- Details
- Category: อสังหาริมทรัพย์ฯ
- Published: Wednesday, 03 January 2018 22:51
- Hits: 6525
ครม.เห็นชอบโครงการบ้านคนไทยประชารัฐ บนที่ราชพัสดุวงเงินรวม 4 พันลบ.ให้ออมสิน-ธอส.ปล่อยสินเชื่อ
ครม.หนุนคนไทยมีบ้าน เห็นชอบโครงการบ้านคนไทยประชารัฐ วงเงินรวม 4 พันลบ. บนที่ราชพัสดุครอบคลุม 4 ภาค ราคา 3.5-7 แสนบาทต่อหน่วย พร้อมเปิดช่องให้ประชาชนรายไม่เกิน 3.5 หมื่นบาท และประชาชนทั่วไปได้รับสิทธิด้วย หากผู้มีรายได้น้อยใช้สิทธิครบแล้ว
นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมครม.มีมติเห็นชอบ โครงการบ้านคนไทยประชารัฐ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้มีรายได้น้อยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง สำหรับโครงการดังกล่าวนั้น จะใช้พื้นที่ราชพัสดุครอบคลุมพื้นที่ 4 ภาค 49.9 ตารางวา รวม 2,757 ยูนิต ประกอบด้วย บ้านแฝด บ้านแถว และอาคารชุดพักอาศัย พื้นที่ใช้สอยไม่น้อยกว่า 28 ตารางเมตร ราคา 350,000-700,000 บาทต่อหน่วย
สำหรับ กลุ่มเป้าหมายที่มีสิทธิเข้าโครงการดังกล่าว ประกอบด้วย ประชาชนที่อยู่ในทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐกับกระทรวงการคลัง และหากกลุ่มดังกล่าวใช้สิทธิหมดแล้ว จะเปิดให้กับประชาชนที่มีรานได้ไม่เกิน 35,000 บาทต่อเดือน และกลุ่มสุดท้าย คือ ประชาชนทั่วไป ซึ่งธนาคารจะไม่สนับสนุนดอกเบี้ย โดยกรอบวงเงินดำเนินโครงการรวมทั้งสิ้น 4,000 ล้านบาท
ส่วนสินเชื่อในการดำเนินการนั้น แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาษัย หรือพรีไฟแนนซ์ ซึ่งธนาคารออมสิน และธนาคารอาคารสงเคราะห์ จะปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยกำหนดให้อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนปีที่ 1-3 ที่ 3% ต่อปี และหลังจากนั้นคิด MLR-1% ต่อปี ระยะเวลากู้ไม่เกิน 5 ปี เพื่อสนับสนุนสินเชื่อให้ผู้ประกอบการ หรือบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ที่เข้าร่วมพัฒนาโครงการ
ส่วนสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือโพสต์ไฟแนนซ์ โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนปีที่ 1-4 ที่ 2.75% ต่อปี หลังจากนั้น กรณีรายย่อย MRR-0.75% ต่อปี และกรณีสวัสดิการหักเงินเดือน คิด MRR-1% ต่อปี ระยะเวลาการกู้ไม่เกิน 30 ปี ด้านการดำเนินการนั้นจะจัดสรรพื้นที่ส่วนกลางไม่เกิน 30% ของโครงการ เพื่อรองรับกิจกรรม หรือเพื่อประโยชน์ต่อโครงการ ส่วนการคัดเลือกผู้ได้รับสิทธิพัฒนาโครงการนั้นจะพิจารณาผู้ที่เสนอเงื่อนไขที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์มากที่สุด
ด้านการดำเนินโครงการนั้นในแต่ละพื้นที่จะเปิดรับฟังความเห็นของประชาชนก่อนการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมพัฒนาโครงการ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี และทำแผนงานการบริหารโครงการตลอดอายุโครงการ ด้านกระทรวงการคลังจะพิจารณาผ่อนปรนอัตราค่าเช่า ค่าธรรมเนียมและเงื่อนไขต่างๆ ในการดำเนินโครงการ สำหรับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมพัฒนาโครงการนั้น ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายของผู้ได้รับสิทธิ ทั้งค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการเช่าที่ดินราชพัสดุและค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการจำนอง
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
คลัง เล็งออกบ้านคนจน ผ่อน 2-3 พันบาท/เดือน เตรียมชงเข้า ครม.ธ.ค.นี้ หวังตัวชี้วัดผลงานออกมาสวยงาม
คลัง โชว์ผลงานท้ายปี จัดบ้านคนจนผ่อนต่ำ 2-3 พันบาทต่อเดือน เผยอยู่ระหว่างเจรจาออมสิน- ธ.อ.ส. ก่อนชงเข้าครม.ธ.ค.นี้ หวังตัวชี้วัดผลงานออกมาสวยงาม
นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า ในเดือนธันวาคมนี้ คาดว่า โครงการบ้านเพื่อผู้มีรายได้น้อย จะเสนอให้คณะรัฐมนตรี หรือ ครม.พิจารณาได้แน่นอน ซึ่งล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้รายงานความคืบหน้า ให้กับ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้รับทราบในรายละเอียดแล้ว โดยยืนยันว่า ขณะนี้มีความคืบหน้าค่อนข้างมากในหลักการ และอยู่ระหว่างเจรจากับธนาคารออมสิน และธนาคารอาคารสงเคราะห์ เพื่อร่วมในโครงการดังกล่าว
