ประชาไท รายงานว่า ตามที่ นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ทำเรื่องเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ประชาชนต้องร่วมจ่ายในระบบหลักประกันสุขภาพ 30-50% โดยเมื่อวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้นำเสนอประเด็นนี้กับ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองหัวหน้า คสช. ด้านสังคมจิตวิทยา ในการเข้าตรวจเยี่ยมกระทรวงสาธารณสุข และระหว่างนี้ ปลัด สธ.ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ไม่เรียกประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จนไม่มีการประชุมมาแล้ว 2 เดือน
นายนิมิตร์ เทียนอุดม กรรมการระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เห็นว่า การที่ สธ.ได้นำเสนอ คสช.ให้ประชาชนต้องร่วมจ่าย (co-pay) ในอัตรา 30-50% โดยให้เหตุผลว่า ถ้าไม่ทำอย่างนี้จะทำให้ระบบล้มละลายนั้น เป็นการให้ข้อมูลที่ผิดมาก
"การที่สธ.บอกว่าระบบหลักประกันสุขภาพจะอยู่ไม่ได้ เพราะใช้เงินเยอะ ไม่จริง เพราะรัฐจ่ายเพื่อสุขภาพเพียง 7% เท่านั้น ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มมาก ทั้งช่วยลดความยากจนในครัวเรือนได้ ซึ่งระบบหลักประกันสุขภาพของไทยได้รับการยกย่องจากนานาชาติมาโดยตลอดว่า มีประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณที่ไม่มากแต่สามารถช่วยประชาชนให้พ้นความยากจนได้จริง ถ้ารัฐจะผลักภาระตรงนี้ ทหารเกณฑ์ที่ใช้บัตรทองก็ต้องมาแบกรับด้วย"
สำหรับ การที่ปลัด สธ.ไม่เรียกประชุมบอร์ด สปสช.เป็นเดือนที่ 2 แล้วนั้น กรรมการหลักประกันสุขภาพระบุว่าทำให้ไม่สามารถอนุมัติสิทธิประโยชน์ใหม่ๆ ได้ ทำให้ผู้ป่วยเสียโอกาส
"ตอนนี้ยารักษาไวรัสตับอักเสบซี ก็ยังไม่ได้อนุมัติ ทำให้ผู้ป่วยเสียโอกาส ถ้าไม่ได้ยาก็พัฒนากลายไปเป็นมะเร็งตับ ค่ารักษาก็แพงอีก นี่เป็นความทุกข์ แต่ยังไม่ประชุมบอร์ดกว่า 2 เดือนแล้ว บอร์ดจะประชุมได้ ประธานต้องเรียก ก็ไปดูแล้วกันว่าใครเป็นประธาน แล้วทำไมถึงไม่เรียกประชุมบอร์ดเสียที ตรงนี้อยากฝากไปถึง คสช.ที่พูดตลอดเวลาว่าเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะ และวางรากฐาน แต่ตอนนี้เรื่องปฏิรูประบบสาธารณสุขยังไม่เห็นทิศทางที่ชัดเจน และไม่เคยมีข้อเสนอที่มาจากการมีส่วนร่วมของประชาชน" นายนิมิตร์กล่าว
ทั้งนี้ รายการบัญชียา จ.2 ที่คณะกรรมการพัฒนาระบบยาได้อนุมัติแล้ว และอยู่ระหว่างรอบอร์ดสปสช.พิจารณาเข้าระบบให้ผู้ป่วยเบิกจ่ายได้นั้น ประกอบไปด้วย ยารักษามะเร็งเต้านมในระยะเริ่มแรก Tastuzumab, ยารักษาไวรัสตับอักเสบซี Peginterferon, ยารักษามะเร็งเม็ดเลือด Nilotinib, ยารักษามะเร็งเม็ดเลือด Dasatinib และยากำพร้า Dacarbazine ที่ใช้รักษา มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน (Hodgkin’s disease)
