- Details
- Category: ไอที-เทคโนฯ
- Published: Monday, 18 April 2022 17:52
- Hits: 7000
รายงานฉบับใหม่จาก Unit 42 ของพาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ เผย ทั่วโลกทุบสถิติการจ่ายค่าไถ่ให้มัลแวร์ในปี 2564 เพราะข้อมูลรั่วเข้าตลาดมืดเพิ่มขึ้น
● การเรียกค่าไถ่มีมูลค่าโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 144% คิดเป็น 2.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
● การจ่ายค่าไถ่มีมูลค่าโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 78% คิดเป็น 541,010 ดอลลาร์สหรัฐ
● ประเทศไทยโดนมัลแวร์เรียกค่าไถ่โจมตีติดอับดับ 6 ในเอเชียแปซิฟิคและญี่ปุ่น
● จำนวนการโพสต์ข้อมูลสำคัญรั่วไหลในตลาดมืดเพิ่มขึ้น 85%
การจ่ายค่าไถ่ให้มัลแวร์ทุบสถิติใหม่ในปี 2564 เนื่องจากอาชญากรไซเบอร์หันไปพึ่งพาตลาดมืดอย่าง “เว็บไซต์รวมข้อมูลรั่ว”มากขึ้น เพื่อกดดันเหยื่อให้จ่ายค่าไถ่โดยข่มขู่ว่าจะเผยแพร่ข้อมูลสำคัญ อ้างอิงตามงานวิจัยที่เผยแพร่ในวันนี้จาก Unit 42 ของพาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ (NASDAQ: PANW) ผู้นำด้านระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ระดับโลก
จากรายงานภัยคุกคามมัลแวร์เรียกค่าไถ่ ประจำปี 2565 จาก Unit 42 มูลค่าเฉลี่ยของการเรียกค่าไถ่ซึ่ง Unit 42 จากพาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ดูแลในฐานะที่ปรึกษาด้านระบบรักษาความปลอดภัย มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 144% ในปี 2564 แตะระดับ 2.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราว 72.6 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าการจ่ายค่าไถ่เพิ่มขึ้น 78% แตะระดับ 541,010 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราว 17.85 ล้านบาท กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ บริการระดับมืออาชีพและกฎหมาย การก่อสร้าง การค้าส่งและค้าปลีก เฮลท์แคร์ และโรงงานอุตสาหกรรม
เจน มิลเลอร์-ออสบอร์น รองผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองด้านภัยคุกคามของ Unit 42 กล่าวว่า “ในปี 2564 การโจมตีด้วยมัลแวร์เรียกค่าไถ่สร้างความก่อกวนต่อกิจวัตรประจำวันของผู้คนทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหาของกินของใช้ การเติมน้ำมัน การโทรสายด่วนกรณีฉุกเฉิน หรือแม้แต่การขอความช่วยเหลือทางการแพทย์”
การโจมตีส่วนใหญ่เกิดจากกลุ่มมัลแวร์เรียกค่าไถ่ที่ชื่อ Conti ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่างๆ มากกว่า 1 ใน 5 ตามมาด้วยอันดับ 2 อย่าง REvil หรือที่รู้จักกันในชื่อ Sodinokibi ที่ 7.1% และกลุ่ม Helloy Kitty และ Phobos (กลุ่มละ 4.8%) สำหรับประเทศไทย มัลแวร์ Lockbit 2.0 เป็นกลุ่มที่พบมากที่สุด คือ 9 ตัวจากทั้งหมด 13 ตัว
จำนวนเหยื่อที่โดนโพสต์ข้อมูลสำคัญบนเว็บไซต์เพิ่มขึ้น 85% ในปี 2564 คิดเป็น 2,566 องค์กร อ้างอิงข้อมูลการวิเคราะห์จาก Unit 42 โดยเหยื่อราว 60% อยู่ในอเมริกา, 31% อยู่ในยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา และ 9% อยู่ในเอเชียแปซิฟิก สำหรับในไทย กรุงเทพเป็นเมืองที่โดนโจมตีสูงสุด โดยกลุ่มที่โดนโจมตีมากที่สุด คือ ภาคบริการเชิงพาณิชย์และบริการมือชีพ ตามด้วยภาคซอฟต์แวร์และบริการ และกลุ่มรถยนต์และชิ้นส่วนประกอบ
สำหรับบทวิจารณ์ บทวิเคราะห์ และรายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแยกตามกลุ่มภูมิภาค อุตสาหกรรม และมัลแวร์เรียกค่าไถ่ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในรายงานซึ่งดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ของพาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ และยังมีรายละเอียดสรุปเนื้อหาในรายงานอยู่ในบล็อกของ Unit 42 ด้วย
A4502