- Details
- Category: ไอที-เทคโนฯ
- Published: Thursday, 25 May 2017 23:28
- Hits: 11650
ไอบีเอ็ม (NYSE: IBM) เผยผลสำรวจกลุ่มผู้บริหารระดับสูงครั้งใหญ่ที่สุด เกี่ยวกับความคิดเห็นที่มีต่อบล็อคเชนพบหนึ่งในสามของผู้บริหารเกือบ 3,000 รายเริ่มนำบล็อคเชนมาใช้ในธุรกิจแล้ว หรือกำลังพิจารณาที่จะนำมาใช้ โดยผู้บริหารแปดในสิบลงทุนในบล็อคเชนเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงทางการเงินของธุรกิจ หรือเพื่อคว้าโอกาสในการพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ๆ
การศึกษาวิจัยทั่วโลกครั้งนี้จัดทำขึ้นโดย IBM Institute for Business Value หรือ IBV[1] จากการสัมภาษณ์ผู้บริหารในหลากหลายธุรกิจเกี่ยวกับจุดประสงค์การใช้งาน การสร้างรายได้ รวมถึงการตอบสนองต่อลูกค้า พันธมิตร และคู่แข่งในวงการธุรกิจเดียวกันโดยใช้บล็อคเชน โดยศึกษาเปรียบเทียบหน่วยงานที่มีการทดลองหรือนำร่องการใช้งานบล็อคเชนแล้ว ซึ่งรวมเรียกว่า "กลุ่มผู้บุกเบิก" กับกลุ่มที่ยังไม่พิจารณาที่จะนำบล็อคเชนมาใช้ในขณะนี้
ในอดีต ความเสี่ยงทางธุรกิจที่สำคัญที่สุดคือการที่คู่แข่งมีสินค้าและบริการแบบใหม่ที่ก้าวล้ำ แต่ปัจจุบันคู่แข่งกลับเป็นผู้เล่นรายใหม่ที่มีโมเดลธุรกิจต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง และกำลังมองหาลู่ทางในการโค่นตำแหน่งผู้นำตลาด สิ่งนี้เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้บริหารระดับสูงบางรายที่ร่วมในการสำรวจครั้งนี้ เลือกใช้เทคโนโลยีบล็อคเชนเพื่อพัฒนาแอพพลิเคชันการทำธุรกรรมยุคใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความมั่นใจ ตรวจสอบได้ และโปร่งใสในกลุ่มอีโคซิสเต็มของพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
“บล็อคเชนช่วยให้ทุกฝ่ายมองเห็นความแต่ละเคลื่อนไหวในเวลาเดียวกัน การทำธุรกรรมแบบใหม่ที่เชื่อถือได้นี้จะเป็นบ่อเกิดของรูปแบบ กระบวนการ และโมเดลการทำธุรกิจแบบใหม่ในลักษณะแพลตฟอร์มทางธุรกิจ ที่ทุกภาคส่วนในอีโคซิสเต็มจะสามารถเชื่อมต่อเข้าด้วยกันเพื่อต่อยอดธุรกิจใหม่ๆ” นายสวัสดิ์ อัศดารณ กรรมการ รองกรรมการผู้จัดการ ธุรกิจการเงิน ธนาคาร และประกันภัย บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าว “กลุ่มความร่วมมือทางธุรกิจ หน่วยงานที่กำกับดูแลกฎข้อบังคับ และกลุ่มที่คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ จะช่วยสร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่วงการธุรกิจในภูมิภาคต่างๆ ของโลก หน่วยงานกลุ่มแรกๆ ที่นำเทคโนโลยีนี้มาใช้จึงจำเป็นต้องเดินหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อช่วยกำหนดรูปแบบการพัฒนาของแพลตฟอร์มทางธุรกิจเหล่านี้”
หกในสิบของประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ (CIO) ซึ่งอยู่ในกลุ่มผู้บุกเบิก และเข้าร่วมในการศึกษาครั้งนี้ ยอมรับว่ายังไม่มีการเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ในการสร้างแพลตฟอร์มบล็อคเชนที่เชื่อมโยงลูกค้าและพันธมิตรจากอีโคซิสเต็มต่างๆ
