- Details
- Category: การแพทย์-สธ
- Published: Saturday, 28 January 2017 08:25
- Hits: 4271
5 สัญญาณเตือนมะเร็งเต้านมที่หญิงไทยต้องรู้
วันที่ 4 กุมภาพันธ์ของทุกปี ถือเป็นวันมะเร็งโลก (World Cancer Day) ซึ่งองค์การอนามัยโลกและสมาพันธ์ควบคุมโรงมะเร็งสากลกำหนดขึ้น เพื่อให้สาธารณชนตระหนักถึงอันตรายของโรคมะเร็ง ภัยเงียบใกล้ตัวที่อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยมะเร็งที่คร่าชีวิตผู้หญิงอันดับต้นๆ คือ 'มะเร็งเต้านม'จากสถิติของสถาบันมะเร็งแห่งชาติพบผู้หญิงเป็นมะเร็งเต้านมร้อยละ 37 ของมะเร็งทั้งหมด และยังมีอัตราการเสียชีวิตเป็นอันดับสองรองจากมะเร็งปอด เป็นที่น่าตกใจว่ามีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมเฉลี่ยถึงวันละ 9คนเลยทีเดียว แล้วเราจะรู้ถึงสัญญานเตือนและวิธีดูแลผู้ป่วยมะเร็งเต้านมได้อย่างไรบ้าง
ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา หัวหน้าคณะนักวิจัย Operation BIM นักวิทยาศาสตร์ไทยคนแรกผู้คิดค้นวิธีการสร้างภูมิคุ้มกันให้สมดุลจากพืชไทย เปิดเผยว่า สาเหตุของมะเร็งเต้านมเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ได้แก่ ปัจจัยทางพันธุกรรม โดยเชื่อว่ามียีนบางตัวกลายพันธุ์แล้วเกิดเป็นเซลล์มะเร็ง ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม อาหารการกิน และฮอร์โมนเพศหญิง โดยอัตราเสี่ยงของมะเร็งเต้านมจะเพิ่มขึ้นตามอายุ ซึ่งจะเพิ่มขึ้น 2 เท่าของทุกๆ ระยะอายุที่เพิ่มขึ้น 10 ปี จนกระทั่งถึงวัยหมดประจำเดือน
5 สัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าท่านอาจจะเป็นมะเร็งเต้านม คือ สัญญาณที่หนึ่ง มีก้อนที่เต้านมหรือที่รักแร้ สัญญาณที่ 2 รูปร่างหรือขนาดของเต้านมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม สัญญาณที่ 3 สีหรือผิวหนังบริเวณลานหัวนมที่เปลี่ยนไปจากเดิม เช่น มีรอยบุ๋ม รอยย่น สัญญาณที่ 4 ผื่นคันที่รักษาแล้วไม่หายขาด อาการเจ็บผิดปกติที่เต้านมหรือผิวหนังของเต้านมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นรอยบุ๋มแบบลักยิ้ม มีรอยย่น สัญญาณที่ 5 ผิวหนังบวมหนาตัวเหมือนผิวของเปลือกส้ม อย่านึกว่าไม่มีอะไร เพราะนั่นเป็นสัญญาณว่าเซลล์มะเร็งได้ลุกลามขึ้นมาที่ชั้นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับ การรักษานั้นมีด้วยกันหลายวิธี อาทิ การผ่าตัดเอาเต้านมและต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้ออก หากพบว่าเซลล์มะเร็งกระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองแล้ว อาจจำเป็นต้องให้ยาเคมีบำบัดร่วมกับการฉายแสงรักษาเฉพาะบริเวณนั้นอีกด้วย ซึ่งการรักษาด้วยวิธีนี้จะทำให้เกิดผลข้างเคียงค่อนข้างรุนแรงต่อผู้ป่วย เช่น คลื่นไส้ ผมร่วง และการกดภูมิคุ้มกัน
