ ผศ.ดร. เจสสิกา คือตลาดแรงงานที่ไม่ตรงกับความรู้ของเด็กไทย (Education - Occupation Mismatch)
ในอีกมุมหนึ่ง เด็กไทยเรียนสูงเกินไปกว่าตำแหน่งงานที่รองรับและนายจ้างจะจ่ายไหว โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมยานยนต์ยังขาดแคลนแรงงานอยู่มากแต่ไม่มีคนอยากทำ เมื่อเด็กจบใหม่ไม่มีงานรองรับก็ต้องสร้างงานขึ้นมาด้วยแต่เองซึ่งก็มีคนที่ประสบความสำเร็จจำนวนไม่น้อย แต่หากอยากเพิ่มจำนวนแรงงานในระบบให้มากขึ้น รัฐต้องผลักดันภาคธุรกิจแห่งอนาคตที่ยังเป็นความหวังและเหมาะกับบริบทประเทศไทยนั่นก็คือ ภาคบริการที่ใช้ทักษะสูง อาทิ ด้านการแพทย์ ท่องเที่ยว การเงิน เป็นต้น
ที่มา : Vivatsurakit, Tanthaka, and Jessica Vechbanyongratana. "Returns to education among the informally employed in Thailand." Asian‐Pacific Economic Literature 34.1 (2020): 26-43.
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