- Details
- Category: การแพทย์-สธ
- Published: Tuesday, 13 October 2015 19:26
- Hits: 4198
สสส.แถลงยัน ใช้งบถูกต้อง ไทยพีบีเอสวุ่น ผอ.โต้ปมเรตติ้ง
ส.ส.ท.ออกแถลงย้ำปลด 'สมชัย สุวรรณบรรณ' พ้นผอ. ไทยพีบีเอส ยันผลปฏิบัติงานต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ประเมินแล้วไม่ผ่าน-ทั้งยังทำผิดสัญญาจ้างด้วย ด้านสมชัยรุดแจงปมงบฯ 50 ล้าน เผยรอหารือผู้เชี่ยวชาญกฎหมายยื่นร้องศาลปกครอง แจงเรื่องเรตติ้งไม่อยู่ในสัญญา ส่วนผู้จัดการสสส.ชี้คตร.ตีความผิด-ยังเดินหน้าโครงการต่อ แจงขอโอกาสทำความเข้าใจกรอบการทำงานสุขภาพร่วมกัน ยันทำตามวัตถุประสงค์ แต่ละปีมีภาคีทำไม่ตรง-เฉลี่ยแค่ 5 โครงการจาก 4 พันโครงการ ถูกดำเนินการเด็ดขาดแล้ว ขณะที่ผู้ว่าฯ สตง.เผยกำลังตรวจสอบอยู่ แนะสสส.ทบทวน-ให้ทุกโครงการเกิดประโยชน์แท้จริง
วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 25 ฉบับที่ 9085 ข่าวสดรายวัน
จากกรณีคณะกรรมการนโยบายองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) มีมติเลิกจ้างนายสมชัย สุวรรณบรรณ ผู้อำนวยการ ส.ส.ท. โดยทันที และให้นางพวงรัตน์ สองเมือง ผู้อำนวยการสำนักรายการ เป็นผู้รักษาการผอ.ส.ส.ท.แทน เนื่องจากเรตติ้งของสถานีไทยพีบีเอสตกลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เว็บไซต์ Thai PBS แจ้งว่า คณะกรรมการนโยบายให้เหตุผลว่า ผู้อำนวยการส.ส.ท. ไม่ให้ความสำคัญกับข้อเสนอแนะของกรรมการนโยบาย ไม่มีแผนบริหารความเปลี่ยนแปลงและแผนกลยุทธ์เพื่อการแข่งขัน รวมถึงการผิดสัญญาจ้างกรณีอนุมัติโครงการที่มีวงเงินเกิน 50 ล้านบาท โดยไม่ได้รับอนุมัติจากกรรมการนโยบายถึง 4 ครั้ง ส.ส.ท.จึงมีสิทธิ์เลิกจ้าง ตามที่เคยเสนอข่าวไปนั้น
สำหรับ ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 12 ต.ค. ส.ส.ท.ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 ระบุว่า ตามที่มีการวิพากษ์วิจารณ์และตั้งข้อสงสัยกรณีส.ส.ท.มีมติเป็นเอกฉันท์เลิกจ้างผู้อำนวยการ ส.ส.ท. เมื่อวันที่ 9 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยชี้แจงว่าผู้อำนวยการ ส.ส.ท. ได้กระทำผิดสัญญาจ้างนั้น คณะกรรมการนโยบายส.ส.ท.ขอชี้แจงว่า เป็นการกระทำตามอำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบาย ตามพ.ร.บ. องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ.2551 โดยปราศจากการแทรกแซงจากภายนอก
เหตุที่ต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว เพราะวันที่ 9 ต.ค. เป็นวันที่ผู้อำนวยการส.ส.ท. ทำงานตามสัญญาจ้างครบ 3 ปี และจะต้องถูกประเมิน ซึ่งคณะกรรมการนโยบายได้ดำเนินกระบวนการประเมินอย่างละเอียดรอบคอบมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 2 ต.ค. โดยมอบหมายให้ผู้แทนแจ้งผลการประเมินเบื้องต้นแก่ผู้อานวยการส.ส.ท. ในเช้าของวันที่ 9 ต.ค. พร้อมทั้งเสนอทางเลือกในการตัดสินใจ ระหว่างการลาออกกับการประเมินไม่ผ่าน ผู้อำนวยการส.ส.ท.แจ้งแก่ผู้แทนคณะกรรมการนโยบายว่าเลือกไม่ลาออก อย่างไรก็ตามนอกจากการประเมินไม่ผ่านแล้ว ผู้อำนวยการส.ส.ท.ยังได้กระทำการผิดสัญญาจ้างอีกด้วย