ขณะเดียวกัน ผลการศึกษายังชี้ให้เห็นว่า:
- จากจำนวนผู้บริหารระดับสูงเกือบ 3,000 รายที่ร่วมในการสำรวจครั้งนี้ 33 % ได้เริ่มเดินหน้าในการนำบล็อคเชนมาใช้อย่างจริงจังหรือกำลังพิจารณาที่จะนำมาใช้
- 100% ของกลุ่มผู้บุกเบิกคาดหวังที่จะนำบล็อคเชนมาช่วยสนับสนุนกลยุทธ์ขององค์กรในแนวทางใดแนวทางหนึ่ง โดย 63% ตั้งเป้าที่จะใช้บล็อคเชนเพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการทำธุรกรรม
- 78% ของกลุ่มผู้บุกเบิกมีการลงทุนในบล็อคเชนเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเงินหรือเพื่อพัฒนาโมเดลทางธุรกิจใหม่ๆ
- ผู้บริหารในกลุ่มผู้บุกเบิกมากกว่าครึ่งหนึ่ง ที่โมเดลทางธุรกิจในปัจจุบันกำลังถูกคุกคาม ต่างคาดหวังที่จะเปิดตัวโมเดลทางธุรกิจใหม่ๆ ไม่ว่าจะภายในแวดวงธุรกิจเดิมหรือในอุตสาหกรรมอื่นๆ
- 71% ของผู้ที่กำลังใช้งานบล็อคเชนอย่างจริงจังเชื่อว่ากลุ่มความร่วมมือทางธุรกิจในแต่ละอุตสาหกรรม มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความก้าวหน้าของความพยายามในการนำบล็อคเชนมาใช้
- 78% ของผู้ที่กำลังใช้งานบล็อคเชนอย่างจริงจังเชื่อว่าลูกค้ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความก้าวหน้าของความพยายามในการนำบล็อคเชนมาใช้
ผู้บริหารระดับสูงพึ่งบล็อคเชนช่วยสร้างโมเดลทางธุรกิจใหม่ๆ
จุดแข็งเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดของบล็อคเชนคือการก่อให้เกิดโมเดลทางธุรกิจใหม่ๆ ดังที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาดจากสหราชอาณาจักรท่านหนึ่งกล่าวว่า “บล็อคเชนจะมาแทนที่โมเดลธุรกิจแบบรวมศูนย์ที่บริษัทส่วนใหญ่ใช้งานกันอยู่ในปัจจุบัน” กลุ่มผู้บุกเบิกทุกคนที่เข้าร่วมในการศึกษาครั้งนี้คาดหวังที่จะใช้บล็อคเชนเพื่อส่งเสริมกลยุทธ์ใหม่ขององค์กร และเนื่องด้วยบล็อคเชนสามารถช่วยเพิ่มความไว้วางใจและความโปร่งใสในห่วงโซ่คุณค่า จึงจะนำสู่ความร่วมมือและการแข่งขันในลักษณะที่เราคาดไม่ถึง ตัวอย่างเช่น การศึกษาวิจัยก่อนหน้านี้ในเรื่อง 'ธุรกิจการดูแลสุขภาพขานรับบล็อคเชน: เน้นกำหนดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง' ชี้ให้เห็นว่าในปี พ.ศ. 2560 กลุ่มบริการด้านการดูแลสุขภาพจะมีความเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในการนำบล็อคเชนมาปรับใช้ เพราะหากสามารถจัดเก็บข้อมูลสัญญาณชีพหรือข้อมูลด้านสุขภาพทั้งหมดที่เก็บจากอุปกรณ์สวมใส่มาไว้บนบล็อคเชนได้ คุณภาพและความร่วมมือในการดูแลรักษาผู้ป่วยน่าจะเพิ่มสูงขึ้นและมีค่าใช้จ่ายลดลง ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสู่การดูแลสุขภาพที่เน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางและการบริการผู้ป่วยแบบเฉพาะบุคคลอย่างแท้จริง
