- Details
- Category: การศึกษา
- Published: Monday, 19 December 2022 23:10
- Hits: 2469
ทำความรู้จัก Future Food เปิดโอกาสแตะเงินล้าน ธุรกิจอาหารแห่งอนาคต
Future Food คืออะไร? หลายคนอาจเคยได้ยิน ผ่านหูผ่านตากันมาบ้าง แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร… บทความนี้จะพามาทำความรู้จักกับ “Future Food - อาหารแห่งอนาคต” ธุรกิจคลื่นลูกใหม่ในอุตสาหกรรมอาหาร ที่ทำมูลค่าส่งออกไทยโตแรง 9.8 หมื่นล้านบาท!
Future Food - อาหารแห่งอนาคต เป็นทางเลือกใหม่ของคนรักสุขภาพ เกิดจากแนวคิดการดูแลโลกผ่านมื้ออาหาร เพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร (Food Security) และสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม โดยนำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาสร้างสรรค์วัตถุดิบต่างๆ ให้เกิดเป็นอาหารรูปแบบใหม่ ที่จะช่วยลดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม ขณะเดียวกันยังต้องรสชาติดีและมีประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย …Future Food นับเป็น Movement มาแรงในอุตสาหกรรมอาหาร และเป็นเมกะเทรนด์ที่ได้รับความสนใจจากทั่วโลก
Future Food ไทย! ปังและมาแรงไม่แพ้ใคร โดยมีตัวเลขที่น่าสนใจมากๆ และเติบโตไปตามทิศทางของเมกะเทรนด์โลก โดยช่วงเดือน ม.ค. - ก.ย. 2565 ไทยทำยอดส่งออกอาหารแห่งอนาคตสูงถึง 98,056.78 ล้านบาท (2,883.49 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ซึ่งตลาดหลักต่างประเทศคือ สหรัฐอเมริกา เวียดนาม กัมพูชา จีน และเมียนมา (อ้างอิง : ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร)
Future Food แบ่งออกเป็น 4 หมวด สถาบันอาหารแห่งประเทศไทย จัดประเภทของ Future Food โดยแบ่งตามลักษณะของอาหาร และวิธีการผลิต ออกเป็น 4 หมวดดังนี้
อาหารฟังก์ชัน (Functional Food) อาหารที่ให้พลังงาน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของร่างกาย และมีคุณค่าทางโภชนาการ อย่างการเติมวิตามิน แร่ธาตุ หรือส่วนผสมของสมุนไพร ลงในผลิตภัณฑ์อาหาร อาทิ สารต้านอนุมูลอิสระ โพรไบโอติกส์ เส้นใยอาหาร โอเมก้า-3 เป็นต้น
อาหารใหม่ (Novel food) เป็นอาหารที่ผลิตผ่านนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ส่งผลต่อคุณค่าทางโภชนาการ กระบวนการทางเคมีในร่างกาย และระดับของสารที่ไม่พึงประสงค์ เช่น เห็ดที่ได้รับรังสีอัลตราไวโอเลต เพื่อเพิ่มวิตามินดี หรือ เนื้อ ผัก ผลไม้ ที่พาสเจอไรซ์ด้วยวิธีแรงดันสูง
อาหารทางการแพทย์ (Medical Food) เป็นอาหารที่ควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์ ไม่ได้มีคุณสมบัติในการรักษาโรคโดยตรง แต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา หรือบรรเทาอาการของโรค เช่น ผู้ที่เป็นเบาหวาน ผู้ที่มีภาวะขาดสารอาหารรุนแรง หรือผู้ต้องการสารอาหารเพิ่มขึ้นหลังผ่าตัด
อาหารอินทรีย์ (Organic Food) เป็นอาหารที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ โดยจะมีส่วนประกอบที่มาจากธรรมชาติ 100% ไม่ใช้สารเคมีและไม่สร้างมลพิษในกระบวนการผลิต
ได้รู้จัก Future Food กันไปแล้ว! อยากลงสนามเริ่มต้นสร้างธุรกิจ สร้างรายได้ในวงการอาหารแห่งอนาคต จะต้องศึกษาอะไรบ้าง มาดูกัน!
8 เทรนด์ อาหารแห่งอนาคต ที่ผู้ประกอบการควรรู้!
