- Details
- Category: อสังหาริมทรัพย์ฯ
- Published: Monday, 13 March 2017 23:04
- Hits: 13124
รอแยลเฮ้าส์เผยกลยุทธ์ ปี 60 Multigen เก็บครบทุกกลุ่มผู้ต้องการสร้างบ้าน ร้องเตือนผู้บริโภคมีสติอย่าเชื่อแค่ส่วนลด ต้องมองที่คุณภาพงานสร้างด้วย
พร้อมชี้เทรนด์สร้างบ้าน 2018 : 7S ปลอดภัย-เพิ่มความสูง-ตอบโจทย์การเพิ่มขึ้นของประชากรโสด
จากการคาดการณ์ตลาดรับสร้างบ้านปี 60 โตมากกว่า 10% มูลค่าประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้บริษัทรับสร้างบ้านทวีความรุนแรงในการแข่งขัน เพื่อดึงยอดให้เพิ่มขึ้นจากสภาวะฝืดเคืองของปีที่แล้ว ด้านรอแยลเฮ้าส์ยืนยันไม่ลงเล่นสงครามราคาที่ยังเป็นที่กังขา หากหยิบยื่นโอกาสให้ผู้บริโภคได้เลือกในสิ่งที่ต้องการ ก่อนเผยกลยุทธ์ปี 60 ที่กวาดทุกกลุ่มผู้ต้องการสร้างบ้าน พร้อมชี้เทรนด์สร้างบ้าน 2018 เน้นความปลอดภัย ขยายพื้นที่ใช้สอยโดยเพิ่มความสูง และที่น่าจับตามองคือเทรนด์การสร้างบ้านสำหรับประชากรโสดที่เพิ่มอัตรามากขึ้น
นายโกศล โควิสุทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท รอแยลเฮ้าส์ จำกัด กล่าวว่า “สืบเนื่องจากการชะลอตัวของความต้องการสร้างบ้านในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2559 ส่งผลให้ตลาดรับสร้างบ้านในปี 2560 มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% หรือประมาณมูลค่าที่ 1.2 หมื่นล้านบาท เพื่อรองรับกับความต้องการสร้างบ้านที่ตกค้างจากปีที่แล้ว เป็นเหตุให้บริษัทรับสร้างบ้านต่าง ๆ งัดกลยุทธ์การลดราคาออกมาใช้เพื่อดึงยอดผลประกอบการของปีนี้ให้สูงขึ้นจากเดิม โดยพบว่าส่วนลดของการรับสร้างบ้านค่อนข้างสูงมากอย่างน่าตกใจ ซึ่งต้องแสดงความเป็นห่วงไปยังผู้บริโภคให้ใช้วิจารณญาณในการเลือกใช้บริการ โดยแนะนำให้คำนึงถึงความเหมาะสมด้านราคาและคุณภาพของงานสร้างเป็นหลัก”
นายโกศล กล่าวอีกว่า ผลประกอบการของปี 2559 ที่ผ่านมา รอแยลเฮ้าส์ไม่สามารถทำยอดขายได้ตามที่กำหนดไว้ โดยยอดที่ทำได้ลดลงจากเป้าที่ตั้งไว้ 15% แม้ว่า 3 ไตรมาสแรกของปี บริษัทจะสามารถปิดยอดผลประกอบการได้ถึง750 ล้านบาท แต่ในช่วงปลายของไตรมาสที่ 3 ผู้บริโภคกลับใช้เวลาในการตัดสินใจสร้างบ้านนานมากกว่าปกติ ทำให้ไม่สามารถปิดการขายลากยาวมาถึงไตรมาสที่ 4 ซึ่งเกิดเหตุการณ์ความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่กับประชาชนชาวไทยขึ้น ผู้บริโภคไม่อยู่ในสภาวะที่จะตัดสินใจสร้างอะไรใหม่ๆ ส่งผลให้รอแยลเฮ้าส์ต้องปิดยอดผลประกอบการในปี 2559 ไปอย่างไม่ถึงเป้า แต่กระนั้น