"ที่ผ่านมา เคยมีมติบอร์ดว่า เมื่อคณะกรรมการบัญชียาหลักอนุมัติไปแล้วระหว่าง รอประกาศ ให้สามารถเบิกจ่ายได้เลย ดังนั้น สำนักงาน สปสช.ควรมีความกล้าหาญทำตามมติบอร์ด อย่าไปใช้ข้ออ้างนี้ในการไม่ให้ประชาชนใช้สิทธิ อย่าไปยอมให้ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขจับประชนเป็นตัวประกัน"
ขณะเดียวกัน นพ.มงคล ณ สงขลา อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข และรมว.สธ. ในรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้โพสต์แสดงความเห็นต่อประเด็นดังกล่าว ผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว Mongkol Na Songkhla ว่า
ผมในฐานะคนที่อยู่ในแวดวงสาธารณสุขมาทั้งชีวิต เคยผ่านช่วงเวลาที่ชาวบ้านไม่กล้ามาหาหมอที่โรงพยาบาลเพราะกลัวว่าจะไม่มีเงินจ่าย เคยเห็นคนขายวัวขายควายขายไร่ขายนาเพื่อจ่ายค่ารักษาพยาบาล มาจนถึงวันที่ประชาชนมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ได้รับการรักษาแม้จะยากจน และไม่ต้องรู้สึกต่ำต้อยอนาถาเมื่อเข้ารับการรักษาพยาบาล
ผมรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก เมื่อทราบข่าวว่า ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขสั่งห้าม รพ.และเจ้าหน้าที่กระทรวงให้ความร่วมมือกับสปสช. มีข้อเสนอที่จะยกเลิกหลักการการแยกผู้ซื้อและผู้ให้บริการ เพื่อดึงอำนาจและการจัดงบประมาณกลับมาที่กระทรวง รวมถึงจะเสนอให้ประชาชนต้องร่วมจ่าย (co-pay) 30-50% ที่ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการส่งข้อความปลุกกระแสทาง line
ผมจึงใช้เวลาช่วงบ่ายวันนี้ทั้งวันเขียนข้อมูลทั้ง 9 ข้อนี้เพียงหวังว่า มันจะสามารถกระตุกสำนึกของผู้คนที่กำลังหลงผิดทำลายระบบหลักประกันสุขภาพ และหวังว่ามันจะทำให้ คสช.เข้าใจในเรื่องความสุขทุกข์ของประชาชนจริงๆ
1. กระทรวงสาธารณสุขและสปสช. ควรแยกจากกัน ในหน้าที่ผู้ซื้อและผู้ให้บริการ ถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะงบประมาณเพื่อบริการจะไม่ถูกนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น เนื่องจากมีการติดตามจากผู้ซื้อบริการ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน
2. รัฐมนตรีสาธารณสุขเป็นประธานบอร์ดสปสช. ปลัดกระทรวงสาธารณสุขอยู่ในฐานะบอร์ดคนหนึ่ง ถูกต้องแล้ว เพราะรัฐมนตรีทำหน้าที่บริหารงานสาธารณสุขระดับนโยบาย จะได้ให้ความเห็นแก่บอร์ดในการพิจารณาเรื่องที่เป็นนโยบายที่ไปเชื่อมโยงกับหน่วยงานอื่นๆเกี่ยวกับงานสาธารณสุข ส่วนปลัดกระทรวงในฐานะผู้บริหารสถานบริการส่วนใหญ่ของประเทศ จะให้ความเห็นแก่บอร์ดเมื่อพิจารณาเรื่องใดๆที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการของสถานบริการต่างๆในสังกัดกระทรวง เพื่อให้เกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย แต่อาจไม่จำเป็นถ้าหากกระทรวงสาธารณสุขยอมกระจายอำนาจให้โรงพยาบาลและสถานบริการต่างๆออกจากกระทรวงไปเป็นองค์กรมหาชน อย่างเช่นโรงพยาบาลบ้านแพ้ว หรือไปอยู่กับ อปท. ตามกฎหมายแผนและขั้นตอนกระจายอำนาจ 2543
