- Details
- Category: กทม.
- Published: Sunday, 21 November 2021 21:06
- Hits: 31700
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร ‘กรุงเทพมหานคร’ ที่ ‘AA+’ แนวโน้ม ‘Stable’
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของกรุงเทพมหานครที่ระดับ ‘AA+’ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงความสำคัญของกรุงเทพมหานครในฐานะที่เป็นเมืองหลวงและศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศไทย อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงรายได้ที่มีความแน่นอนของกรุงเทพมหานครซึ่งมาจากภาษีอากร
รวมทั้งการบริหารงบประมาณภายใต้นโยบายงบประมาณแบบสมดุล และการดำรงเงินสะสมในระดับสูงอีกด้วย โดยทริสเรทติ้งคาดว่ากรุงเทพมหานครจะยังคงได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากรัฐบาลกลางต่อไป ทั้งนี้ การประเมินอันดับเครดิตดังกล่าวยังพิจารณารวมไปถึงข้อจำกัดด้านงบประมาณของกรุงเทพมหานครจากความต้องการในการลงทุนจำนวนมากในระบบขนส่งมวลชนและโครงการด้านสาธารณูปโภคต่างๆ อีกเช่นกัน
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางการปกครองและเศรษฐกิจของประเทศ
กรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยและเป็นเขตการปกครองที่สร้างผลผลิตแก่ระบบเศรษฐกิจของประเทศมากกว่าเขตการปกครองอื่นๆ จากข้อมูลของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่ามูลค่าผลผลิตมวลรวมรายจังหวัด (Gross Provincial Product – GPP) ของกรุงเทพมหานครในปี 2562 มีจำนวน 5.7 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 33.8% ของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product – GDP)
จากปี 2558 จนถึงปี 2562 เศรษฐกิจของกรุงเทพมหานครมีอัตราการขยายตัวของผลผลิตมวลรวมรายจังหวัดที่แท้จริง (Real GPP Growth) สูงกว่าอัตราการขยายตัวของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศที่แท้จริง (Real GDP Growth) ของประเทศไทย กล่าวคือ เศรษฐกิจของกรุงเทพมหานครมีอัตราการขยายตัวที่ระดับเฉลี่ย 4.5% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศซึ่งอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 3.4% ต่อปี
โรคโควิด 19 ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ
ทริสเรทติ้ง คาดว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยจะหดตัวที่ระดับ 0.4% ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 หลังจากที่เติบโตที่ระดับ 2% ในช่วงครึ่งแรกของปี ซึ่งเป็นผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ตกต่ำจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ระลอกที่ 3 เป็นสำคัญ
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา การแพร่ระบาดได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคเศรษฐกิจที่สำคัญๆ เช่น ภาคการผลิตและการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงภาคการท่องเที่ยว ทริสเรทติ้งคาดว่าเศรษฐกิจของกรุงเทพมหานครจะหดตัวตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศแต่จะมีอัตราที่ต่ำกว่าเนื่องจากกรุงเทพมหานครมีความหลากหลายของกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากกว่าส่วนอื่น ๆ ของประเทศ
คาดว่าจะขาดดุลการคลังในปีงบประมาณ 2564-2565
ในปีงบประมาณ 2564 (สิ้นเดือนกันยายน 2564) กรุงเทพมหานครมีรายได้รวมที่ระดับ 6.97 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.3% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การจัดเก็บรายได้ดังกล่าวคิดเป็นเพียง 92% ของประมาณการรายได้เดิมที่จำนวน 7.55 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ การจัดเก็บรายได้ที่ต่ำกว่าประมาณการมีสาเหตุสำคัญเนื่องมาจากการมีรายได้จากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ลดลงประมาณ 1 หมื่นล้านบาทจากการที่รัฐบาลได้ให้ส่วนลด 90% สำหรับ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแก่ผู้เสียภาษีเพื่อบรรเทาภาระทางการเงินในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19
นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครยังได้มีการตั้งงบรายจ่ายเพิ่มเติมอีกจำนวน 3.1 พันล้านบาทในปีงบประมาณ 2564 ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่ากรุงเทพมหานครจะมีผลขาดดุลการคลังสุทธิในปีงบประมาณ 2564 ในการนี้ เพื่อรับมือกับการลดลงของรายได้ กรุงเทพมหานครจึงได้ปรับลดงบดำเนินการที่ไม่จำเป็นลงและมีการเลื่อนงบลงทุนบางส่วนออกไปเป็นในช่วง 2 ปีข้างหน้า
เนื่องจากรายได้จากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ลดลงนั้นเป็นผลกระทบจากนโยบายของรัฐบาล ดังนั้น รัฐบาลกลางจึงจำเป็นจะต้องตั้งงบประมาณชดเชยให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปัจจุบันกรุงเทพมหานครอยู่ในระหว่างการของบประมาณชดเชยจำนวน 1.4 หมื่นล้านบาทจากการนำระบบภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแบบใหม่มาใช้ในปีงบประมาณ 2562-2563 อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับระยะเวลาและจำนวนงบประมาณชดเชยที่กรุงเทพมหานครจะได้รับอนุมัติจากรัฐบาล
สำหรับ ปีงบประมาณ 2565 นั้น กรุงเทพมหานครวางแผนงบประมาณแบบสมดุลโดยตั้งประมาณการรายได้และรายจ่ายไว้ที่ระดับ 7.9 หมื่นล้านบาทเท่า ๆ กัน อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเชื่อว่ารัฐบาลจะยังคงให้ส่วนลดสำหรับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างต่อไป
ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่ารายได้ของกรุงเทพมหานครจะอยู่ที่ประมาณ 7 หมื่นล้านบาทในปีงบประมาณ 2565 และหลังจากนั้นจะกลับมาเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 8 หมื่นล้านบาทในช่วงปีงบประมาณ 2566-2567 เมื่อรัฐบาลกลับมาจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในอัตราปกติและเศรษฐกิจของประเทศค่อยๆ ฟื้นตัว
มีรายได้จากภาษีที่สม่ำเสมอ
รายได้ส่วนใหญ่ของกรุงเทพมหานครมาจากภาษีอากรมากกว่า 90% ซึ่งนับว่าเป็นแหล่งรายได้ที่มีความแน่นอนสูง ทั้งนี้ ภาษีอากรจำแนกออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ ภาษีอากรที่กรุงเทพมหานครจัดเก็บเองและภาษีอากรที่ส่วนราชการอื่นจัดเก็บให้และนำส่งกรุงเทพมหานครหรือจัดสรรโดยรัฐบาลกลาง ตามปกติแล้ว ภาษีอากรที่กรุงเทพมหานครจัดเก็บเองคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 18% ของรายได้ทั้งหมด
ในขณะที่ภาษีที่ส่วนราชการอื่นจัดเก็บส่งให้กรุงเทพมหานครคิดเป็นสัดส่วนหลักถึง 77%
รายได้หลักของกรุงเทพมหานครมาจากภาษีหลัก 4 ประเภทซึ่งได้แก่ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีหรือค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม รวมถึงภาษีและค่าธรรมเนียมรถยนต์หรือล้อเลื่อน โดยมีสัดส่วนรวมกันคิดเป็นประมาณ 80% ของรายได้ทั้งหมดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ รายได้ที่จัดเก็บจากภาษีทั้ง 4 ประเภทดังกล่าวขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนี้ รัฐบาลยังอาจปรับลดอัตราภาษีบางประเภทลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีกด้วย
ในช่วงปีงบประมาณ 2563-2564 รายได้จากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของกรุงเทพมหานครลดลง 75% จากระดับ 1.52 หมื่นล้านบาทเป็นประมาณ 2.9 พันล้านบาทเนื่องจากนโยบายของภาครัฐในการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในปีงบประมาณ 2563-2564 ทริสเรทติ้งคาดว่าสัดส่วนรายได้จากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของกรุงเทพมหานครจะยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อไปในปีงบประมาณ 2565 เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลจะให้ส่วนลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแก่ผู้เสียภาษีต่อไป ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าสัดส่วนรายได้จากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะกลับสู่ระดับปกติเมื่อรัฐบาลปรับส่วนลดการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่ในปีงบประมาณ 2566