รอแยลเฮ้าส์ก็ยังคงยืนยันที่จะไม่ลงไปร่วมในสงครามการลดราคาที่กำลังดุเดือดและน่ากังขา แต่เสนอเป็นสิทธิประโยชน์อื่นๆ ให้กับผู้บริโภคแทน เนื่องจากยึดถือในมาตรฐานงานก่อสร้างและความซื่อสัตย์ต่อลูกค้าเป็นหลัก โดยในปี 2559 ที่ผ่านมา ขนาดบ้านที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของรอแยลเฮ้าส์ คือบ้านกลุ่มราคา 5-7 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 40% ของยอดขายทั้งหมด โดยผู้บริโภคนิยมสร้างบ้านแบบ คอนเทมโพรารี่ มากที่สุดถึง 50 หลัง
“สำหรับปี 2560 รอแยลเฮ้าส์ตั้งเป้าไว้ที่ 1,000 ล้านบาท โดยจะใช้กลยุทธ์ในการดำเนินงานแบบ Multigen Strategy ที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้บริโภคทั้ง 3 เจนเนอเรชั่น เนื่องจากผลรายงานของบริษัทพบว่า กลุ่มลูกค้าของรอแยลเฮ้าส์มีการขยับสัดส่วนของอายุลดลง โดยเป็นกลุ่มคนตั้งแต่ 25-70 ปีขึ้นไป จากเดิมที่จะเป็น 45 ปีขึ้นไปอย่างเดียว อันแสดงว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่ เริ่มมีความสนใจในการสร้างบ้านเองมากขึ้น และเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในทุกกลุ่ม รอแยลเฮ้าส์จึงวางแผนการสื่อสารและการตลาดให้มีความเหมาะสมในแต่ละช่วงวัย
โดยสำหรับกลุ่มลูกค้า Baby Boomer อันถือเป็นกลุ่มลูกค้าเก่าแก่ที่มีความภักดีต่อแบรนด์ การตลาดแบบ Word of Mouth ยังใช้ได้ดี ซึ่งนั่นหมายความว่าผลงานการสร้างบ้านของรอแยลเฮ้าส์ต้องดีพอที่จะบอกต่อด้วย และรอแยลเฮ้าส์ก็มีความมั่นใจเป็นอย่างมากในส่วนนี้ ถัดมากับกลุ่ม Gen X อันเป็นกลุ่มคนที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ เนื่องจากมีกำลังซื้อ มีไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ผสมผสานกับคนรุ่นเก่า สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรอบด้าน กิจกรรมทางการตลาดที่เหมาะสมกับคนกลุ่มนี้จึงเป็นการให้ข้อมูล โน้มน้าวใจด้วยเหตุผล และการสื่อสารทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ ส่วนกลุ่มสุดท้าย คือ Gen Y ที่เริ่มมาเป็นลูกค้าของรอแยลเฮ้าส์
และ มองว่าจะกลายมาเป็นลูกค้าของรอแยลเฮ้าส์ในอนาคต ก็ได้มีการวางแผนการตลาดแบบคิดนอกกรอบในสื่อออนไลน์ เช่น campaign ช่างแซ่บที่มียอดการเข้าเห็นถล่มทลายกว่า 700,000 ครั้ง การปรับปรุง website ครั้งใหญ่ที่กำลังเริ่มดำเนินการ การเริ่มใช้ RH Workflow ที่เริ่มมาตั้งแต่ต้นปี ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างความสัมพันธ์และความเชื่อมั่นในแบรนด์ให้เกิดขึ้นในคนกลุ่มนี้”
