- Details
- Category: แรงงาน
- Published: Sunday, 28 January 2018 12:12
- Hits: 6226
SME อ่วมค่าแรงสมาคมค้าปลีกห่วงขาดเงินหมุน
แนวหน้า : นางสาวจริยา จิราธิวัฒน์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า จากกรณีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปี 2561 เป็นการปรับขึ้นตามแต่ละพื้นที่ ไม่เท่ากันทั่วประเทศ โดยมีการจัดกลุ่มจังหวัด แบ่งค่าแรงขั้นต่ำเป็น 7 ระดับ ต่างจากปีก่อนที่แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ซึ่งการปรับขึ้นค่าแรงในครั้งนี้ ส่งผลให้ค่าแรงขั้นต่ำปี 2561 เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2.6% และส่งผลกระทบในประเด็นสำคัญ ได้แก่ ปัญหาขาดแคลนแรงงานในพื้นที่เมืองหลวง เนื่องจากแรงงานส่วนใหญ่ย้ายกลับภูมิลำเนาของตนเอง
นอกจากนี้ ปัญหาค่าจ้างแรงงานรายชั่วโมงเพิ่มสูงขึ้น โดยการจ้างพนักงานพาร์ทไทม์ 4 ชั่วโมง จะมีต้นทุนถึงชั่วโมงละ 77-82.50 บาท (กฎหมายกำหนดค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำเป็นรายวัน การจ้างพาร์ทไทม์ เพียง 4 ชั่วโมง ก็ต้องจ่ายค่าจ้างเต็มวัน) และปัญหา ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น นอกเหนือจากค่าจ้างแรงงาน อาทิ เงินสมทบต่างๆ, กองทุนประกันสังคม, กองทุนเงินทดแทน, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนคนพิการ เป็นต้น
ขณะเดียวกัน ยังมีผลกระทบต่อโครงสร้างค่าจ้างแรงงาน ทั้งระบบ ทั้งในแง่ของการปรับค่าแรงของตำแหน่งงานที่สูงขึ้นไป ซึ่งแม้จะจ่ายค่าจ้างเกินกว่าค่าแรงขั้นต่ำแล้ว แต่ก็ต้องปรับ เพื่อให้มีช่วงห่างของค่าจ้างที่เหมาะสม รวมไปถึงการจ้างแรงงานที่ต้องใช้ทักษะและฝีมือในการทำงาน ก็ต้องปรับให้สูงขึ้นกว่าค่าแรงขั้นต่ำด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี จากผลกระทบที่กล่าวมา ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับภาวะต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยสำหรับองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ที่มีพนักงานเกิน 500 คนขึ้นไป จากเดิมที่อัตราค่าแรงอยู่ที่ 300-500 บาท แต่ตามข้อกำหนดใหม่ที่ค่าแรงขั้นต่ำขึ้นเป็น 308-330 บาทต่อวัน ทำให้องค์กรต้องปรับเพิ่มค่าแรงอีก 5-22 บาท (จากฐาน 300 บาท) และปรับค่าแรงขึ้นตามขั้นบันได ส่งผลให้องค์กรธุรกิจนั้นต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม 3.39 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมอัตราเพิ่มสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมอีก 11.83% กองทุนเงินทดแทนอีก 1.87% และกองทุนส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนพิการอีก 58,035 บาทต่อคน
สำหรับ ในส่วนของธุรกิจค้าปลีก จากเดิมที่อัตรา ค่าจ้างแรงงานพื้นฐานโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 6-9% ต่อยอดขาย แต่ตามข้อกำหนดใหม่ ธุรกิจค้าปลีกจะมีค่าจ้างแรงงานเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอีก 2% บวกกับเงินสมทบประกันสังคมที่เพิ่มขึ้น 10.0% และเงินกองทุนทดแทนที่เพิ่มขึ้นอีก 1.83% รวมอัตราการเพิ่มขึ้นถึง 11.83% ซึ่งจะส่งผลให้ อัตราค่าจ้างพนักงานพื้นฐานใหม่กลายเป็น 7.09%- 10.64% ต่อยอดขาย หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 1.68%-2.25% ของยอดขาย นั่นหมายความว่า ผู้ประกอบการ จะต้องมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 8.61-13.33% เพื่อที่จะมีกำไรไปจ่ายค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้น (ขึ้นกับ อัตรากำไรของแต่ละธุรกิจ) ทั้งนี้ยังไม่นับรวมถึงจำนวนพนักงานปัจจุบัน พนักงานพาร์ทไทม์ พนักงาน Outsource แม่บ้าน พนักงานรักษาความปลอดภัย และพนักงาน Sub Contract อื่นๆ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10-15% ของพนักงานประจำทั้งหมด และ มีแนวโน้มที่จะทำเรื่องเจรจาขอปรับเพิ่มค่าแรงด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น กับองค์กรธุรกิจต่างๆ อาจมีความแตกต่างกันไปตามพื้นฐานของแต่ละบริษัท โดยธุรกิจ ค้าปลีกขนาดใหญ่ที่สามารถจ่ายค่าจ้างแรงงานเกินอัตราขั้นต่ำที่กำหนดไว้ อาจยัง ไม่ได้รับผลกระทบในระยะแรก แต่ธุรกิจ ค้าปลีกขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) จะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมากที่สุด เพราะจะมีผลต่อการอยู่รอดของธุรกิจ เนื่องจากต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้น ที่สำคัญคือ การขาดเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งผู้ประกอบการอาจจะขาดเงินสดหมุนเวียนเพิ่มขึ้นถึง 18% ต่อปี