3. กฎหมายสปสช. มีเจตนารมณ์ชัดเจนที่ต้องให้การระบบหลักประกันสุขภาพเป็นของคนทุกภาคส่วน ไม่ใช่แค่ผู้ให้บริการเท่านั้น ตัวแทนทุกภาคส่วนในบอร์ดมีสิทธิในการออกความเห็น เสียงส่วนน้อยก็ได้รับการยอมรับไม่มีการใช้อำนาจหน้าที่ (Authority), บารมี (Prestige) หรืออิทธิพล (Power) ใดๆทั้งสิ้น เสียงส่วนใหญ่จึงเป็นทางเลือกที่สังคมผู้เจริญให้ความเคารพด้วยความศรัทธา ไม่ใช่เป็นเสียงที่มาจากไหนไม่รู้ เพราะตำแหน่งหน้าที่คือมายา คุณค่าคือของจริง ดังจะเห็นได้จากหลักการของกองทุนสุขภาพตำบล ที่เป็นการร่วมกองทุนระหว่าง สปสช.และองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่น หากเป็นตำบลที่ใหญ่ๆก็จะได้งบประมาณ 5-600,000 บาทแล้วแต่ขนาดมาใส่ในกองทุน อปท.ก็ลงเงินร่วมอีกส่วนหนึ่ง นี่เป็นหลักการของการทำงานร่วมกัน การมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายต่างๆในพื้นที่ เพราะสุขภาพของสังคมจะดีได้ มันมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องเกื้อกันเพื่อให้การป้องกันส่งเสริมสุขภาพมีประสิทธิภาพจริงๆ ภาคส่วนใดภาคหนึ่งทำลำพังไม่ได้ นี่ไม่ใช่เงินหาเสียงของ สปสช. เป็นกองทุนตั้งต้นซึ่งขณะนี้มี อปท.ตอบรับแล้วเกือบ100% คนสธ.ควรตระหนักว่าเรื่องสุขภาพไม่ใช่แค่เรื่องการรักษาพยาบาล
4. สิทธิประโยชน์ในการรักษาพยาบาล (Benefit Package) ของประชาชนทุกรายการจะมีคณะกรรมการที่เป็นผู้เชี่ยวชาญจากหลายอาชีพร่วมกันพิจารณา หลังจากผ่านการประเมินจากคณะวิชาการประเมินเทคโนโลยีด้านสุขภาพ (Health Technology Assessment ) มีการพิจารณาอย่างรอบคอบ ผ่านการทำวิจัยทุกรายการที่ยังสงสัย ส่วนใหญ่เลือกเพิ่มเติมรายการที่คุ้มค่า เช่นการเพิ่มวัคซีนไข้หวัดใหญ่แก่ผู้สูงอายุ ทำวิจัยออกมาแล้วค่าวัคซีนต่ำกว่าค่ารักษาพยาบาลเมื่อต้องไปนอนโรงพยาบาลจากการเป็นไข้หวัดใหญ่หลายเท่านัก ยกเว้นสิทธิบางอย่างอาจไม่คุ้มทางเศรษฐกิจ แต่ลดการล้มละลายจากการรักษาได้มากเช่น การล้างไต การรักษามะเร็งบางชนิด เป็นต้น
5. กฎหมายไม่ได้กำหนดว่าสปสช.ต้องซื้อบริการจากสถานบริการภายใต้การกำกับของกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้นถูกต้อง เพราะสปสช.ซื้อบริการจากสถานบริการที่ได้มาตรฐานตามที่กำหนดให้ประชาชนใช้บริการสะดวกที่สุด จากหน่วยงานรัฐหรือเอกชนก็ได้ แต่สถานบริการส่วนใหญ่อยู่ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขซึ่งบรรพบุรุษในวงการสาธารณสุขผู้ที่สายตายาวไกลได้ช่วยกันสร้างขึ้นมา ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ นับว่าล้ำหน้าที่สุดจนหลายๆประเทศอยากเอาอย่าง ทั้งนี้เพื่อให้เป็นที่พึ่งของคนไทยทุกคนถ้วนหน้า แต่ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขมายึดครองใช้อำนาจจำกัดการทำหน้าที่หลักของสถานบริการเหล่านี้ แท้จริงแล้วหากการให้บริการประชาชนดีขึ้น งบประมาณที่จะไปสู่การบริการประชาชนเพียงพอมากขึ้น น่าจะช่วยกันสนับสนุน เคยทราบกันไหมว่าก่อนหน้าที่มี สปสช. สัดส่วนงบประมาณที่กระทรวงสาธารณสุขได้รับการจัดสรรค์น้อยมาก เพราะจัดตามโควต้ากระทรวง ไม่ใช่รายหัวของประชาชน ขอให้เราเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งได้ไหม