นายโกศล ยังได้กล่าวทิ้งท้ายอีกว่า “สำหรับเทรนด์การสร้างบ้านในปี 2018 มีเทรนด์ที่น่าสนใจ อันได้แก่ Solitude การสร้างบ้านสำหรับประชากรโสดที่เพิ่มอัตราสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน, Safe & Secure เน้นเรื่องความปลอดภัย Soaring การสร้างบ้านในพื้นที่จำกัดแต่เพิ่มชั้นให้สูงขึ้น และ Space Solutions ที่มีการจัดสรรพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
โดยเทรนด์การสร้างบ้านดังกล่าวนี้ รอแยลเฮ้าส์ก็ได้นำมาพัฒนาและออกแบบบ้านเพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น ซึ่งเรามีแบบบ้านใหม่ถึง 2 แบบ มานำเสนอให้ทุกท่านได้ชมกัน และทุกท่านจะสามารถพบกับแบบบ้านใหม่นี้ รวมถึงแบบบ้านทั้งหมดของรอแยลเฮ้าส์ พร้อมทั้งคำแนะนำและการให้คำปรึกษาในทุกเรื่องของการสร้างบ้าน ได้ในงานมหกรรมรับสร้างบ้าน ระหว่างวันที่ 9-15 มีนาคม 2560 ที่บูธหมายเลข V3 ชั้น 1 เซนทรัลพลาซา ลาดพร้าว พร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษมานำเสนอ คือ โปร 4 ต่อ 1) ส่วนลดสูงสุดถึง 10% 2) โปรโมชั่นสูงสุด point*10 กับธนาคารไทยพาณิชย์ 3) แถมทอง 1 บาท สำหรับปลูกสร้างบ้านเกิน 3.5 ล้านบาท 4) โปรโมชั่นร่วมกับสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน”
Royal House เทรนด์การสร้างบ้าน 2018
1. Smart Home Smart Office
ความเป็น Entrepreneurship ปัจจุบันได้รับความนิยมเป็นจำนวนมากขึ้นๆ และคาดว่าจะมากขึ้นต่อไปเรื่อย เมื่อโลกปี 2017 เรียกได้ว่าเข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์อย่างแท้จริง เมื่อไปถามเด็กจบใหม่รุ่นหลังๆ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ถ้าไปทำงานประจำก็ขอออฟฟิศสวยๆ ใกล้บ้าน เพราะเบื่อปัญหารถติด เพราะฉะนั้นการปลูกสร้างบ้านแบบโฮมออฟฟิศเก๋ๆ จะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จุดเด่นของโฮมออฟฟิศยุคใหม่ คือ มีส่วนโปร่งโล่ง ที่นั่งสบายๆ ไว้จิบกาแฟยามบ่าย ห้องสันทนาการกับเพื่อนที่ทำงาน ห้องสังสรรค์เมือตกเย็น สระว่ายน้ำสวยๆ ส่วนเจ้าของโฮมออฟฟิศนี้ก็อาจจะสร้างห้องนอนไว้อยู่ข้างบนแต่มีการแบ่งสัดส่วนไว้อย่างชัดเจน
2. Solitude
จากสถิติรายงานว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้าเพศหญิงจะมีจำนวนมากกว่าเพศชาย 1.5 ล้านคน จำนวนผู้หญิงโสดจะมากขึ้น 5.6 ล้านคน และการแต่งงานจะช้าลง 45 % รวมถึงสถิติการหย่าร้างที่มีโนมโน้มสูงขึ้น (อัตราการหย่าร้างในปี 2556 คือ 35% และ ปี 2557 =37% ) ประกอบกับข้อมูลปัจจุบันที่ประเทศไทยมีประชากรโสดกว่า 40% หรือประมาณ 17 ล้านคน 'ผู้หญิงตัวคนเดียว' และประชากรโสด จะมีเพิ่มมากขึ้น เทรนด์การสร้างบ้านในอนาคตจึงมีความเป็นไปได้ที่จะจับตลาดกลุ่มนี้เป็นหลัก คือ เป็นบ้านขนาดย่อม ในราคาคุ้มค่า มีฟังชันการทำงานครบถ้วน รองรับความต้องการของคนยุคใหม่ที่ชื่นชอบกิจกรรมต่าง ๆ ใกล้ชิดธรรมชาติ มีความเป็นส่วนตัว และมีระบบความปลอดภัยที่ดี