กระบวนการประเมินผู้อำนวยการส.ส.ท. เป็นการประเมินตามสัญญาจ้างและเอกสารแนบท้ายสัญญา ซึ่งเป็นการตกลงร่วมกันระหว่างส.ส.ท. ในฐานะผู้จ้างกับผู้อานวยการ ส.ส.ท. ในฐานะผู้รับจ้าง โดยมุ่งประเมินความสามารถด้านการบริหารจัดการ รวม 6 หัวข้อสำคัญ และมีเป้าหมายการประเมินที่ระดับดีถึงดีเด่น ซึ่งปรากฏว่าคณะกรรมการนโยบายมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ผู้อำนวยการส.ส.ท. มีผลการปฏิบัติงานต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด
ที่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส นายสมชัย สุวรรณบรรณ อดีตผู้อานวยการส.ส.ท. หรือสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ให้สัมภาษณ์หลังเข้าชี้แจงข้อเท็จจริงต่อคณะกรรมการสอบ สวนในประเด็นอนุมัติงบฯ 50 ล้านบาท ทำมักซ์ทีวีดิจิตอลว่า วันนี้มาให้ปากกคำกับผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอก จากนี้ต้องรอว่าจะเรียกมาให้ปากคำอีกเมื่อใด ซึ่งตนเตรียมข้อมูลเอกสารมาพร้อมให้คำโต้แย้งในประเด็นต่างๆ ส่วนกรณีที่จะยื่นฟ้องต่อศาลปกครองคงเลื่อนออกไปก่อน เนื่องจากอยู่ระหว่างหารือกับผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย เพราะคำสั่งเลิกจ้างภายใน 24 ช.ม. มีผลกระทบต่อชื่อเสียงการทำงานของตน ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ซึ่งประวัติการทำงานไม่ด่างผลอยเลย ถือว่าเป็นการพิสูจน์ตัวเองไปด้วยในตัว
นายสมชัย กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันการนำเรื่องเรตติ้งมาประเมินการทำงานนั้น ไม่มีอยู่ในสัญญาว่าจ้างและเอกสารการประเมิน เรตติ้งจะวัดแบบเดิมไม่ได้แล้ว หลังมีทีวีดิจิตอลเข้ามาจะเห็นว่าสื่อสาธารณะส่วนใหญ่เรตติ้งตกกันหมด ตนเห็นว่าช่องไทยพีบีเอสเรตติ้งตกน้อยกว่าบางช่องด้วยซ้ำ หากจะประเมินเรตติ้งจะใช้การประเมินแบบเดิมไม่ได้แล้ว ต้องดูสื่อโซเชี่ยลมีเดียด้วย ทั้งนี้ในเรื่องการประเมินการทำงานได้ตั้งข้อสังเกตว่าต้องมีการประเมินตัวเองก่อน ต่อมากรรมการจึงจะเป็นผู้ประเมินตามขั้นตอน แต่อาจจะมีการประเมินแบบใหม่หรือไม่ ทั้งนี้กรณี ดังกล่าวไม่คิดว่าเป็นการแทรกแซงจากผู้มีอำนาจทางการเมืองและฝ่ายทหาร เป็นเพียงเรื่องของการทำงานภายในองค์กร ตอนนี้เหลือเพียงรอคำสั่งต่อไป
วันเดียวกัน ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนสุขภาพ (สสส.) ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แถลงกรณีคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้งบประมาณภาครัฐ (คตร.) ทำหนังสือรายงานผลการสอบสวนสสส.