การเปิดประตูสู่มิติใหม่ของความร่วมมือ เนื่องจากบล็อกเชนช่วยสร้างวิธีการทำงานใหม่ๆ จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้แก่หน่วยงานต่างๆ ในการออกตัวไปสู่ทิศทางใหม่ แม้ว่าแปดในสิบของกลุ่มผู้บุกเบิกจะยอมรับว่ายังไม่ค่อยคุ้นเคยกับการร่วมมือกับคู่แข่งนัก แต่ 66% ยอมรับว่ากำลังทดลองหรือกำลังนำรูปแบบธุรกิจใหม่ที่อิงอยู่บนพื้นฐานของแพลตฟอร์มนี้มาใช้งาน การเชื่อมโยงคน ทรัพยากร และหน่วยงานที่อยู่ในอีโคซิสเต็ม จะช่วยให้ธุรกิจสามารถต่อยอดไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ ได้อย่างแท้จริง ตัวอย่างเช่น หน่วยงานต่างๆ สามารถสนับสนุนการทำธุรกรรมการชำระเงินขนาดเล็ก (Micro-payments) และงดเว้นค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากหน่วยงานกลาง หรือสามารถนำสื่อประเภทต่างๆ ที่แตกต่างกันมาอยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรงของผู้จัดทำสื่อ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาท้าทายเกี่ยวกับการจ่ายค่าใบอนุญาตใช้งานหรือค่ารอยัลตี้ที่มีอยู่ทั่วโลกได้
จับมือเอเวอร์เล็ดเจอร์นำบล็อคเชนพัฒนาระบบติดตามเพชร
ไอบีเอ็ม กำลังทำงานร่วมกับเอเวอร์เล็ดเจอร์ (Everledger) เพื่อพัฒนาบริการแบบใหม่โดยอาศัยเทคโนโลยีบล็อคเชน ภายใต้แนวทางการทำงานแบบอิโคซิสเต็ม ปัจจุบันเอเวอร์เล็ดเจอร์สามารถติดตามเพชรแต่ละเม็ดในขั้นตอนต่างๆ ของซัพพลายเชน ตั้งแต่ยังเป็นเพชรดิบที่ผ่านการรับรองไปจนถึงขั้นตอนที่เพชรเม็ดเดียวกันนั้นได้รับการเจียระไน ขัดเงา และจำหน่าย พันธมิตรในบล็อคเชนของเอเวอร์เล็ดเจอร์ประกอบด้วยบริษัทประกันภัย สถาบันการเงิน และสถาบันรับรองเพชร โดยพันธมิตรแต่ละรายสามารถเข้าถึงและใช้ข้อมูลเพื่อช่วยติดตามเพชรแต่ละเม็ดได้ตลอดช่วงอายุโดยผ่านเอพีไอ (Application Programming Interfaces) ของเอเวอร์เล็ดเจอร์ ขณะที่รายงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ข้อมูลกรมธรรม์ประกันภัย และข้อมูลที่ละเอียดอ่อนอื่นๆ จะได้รับการจัดเก็บแบบส่วนตัวและต้องได้รับอนุญาตเพื่อเข้าถึง
โมเดลธุรกิจลักษณะนี้จะช่วยให้ผู้มีส่วนร่วมทุกรายสามารถลดความเสี่ยง อีกทั้งยังนำสู่โมเดลของรายได้และบริการทางการเงินแบบใหม่ กล่าวคือ ธนาคารจะสามารถให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่ซัพพลายเชนของเพชรดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนบริษัทประกันภัยก็สามารถเลือกให้ความคุ้มครองตลอดช่วงอายุของเพชร แทนที่จะให้ความคุ้มครองเฉพาะแค่เจ้าของรายปัจจุบัน เอเวอร์เล็ดเจอร์แสดงถึง “พลังของสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกลุ่มความร่วมมือทางธุรกิจมาผนึกกำลังร่วมกัน” จวบจนถึงปัจจุบัน มีเพชรมากกว่าหนึ่งล้านเม็ดที่ได้รับการติดตามตรวจสอบผ่านเอเวอร์เล็ดเจอร์ และยังมีโครงการระยะเบต้าสำหรับการติดตามที่มาในอุตสาหกรรมไวน์คุณภาพสูงที่จะเปิดตัวในเดือนพฤศจิกายนปีนี้
“เราไม่ใช่ผู้พลิกโฉมธุรกิจ แต่เราเป็นผู้ร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรม” ลีแอนน์ เคมป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้งเอเวอร์เล็ดเจอร์ กล่าว
ดูข้อมูลงานวิจัยฉบับเต็มได้ที่: ibm.biz/csuiteblockchain