● Immunity Boosting คือ การเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกายกลับมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว ร่างกายอ่อนแอ
(เช่น การรับประทานกิมจิเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบย่อยอาหาร)
● Personalized Nutrition คือ การออกแบบโภชนาการให้เหมาะกับร่างกายของแต่ละคน โดยประเมินจากรูปแบบการใช้ชีวิต สุขภาพ และสารพันธุกรรม
(เช่น ร้านอาหาร Vita Mojo ใน UK ร่วมมือกับ DNA fit ผู้เชี่ยวชาญด้าน HealthTech นำเทคโนโลยีมาช่วยให้ผู้บริโภค เลือกทานอาหารที่เหมาะสมกับ DNA หรือ ร้านอาหาร Sushi Singularity ในญี่ปุ่น จะส่งชุดตรวจ DNA ให้ลูกค้าหลังการจองอาหาร เพื่อปรับส่วนผสมของซูชิให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลมากที่สุด)
● Well-Mental Eating คือ การกินเพื่อสุขภาพจิตใจ ด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ประกอบไปด้วยสารที่ช่วยลดความเสียหายของอนุมูลอิสระและการอักเสบของสมอง
(เช่น CBD-Infused อาหารที่ผสมสารสกัดจากกัญชา มีสรรพคุณช่วยให้รู้สึกสงบและลดความวิตกกังวล หรือ Probiotic ที่มักนำมาใช้ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคซึมเศร้า)
● Gastronomy Tourism คือ อาหารพื้นบ้าน หรือ อาหารประจำถิ่น โดยการท่องเที่ยวเชิงอาหารนับเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเดินทาง นักท่องเที่ยว 53% มักเลือกสถานที่ท่องเที่ยวจากอาหารและเครื่องดื่ม
(เช่น แกงไตปลา อาหารพื้นบ้านภาคใต้ และ ข้าวซอย อาหารพื้นบ้านภาคเหนือ)
● Elderly Food คือ อาหารสำหรับผู้สูงอายุ มีแนวคิดจากการที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงทำให้ตลาดอาหารสำหรับผู้สูงอายุมีการเติบโตควบคู่ไปด้วย มีการคาดการณ์ว่าปี 2025 ตลาดอาหารสำหรับผู้สูงอายุจะขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่า 25%
(เช่น 3D Printed Food การขึ้นรูปอาหารที่ช่วยให้กลืนง่ายและย่อยง่าย หรือ Elderly Snack ขนมขบเคี้ยวที่ไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย)
● Biodiverse Dining คือ การรับประทานอาหารที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ เพราะนอกจากการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ตามที่ร่างกายต้องการแล้ว ยังต้องกินอาหารในหมวดหมู่เดียวกันที่มีความแตกต่างทางสายพันธุ์ด้วย
(เช่น กะหล่ำปลีและบ๊อกฉ่อย จัดเป็นพืชตระกูลกะหล่ำเหมือนกัน อุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัสบำรุงกระดูกเหมือนกัน แต่กะหล่ำปลีมีกรดทาร์มาริก ช่วยยับยั้งไม่ให้น้ำตาลและแป้งกลายเป็นไขมัน ส่วนบ๊อกฉ่อยมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง)
● Newtrition คือ โภชนาการรูปแบบใหม่ ที่จะช่วยลดการเกิดภาวะขาดแคลนอาหารในอนาคต โดยไม่บริโภคอาหารที่มาจากเนื้อสัตว์ เลือกบริโภคเฉพาะอาหารที่มาจากผัก ผลไม้ และธัญพืช 100%
(เช่น Plant Based Meat อาหารโปรตีนทางเลือกที่มีลักษณะคล้ายเนื้อสัตว์แต่ไม่ได้ผลิตจากเนื้อสัตว์)
● Food Waste Rescue คือ การแก้ปัญหาขยะอาหาร ซึ่งอาหารที่รับประทานในชีวิตประจำวันกลายเป็นขยะมากถึง 1 ใน 3 ของอาหารที่ผลิตทั่วโลก โดยจะมีอาหาร 30-50% ไม่ถูกรับประทาน คำนวณเป็นมูลค่าแล้วสูญเสียไม่น้อยกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
(เช่น โครงการรักษ์อาหาร ของมูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ มูลนิธิกู้ภัยอาหารแห่งแรกของประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นเพื่อรับบริจาคอาหารส่วนเกินจากโรงแรม ภัตตาคาร หรือร้านค้าปลีกที่เข้าร่วมโครงการ แล้วตรวจสอบความสะอาด ปลอดภัย ก่อนนำไปแจกจ่ายให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หรือ สถานพักพิง)
เทรนด์ดังกล่าว เป็นแนวโน้มที่มีประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการสร้างอาชีพสร้างรายได้ในวงการธุรกิจอาหาร ซึ่งนอกจากการศึกษาเทรนด์และปัจจัยต่างๆ ที่สามารถเริ่มได้ด้วยตนเองแล้ว ยังมีสถาบันการศึกษาที่พร้อมมอบทักษะและประสบการณ์สำคัญเฉพาะด้าน โดยที่วิทยาลัยการแพทย์บูรณาการ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (CIM DPU) มีหลักสูตร การประกอบอาหารเพื่อสุขภาพ (ปริญญาตรี วิทยาศาสตรบัณฑิต) ซึ่งเป็นที่เดียวที่เปิดสอนการทำอาหารพร้อมความรู้ด้านการแพทย์โภชนศาสตร์และการกำหนดอาหาร สามารถต่อยอดเป็น Chef, Food Style, Food Scientists หรือ เจ้าของธุรกิจอาหารที่ครบเครื่องเรื่องโภชนาการ เรียกได้ว่าเป็นหลักสูตรอนาคตไกลตอบโจทย์ตลาดสุขภาพ และยังได้ความรู้ศาสตร์ชะลอวัย รวมถึงองค์ความรู้ด้าน Wellness อีกด้วย
ติดอาวุธสู่การเป็นมืออาชีพในวงการอาหารได้ที่ DPU สมัครเรียน : https://bit.ly/3q1PZ84 รายละเอียดเพิ่มเติม : https://bit.ly/3KGY6jQ
A12761