- Details
- Category: กทม.
- Published: Saturday, 10 October 2015 21:07
- Hits: 5998
จี้ขสมก.แก้มติครม.จัดซื้อรถ NGV หันใช้เมล์ไฟฟ้าประกอบในไทย
แนวหน้า : ที่ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมด้วยนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายทวีศักดิ์ ก่ออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) แถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบนวัตกรรมของประเทศ (คพน.) ครั้งที่ 4/2558 โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เป็นประธาน ว่าที่ประชุมเห็นชอบการปรับองค์ประกอบคณะอนุกรรมการโดยให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะอนุกรรมการจัดทำข้อเสนอการพัฒนาระบบนวัตกรรมไทย และคณะอนุกรรมการเตรียมการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเทคโนโลยีระบบขนส่งทางรางแห่งชาติ
นายพิเชฐ กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการต่อมาตรการเร่งด่วนการพัฒนาเทคโนโลยีระบบขนส่งทางราง เพื่อสนับสนุนโครงการลงทุนระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่เสนอให้ปรับเปลี่ยนวิธีการจัดซื้อจัดจ้างจากการประมูลทีละสายเป็น big lot และให้รัฐเป็นผู้กำหนดรายละเอียดด้านเทคนิคแทนผู้ได้สัญญาเดินรถ รวมทั้งบรรจุเงื่อนไขในสัญญากับผู้ประกอบการเดินรถเกี่ยวกับการถ่ายทอดเทคโนโลยี การวิจัยร่วมกับสถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย หรือหน่วยงานวิจัยกลางของรัฐ ทั้งนี้ได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการประสานกับกระทรวงคมนาคม เพื่อดำเนินการในรายละเอียดต่อไป
นายพิเชฐ กล่าวต่อว่า การดำเนินงานในขั้นตอนปฏิบัติให้เริ่มจากการเตรียมความรู้ เตรียมคน จากนั้นค่อยขยายไปสู่การผลิตซึ่งอาจเริ่มจากนำของที่มีอยู่มาดัดแปลงชิ้นส่วน เป็นต้น โดยในการดำเนินการขอให้คำนึงถึงตลาด และควรแสวงหาความร่วมมือในระดับภูมิภาคอาเซียนด้วย
รมว.วท. กล่าวถึงการสร้างความเข้มแข็งของเกษตรกร และชนบท ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ว่า เพื่อเป็นการลดต้นทุน เพิ่มรายได้ แก้ปัญหาภัยธรรมชาติ ด้วยความรู้ และแนวคิดตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับความสามารถของเกษตรกรไทย โดยที่ประชุมได้เห็นชอบในโครงการขยายผลการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชน ชนบท ซึ่งเป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกัน ระหว่าง 3 กระทรวงได้แก่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์(กษ.) กระทรวงมหาดไทย(มท.) และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในระดับนโยบาย และระดับปฏิบัติการร่วมกับเครือข่ายสถาบันอุดมศึกษา
รมว.วท. กล่าวว่า ได้ตั้งเป้าหมายการพัฒนาไว้ที่ให้ได้ 200 ชุมชนทั่วประเทศภายในระยะเวลา 2 ปี เพื่อรองรับการแก้ปัญหาภัยแล้งในอนาคต และยกตัวอย่างว่า เช่นรัฐบาลจะสนับสนุนงบประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อหาพืชชนิดอื่นมาปลูกทดแทน อาทิ การเตรียมเมล็ดพันธ์ถั่วเขียว เพื่อให้เกษตรกรเพาะปลูก ซึ่งโรงงานผลิตวุ้นเส้น พร้อมรับซื้อในราคาที่ดี เป็นต้น ขณะที่สินค้า ต่างๆ ในกลุ่ม 12 คลัสเตอร์ ก็จะมีการพัฒนานวัตกรรมร่วมกับ สวทช. เช่น การพัฒนาด้านเครื่องมือทางการแพทย์ ที่ได้ราคาสูง และยังเป็นสินค้าส่งออกที่อยู่ในทิศทางดี และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป
รมว.วท. กล่าวถึงการสนับสนุนนโยบายส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอาเซียน คณะกรรมการฯ ได้เร่งรัดให้ ขสมก. ดำเนินการเพื่อขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรี จากเดิมที่เห็นชอบให้จัดซื้อรถ NGV เป็นจัดซื้อรถไฟฟ้าที่ผลิตในไทยจำนวน 500 คัน ให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ โดยเน้นคุณภาพ ความปลอดภัย และสร้างความเข้าใจกับประชาชนเป็นหลัก เพื่อนำร่องให้เกิดกระแสการตื่นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ ในการผลิตรถอนุรักษ์พลังงานประเภทต่างๆ มากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งให้มหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัย เร่งพัฒนาเทคโนโลยีและมาตรฐานสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าด้วย