6. การให้ประกันสุขภาพถ้วนหน้าทั้งคนจนและไม่จนทุกคน ถูกต้องแล้ว เพราะงบประมาณที่ใช้มาจากภาษีทั่วไป ซึ่งคนรวยจ่ายภาษีในสัดส่วนที่สูงกว่าคนจนอยู่แล้ว สร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม นอกจากนั้นคนที่ไม่รวยแต่ใกล้จนคือคนชั้นกลางซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เมื่อป่วยหนักค่ารักษาพยาบาลแพง ทำให้ล้มละลายกันมากมายหลายรายต่อปี แม้แต่ร่วมจ่าย (co-pay) ก็หนีไม่พ้นชะตากรรมอย่างที่เคยเห็นกันอยู่ เราคงไม่ต้องการเห็นพี่น้องคนไทยกำเงินมาโรงพยาบาลด้วยแขนที่เปียกโชคด้วยเหงื่อเม็ดโป้งๆ เพราะเงินที่กำอยู่ไปกู้เขามา และเราก็คงไม่อยากเห็นคนมาโรงพยาบาลด้วยความหดหู่เพราะถือบัตรผู้มีรายได้น้อยมาขอทานการพยาบาลอีกต่อไป
7. กฎหมายสปสช.ที่มีอยู่ดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่กฎหมายทุกฉบับต้องบรรจุอยู่ในรัฐธรรมนูญ นอกจากนั้นรัฐธรรมนูญไทย ปี 40 และ 50 ได้บรรจุไว้แล้วว่า รัฐมีหน้าที่ที่ต้องให้การรักษาพยาบาลแก่ประชาชน และประชาชนมีสิทธิที่จะได้เข้าถึงการบริการสาธารณสุขอย่างทั่วถึง
8. การประกันสุขภาพถ้วนหน้าเกิดจากกระทรวงสาธารณสุข นำโดยนายแพทย์สงวน นิตยารัมพงษ์และภาคีเครือข่าสาธารณสุขทั่วประเทศ ไม่ใช่ ′ซากเดนระบอบทักษิณ′ ตามที่กล่าวหากัน เพียงแต่การจะเป็นนโยบายสาธารณะได้นั้น ต้องได้รับการสนับสนุนโดยรัฐบาลหรือการเมืองซึ่งที่ผ่านมาไปเสนอมาแล้วทุกพรรคการเมืองใหญ่ และยืนยันว่านี่ไม่ใช่นโยบายประชาชนนิยม แต่เป็นหน้าที่ของรัฐที่ต้องดูแลทุกข์สุขของประชาชนตามเจตนารมณ์ของอาจารย์หมอเสม พริ้งพวงแก้ว, อาจารย์หมออุดม โปษะกฤษณะ, อาจารย์หมออมร นนทสุต, อาจารย์หมอบรรลุ ศิริพานิช และอาจารย์ผู้ใหญ่อีกหลายๆท่านมากมายนัก รวมทั้งอาจารย์ผู้ใหญ่สมัยที่คัดลูกสาวชาวชนบทมาเรียนผดุงครรภ์ 2 ปีเพื่อให้กลับไปให้บริการญาติพี่น้องโดยชาวบ้านต้องสร้างสำนักงานผดุงครรภ์เองเพราะรัฐบาลอยากให้บริการทุกพื้นที่ถ้วนหน้าแต่ไม่มีเงินสร้างสำนักงานผดุงครรภ์ นี่ก็เกิดในสมัยอาจารย์หมอสมบูรณ์ วัชรโรทัย
9. ขณะนี้องค์การอนามัยโลกและสหประชาชาติตั้งเป้าไว้แล้วว่าเมื่อผ่านปี 2015 อันเป็นเป้าหมายแห่งสหัสวรรษ (MDG) แล้ว เป้าหมายต่อไป ปี 2030 คือการบริการประกันสุขภาพถ้วนหน้า ณ เวลานี้ ประเทศไทยทำสำเร็จระดับหนึ่งในปี 2002 ล่วงหน้าเป้าหมายนี้ไป 28 ปี หลายประเทศมาศึกษาระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าจากประเทศไทย ประเทศไทยได้รับการยกย่องไปทั่วโลก เราจะทำลายเพชรเม็ดงามชิ้นนี้ไปเพื่อสนองกิเลส 1500 ตัณหา 108 ของคนบางกลุ่มอย่างนั้นจริงๆหรือ