นโยบายการคลังแบบสมดุล
กรุงเทพมหานครมีผลการดำเนินงานที่ดีซึ่งสอดคล้องกับการจัดทำงบประมาณภายใต้นโยบายการคลังแบบสมดุล ทั้งนี้ ตามระเบียบกรุงเทพมหานครเรื่องวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2529 นั้น การจัดทำงบประมาณของกรุงเทพมหานครจะประมาณการรายจ่ายให้อยู่ภายในวงเงินงบประมาณรายได้ ดังนั้น การประมาณการรายได้ที่ค่อนข้างระมัดระวังจะส่งผลให้กรุงเทพมหานครมีประมาณการรายจ่ายที่เหมาะสมและไม่เกินตัว ในกรณีที่การจัดเก็บรายได้น้อยกว่าประมาณการ กรุงเทพมหานครก็สามารถปรับปรุงรายจ่ายให้ลดลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในโครงการใหม่ๆ
อย่างไรก็ตาม ในบางปีงบประมาณอาจมีการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมระหว่างปีเมื่อมีความจำเป็นโดยต้องมีแหล่งรายได้ที่แน่นอนซึ่งอาจจะเป็นรายได้จากเงินสะสมของกรุงเทพมหานคร หรือรายได้จากรายรับที่จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ เป็นต้น
ปรับลดงบลงทุนในปีงบประมาณ 2563-2564
รายจ่ายของกรุงเทพมหานครแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคืองบดำเนินการและงบลงทุน ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาสัดส่วนรายจ่ายของงบดำเนินการของกรุงเทพมหานครอยู่ที่ระดับประมาณ 75% ของรายจ่ายรวมรายปี โดยในปีงบประมาณ 2563 กรุงเทพมหานครมีงบดำเนินการจำนวน 5.12 หมื่นล้านบาทเมื่อเทียบกับจำนวน 5.6 หมื่นล้านบาทในปีงบประมาณ 2562 ส่วนรายจ่ายด้านบุคลากรซึ่งเป็นงบดำเนินการที่สำคัญประเภทหนึ่งของกรุงเทพมหานครนั้นคิดเป็นสัดส่วน 34% ของรายจ่ายรวมในปีงบประมาณ 2563
ในปีงบประมาณ 2563 งบลงทุนของกรุงเทพมหานครลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1.44 หมื่นล้านบาทเมื่อเทียบกับระดับ 1.92 หมื่นล้านบาทในงบประมาณ 2562 โดยกรุงเทพมหานครได้ปรับลดและเลื่อนงบลงทุนบางส่วนออกไปเนื่องจากรายได้ที่ลดลง ในปีงบประมาณ 2564 กรุงเทพมหานครมีการตั้งงบลงทุนที่จำนวน 1.56 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากกรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศและมีความหนาแน่นของประชากรสูงที่สุด จึงทำให้มีความต้องการในการลงทุนด้านบริการสาธารณะที่สูง
กรุงเทพมหานครมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาและปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคของกรุงเทพมหานครให้เอื้อประโยชน์ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการอยู่อาศัย ในการนี้ กรุงเทพมหานครอาจพิจารณาขอเงินอุดหนุนจากรัฐบาลซึ่งเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม การพิจารณาและอนุมัติเงินอุดหนุนจากรัฐบาลก็มีขั้นตอนที่ยุ่งยากและใช้เวลานานซึ่งอาจจะทำให้ไม่ทันเวลาในการลงทุนบางโครงการ ที่ผ่านมากรุงเทพมหานครได้ดำเนินงานผ่านทาง บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกในการทำสัญญาและจัดหาเงินกู้เพื่อนำไปใช้ในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานที่สำคัญๆ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ภาระหนี้ส่วนใหญ่มาจากโครงการรถไฟฟ้า
ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 กรุงเทพมหานครมีภาระหนี้ทั้งสิ้นจำนวน 5.1 หมื่นล้านบาท ทริสเรทติ้ง พิจารณาให้ภาระหนี้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการรถไฟฟ้าซึ่งเป็นโครงข่ายหลักในกรุงเทพมหานครจำนวน 3.6 หมื่นล้านบาทนั้นเป็นส่วนหนึ่งของภาระหนี้รวมของกรุงเทพมหานครด้วย โดยภาระหนี้ดังกล่าวประกอบไปด้วยเงินกู้สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายทั้ง 2 ส่วน มูลค่าปัจจุบันของค่าจัดหาขบวนรถไฟฟ้าภายใต้สัญญาการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงของโครงการรถไฟฟ้า
และสินเชื่อคงค้างจาก บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (BTS) ในฐานะที่เป็นผู้รับเหมาภายใต้สัญญาการติดตั้งระบบการเดินรถ (ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล) สำหรับโครงการส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้ง 2 ส่วน ในขณะที่ภาระหนี้ส่วนที่เหลือประกอบไปด้วยมูลค่าปัจจุบันของภาระผูกพันทางการเงินจากสัญญาเช่ารถยนต์และรถเก็บขยะมูลฝอยจำนวน 1.2 หมื่นล้านบาทและเงินกู้ของบริษัทกรุงเทพธนาคมอีกจำนวน 2 พันล้านบาท
สัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวจะช่วยหลีกเลี่ยงภาระหนี้
ภาระหนี้ของกรุงเทพมหานครจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากเนื่องจากกรุงเทพมหานครจะต้องรับโอนสินทรัพย์จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายทั้ง 2 ส่วนจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) มูลค่าประมาณ 5.18 หมื่นล้านบาท ซึ่ง ณ เดือนกันยายน 2563 กรุงเทพมหานครได้รับโอนเงินกู้จำนวน 1.91 หมื่นล้านบาทจากกระทรวงการคลังสำหรับใช้ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายส่วนใต้
ในขณะที่เงินกู้ส่วนที่เหลือสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายส่วนเหนือนั้นคาดว่าจะโอนให้กรุงเทพมหานครภายในปีงบประมาณ 2565 นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครยังต้องลงทุนในการติดตั้งระบบการเดินรถ (ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล) ในโครงการดังกล่าวซึ่งมีมูลค่าเงินลงทุนรวมประมาณ 2 หมื่นล้านบาทอีกด้วย
เพื่อลดภาระหนี้จำนวนมาก กรุงเทพมหานครอยู่ในระหว่างกระบวนการอนุมัติให้สัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวแก่ BTS ซึ่งกรุงเทพมหานครคาดว่าจะมีการโอนภาระหนี้ของโครงการรถไฟฟ้าดังกล่าวไปให้แก่ผู้รับสัมปทานเพื่อแลกเปลี่ยนกับสัมปทานการเดินรถไฟฟ้า ทั้งนี้ ปัจจุบันกรุงเทพมหานครและ BTS ได้บรรลุข้อตกลงเงื่อนไขและข้อกำหนดสำหรับสัญญาสัมปทานแล้วและขณะนี้อยู่ในระหว่างรอความเห็นชอบจากรัฐบาล
สถานะสภาพคล่องอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง
กรุงเทพมหานครมีสถานะสภาพคล่องอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง โดยมีดุลการคลังเกินดุลจำนวน 1.9 พันล้านบาทในปีงบประมาณ 2563 และมีเงินสะสมอยู่ที่ระดับ 4.96 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปีงบประมาณ 2563 ทริสเรทติ้งคาดว่ากรุงเทพมหานครจะยังคงดำรงเงินสะสมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเพื่อใช้สนับสนุนสภาพคล่องเพื่อรองรับสถานการณ์ที่การจัดเก็บรายได้ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ต่อไป
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
ทริสเรทติ้ง มีสมมติฐานสำหรับผลการดำเนินงานของกรุงเทพมหานครในระหว่างปีงบประมาณ 2564-2567 ดังต่อไปนี้
- • รายได้จะอยู่ที่ระดับ 7 หมื่นล้านบาทในปีงบประมาณ 2565 และจะปรับเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 8 หมื่นล้านบาทในช่วงปีงบประมาณ 2566-2567
- • คาดว่าจะมีดุลการคลังขาดดุลในปีงบประมาณ 2564 และ 2565 และจะมีดุลการการคลังสมดุลในปีงบประมาณ 2566-2567
- • อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อรายได้ประจำจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 90% ตั้งแต่ในปีงบประมาณ 2565 เป็นต้นไปหากกรุงเทพมหานครไม่สามารถเปลี่ยนภาระหนี้ทั้งหมดจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายทั้ง 2 ส่วนเป็นสัญญาสัมปทานได้
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนถึงการมีแหล่งรายได้ที่แน่นอนและนโยบายการบริหารงบประมาณแบบสมดุลของกรุงเทพมหานคร โดยทริสเรทติ้งคาดว่ากรุงเทพมหานครจะยังคงได้รับการสนับสนุนทางการเงินและงบอุดหนุนจากรัฐบาลกลางเพื่อดำเนินงานตามนโยบายของภาครัฐต่อไป
