- Details
- Category: อสังหาริมทรัพย์ฯ
- Published: Wednesday, 17 May 2017 22:13
- Hits: 11313
เจแอลแอล แนะคนไทยที่สนใจลงทุนอสังหาฯ ต่างประเทศพิจารณาตลาดที่อยู่อาศัยโตเกียว
ในขณะที่นักลงทุนชาวไทยส่วนใหญ่ที่สนใจลงซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ มักนึกถึงกรุงลอนดอนของอังกฤษเป็นอันดับแรก โดยเฉพาะในภาวะที่เงินปอนด์อ่อนค่าหลัง BREXIT แต่ในความเป็นจริง ยังมีเมืองอื่นอีกหลายเมืองที่เสนอโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่ากัน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงโตเกียวของญี่ปุ่น ตามการวิเคราะห์ของบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล
เมื่อเร็วๆ สถาบันอสังหาริมทรัพย์แห่งประเทศญี่ปุ่นเปิดเผยว่า มีชาวต่างชาติจากเอเชียจำนวนมากขึ้นที่เข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์ประเภทอยู่อาศัยในญี่ปุ่นด้วยวัตถุประสงค์เพื่อการลงทุน โดยเฉพาะที่โตเกียว สอดคล้องกับรายงานจากเจแอลแอลที่ระบุว่า ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา หน่วยธุรกิจตัวแทนซื้อขายที่อยู่อาศัยระหว่างประเทศของบริษัทฯ เป็นตัวแทนขายบ้าน-คอนโดในโตเกียวให้กับผู้ซื้อทั่วเอเชียแปซิฟิกไปแล้วรวมทั้งสิ้นเกือบ 500 รายการ
นายมาร์ติน พรินส์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจตัวแทนซื้อขายที่พักอาศัยระหว่างประเทศของเจแอลแอลในประเทศไทย กล่าวว่า “มีหลายปัจจัยที่ทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยในโตเกียวเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งหลักๆ ได้แก่ ราคาที่ไม่สูงเกินไป ความเสี่ยงการลงทุนต่ำ ผลตอบแทนการลงทุนน่าพอใจ และตลาดอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มที่ดี”
“โดยทั่วไป มักมีความเข้าใจว่า อสังหาริมทรัพย์ในโตเกียวมีราคาแพง แต่ในความเป็นจริง โตเกียวนับเป็นตลาดที่นักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ประเภทอยู่อาศัยได้ในราคาที่ถูกกว่าเมืองใหญ่ๆ หลายเมืองของโลก โดยเฉพาะเมื่อคิดคำนวณตามค่าครองชีพของญี่ปุ่นเอง” นายพรินส์กล่าว
รายงานการศึกษาของเจแอลแอลเปิดเผยว่า โตเกียวมีสัดส่วนราคาที่อยู่อาศัยต่อรายได้ (home price to income ratio) ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับเมืองชั้นนำอื่นๆ ที่ชาวต่างชาตินิยมเข้าไปซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อลงทุน โดยราคาที่อยู่อาศัยในโตเกียวคิดเป็นประมาณ 4.7 เท่าของรายได้ครัวเรือนต่อปี เทียบกับฮ่องกง (18.1 เท่า) ซิดนีย์ (12.2 เท่า) และลอนดอน (8.5 เท่า) ทำให้ราคาที่พักอาศัยในโตเกียวมีโอกาสสูงที่จะปรับเพิ่มขึ้นได้มากในอนาคต
นอกจากนี้ การที่รัฐบาลญี่ปุ่นดำเนินนโยบายการผ่อนคลายทางการเงิน ทำให้ค่าเงินเยนโดยภาพรวมรวมอ่อนตัวลงในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ส่งผลให้นักลงทุนจากประเทศที่ค่าเงินแข็งกว่าสามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ในโตเกียวได้ในราคาที่ถูกลง