3. Safe & Secure ความปลอดภัย
บ้านที่สมบูรณ์แบบนั้น นอกจากจะต้องตอบสนองการใช้สอยได้เต็มประสิทธิภาพแล้วยังต้องสามารถคุ้มครองสร้างความปลอดภัยให้แก่ผู้อยู่อาศัยได้อีกด้วย เพราะชีวิตในบ้านคงไม่มีความสุขนัก หากบ้านที่เราอยู่อาศัยไร้ซึ่งความอบอุ่นปลอดภัย เหมือนมีอันตรายอยู่ใกล้ตัว ซึ่งสองปัจจัยหลักที่ทำเทรนด์เรื่องความปลอดภัยน่าจับตามอง ก็คือ การเพิ่มขึ้นของประชากรสูงอายุ (ในปี 2558 ผู้สูงวัยอายุ 65 ปีขึ้นไปมีจำนวนกว่าร้อยละ 10 หรือมากกว่า 7 ล้านคน และมีการคาดการณ์ว่าจำนวนจะเพิ่มขึ้นถึง 17 ล้านคน ภายในปี 2583 ซึ่งมากกว่า 1 ใน 4 ของประชากรไทย) และความใส่ใจเรื่องสุขภาพของคนรุ่นใหม่ โดยเทรนด์การสร้างบ้านในอนาคตนั้นจะเน้นความปลอดภัยทั้งในขั้นตอนการก่อสร้างการเลือกสรรวัสดุที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ไปจนถึงการอยู่อาศัยที่การออกแบบจะพิจารณาถึงความปลอดภัยในการใช้งานจริง ไปจนถึงการสร้างบ้านให้รองรับบริการสุขภาพในอนาคต เช่นมีระบบเซนเซอร์ป้องกันการล้ม การออกแบบพื้นป้องกันการลื่นและรองรับการทำงานร่วมกับบริการทางการแพทย์ เป็นต้น
4. Strong Funding
ลูกค้ากลุ่มนี้มักจะให้ความสำคัญกับบุคคลอื่น ๆ ที่ไม่ใช่บุคคลในครอบครัวอย่างมาก ครอบครัวเศรษฐีบางท่านปลูกบ้านพักแขกไว้อีก 1-2 หลัง ภายในบริเวณบ้านตัวเองเพียงเพื่อต้องการให้แขกที่มาเยี่ยมเยียนบ้านของเขาได้มีที่นอนอย่างสุขสบาย หรือบางกรณีที่ครอบครัวเศรษฐีเหล่านี้ได้ปลูกบ้านพักของเหล่าบรรดาแม่บ้าน คนขับรถ คนสวน คนงาน และอื่นๆ ไว้ในบริเวณบ้านพักอาศัยของเขาเพียงเพื่อต้องการดูแลพวกเขาเหล่านี้เสมือนหนึ่งคนในครอบครัว เศรษฐีเหล่านี้ทราบดีว่าการลงทุนสร้างอสังหาริมทรัพย์แบบนี้นอกจากครอบครัวของเขาจะได้ใช้ระหว่างที่อยู่ในบ้านหลังนี้ เขายังสามารถหาทางขายต่อได้ในราคาที่สูงกว่าเมื่อเวลาผ่านไปถ้าบ้านของเขายังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ สอดคล้องกับหนังสือพิมพ์ Financial Times ฉบับวันที่ 17 มกราคม 2557 ที่ได้ตีพิมพ์ในคอลัมน์ๆ หนึ่ง ใจความว่า หลังวิกฤติ sub-prime ปี 2551 เศรษฐีทั่วโลกได้มีการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ 146,000,000,000 ดอลล่าร์สหรัฐ ต่อมาเมื่อปี 2555 ตัวเลขนี้ได้มีการเพิ่มขึ้น 111 เปอร์เซนต์เป็น 308,000,000,000 ดอลล่าร์สหรัฐ