อีกหนึ่งทางเลือกในการดูแลมะเร็งเต้านมที่มีประสิทธิภาพคือการใช้กลไกธรรมชาติในการรักษา ทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะภูมิสมดุล โดย ศ.ดร.พิเชษฐ์ อธิบายว่า 'Immunotherapy' หรือการรักษาโรคด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด คือ การเข้าไปเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาวเพชฌฆาตที่มีความสามารถในการกำจัดเฉพาะเซลล์มะเร็งที่มีลักษณะของผิวเซลล์ต่างจากเซลล์ปกติของร่างกาย โดยเม็ดเลือดขาวเพชฌฆาตจะไม่ทำลายหรือกระทบต่อเซลล์ปกติของร่างกาย
จุดนี้เองทำให้ ศ.ดร.พิเชษฐ์ เห็นว่าการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้อยู่ในภาวะสมดุลมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการจัดการกับเซลล์มะเร็ง จนเป็นที่มาของการศึกษาค้นคว้าอย่างต่อเนื่องกว่า 40 ปี พัฒนาสารสกัดจากมังคุด ถั่วเหลือง งาดำ ฝรั่ง และบัวบก ซึ่งเมื่อออกฤทธิ์เสริมกันจะกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวชนิด Th1, Th9, Th17 และ Interleukin-18 (โดยพิสูจน์ด้วยการทดสอบจากศูนย์วิจัยเทคโนโลยีชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) ซึ่งจะเสริมสร้างประสิทธิภาพเพชฌฆาตในการฆ่าเซลล์มะเร็งของเม็ดเลือดขาวให้เพิ่มมากขึ้นได้หลายเท่าตัว และทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายของเรากลับมาเข้าสู่ภาวะสมดุลจนสามารถรับมือกับโรคมะเร็งได้เอง
2 ปีที่แล้ว คุณบรรจง เคซีย์ เจ้าของธุรกิจส่วนตัว คลำพบก้อนเล็กๆที่เต้านม แต่ไม่ได้สนใจปล่อยทิ้งไว้นานนับปี จนมีอาการเหนื่อยง่าย เจ็บขัดที่หน้าอกข้างซ้าย และเจ็บจี๊ดๆ เหมือนเข็มแทง แสบร้อนตลอดเวลา จึงได้ตัดสินใจพบแพทย์และวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งเต้านมระยะที่ 2 พบก้อนเนื้อ 3 ก้อน ซึ่งเธอเลือกที่จะปฏิเสธการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดเพราะกลัวผลข้างเคียง
เธอพยายามใช้ชีวิตอย่างคนปกติ และดูแลร่างกายอย่างดี พร้อมด้วยกำลังใจและความรักที่ได้รับจากลูกๆที่คอยอยู่เคียงข้างและดูแลอย่างใกล้ชิด ทำให้การรักษาโดยใช้วิธีภูมิคุ้มกันบำบัดได้ผล ถึงวันนี้ผ่านไป 2 เดือน การติดตามผลระบุว่ามะเร็ง 2 ก้อนเล็กหายไป ก้อนใหญ่ลดขนาดลงจาก 2 ซม. เหลือ 1.19 ซม.ค่าบ่งชี้มะเร็ง CA 15-3 อยู่ที่ 14.5 U/ml (ค่าของคนปกติอยู่ที่ 0 - 31) และกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขกับครอบครัวเหมือนเดิม สุขภาพแข็งแรงมาก ไม่มีอาการผิดปกติเลย
ซึ่งในเรื่องนี้ ศ.ดร.พิเชษฐ์ ให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า ผู้หญิงทุกคนควรหมั่นสังเกตและตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำทุกเดือนเมื่อมีอายุ 20 ปีขึ้นไป พบแพทย์ตรวจเมื่อมีอาการสงสัย อย่าปล่อยไว้เพราะไม่เจ็บ ผู้หญิงหลายๆ คนมีความเข้าใจผิดคิดว่าก้อนที่ไม่เจ็บคงไม่เป็นไรและปล่อยทิ้งไว้จนกระทั่งก้อนมะเร็งใหญ่โตขึ้นมากแล้วจึงรู้สึกเจ็บได้ การตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอ การดูแลร่างกายให้อยู่ในภาวะภูมิสมดุล ถือว่าเป็นการเตรียมตัวรับมือกับมะเร็งที่ดีที่สุด