ตลาดที่อยู่อาศัยให้เช่าที่มีสภาพคึกคักและให้ผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนสนใจ โดยในช่วงสามปีที่ผ่านมา ค่าเช่าที่อยู่อาศัยในโตเกียวแม้จะปรับเพิ่มขึ้นปรับตัวขึ้นไม่มาก (เฉลี่ยราว 2% ต่อปี) แต่มีการปรับขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติยังสามารถคาดหวังผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าได้ในอัตราระหว่าง 3.5-4.5% (ก่อนหักภาษี ค่าบริหารส่วนกลางและค่าใช้จ่ายอื่นๆ) ซึ่งเป็นอัตราผลตอบแทนการลงทุนที่สูงกว่าเมืองหลักอื่นๆ ของเอเชีย เช่น สิงคโปร์และฮ่องกง
ค่าใช้จ่ายที่คอนข้างต่ำในการทำธุรกรรมการซื้อขาย นับเป็นอีกหนึ่งในข้อได้เปรียบของตลาดที่พักอาศัยของโตเกียว อาทิเช่น ค่าอากรแสตมป์มีอัตราอยู่ที่เพียงประมาณ 2-3% ของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ เทียบกับ 15% ในฮ่องกง และ 18% ในสิงคโปร์
นักลงทุนในตลาดที่พักอาศัยของญี่ปุ่นยังได้รับการคุ้มครองที่ดี จากกระบวนการต่างๆ เกี่ยวกับการซื้อขายที่มีความโปร่งใสสูง กรอบกฎหมายและกฎระเบียบการต่างๆ ที่มีความชัดเจน และการมีบรรษัทภิบาลที่เข้มแข็ง นอกจากนี้ ยังไม่มีการจำกัดสิทธิในการคอบครองอสังหาริมทรัพย์โดยต่างชาติ
แนวโน้มที่ดีทั้งในทางเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์ของญี่ปุ่น เป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่ดึงดูดนักลงทุน ทั้งนี้ นโยบายทางเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น นายชินโซ อาเบะ มีส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ไม่ว่าจะด้วยการเพิ่มการลงทุนในระบบสาธารณูปโภคสาธารณะ การแทรกแซงให้ค่าเงินเยนอ่อนลง และมาตรการผ่อนคลายในเชิงปริมาณทางการเงิน (QE) ซึ่งทั้งหมดนี้ คาดว่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในระยาวไปจนถึงปี 2020 และตลาดอสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่นจะได้รับอานิสงค์ตามไปด้วย
นายพรินส์กล่าวว่า “ปัจจัยบวกต่างๆ เหล่านี้ทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยโตเกียวเป็นเป้าหมายที่นักลงทุนต่างชาติจำนวนมากเลือก ซึ่งนักลงทุนไทยเองไม่ควรมองข้าม”
ดาวน์โหลดกราฟเปรียบเทียบสัดส่วนราคาที่อยู่อาศัยต่อรายได้ครัวเรือนในโตเกียวกับเมืองสำคัญๆ อื่นๆ
http://www.jll.co.th/thailand/PublishingImages/PR/Price%20to%20Income%20Ratio.jpg
ดาวน์โหลดรูปมาร์ติน พรินส์
http://www.jll.co.th/thailand/PublishingImages/People/Maarten%20Prins%20JLL.jpg
เกี่ยวกับเจแอลแอล
เจแอลแอลเป็นบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของโลก มีสำนักงานสาขา 300 แห่งทั่วโลก สำหรับในประเทศไทย เจแอลแอลเริ่มดำเนินธุรกิจมานับตั้งแต่ปี 2533 ปัจจุบันเป็นบริษัทระหว่างประเทศรายใหญ่ที่สุดในธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ด้วยพนักงานมากกว่า 1,600 คน และมีอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการคิดเป็นพื้นที่รวมทั้งสิ้นกว่า 5 ล้านตารางเมตร นอกจากนี้ เจแอลแอลยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์โดยภาพรวมอันดับหนึ่งของประเทศไทยติดต่อกันหกปีซ้อน ในการสำรวจความคิดเห็นของคนในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ประจำปี 2559 โดยนิตยสารยูโรมันนี (Euromoney Real Estate Survey 2016)