“โครงการนี้เป็นความตั้งใจของรัฐบาลที่อยากช่วยผู้มีรายได้น้อยมีที่อยู่อาศัย มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทำให้โครงการนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนและถือเป็นการวัดผลงานของกระทรวงการคลังด้วย โดยยืนยันว่า จะจบได้ภายในเดือนธันวาคมนี้แน่นอน ซึ่งในรายละเอียด เนื่องจากยังคงต้องรอเข้าครม.พิจารณาในรายละเอียด รวมถึงต้องเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรับทราบด้วย จึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้มากนัก”นายพชร กล่าว
นายพชร กล่าวเพิ่มเติมว่า ในเบื้องต้นนั้นจะมีการปรับเงื่อนไขรายละเอียดโครงการให้มีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปด้วยความโปร่งใส รวมถึงคำนึงถึงความสามารถในการผ่อนชำระ ซึ่งจะอยู่ในระดับต่ำ เช่น 2,000-3,000 บาทต่อเดือนเท่านั้น
รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง ระบุว่า สำหรับโครงการบ้านเพื่อผู้มีรายได้น้อยนั้น นายสมคิด ระบุไว้ก่อนหน้านี้ว่า จะต้องดำเนินการด้วยความรวดเร็ว โดยให้อาศัยข้อมูลจากผู้มีรายได้น้อยที่มาลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 11.67 ล้านคน ซึ่งจะพิจารณาในเรื่องรายได้ ความสามารถในการผ่อนชำระ ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2,000-3,000 บาทต่อเดือน รวมถึงรูปแบบการเป็นเจ้าของ เป็นต้น
คลัง เตรียมชงมาตรการแก้จนเฟส 2 เข้าครม.เร็วๆ นี้ - ปลื้มเวิลด์แบงก์ประเมินไทยหลุดพ้นจากความยากจนแล้ว
คลัง เผยอยู่ระหว่างจัดทำมาตรการแก้จนเฟส 2 เตรียมชงเข้าครม.เร็วๆนี้ ปลื้มเวิลด์แบงก์ประเมินไทยหลุดพ้นจากความยากจนและกำลังก้าวสู่ความมั่งคั่งแล้ว
นายศรพล ตุลยะเสถียร ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง แลในฐานะ รองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงกรณีที่ธนาคารโลก ได้ประกาศรายงาน Riding the wave : An East Asian Miracle for the 21 Century ว่า ไทยเริ่มหลุดพ้นจากความยากจนและกำลังก้าวสู่ความมั่งคั่งว่า ถือเป็นเรื่องที่ดี และสะท้อนการแก้ไขปัญหาของไทยที่พยายามลดความเหลื่อมล้ำ และในขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างจัดทำมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในเฟส 2 เพื่อช่วยให้คนไทยหายจนอย่างยั่งยืน ซึ่งคาดว่าจะเข้าคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. ในระยะต่อไป
สำหรับ นโยบายที่ทำให้ไทยถูกยกระดับเป็นประเทศที่กำลังก้าวสู่ความมั่งคั่งนั้น ประกอบด้วย การให้โอกาสด้านเศรษฐกิจกับผู้มีรายได้น้อย มีระบบการดูแลด้านสังคม สาธารณสุข และประกันสังคมและการส่งเสริมการออม ใช้เครื่องมือภาษี เครื่องมือทางการเงินช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ เป็นต้น
“การประเมินธนาคารโลกจะแบ่งคนจน 5 ชั้น คือ 1.กลุ่มคนจนที่สุด หรือ กลุ่มมีรายได้ 23.33 บาท ต่อวัน 2.กลุ่มคนจนปานกลาง หรือ ผู้มีรายได้ 23.33-38.07 บาทต่อคนต่อวัน 3.กลุ่มที่มีความเสี่ยงว่าจะจน หรือ มีรายได้ 38.07-67.54 บาทต่อคนต่อวัน 4.กลุ่มที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ หรือมีรายได้ 67.54-184.2 บาท และกลุ่มที่ 5 คือ กลุ่มชนชั้นกลาง หรือมีรายได้สูงกว่า 184.2 บาทต่อคนต่อวันขึ้นไป ซึ่งขณะนี้ ยืนยันว่า ประเทศไทยกลุ่มคนจนที่สุดได้หมดไปแล้ว”นายศรพล กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในการประเมิน พบว่า ธนาคารโลกยังมีความกังวลกลุ่มชนชั้นที่มีความเสี่ยงว่าจะจน เนื่องจากมีอัตราคงที่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นถือเป็นเรื่องที่จะต้องเข้าไปติดตามดูแล เนื่องจากกลุ่มคนดังกล่าวจะมีความเปราะบางทางเศรษฐกิจ ซึ่งหากมีอะไรมากระทบ อาจทำให้กลุ่มคนดังกล่าวตกชั้นไปสู่กลุ่มคนจนได้
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
คลัง เตรียมเสนอมาตรการสวัสดิการผู้มีรายได้น้อยเฟส 2 เข้าครม.หลังปีใหม่
นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงคลังจะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณามาตรการสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย ระยะที่ 2 ในสัปดาห์หน้าเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้ผู้มีรายได้น้อย โดยแนวทางหลัก คือ การช่วยเหลือผู้มีความยากจนที่มาลงทะเบียนเพื่อรับสวัสิดการภาครัฐ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นบาท/ปี ประมาณ 5.3 ล้านคนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