รมว.วท. กล่าวต่อว่า ในเบื้องต้นจะมีการนำเข้ารถไฟฟ้า มาเพียง 1 คัน เพื่อเป็นตัวอย่างในการศึกษา จากนั้นอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย จะมีการประกอบชิ้นส่วน เพื่อจัดทำขึ้น ก่อนที่จะนำเรื่องนี้เข้าสู่ ครม.พิจารณาต่อไป ขณะเดียวกันก็อยากจะขอประชาสัมพันธ์เชิญชวนหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงสถาบันการศึกษา ที่พัฒนานวัตกรรม และสิ่งประดิษฐ์ขึ้นเองยื่นความจำนงขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทย โดยดูหลักเกณฑ์ต่างๆ ได้ที่www.innovation.go.th ซึ่งรัฐจะให้สิทธิประโยชน์ในการจัดซื้อจัดจ้าง โดยวิธีกรณีพิเศษตามรายการในบัญชีนวัตกรรมไทย เนื่องจากรัฐบาลได้มีความพยายามในการสร้างระบบการรวบรวมนวัตกรรมที่ผลิตโดยคนไทย
บอร์ดนวัตกรรม หนุนพัฒนารถเมล์ไฟฟ้า,ใช้เทคโนโลยีนำร่องช่วยเกษตรกร 200 ชุมชน
นายพิเชษฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมนายทวีศักดิ์ ก่ออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และนายสุพันธ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกันแถลงผลการประชุม คณะกรรมการพัฒนาระบบนวัตกรรมของประเทศ ครั้งที่ 4/2558 ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมว่า ที่ประชุมเห็นชอบ ในหลักการต่อมาตรการเร่งด่วนการพัฒนาเทคโนโลยีระบบขนส่งทางรางเพื่อสนับสนุนโครงการลงทุนระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพและปริมณฑล ที่เสนอปรับเปลี่ยนวิธีการจัดซื้อจัดจ้างจากที่ประมูลทีละสายมาเป็น big lot และให้รัฐเป็นผู้กำหนดรายละเอียดด้านเทคนิคแทนผู้ได้สัญญาเดินรถ
รวมทั้ง บรรจุเงื่อนไขในสัญญากับผู้ประกอบการเดินรถเกี่ยวกับการถ่ายทอดเทคโนโลยี การร่วมวิจัยและพัฒนากับสถาบัน วิจัย หรือหน่วยงานของภาครัฐ ทั้งนี้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการประสานงานกับกระทรวงคมนาคม เพื่อดำเนินรายละเอียดต่อไป มีการแบ่งขั้นตอน จากนั้นขยายไปสู่การผลิต ซึ่งอาจเริมจากการนำของที่มีอยู่มาดัดแปลง เป็นต้น
ขณะที่การสนับสนุนนโยบาย ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอาเซียนนั้น คณะกรรมการฯเร่งรัดให้ ขสมก.ดำเนนการขอแก้ไขมติ ครม.จากเดิมที่เห็นชอบให้จัดซื้อรถเมล์ NGV เป็นจัดซื้อรถไฟฟ้า ที่ผลิตในไทยในจำนวนหนึ่งให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ โดยเน้นคุณภาพ ความปลอดภัย เพื่อนำร่องอุตสาหกรรมยานยนต์ในด้านนี้ ซึ่งพบว่า อุตสาหกรรมด้านนี้ในไทย มีความพร้อม และเป็นฐานการผลิตอันดับแรกในอาเซียนได้ในอนาคต เบื้องต้นรัฐบาลจะเป็นผู้รับซื้อเอง โดยเฉพาะ ขสมก.ที่จะมีการจัดซื้อรถเมล์ไฟฟ้า จำนวน 500 คน โดยมีการสั่งนำเข้ารถไฟฟ้า มาเพียง 1 คัน เพื่อศึกษา จากนั้นอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย จะมีการประกอบชิ้นส่วน เพื่อจัดทำขึ้น ก่อนที่จะนำเรื่องนี้เข้าสู่ ครม.พิจารณาต่อไป
สำหรับ การลงทุนด้านระบบราง นั้น เห็นว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้า จะไม่มีการต่างคนต่างทำ รัฐบาลจึงกำหนดให้ผู้ทำทำสัญญาเดินรถ ต้องใช้กรอบและมาตรฐานเดียวกัน และใช้งานร่วมกันได้ เช่นเดียวกันจะมีโรงประกอบในประเทศ เป็นต้น ขณะที่ภาคเอกชนก็ต้องปรับตัว เพราะในอนาคต ประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง ลาว มาเลเซีย อินโดนีเซีย ก็จะมีการลงทุนด้านนี้ในประเทศ ทำให้ไทยสามารถที่จะต่อยอด ในเรื่องนี้ได้ เพราะไทยได้ริ่เริ่ม และมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านนี้แล้ว
นอกจากนี้ ที่ประชุม ยังเห็นชอบขยายผลการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชนบท ตั้งเป้า 200 ชุมชนทั่วประเทศ ใน 2 ปี เพื่อรองรับการแก้ปัญหาภัยแล้งในอนาคตนี้ เช่น รัฐบาล สนับสนุนงบประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อหาพืชชนิดอื่นมาปลูกทดแทน อาทิ การเตรียมเมล็ดพันธ์ถั่วเขียว เพื่อให้เกษตกรเพาะปลูก ซึ่งโรงงานผลิตวุ้นเส้น พร้อมรับซื้อในราคาที่ดี เป็นต้น ขณะที่สินค้า ต่างๆ ในกลุ่ม 12 คลัสเตอร์ ก็จะมีการพัฒนานวัตกรรมร่วมกับ สวทช. เช่น เครื่องมือทางการแพทย์ ที่ได้ราคาสูง และยังเป็นสินค้าส่งออกที่อยู่ในทิศทางดี