ให้กับนายกรัฐมนตรี โดยพบการใช้งบประมาณส่วนหนึ่งไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ และระบุให้ยุติการใช้จ่ายงบประมาณในส่วนที่ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของกองทุนว่า สำหรับประเด็นการใช้งบฯ ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์นั้น ยืนยันว่าการดำเนินงานที่ผ่านมาของสสส.ทำตามวัตถุ ประสงค์ทั้ง 6 ข้อ นอกจากนี้ ยังดำเนินการตามกฎบัตรออตตาวาชาร์เตอร์ เพื่อสนับสนุนนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ ซึ่งครอบคลุมทุกปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
"สำหรับประเด็นที่ระบุว่า การใช้งบประมาณไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์เกิดจากการตีความที่ไม่เหมือนกัน เนื่องจากคตร.และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบโดยมองในมุมของผู้ตรวจสอบบัญชี ทำให้ข้อมูลหลายอย่างอาจคลาดเคลื่อนของตัวเลข หรือการตีความที่ผิดพลาด ทำให้มองว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน แต่สสส.ยืนยันว่าไม่มี" ทพ.กฤษดากล่าว
ทพ.กฤษดา กล่าวอีกว่า สำหรับโครงการที่ระบุว่า ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ซึ่งก่อนหน้านี้ที่คตร.ระบุ เช่น โครงการสวดมนต์ข้ามปี หรือการส่งนักวิชาการไปศึกษาดูงานที่ต่างประเทศ สสส.สามารถชี้แจงได้ เช่น การสวดมนต์ข้ามปี ถือเป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมประชาชนจากการดื่มเฉลิมฉลองเป็นกิจกรรมสวดมนต์ช่วยลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลลง ส่วนการส่งนักวิชาการไปดูงาน เป็นการศึกษาในเรื่องที่เกี่ยวข้อง อาทิ การพัฒนารูปแบบของระบบภาษี เพื่อนำมาวางแผนและจัดทำนโยบายของประเทศไทยต่อไป ทั้งนี้การตีความเป็นเรื่องของวิจารณญาณแต่ละคน แต่ที่ผ่านมาสสส.มีผู้เชี่ยวชาญ 1,200 คน ที่จะมาช่วยพิจารณาความเหมาะสมของแต่ละโครง การว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือไม่
ทพ.กฤษดา กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาสสส.ได้รับการตรวจสอบจากสตง.อย่างต่อเนื่อง โดยในปีก่อนสตง.ได้สุ่มตรวจ 10 โครงการในภูมิภาค และ 1 โครงการจากส่วนกลาง พบ 2 โครงการที่ใช้เงินไม่เป็นไปตามวัตถุ ประสงค์โครงการ ซึ่งสสส.ได้ดำเนินการอย่างเด็ดขาด โดยยุติการให้เงิน เรียกเงินคืนและดำเนินการตามกฎหมาย โดยในแต่ละปีสสส.ให้ทุนประมาณ 4,000 โครงการ เฉลี่ยจะพบประมาณ 5 โครงการ ที่ไม่ทำตามวัตถุประสงค์ ซึ่งมีการดำเนินการตามขั้นตอนและกฎหมายอย่างเด็ดขาด
เมื่อถามว่า การที่คตร.ระบุให้สสส.ยุติการให้ทุนกับโครงการไม่เป็นตรงวัตถุประสงค์นั้น สสส.จะดำเนินการอย่างไร ทพ.กฤษดากล่าวว่า เรื่องนี้ต้องนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนฯ (บอร์ด) สสส.ก่อนในวันที่ 16 ต.ค.นี้ เพื่อพิจารณาและให้ความเห็นว่าจะดำเนินการอย่างไร โดยจะนำหนังสือที่คตร.ส่งมาให้บอร์ดสสส.