สำหรับ มาตรการสวัสดิการภาครัฐในระยะที่ 2 จะเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหลายหน่วยงาน อาทิ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน เพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยให้มีการศึกษา มีงานทำหนุนให้เป็นลูกจ้าง ผู้ประกอบการเอง ในบางรายที่ยังไม่มีที่อยู่อาศัยก็จะสนับสนุนให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง
"มั่นใจว่า มาตราสวัสดิการภาครัฐ เฟส 2 จะสามารถช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่มีรายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นบาทต่อปี จำนวน 5.3 ล้านคนได้อย่างตรงจุด เพราะจะมีการลงพื้นที่เก็บข้อมูลแบบรายบุคคล รวมทั้งจะมีการตั้งเป็น KPI ว่า ในปีหน้าคนจน 5.3 ล้านคนจะต้องเลิกจน ส่วนโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐในปี 62 คาดว่าจะมีผู้เข้ามาลงทะเบียนลดลง ซึ่งเป็นตามนโยบายของรัฐบาล หลังจากมีมาตรการสนับสนุนให้มีรายได้เพิ่มขึ้น คนจนก็มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดังนั้นจึงเป็นไปตามเป้าหมายที่คนจะมาลงทะเบียนจะลดลง" ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าว
นายสมชัย ยืนยันว่า โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสิดการแห่งรัฐนี้ไม่ใช่นโยบายหาเสียงอย่างแน่นอน เพราะเป็นโครงการที่ให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และเชื่อว่าไม่ว่ารัฐบาลไหนเข้ามาจะต้องทำ
อินโฟเควสท์
ผู้โชคดีใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐและร้านธงฟ้ารับโชคเงินล้านจากการใช้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แทนเงินสด
นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานมอบรางวัลแก่ผู้โชคดีในโครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิตและบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ครั้งที่ 7 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ผู้โชคดีได้รับรางวัลที่ 1 มูลค่า1 ล้านบาท เป็นผู้ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ซึ่งเป็นลูกค้าของธนาคารกรุงไทยโดยผู้ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐคือ นางสาวเหน็ง คำจำรัส จากจังหวัดกาฬสินธุ์ ส่วนร้านค้ารับบัตรคือนายสมคิด แก่นนอก ผู้ประกอบการธุรกิจร้านค้าปลีก ในโครงการธงฟ้าประชารัฐ จังหวัดขอนแก่นในโอกาสนี้ ยังได้รับเกียรติจาก นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ร่วมมอบรางวัล และผู้บริหารธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมแสดงความยินดี
สำหรับ การแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิตประจำเดือนธันวาคม 2560 ได้ขยายสิทธิ์เป็นครั้งแรกไปถึงผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและร้านค้าธงฟ้าประชารัฐให้สามารถร่วมลุ้นโชคจากการใช้จ่ายและรับชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แทนเงินสดได้ เพื่อเป็นการส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตแทนเงินสด ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนบริหารจัดการเงินสดและสนับสนุนการก้าวสู่เศรษฐกิจยุคดิจิทัล โดยตั้งแต่ดำเนินโครงการพบว่า จำนวนครั้งการใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตโดยเฉลี่ยต่อเดือนขยายตัวในอัตราสูงและมูลค่าการใช้จ่ายต่อรายการโดยเฉลี่ยลดลง สะท้อนพฤติกรรมของประชาชนที่มีแนวโน้มหันมาใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตในรายการย่อยในชีวิตประจำวันมากขึ้น
โครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิต เป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment) เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนใช้บัตรเดบิตและบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแทนการใช้เงินสด และส่งเสริมให้ร้านค้าติดตั้งเครื่อง EDC ซึ่งจะช่วยเพิ่มช่องทางรับชำระเงินด้วยบัตรเดบิต โดยมีกำหนดถึงเดือนพฤษภาคม 2561 (ข้อมูลธุรกรรมในเดือนเมษายน 2561) รวมเงินรางวัล 84 ล้านบาท ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลและสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมและรายชื่อผู้โชคดีที่ www.epayment.go.th
เลขานุการคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการการให้ความรู้และส่งเสริมธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โทร 02 273 9020 ต่อ 3289 3229 และ 3315