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตยังไม่มีในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าเนื่องจากมีโอกาสสูงที่ภาระหนี้ของกรุงเทพมหานครจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการรับโอนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายทั้ง 2 ส่วน ในทางตรงกันข้าม การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นหากกรุงเทพมหานครมีการผ่อนปรนวินัยทางการเงินมากจนเกินไปหรือมีดุลการคลังขาดดุลอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบที่จำกัดการสนับสนุนจากรัฐบาลกลางจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลในทางลบต่ออันดับเครดิตของกรุงเทพมหานครด้วยเช่นกัน
ภาพรวมองค์กร
กรุงเทพมหานครเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษและมีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยมีระเบียบการบริหารราชการภายใต้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 (พ.ร.บ. กรุงเทพมหานคร) ซึ่งอยู่ในการกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานครมีหน้าที่รับผิดชอบการบริหารงานในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครซึ่งแบ่งออกเป็น 50 เขต โดยกรุงเทพมหานครมีฐานะเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยและยังเป็นศูนย์กลางด้านวัฒนธรรม การศึกษา สังคม และเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย
ภายใต้ พ.ร.บ. กรุงเทพมหานคร มาตรา 89 กำหนดให้กรุงเทพมหานครมีหน้าที่ดำเนินภารกิจหลักรวม 27 ภารกิจอันเกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาและการบริหารจัดการการให้บริการสาธารณะในหลากหลายด้านซึ่งครอบคลุมงานด้านระบบสาธารณูปโภค การรักษาความสงบเรียบร้อย การสาธารณสุข การศึกษา การพัฒนาสภาพแวดล้อม และงานสวัสดิการ โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญที่จะให้บริการสาธารณูปโภคพื้นฐานและบริการสาธารณะที่เพียงพอเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนผู้อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาในด้านสังคมและเศรษฐกิจ
การบริหารราชการของกรุงเทพมหานครดำเนินการโดยคณะบุคคล 2 ส่วน ส่วนแรกคือสภากรุงเทพมหานครซึ่งมาจากการเลือกตั้งและอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปีจะทำหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติและประชุมหารือเพื่อพิจารณาภารกิจทั้งหมดที่เป็นความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานคร ส่วนที่ 2 คือฝ่ายบริหารซึ่งมีผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นหัวหน้าที่มาจากการเลือกตั้งและอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี
โดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจะแต่งตั้งรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจำนวน 4 คนเพื่อมาช่วยในการบริหารงานโดยจะทำหน้าที่กำหนดนโยบาย ส่วนการดำเนินงานตามนโยบายทั้งหมดนั้นจะมีปลัดกรุงเทพมหานครเป็นผู้รับผิดชอบปฏิบัติการโดยมีข้าราชการกรุงเทพมหานครอยู่ภายใต้การกำกับดูแล
หลังจากการทำรัฐประหารในเดือนพฤษภาคม 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มีการแต่งตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครจำนวน 30 คนให้ปฏิบัติหน้าที่ด้านนิติบัญญัติในปี 2557 และมีการแต่งตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่ในปี 2559 หลังจากนั้น คสช. ได้หมดหน้าที่ไปหลังจากที่มีการจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2562 ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่าจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครชุดใหม่และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่ในปี 2565
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- Rating Methodology for Local Government, 23 สิงหาคม 2560
กรุงเทพมหานคร (BMA)
อันดับเครดิตองค์กร: |
AA+ |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
|
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