ชี้ให้ชัดเจน แต่มั่นใจว่าที่ผ่านมามีกรอบการทำงานที่ชัดเจนอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า มีข้อสังเกตว่ามีการให้งบกับกลุ่มเอ็นจีโอ ทำให้ถูกมองว่าเป็นการมอบทุนให้คนกันเอง และสร้างความไม่พอใจให้กับรัฐบาล เนื่องจากเป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมืองและเป็นกลุ่มคนเดิมๆ ทพ.กฤษดากล่าวว่า ที่ผ่านมาสสส.มีนโยบายชัดเจนว่าไม่ยุ่งกับการเมือง และไม่อยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง การพิจารณาให้ทุนจะเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการนั้นๆ ซึ่งไม่สามารถเลือกได้ว่าเอ็นจีโอคนนั้นมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างไร เนื่องจากสสส.ไม่สามารถเลือกจากบุคคล แต่จะพิจารณาจากโครงการเป็นหลัก ส่วนการให้งบประมาณกับกลุ่มเดิม เนื่องจากบางโครงการเป็นโครงการระยะยาวที่ต้องทำต่อเนื่องจึงจะเกิดผล
ขณะที่นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าฯ สตง. กล่าวว่า การตรวจสอบในส่วนของสตง.ได้ตรวจพบโดยทั่วไป โดยเฉพาะการใช้จ่ายเงินว่ามีประเด็นใดที่ต้องนำมาพิจารณาทบทวน เพื่อให้การใช้จ่ายเงินเหมาะสมและเกิดประโยชน์ ซึ่งในประเด็นนี้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ก็สนใจ โดยตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบขึ้นมา นอกเหนือจากการตรวจสอบของสตง. ทั้งนี้ คตร.ได้ตรวจสอบในแง่การประเมินผลเชิงประสิทธิภาพของการใช้จ่ายงบฯ ซึ่งคตร.ตรวจสอบอยู่ จากนี้ต้องรอความเห็นจากคตร. จึงอยากให้รอฟังผลตรงนี้ก่อนว่าเหมาะสมกับความเป็นจริง หรือมีความคุ้มค่าอย่างไร ไม่เช่นนั้นจะเป็นความเห็นของสตง.ฝ่ายเดียว
เมื่อถามว่า ระหว่างตรวจสอบสสส.ควรชะลอการใช้จ่ายไปก่อนหรือไม่ นายพิสิฐกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีใครไปยับยั้งการใช้ จ่ายงบฯ ของสสส. แต่อยากแนะนำว่าระหว่างนี้สสส.ควรกลับมาทบทวนว่ารายการไหน โครงการไหน ใช้จ่ายแล้วผลสุดท้ายต้องก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง คุ้มค่าเงินและไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย รวมถึงผลชี้วัดต่างๆ ต้องประสบความสำเร็จ
ส่วน พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกฯ อ่านสารของพล.อ. ประยุทธ์ ฉบับที่ 2 ถึงประเด็นกองทุนสสส.ว่า นายกฯ มอบให้หน่วยงานต่างๆ ตรวจสอบ ไม่ได้หมายความว่าขณะนี้มีการทุจริตเกิดขึ้นแล้ว หากแต่ตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่ากองทุนสสส.มีกรอบการทำงานที่ชัดเจน เป็นไปตามวัตถุประสงค์ และประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ ที่ช่วยสร้างเสริมสุขภาพของประชาชนได้ ครบถ้วน เป็นไปตามระเบียบ ข้อบังคับและกฎเกณฑ์ต่างๆ อย่างรัดกุม มีการใช้จ่าย งบอย่างมีประสิทธิภาพเกิดประโยชน์สูงสุด นายกฯ มอบให้รมว.สาธารณสุขกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างเหมาะสมและดำเนินการอย่างต่อเนื่องในนโยบาย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างแท้จริง