5. Soaring สูงขึ้น
ในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา จำนวนประชากรในเมืองใหญ่ทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยสหประชาชาติระบุว่า 54% ของการเพิ่มจำนวนประชากรเกิดขึ้นในมหานครต่าง ๆ และตัวเลขนี้จะเพิ่มเป็นร้อยละ 66 ภายใน 35 ปีข้างหน้า หรือในกรุงเทพเองมีที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยอยู่ 239,086 ไร่ ปรากฏสถิติจำนวนบ้านของกรุงเทพมหานคร ได้เพิ่มจาก 1.24 ล้านหลัง ในปี พ.ศ. 2534 เพิ่มเป็น 1.9 ล้านหลัง ในปี พ.ศ. 2543 ซึ่งคิดเป็นการเพิ่มโดยเฉลี่ย 60,000 หลังต่อปี จากสถิติตดังกล่าวจะเห็นได้ว่าความหนาแน่นของพื้นที่ในการสร้างที่อยู่อาศัยลดลงจากสมัยก่อน ผู้คนมีที่ดินจำนวนมาก สร้างบ้านเพียง 1-2 ชั้น เมื่อลูกแต่งงานก็แบ่งพื้นที่ให้ปลูกบ้านขนาด 1-2 ชั้นนั้น เปลี่ยนเป็นการสร้างบ้านหลาย ๆ ชั้นที่ใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย มีพื้นที่ส่วนกลางร่วมกัน และสามารถอยู่อาศัยหลายครอบครัว
6. Space Solutions
สอดคล้องกับพื้นที่ที่บ้านที่เล็กลงแต่ใช้ประโยชน์หลากหลายขึ้น ทำให้คนเริ่มเห็นความสำคัญในการจัดสรรพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมานั้นมีเฟอร์นิเจอร์ที่สามารถปรับขนาดหรือรูปแบบให้เหมาะกับการใช้งาน ในอนาคตอันใกล้บ้านเองก็จะปรับตัวในทิศทางเดียวกันคือ เจ้าของบ้านสามารถปรับและจัดสรรการใช้พื้นที่ให้เหมาะสมกับความต้องการใช้งานในแต่ละครั้ง อาทิ ผนังกั้นระหว่างส่วนรับแขกและพื้นที่อเนกประสงค์ ที่เลือกได้ว่าจะปิดหรือเปิด หรือชั้นเก็บของที่ถูกออกแบบให้ปรับตำแหน่งได้ทำให้เจ้าของบ้านเลือกวางชิดผนังหรือเคลื่อนออกมาเพื่อให้กั้นระหว่างโซนต่าง ๆ รวมถึงห้องครัวที่สามารถขยายเป็นโซนทานอาหาร หรือผนังที่สามารถเปิดออกเป็นพื้นที่หน้าบ้านได้ เป็นต้น
7. Semi-Party Semi-Living
บ้านลักษณะนี้เหมาะกับบุคคล Gen Y ที่ชอบการสังสรรค์ปาร์ตี้กับเพื่อนฝูงเป็นชีวิตจิตใจ แต่เมื่อวันนึงเริ่มเบื่อกับการไปปาร์ตี้นอกสถานที่หรือเริ่มนับหนึ่งกับชีวิตคู่ คนกลุ่มนี้ก็เริ่มจะมองหาบ้านที่ตอบโจทย์ความต้องการของตัวเองซึ่งก็คือบ้านปาร์ตี้ ลักษณะของบ้านประเภทนี้ คือ ต้องโปร่งโล่งมีพื้นที่เฉลียงใหญ่ๆ มีสระว่ายน้ำ มีบาร์แอลกอฮอล์ มีเกมส์ให้เล่น ทีวีจอใหญ่ๆ อุปกรณ์ทุกชนิดที่คิดว่าเมื่อชวนเพื่อนๆ มาที่บ้านแล้วต้องไม่ให้เพื่อนๆ เหงา ลักษณะคล้ายๆ กับ pool villa ที่เราไปพักตามเมืองท่องเที่ยว เช่น พัทยา หัวหิน ภูเก็ต เป็นต้น